space
space
space
space

เช้าวันวิ่งของม๊า...

วันนี้ ตื่น 3.15 นาที นั่งกินแฟดำ...กะว่าจะเริ่มวิ่งประมาณ ตี 4 มีเวลา 1 ชม. ในการวิ่ง เพราะวันนี้ ลูกชายมีการบ้าน SCI ต้องเคลียร์อีกวิชาตอนเช้า...

ยัง Focus อยู่ที่การควบคุมการหายใจ วันนี้ Heart Rate Max อยู่ที่ 179 ก็ถือว่าโอเช!!! (จาก 197-206) นาฬิกาแดงเถือกๆๆๆๆ

กลังมารื้อฟื้นการเขียน Blog ของม๊า หลังจากเพิ่งย้ายจากการเขียน FB ยังงงๆ กับ Function และก็ชั้นจะไปตาม Blog คนอื่นยังไง!!? 555 ค่อยๆ งมไปนะจ๊ะ อาซิ่ม!!!

สถิติตอนนี้ ประมาณ 7 km/hour เร็วสุดที่เคยทำได้คือ 8 km/57 mins จะบอกว่า 7 นี้ วิ่งแบบคุมลมหายใจ ซึ่งจะกดความเร็วลง ไม่ได้ Focus ที่ Speed ม๊ามีแผนจะฝึกอย่างนี้ไปอีก 1 เดือน แล้วจะเริ่มลงเท้าแบบ speed ในเดือนพฤษภาคม ดูซิว่า สมรรถนะจะเพิ่มขึ้นมะ!!! Sub 1 รอม๊าอยู่
 

ระยะสะสมของม๊า นับตั้งแต่ 1 มกราคม ปีนี้ จนถึงปัจจุบัน อยู่ที่ 286.1 km ปีนี้ อยากได้เฉลี่ยอยู่ที่ เดือนละ 100 km แต่เดือน มกราคม ม๊าพลาด!!! หยุดเยอะไปหน่อย...




 

Create Date : 04 เมษายน 2562   
Last Update : 4 เมษายน 2562 19:40:48 น.   
Counter : 407 Pageviews.  
space
space
เงิน....ไม่ใช่คำตอบของความสุข.... ตอนที่ 1

เมื่อก่อน ในตอนที่ mama ยังต้องดิ้น ต้องรนส่งเสียตัวเองเรียน อยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว mama เคยนั่งอยู่บนรถเมล์ มองดูผู้คนที่เป็นเพื่อนร่วมเดินทางบนถนนสายเดียวกัน พลางก็คิดไปว่า.. คนที่มีเงิน มีรถยนต์ขับ มีตำแหน่งใหญ่โต... คงจะมีความสุขมากมาย ไม่เหมือนเราเนะ ยังต๊อกต๋อย... แค่การเดินทางไปทำงาน + กลับบ้าน ก็ดูจะทุลักทุเลเหลือทน... เงินเดือนที่ได้รับมา... อย่าได้หวังจะใช้ทำอะไรเลย กะแค่จ่ายค่าที่อยู่อาศัย รวมถึงค่าเทอมแล้ว เหลือพอเดือนชนเดือนก็บุญแร๊วววววว



ตอนทำงาน ไต่เต้ามาตั้งแต่ตำแหน่งเล็กๆ โดนทั้งโขกทั้งสับ จากผู้คนที่เรียกตัวเองว่า คนมีการศึกษาสูง...กว่า....(แต่ปัญญาคว....าย) เยอะแยะค่ะ ต้องอดต้องทนกันไป เจอเจ้านายก็หลายประเภท ที่ดีเหลือคณาใจก็มี ที่ร้ายกาจเอาแต่ใจก็มี หรือแม้แต่ขี้หลีก็มี... แต่ mama ค่อนข้างเป็นคนตรง ดีมาดีกลับ ร้ายมาร้ายกลับเหมือนกัน... ดังนั้นแล้ว ไอ้ประเภท "ได้ครับพี่ ดีครับท่าน แพล็บ แพล็บ" mama ทำไม่เป็น ไอ้ผลที่เป็นคนแบบนี้ ก็ทำให้ mama ต้องเปลี่ยนงานอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความไม่ยอมก้มหัวให้ใคร พูดจาตรงไปตรงมา... ก็ทำให้อยู่ได้ไม่สุขนัก


ค่าที่ทำงานมาตั้งแต่เด็ก ส่งเสียตัวเองเรียนไปด้วย ก็ไม่ใช่ว่าครอบครัวจะยากจนข้นแค้น แต่ก็ด้วยทิฐิ มานะของตัวเราเอง ความซับซ้อนในเรื่องความสัมพันธ์ทางครอบครัว ทำให้ mama ต้องระหกระเหินออกมาเลือกทางเดินของตัวเอง จำได้ว่าเหนื่อยแทบขาดใจ ค้นหาตัวเองมาสักระยะ ก็ได้รู้ว่า งานที่ชอบน่าจะเป็นพวกการตลาด งานขาย มองไปมาในช่วงนั้น ธุรกิจเกี่ยวกับ internet ก็กำลังค่อยๆ เข้ามาที่เมืองไทย mama ลองศึกษาจากการอ่าน สอบถามหาความรู้ ก็พอจะเดาทิศทางออกว่า สมัยหน้าเจ้า internet น่าจะเป็นอะไรที่สำคัญ ดังนั้น mama ก็ไม่รอช้า ที่จะผันตัวเองมาเรียนรู้ และพุ่งตรงไปขอโอกาสกับบริษัทฯ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ Internet นี้ทันที



ทำงานเกี่ยวกับบริษัทฯ ที่ลงทุนข้ามชาติ เป็นเรื่องการตลาดบน Internet เข้าไปครั้งแรก ไม่มีประสบการณ์เลย ไปเป็นประชาสัมพันธ์ ก็แค่รับโทรศัพท์ โอนโทรศัพท์ และจัดทำงานเอกสารต่างๆ mama เป็นคนทำอะไรทำจริง งานอะไรที่อยู่ในหน้าที่ mama ตั้งใจทำเสมอ เชื่อมะ แค่การรับโทร. ทำดีไม่ดี ปลายสายเค้ารู้ค่ะ mama ทำงานอยู่ไม่กี่เดือน ก็ถูกนายใหญ่ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ เรียกเข้าไปคุยด้วย สอบถามว่า สนใจอยากเปลี่ยนสายงานมาเป็น sales ไม๊?? ไอเห็นยูมีบางอย่างในตัว และคิดว่ายูทำได้ แต่อยากจะถามยูก่อน ว่ายูสนใจไม๊?? โอ๊ววว แม่เจ้า!!! เยส เยส เยส.... ตั้งแต่นั้นมา งานในสายงาน Internet ของ mama ก็เริ่มขึ้น


ค่าด้วยการศึกษาที่กำลังศึกษาต่อ ทำให้ mama เป็น sales คนเดียว ที่มีการศึกษาน้อยที่สุด ปวส. เอง... นอกนั้น ปริญญาโทจากประเทศสิงคโปร์ อังกฤษ ฯลฯ เวลาประชุม ก็จะประชุมกันเป็นภาษาอังกฤษเรียกว่าช่วงนั้น mama ต้องทำการบ้านหนักกว่าใครๆ แต่อะไรก็ไม่ยากจนเกินตัว ถ้าเรารู้จักที่จะพยายาม คนรอบข้างก็เป็นแรงคอยผลักคอยดัน ด้วยการดูถูกดูแคลน... นี่หล่ะ แรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ของ mama


ผ่านการทำงานในสายงานนี้ อย่างล้มลุกคลุกคลาน ในหลายๆ บริษัทฯ ผ่านบริษัทไหน เป็นต้องตามมาด้วยการปิดกิจการ ไม่ใช่ว่า mama เป็นตัวซวยนะ ฮา........ แต่ด้วยความรู้ไม่ถ่องแท้ของนักลงทุนคนไทย ชอบตามกระแส แต่ไม่เรียนรู้ถึงความเป็นไปได้ทางการตลาด ทำให้หลายๆ บริษัท ต้องปิดกิจการลงไป mama เองก็สั่งสมประสบการณ์มาเรื่อย จนไต่เต้าในตำแหน่งสุดท้าย คือ sales manager


หลังจากนั้น ก็ได้ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทฯ ของตัวเองร่วมหุ้นกับ papa เพราะความมั่นใจในประสบการณ์อันโชกโชน เรียนรู้ข้อดีข้อเสียของบริษัทฯ ต่างๆ ที่เคยไปทำงานมา ข้อดีก็หยิบมาใช้ ข้อเสียก็อุดซะ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ บริษัทฯ ที่ mama ก่อตั้งมาก็มีอายุครบ 6 ขวบปีแล้ว บริษัทไม่ได้ใหญ่ ได้โต พนักงาน 10 กว่าคน run งานขององค์กรใหญ่ๆ มากมาย ทุกวันนี้ mama ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจเรื่องเงินทองอีกแล้ว รถยนต์มีขับ บ้านมีเกินอยู่ (มีมากกว่า 2 หลัง)



แต่พอมาถึงวันนี้จริงๆ mama เพิ่งตระหนักได้ เงินทองไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้เรามีความสุข ถึงเราจะได้กินสิ่งที่อยากกิน อยากแต่งตัวด้วยเสื้อผ้ายี่ห้อแพงๆ เครื่องสำอางค์ที่ใช้ราคาเรือนหมื่น แต่...มันไม่ได้ดลบันดาลความสุขทางใจให้ mama ได้เลย....ชีวิตที่วุ่นวาย ขาดความเข้าใจกันในครอบครัว ยังคงก่อปัญหารุมเร้า mama อยู่ตลอดเวลา.... ความไม่อบอุ่นในครอบครัวตั้งแต่วัยเด็ก ไม่เคยเลือนหายไปจากใจ mama ยิ่งต้องมาผิดหวังกับชีวิตครอบครัวในปัจจุบัน เพราะความคาดหวังมากมาย แต่ทุกอย่าง ไม่เป็นไปตามคาด ยิ่งทำให้ mama รู้สึก fail อย่างบอกไม่ถูก.....



โปรดติดตามตอนต่อไป......




¼Ù骹Р- àÊ¡ âÅâ«

href="//www.pantip.com/cafe/richtext/" target="_blank">Free TextEditor




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2552 17:31:55 น.   
Counter : 1692 Pageviews.  
space
space
พุงป่อง กับกล้องตัวใหม่...

ปกติจริงๆ mama พยายามออกวิ่ง jogging ตอนเช้าๆ ทุกวันวันนึงก็ประมาณ 6 รอบสนามเป็นอย่างต่ำ ก็ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ หลักๆ ก็เรื่องสุขภาพ ความสวยงามก็เป็นของแถม... แต่อย่างหลัง เท่าที่สังเกตุไม่ค่อยจะตามมา ฮา.......... แต่ถ้าในแง่สุขภาพนี่หล่ะก็ mama รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างทีเดียว


Photobucket

ปีที่แล้ว mama จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า เริ่มทำการวิ่ง jogging ตอนเช้าๆ นี่ประมาณช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีละมั๊ง นับวันไปมา วิ่งได้ 82 วัน...  ปีนี้ mama ตั้งใจจะออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละสัก 4 วัน ตั้งแต่ต้นปีกันทีเดียว แต่ปรากฎว่า.... แป้ว..ค่ะ จัดบัด now... ก็ยังมิได้เริ่มวิ่งแต่ประการใด สาเหตุก็มาจากติดหวัดจาก papa งอมแงม ไม่พออีเจ๊แดงค่ะ มาโจมตีช่วงพักฟื้นไข้ เล่นเอาลุกไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว

ผลที่ตามมาเหรอคะ  หุ หุ พุงค่ะ มาก่อนเพื่อนเลยค่ะ อึดอัดมาอันดับสอง หงุดหงุดมาอันดับสาม.... เพื่อนเก่ากันทั้งนั้น... ดีนะพอกินยาหมดโดสแล้ว.. ก็ดูจะค่อยยังชั่วขึ้นทันตาเห็น พอเห็นแววรำไรว่า วันรุ่งขึ้นพรุ่งนี้ mama น่าจะออกวิ่งได้ตามปกติ...... สำหรับ mama แล้วเพิ่งรู้สึกว่า การออกกำลังกาย ถ้าเราออกประจำ มันก็เหมือนเสพติดเหมือนกัน พอไม่ได้ไปหลายๆ วันเข้ามันรู้สึกเหมือนไม่ได้ปลดปล่อยกำลังยังไงชอบก๊ล...


 


Photobucket
รูป papa ขนาดไม่สบายหน้าใสเชียะ


แต่ papa ดิคะ... ป่วยแล้ว ฉีดยาแล้ว ทานยาแล้ว ใกล้จะหายแล้ว ดันเอาเชื้อมาติด mama กะข้าวปั้น ช่วงที่ papa จะหาย mama + ข้าวปั้นก็กำลังแย่ ทำให้ papa ต้องเฝ้าพยาบาลดูแล เลยกลายเป็นว่า พอ mama จะหาย papa ก็ดันเป็นหนักขึ้นมาอีก มะวานก็เพิ่งจะแวะไปหาหมอมาอีกรอบ.....  mama สังเกตุ ช่วงนี้นะคะ เชื้อโรคพวกนี้ มันแข็งแรงดีจริงค่ะ กำจัดยังไง ก็ใช่ว่าจะเหือดหายไปง่ายๆ ยิ่งร่างกายคนเราอ่อนแอ มันยิ่งเข้าโจมตี แล้วก็ยึดเอาเรือนกายของเรานี่ อยู่อาศัย party กันสนุกสนานไปเลย น่ากลัวจริงๆ ค่ะ ยังไงฝากฝังให้ดูแลร่างกายให้แข็งแรงกันนะคะ การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐค่ะ


 


Photobucket
อุ อิ ไม่มีใครถ่าย ถ่ายตะเองก็ด๊ายยยยยย


เมื่อปลายปีก่อน mama อาจหาญไปถอยกล้อง DSLR (เรียกถูกเปล่าหว่า...) Canon 450D ออกมาไว้ในครอบครองด้วยสนนราคาบาดใจอยู่ค่ะ (เลือดยังไหลซิบๆ อยู่เรยยยย ฮี่ ฮี่) ใช้เหรอคะ?? อู๊ววว ยังมะเป็นเลยค่ะ  ศึกษาเหรอคะ??? อู๊วววว ยังมะเคยเลยค่า.... เคยกะแค่เล่นกล้อง Compact (เรียกถูกเปล่าหว่า... ฮา....) เปลี่ยนปีละหน ไล่เรียงกันมาตั้งกะ Casio... Samsung.... canon... และกำลังว่าจะลอง sony...


Photobucket


แต่ไม่รู้ผีตนใดมาเข้าสิงอยากค่ะ อยาก... อยากจะลองไอ้กล้องที่เค้าว่ามือสมัครเล่นทั้งหลายเค้านิยมใช้กัน... ดูสักตั้ง เพราะใช้ไปใช้มา ก็เพิ่งจะมารู้องค์ว่า ไอ้เรามันก็ชอบถ่ายรูปกะเค้าเหมือนกัลป์




Photobucket
หลับสบายอุรา... ก็อากาศมันเยนนนนนนน


ก็ด้วยความอยากกกกก สนองนิ๊ดดดด ตัวเองเป็นที่เรียบร้อยได้เอาไปลองก๊องๆ แก๊งๆ ไปตามประสามือสมัครเล่นค่ะ ไอ้เรามันประเภท Learning by doing ค่ะ จะให้ไปลงคอร์สเคิร์สอะไรไม่ต้องค่า.... เอาเป็นว่าใจรัก ลองมุมกล้องไป หาศึกษาเอาตาม internet เนี่ยค่ะ ประหยัดดี ฮี่ ฮี่...  papa แอบแนะแหน...นิ๊ดดด ว่าซื้อมาตั้งแพง ใช้หาตังก์ได้ไม๊เนี่ย?!?!  Answer the question :  No.... ka... ฮา..........


Photobucket


Photobucket


Photobucket



Free TextEditor




 

Create Date : 14 มกราคม 2552   
Last Update : 14 มกราคม 2552 13:30:27 น.   
Counter : 535 Pageviews.  
space
space
สยามเมืองยิ้ม????

เมื่อวานนี้ mama มีงานเร่งด่วนๆ ต้องไปทำธุระที่ บริษัท ท่าอากาศยาน จำกัด (มหาชน) ออกจากออฟฟิศบ่ายสองโมง.. รู้สึกผิดปกติที่ถนนเส้นวิภาวดีมีรถหนาแน่น แต่ก็ไม่ถึงกับติดแหงกๆ โฟรไปได้เรื่อยๆ ก่อนเข้าไปทำธุระ ก็ได้แวะข้างทางหาร้านเย็บเล่มรายงาน ตอนแวะเข้าไปในร้าน ต๊กกะใจนิดหน่อย เพราะในร้านมีทีวีหญ่ายยยย มั่กๆ ไม่ใช่ 40 นิ้วน๊า... 100 นิ้วได้...โห.. เปิด ASTV ฟังพันธมิตรกำลังปราศรัยอยู่เชียว  


Photobucket


mama รู้ได้โดยจิตสำนึกทันทีว่า ควรปฏิบัติตนเช่นไร... เจ้าของร้านทำหน้าที่เย็บเล่มเอกสารให้ mama และป้าเจี๊ยบ มือก็ทำงาน ปากก็พูดไป ว่าเนี่ยรู้ไม๊ ว่าซอยวิภาวดี 3 มีการปิดกั้นเส้นทางจราจร โดยใช้ยางรถยนต์ปิดถนนจนเหลือเลนเดียว เพื่อตรวจสอบว่า มีใครใส่เสื้อเหลืองผ่านมาบ้าง... ถ้ามีก็จะมีการทุบทำร้าย และราดน้ำมันเข้าไปในรถ พร้อมไม้ขีดจุดไฟ แม่เจ้า!!!!!!!!!!!!!!!    พูดถึงเรื่องการดูหมิ่นและยุทธการล้มล้าง..........   และก็ว่า ตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่มันได้กลายเป็นเรื่อง..... ฝั่งไหนจะเลือก..... หรือไม่เลือก............ แล้วตบท้าย ให้ mama และป้าเจี๊ยบไปฟังสถานีวิทยุ 92.5 หรือไรเนี่ย... ให้ไปฟังว่ามันมีการจาบจ้วงต่อ...........ของคนไทยเรา... !!!!!!!!

mama กะป้าเจี๊ยบก็ฟังๆ กันไป ยอมรับอย่างนึงว่า มีหลายๆ อย่างที่ mama เองฟังแล้วก็นึกไม่ถึง.. รู้สึกประหลาดใจอย่างมากกกก  ฉงนใจว่าสิ่งที่ได้ยินเข้า 2 รูหูนั่น มันเรื่องจริงเหรอ???  แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริง.... คำถามที่หลุดจากปาก mama ณ ขณะเวลาเก็บข้อมูลอยู่นั้น คือ.... "คนทำใช่คนไทย เหรอคะพี่??"   


Photobucket



หลังจากนั้น ก็ยังมีภาพความขัดแย้งต่างๆ ผ่านตามาให้เห็นตลอดเวลา เพราะในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่การงาน ทุกคนต่างก็กำลังเฝ้าดูข่าว และเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านทางทีวี ในใจก็พลางนึก "นี่มัน เมืองไทยของเราจริงๆ หรือนี่!!!"  มะก่อน มีแต่ดูข่าวต่างประเทศ ตอนเด็กๆ จำได้ว่า ภาพสงครามกลางเมือง หรือการประท้วง ค่อนข้างเป็นสิ่งที่ห่างจากความคิด mama มาก มีแต่เห็นประเทศอื่นๆ เค้าเป็นกัน เช่น อิรัก อิหร่าน เป็นต้น แต่วันนี้ เมืองไทยเป็นอะไรไปแล้วนี่....



Photobucket


mama บอกตรงๆ ว่ารู้สึกเครียดดด อย่างบอกไม่ถูก...  มองไม่เห็นทางออกของปัญหานี้เลย... ภาพการดักทำร้ายกัน ระหว่างกลุ่มบุคคล 2 กลุ่ม ต่างกรูเข้าทำร้ายกัน เหมือนโกรธแค้นกันมานานแสนนาน... ทั้งทุบตี ใช้มีดฟัน ใช้ปืนยิงต่อสู้กัน  หรือแม้แต่ปาระเบิดเข้าใส่กัน....   ที่สำคัญ เขาทั้งหลายต่างเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น... เพียงแต่เป็นคนไทยที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน...

แต่ก่อนแต่ไร คนไทยเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อม... เราเคยได้ฉายา "ยิ้มแห่งสยาม"  "สยามเมืองยิ้ม" วันที่เราเคย ถ้อยทีถ้อยอาศัย ถึงแม้อะไรๆ จะเปลี่ยนไปตามยุคสมัยยังไงก็ตาม.... อย่างน้อยที่สุด เราก็ไม่เคยที่จะทำร้ายกันเองได้ขนาดนี้...  



Photobucket


ปกติแล้ว mama จะไม่ชอบดูหนัง Drama เท่าไหร่นัก... หากเจอหนังเรื่องไหน ที่โอ๊ย... น้ำตาท่วมเจอ หนังสงคราม จะ base on true story หรือไรนี่... mama ทนไม่ได้เลยจริงๆ เพราะในใจคิดอยู่เสมอว่า.. ชีวิตของคนเราทุกวันนี้ ยังเศร้าไม่พออีกรึ?!?!  ถึงต้องมาทำให้ตัวเองเศร้าหดหู่กันสิ่งที่ดูเข้าไปอีก ดังนั้น mama ก็จะเลือกเปลี่ยนช่องหนีไปซะ  หรือถ้า papa กำลังดูอยู่ mama ก็จะเดินหนี ออกไปหาอะไรทำจนกว่าหนังจะจบ...

แต่นี่ มันเป็นชีวิตจริงหน่ะ เราแทบจะได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังอยู่ตลอดเวลา หนีไปไหนไม่ได้ ก่อให้เกิดความเครียดเข้ามาปกคลุมโดยไม่รู้ตัว... บางที อดคิดไปไม่ได้ว่า... ตอนนั้น ที่ papa เคยสมัครไปเป็นคนแคนาดา และเรื่องก็ผ่านแล้วด้วย แต่ papa ต้องมาอยู่เมืองไทยทุกวันนี้ ก็เพราะ mama ไม่ยอมที่จะจากบ้านเมืองไปไหน เพราะไม่มีที่ไหนเหมือนบ้านเรา.....



Photobucket


หรือมันจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์!!!   mama ห่วงอนาคตประเทศไทย อนาคตของลูก... ถ้าประเทศไทย ยังเป็นแบบนี้ ยืดเยื้อไปแบบนี้ ไม่มีใครยอมใครแบบนี้.... บ้านเมืองนี้... จะยังน่าอยู่ต่อไปอีกหรือ???  


Photobucket

Aubrey - Bread


Free TextEditor





 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2551   
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2551 10:43:16 น.   
Counter : 2032 Pageviews.  
space
space
Follow Mom instinct....

หมู่นี้ หม่าม๊ารู้สึกผิดสังเกตุอะไรบางอย่าง...ในตัวปั้น หม่าม๊าเฝ้าสังเกตุ และพยายามถามนำเพื่อเปิดทางให้ข้าวปั้นเล่าเรื่องราวที่ข้าวปั้นไปเจอะเจอ..มาในแต่ละวันระหว่างที่อยู่ที่โรงเรียน  ถามกันมาตั้งแต่วันแรก จนบัด Now ก็ยังไม่ค่อยได้รับคำตอบ หรือผลลัพท์ตามต้องการนัก เพราะข้าวปั้นจะไม่เล่า แต่จะตอบประโยคเป็น "อื้ม" อย่างเดียวเลย... ตั้งแต่ข้าวปั้นเริ่มเข้าเตรียมอนุบาลมา ก็เป็นเวลาเกือบๆ จะ  8 เดือนแล้ว ข้าวปั้นเพิ่งเคยเอ่ยชื่อเพื่อนแค่สองคน คือน้องปังปอนด์ เมื่อนานมาแล้ว และปัจจุบันมีหลุดชื่อ น้องเก่งมาเมื่อประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้หม่าม๊าค่อนข้างจะฉงน.. เพราะก่อนหน้าจะเข้าตอ. ข้าวปั้นเคยอยู่เนอสเซอรี่มาก่อน และสามารถเอ่ยชื่อเพื่อนๆ ได้ทุกคน 18 คน เรียกไม่ผิดเลย...แต่ก็ไม่สะกิดใจพอให้หม่าม๊าตัดสินใจจะทำอะไร... แค่เพียงแต่คิดสงสัยอยู่ในใจเท่านั้น...ว่าลูกเราจะมีปัญหาเกี่ยวกับเพื่อนๆ บ้างหรือเปล่า??




ปกติตอนเช้าๆ เราสองสามีภรรเมีย จะแบ่งภาระหน้าที่กันชัดเจนในเรื่องของลูก คือป่ะป๊ามีหน้าที่อาบน้ำแต่งตัวให้ข้าวปั้น (ส่วนใหญ่หม่าม๊าจะมาช่วยด้วย) และหม่าม๊ามีหน้าที่ทำกับข้าวมื้อเช้าเพื่อห่อให้ข้าวปั้นไปทานที่โรงเรียน เมื่อประมาณเดือนที่แล้ว ป่ะป๊าเคยถามหม่าม๊าว่า เวลาป่ะป๊าไปส่งข้าวปั้นตอนเช้า ป่ะป๊ารู้สึกว่าข้าวปั้นเดินเข้าไปโรงเรียนอย่างเฉยเมย..เหมือนไม่ค่อยร่าเริงมากนัก  เราก็มีการพูดคุยกันไปมาก็สรุปกันได้ว่าคงไม่มีอะไร  อืมมม..ทดอยู่ในใจหม่าม๊าอีกหนึ่งเรื่อง แต่ก็พยายามมองปลอบใจตัวเองไปว่า..จะให้เดินหัวเราะเข้าไปทุกวันคงไม่ใช่..


และแล้ว เหตุการณ์ที่ทำให้หม่าม๊าตัดสินใจว่าต้องทำอะไรสักอย่าง  ก็มาถึง..เมื่อข้าวปั้นมีอาการผิดปกติเรื่องการไปโรงเรียน แรกๆ ถ้าไม่สังเกตุก็จะคิดว่าเป็นแค่การปฏิเสธธรรมดาซึ่งพอพูดคุยกันแล้ว ข้าวปั้นก็ยอมไปแต่โดยดีทุกครั้ง  แต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หม่าม๊าทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อย ก็เดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อไปดูว่าพ่อลูกจัดการกันเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง หม่าม๊าก็ไปเห็นภาพ ป่ะป๊ากำลังนั่งยองๆ คุยกับข้าวปั้นซึ่งเอาตัวไปซุกอยู่ใต้โต๊ะเครื่องแป้งของหม่าม๊า แล้วเอาเก้าอี้มาปิดเพื่อบังตัวเองไว้ หม่าม๊าเข้าไปสอบถามได้ความว่า "ข้าวปั้นไม่ไปโรงเรียน.. ข้าวปั้นจะอยู่บ้าน.." หม่าม๊าต้องใช้วิชามารหลอกล่อพอสมควร ข้าวปั้นจึงยอมออกมาจากใต้โต๊ะเครื่องแป้ง..อืมมมม ทดอยู่ในใจแบบปริ่มๆ จะเต็มแล้วค่ะ


 



 


วันรุ่งขึ้น..ข้าวปั้นตื่นลืมตาขึ้นมาปุ๊บ..ประโยคแรกของวันที่ข้าวปั้นพูดขึ้นมาก็คือ "ข้าวปั้นไม่ไปโรงเรียน ข้าวปั้นจะอยู่กับยาย" และจากที่เคยเรียกอาบน้ำแปรงฟันง่ายๆ ก็กลายเป็นยากเย็นไปซะทุกขั้นตอน  โอเคค่ะ หม่าม๊าอยู่นิ่งเฉยไม่ได้อีกต่อไป.. หม่าม๊าบอกป่ะป๊าว่า วันนี้ หม่าม๊าจะไปส่งข้าวปั้นเอง เพื่อทำการสืบหาเหตุที่ข้าวปั้นไม่อยากไปโรงเรียน  หม่าม๊าไปส่งข้าวปั้นตอนเจ็ดโมงกว่าๆ เข้าไปในห้องเรียนซึ่งมีโต๊ะที่เด็กๆ 2-3 คนกำลังนั่งทานข้าวกันอยู่ ข้าวปั้นตามติดหม่าม๊าไม่ยอมห่างหม่าม๊าจึงพาข้าวปั้นไปนั่งลง และเริ่มทำการป้อนข้าวไป นั่งรอไป ไม่นานคุณครูบรีท (ครูประจำชั้นก็ปรากฎกายขึ้น)มีการกล่าวทักทายกันเล็กน้อยพอเป็นพิธี และหม่าม๊าก็เริ่มๆ เกริ่นๆ และเข้าเรื่องในที่สุด.. คุณครูบรีทเหมือนจะ Get ทันทีว่าสองวันที่ผ่านมามีอะไรผิดปกติกับข้าวปั้น คุณครูให้คำอธิบายว่า ในห้องจะมีเพื่อนของข้าวปั้นคนนึงชื่อ "น้องเก่ง" ซึ่งจะชอบใช้กำลังกับเพื่อนๆ ในห้อง และเมื่อสองวันที่ผ่านมาข้าวปั้นเป็นเป้าหมายของน้องเก่ง และเนื่องจากในห้องมีเด็กหลายคน ทำให้คุณครูกันให้ไม่ทันค่ะ..คุณครูพูดเป็นนัยๆ ว่า โดนหนัก... อืม..หม่าม๊าไม่ได้ให้คุณครูบรรยาย เพราะไม่อยากลงลึกให้เกิดอารมณ์โกรธ.. หม่าม๊าพยายามสอบถามถึงสาเหตุของความเกเร และใช้กำลังของน้องเก่ง ว่าคุณแม่ของน้องเก่งได้รับทราบถึงปัญหาเกี่ยวกับลูกบ้างหรือเปล่า ? คุณครูก็พยายามออกตัวก่อนจะพูดถึงน้องเก่งพอสมควรว่า.. คุณแม่น้องเก่งก็รับทราบค่ะ และก็กำลังพยายามช่วยกันปรับพฤติกรรมกับคุณครูอยู่


คุณครูบรีทเล่าต่อว่า ก่อนหน้านี้ ประมาณเทอมที่แล้ว น้องเก่งไม่ได้เป็นเด็กเกเรใช้กำลังเหมือนตอนนี้  แต่เนื่องจากน้องเก่งประสบปัญหาทางบ้าน คือพ่อและแม่แยกทางกันเมื่อปลายเทอมที่แล้ว และก่อนจะแยกทางกันก็เข้าใจว่าได้มีการทะเลาะเบาะแว้งกันให้ลูกเห็นเป็นระยะๆ..หลังจากนั้นไม่นาน พฤติกรรมของน้องเก่งก็เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ และพยายามเรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้างด้วยวิธีต่างๆ และคุณครูเข้าใจว่า บางครั้ง คุณครูก็เข้ามาดูแลพูดคุยกับข้าวปั้นบ่อยๆ  ทำให้น้องเก่งเกิดความอิจฉาจึงพุ่งเป้าไปใช้กำลังกับข้าวปั้น อืมมมมม....  


หม่าม๊าฟังเรื่องราวแล้วก็ตัดสินใจรอเจอตัวเป็นๆ ของน้องเก่งเพื่อทำการพูดคุยกัน  ประมาณ 8 โมง น้องเก่งก็เดินทางมาถึงโรงเรียน..เดินเข้าห้องและตรงมาที่โต๊ะทานข้าว และเริ่มทานไป..มองหน้าหม่าม๊าไป หม่าม๊ามองแวบแรกกก รู้สึกว่าเด็กคนนี้ หน้าตาน่ารักดี..แถมตุ้ยนุ้ยซะด้วย..ตามมาด้วย มือคงจะหนักหน้าดู หุ หุ


 



 


บทสนทนาบางส่วนระหว่างแม่ข้าวปั้น อายุ 35 ปี  และน้องเก่ง อายุยังไม่ถึง 3 ขวบ


หม่าม๊า : น้องอะไรคะนี่ ใช่ชื่อน้องเก่งหรือเปล่าคับ??
น้องเก่ง : พยักหน้าพร้อมยิ้มให้...น้องเก่งงงง
หม่าม๊า : หม่าม๊าเป็นแม่ของน้องข้าวปั้นนะคับ.. (ข้าวปั้นมานั่งฟังอยู่ตรงกลาง..ไม่รู้โหน่เหน่อะไร)
น้องเก่ง : พยักหน้า...
หม่าม๊า : น้องเก่งรู้ไม๊คับ.. วันนี้ น้องข้าวปั้นร้องให้ไม่ยอมมาโรงเรียน..พอถามว่าทำไมไม่อยากมาโรงเรียน ข้าวปั้นบอกว่ากลัวน้องเก่งตี
น้องเก่ง : จริงเหรอ??
หม่าม๊า : น้องเก่งตีข้าวปั้นเหรอคับ??
น้องเก่ง : พยักหน้า ช่ายยยยตี.. (แหน่ะ ยอมรับซะด้วย)
หม่าม๊า : อืมมม.. น้องเก่งไม่ตีข้าวปั้นได้ไม๊ครับ เพราะการตีคนอื่นเนี่ย มันไม่ดีรู้ไม๊??
น้องเก่ง : ส่ายหน้า ไม่ด๊ายยยยย
หม่าม๊า : ไม่ได้เหรอ... อืมมม น้องเก่งรู้ไม๊คับ การไม่ตีเพื่อนๆ เนี่ย ก็คือเป็นเด็กดี แล้วรู้ไม๊การเป็นเด็กดีเนี่ย..มันมีผลตอบแทนนะ เหมือนข้าวปั้น ถ้าข้าวปั้นเป็นเด็กดีนะ แม่ข้าวปั้นก็จะพาข้าวปั้นไปเที่ยวสวนสัตว์  แปลว่าถ้าน้องเก่งเป็นเด็กดี คุณพ่อคุณแม่ก็จะกลับมาพาน้องเก่งไปเที่ยวสวนสัตว์ไงคับ..
น้องเก่ง : สวนสัตว์มีช้างงงงง ด้วยน๊า....
หม่าม๊า  : ช่ายยยยยย
น้องเก่ง : ชี้ไปที่ตุ๊กตาเสือในมือข้าวปั้น เก่งจะเอา
หม่าม๊า  : อันนี้ เป็นของข้าวปั้นนะ เด๋วลองถามข้าวปั้นดูนะ ข้าวปั้นแบ่งให้น้องเก่งเล่นได้ไม๊ลูกกกก
ข้าวปั้น   : ไม่ให้หรอก... (ซึ่งปกติข้าวปั้นจะเป็นเด็กมีน้ำใจแบ่งให้คนอื่นเล่นตลอด)
หม่าม๊า   : น้องเก่งไม่เอาก็ได้เนอะ..ใช่ป่ะเนอะ..
น้องเก่ง  : ช่ายยยยย ที่บ้านน้องเก่งก็มีตุ๊กตาไดโนเสาร์...
หม่าม๊า   : เอาอย่างนี้นะคับ.. ถ้าน้องเก่งอยากได้เสือ แม่ข้าวปั้นจะซื้อให้ แต่น้องเก่งสัญญาได้ไม๊คับ ว่าน้องเก่งจะไม่รังแกเพื่อนๆ อีก
น้องเก่ง  : พยักหน้ารับปาก
หม่าม๊า   : งั้นให้ครูบรีทเป็นพยายานนะคับ..ว่าน้องเก่งจะไม่ตีข้าวปั้นแล้ว แล้วพรุ่งนี้ เสือจะมา...


แล้วหม่าม๊าก็ผละจากมา พร้อมเสียงร้องงอแงของข้าวปั้น... ที่ไม่อยากให้หม่าม๊ากลับ.. หม่าม๊าก็ต้องตัดใจ.. เพราะถ้ารีๆ รอๆ ก็จะทำให้ข้าวปั้นยิ่งร้องนานขึ้นการติดตามผลก็คงต้องดูจากพฤติกรรมของข้าวปั้นที่โชว์ออกมาเป็นระยะๆ แต่ที่แน่ๆ หม่าม๊าไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับน้องเก่งแน่นอน...


 



 


ตอนกลับบ้านมาเล่าให้ยายฟัง.. ยายบอกว่าไม่น่าเชื่อว่าการที่พ่อแม่เลิกกัน จะทำให้เด็กที่อายุยังไม่ถึงสามขวบดีมีผลกระทบขนาดนี้ แต่เหตุการณ์นี้ ยายตำหนิครูซะเป็นส่วนใหญ่ว่าทำไมไม่ระวัง...


สำหรับป่ะป๊า แรกๆ จะให้เปลี่ยนห้องกันเลยทีเดียว.. แต่สำหรับหม่าม๊าคิดว่าการหนีไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีนัก ข้าวปั้นยังต้องเจออะไรอีกเยอะ หม่าม๊าอยากให้ข้าวปั้นเผชิญหน้ากับมันไปพร้อมๆ กันกับหม่าม๊าและเราจะต้องผ่านมันไปให้ได้...หม่าม๊าเชื่อว่าเด็กรับรู้เหตุผลได้มากกว่าที่เราคิด...


แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าอายุข้าวปั้นครบตามเกณฑ์ที่สามารถจะเรียนศิลปะการต่อสู้ได้แล้วหล่ะก็ หม่าม๊าจะไม่รีรอที่จะพาข้าวปั้นไปเรียนเลย เพราะหม่าม๊าอยากให้ข้าวปั้นได้ฝึกความแข็งแกร่งทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ มีวิชาติดตัวไว้ป้องกันตัวเองบ้าง... ถึงแม้จะมีเสียงป่ะป๊าก้องอยู่ในหูว่า..เด็กไม่สู้คนก็ดีอยู่แล้ว เพราะถ้าสู้คนโตขึ้นก็จะไปเหมือนเด็กเทคนิคที่มีข่าวยกพวกตีกันไม่เว้นแต่ละวัน...






Free TextEditor




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2551   
Last Update : 2 กรกฎาคม 2551 13:51:30 น.   
Counter : 487 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  

ซึซึเระ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




แม่ลูกหนึ่งค่ะ....

space
space
[Add ซึซึเระ's blog to your web]
space
space
space
space
space