เขาใหญ่ ทริป
ทริปเขาใหญ่ไปมาเมื่ออาทิตย์กลางเดือน พ.ย.เพราะอยากไปสัมผัสอากาศหนาว ตอนแรกตั้งใจจะไปช่วงวันพ่อ แต่โทรไปรีสอร์ทที่ไหนก็เต็ม เพิ่งระลึกได้ว่ามีเทศกาลบอลลูน กับคอนเสริ์ตเลิฟ...อะไรสักอย่าง คนคงเพียบแน่เลย เลยคิดได้ว่าเอาเต้นท์ไปนอนอาทิตย์ใกล้ๆ นี่ดีกว่า ไม่ต้องจองด้วย ถ้าแน่นมากก็หนีไปนอนวังน้ำเขียวแทนเลยบอกกับที่แม่ว่า แม่ไปนอนเต้นท์ไหวไหม (แม่เราอายุ 71 แล้วอ่ะ) กลัวท่านนอนไม่ได้ แต่ก็ลองไปกันดู (แต่เราไปนอนมา 2 ครั้งแล้วชิน) มีเวลาเตรียมของใช้ ของกินอาทิตย์นั้่นแหละ แต่ก็มีอุปกรณ์ทุกอย่างอยู่แล้ว พร้อม....ขาไป...ลองวิ่งไปทางด่่านปราจีนฯ ใกล้บ้านมากกว่าไ้ด้บอกน้องชายให้ขับรถช้าๆ ด้วย เพราะเราดูรีวิวให้ บีพีบ่อยมาก ที่พวกขาดจิตสำนึกขับรถเร็วชนสัตว์ป่า ต้องกำชับให้น้องขับรถช้าๆ เปิดกระจก กินลมไปเรื่อยๆค่าธรรมเนียมเข้า อุทยานฯ คนละ 40 รถ 50 แต่แม่ฟรี บัตรผู้สูงอายุเข้าฟรีจ้า...ไปถึงก็รีบเร่งไปกางเต้นท์จองที่ "ผากล้วยไม้" ที่เดิมก่อนเลย ยังไม่เคยนอนที่ลำตะคองเลยอ่ะ รูปด้านล่างสีส้มน้ำเงินนั่นเต้นท์เราเอง เน่ามาก หลังจากกางเต้นท์เสร็จก็เริ่มขับรถเที่ยวละ ไปที่แรกก่อน "จุดชมวิวเขาเขียว - ผาตรอมใจ" เลยไปนิดก็เป็นศูนย์เรดาห์ของทหาร (เข้าไม่ให้ถ่ายรูปด้วย)ไปเส้นนี้ถนนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ต้องขับรถระวังหน่อย เพราะทางขึ้นเป็นหลุมบ่อ ต้องคอยขับหลบ คงเพราะเพิ่งผ่านหน้าฝนมา น้ำคงกัดเซาะถนน แต่เค้าก็เริ่มซ่อมทางบ้างแล้วนะคะแล้วลงมาไม่ไกลกัน "ผาเดียวดาย" นั่งถ่ายรูปแบบเสียวๆลงมาก็ขับรถย้อนไปทางด่านปราจีนฯ เพื่อไปกินข้าวกลางวัน ที่ "น้ำตกเหวนรก"เิดินเข้าไป 1 กิโล แล้วต้องลงบันไดไปอีก 200 ขั้น ต้องห้ามแม่ลงมาเลย เพราะบันไดชันมาก จำได้ว่าเคยมาเมื่อปี 42 สะพานยังเป็นไม้อยู่เลย เดินกลับขึ้นมาแทบยกขาไม่ขึ้น แต่น้ำตกก็อลังการมาก คุ้มค่าแห่งการมาชมตอนเย็นก่อนกลับเต้นท์ แวะไปอ่างเก็บน้ำ ไปจุดชมวิวนิดหน่อย แต่กลับมาไม่มีที่จอดรถเลยอ่ะ ต้องไปจอดบนไหล่ทาง ก็เข้าใจ...มาเที่ยวหน้าหนาวคนก็เยอะเป็นเรื่องปกติแต่ตอนกลับมาที่เต้นท์เราถูกแวดล้อมไปด้วยเต้นท์ของนักท่องเที่ยวที่มากันกลุ่มใหญ่ กางเต้นท์ดักหน้าดักหลังเต้นท์เราไปหมด เฮ้อ...แถมกลางคืนห้าทุ่ม เจ้าหน้าที่เค้าปิดไฟก็ยังไม่นอน นั่งคุยกันเสียงดัง จริงๆ เค้าไม่ได้เสียงดัง แต่เพราะเค้ากางเต้นท์ติดเต้นท์เรามากๆ หลายๆ เต้นท์ ก็เลยเหมือนเสียงดัง แถมตื่นตั้งแต่ตี 3 คุียกันต่ออีก แต่ที่เรากังวลกลัวแม่จะเหนื่อย และหลับไม่ได้ แต่ที่ไหนได้ แม่กลับไปตั้งแต่ 1 ทุ่มแถมหลับสนิทอีก มีแต่เราที่นอนไม่ได้เพราะรำคาญเสียงคุยเช้ามาก็แวะไป "น้ำตกเหวสุวัต" แต่ไม่ได้เดินลงไปถึงลำธารด้างล่าง ยังเมื่อยขาจากการเดินลงไปน้ำตกเหวนรกอยู่เลย เลยพร้อมใจกันไม่เดินแล้วแล้วก็แวะไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยว สแตมป์ตรา อช. และส่งโปสการด์ให้เพื่อนๆ ภายในอาคารก็มีจัดแสดงสัตว์สตาฟต่างๆ และด้านหลังมีทางเดินศึกษาธรรมชาติ (ปูตัวหนอน เดินง่ายค่ะ) ตอนแรกจะเดินไปน้ำตกกองแก้วแต่ทางเดินศึกษาธรรมชาติมันขาด ต้องปีนเข้าไปถ้าจะไปต่อก็เลยไปไม่ไหวขากลับเราให้น้องแวะลงทางด่านปากช่อง เพราะจะแวะมาถ่ายรูปที่ร้านกาแฟ "Primo Posto"คนเยอะมาก ร้านกาแฟคนเพียบ ก็เลยไปกินไอติมแทน แวะกินสเต็กร้าน "แดรี่ โฮม"ได้กินไอติม "กล้วยหอมชีส" ด้วยแต่ลืมถ่ายอ่ะ อร่อยเหมือนเดิม แถมราคาไม่แพง สเต็กเนื้อนกกระจอกเทศ 210- สเต็กริบอาย 250-ทุ่งดอกบัวตอง ที่มวกเหล็ก (ค่ายลูกเสือ...อะไรหว่าเราจำไม่ได้)แล้วก็กลับบ้าน *****************
วันพักผ่อนที่ "แก่งกระจาน"
มาปล่อยภาพของดองค่ะ ไปมาตั้งแต่สงกรานต์แน่ะ ไม่มีเวลาและอารมณ์อัพเลย 55++แก่งกระจาน เคยมาเที่ยวเมื่อปีก่อนแต่คราวนั้นไม่ได้ค้างคืน แล้วก็ดันลืมเอากล้องไปด้วย เลยไม่เคยได้ถ่ายรูปที่นี่เลย คราวนี้ที่้บ้านหาทริปเที่ยวช่วงสงกรานต์ ก็เลยมาลงเอยที่นี่อีกครั้ง ออกจากบ้านแต่เช้า รถยังไม่ค่อยติดเท่าไหร่ แวะไปหาอะไรกินในตัวเมืองเพชรก่อน แวะหลงอยู่ในเมืองนานเหมือนกัน ถือว่าได้เที่ยวเมืองเพชรซะพรุนเลยละกัน แวะวนหาร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยหน้าวัด ไม่ยักเจอ ก็เลยไปกิน ผัดไทท่ายาง สาขา 2 ซะเลย อร่อยอ่ะ แล้วก็วนๆ มาหา ลอดช่อง อีกรอบ หาไม่เจออีกละ...ถอดใจเลยแวะไปเที่ยว น้ำพุร้อนหนองหญ้าปล้อง ขับรถเข้าไปไกลเหมือนกันเค้าทำเป็นห้องอาบน้ำ มีอ่างให้อาบ แยกห้องชาย-หญิง คนละ 30 บาทสำหรับเราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ชอบที่แจ้ซ้อนมากกว่า เป็นห้องๆ น่ารักมากเลย แต่ก็ช่วยๆ คนท้องถิ่นที่นั่นทำมาหากินหน่อย เค้าอุตส่าห์ตั้งใจทำห้องน้ำให้แช่กันสบายๆแล้วก็ขับไปทางลัดไปแก่งกระจาน ถนนบางช่วงยังไม่ลาดยางเลยอ่ะ ถ้ามากระบะก็กินฝุ่นกันไปเล็กน้อยเข้าที่พักของเรา "บ้านโอบฟ้ารีสอร์ท" รูปรวมๆ แล้วกันนะคะ รูปบรรยากาศภายในรีสอร์ท จะไปโพสต์ในบล๊อกที่พักหลักร้อยอีกที ราคาเราจำไม่ได้แล้ว แต่ว่าไม่แพงสำหรับ 4 คนที่พักเงียบสงบ ลงเล่นน้ำหน้าบ้านพักได้ มีเรือพายล่องแก่งของหลายๆ เจ้าล่องมาเป็นระยะน่าสนุก แต่น้องชายเราว่าไกลไปหน่อย เพราะไม่ได้อยู่ต้นน้ำ ในอช. แต่สำหรับเราถือว่าราคาไม่แพง และเงียบสงบ เล่นน้ำได้ ก็โอเคแล้ว ห้องพักก็ถือว่าใช้ได้ มีเตียง 2 เตียง นอนได้ 4 คน มีทีวี ที่อาบน้ำอุ่นถ่ายจากหน้าบ้านพัก อยู่ติดน้ำด้วยหลังจากเข้าห้องพัก อาบน้ำ จริงๆ อากาศนอกบ้านร้อนมากๆ ก็เลยหลับไปคนละตื่น ตื่นขึ้นมาเกือบเย็นแล้ว เลยขับรถไปเที่ยวชมวิวสันเขื่อนกันแล้วก็แวะไปหาของกินอร่อยๆ ที่เคยเสริ์ชเจอบล๊อกของคุณมาเรีย ณ ไกลบ้าน บอกว่าที่ "ครัวอุทยาน" ภายใน อช. อาหารอร่อยมาก และไม่แพงด้วย เลยแวะไปอุดหนุนซะหน่อยได้แวะที่ทำการอช.นิดหน่อย เพื่อซื้อโปสการ์ดกลับไปเขียนส่งให้เพื่อนๆ ในคลับฯ ตามธรรมเีนียมไปที่ไหน ซื้อที่นั่น 55++ จะได้รู้ว่้าเรามาแล้ว โปสการ์ดสวยๆ ทั้งนั้น แล้วก็ประทับตรา อช.หลังโปสการ์ดด้วย อาหารอร่อยมากๆ บรรยากาศก็ดีอยู่ริมเขื่อน ด้านล่างยังมีคนมากางเต้นท์อีกเพียบเลย จริงๆ ถ้ามากับเพื่อนคงแบกเต้นท์มานอนเองมั่ง แต่ติดที่คราวนี้มากับแม่ ท่านคงนอนเต้นท์ไม่ไหวแน่ๆแล้วก็ขับรถเล่นไปเรื่อย แวะชมสะพานแขวน แต่ปิดซ่อมแซมไม่ให้เดินข้าม เนื่องจากไม่มันผุ เสียดายมากเลย เราชอบสะพานแขวนที่นี่มาก บรรยากาศดี แล้วก็แวะไปปล่อยน้องชายกับแฟนน้องลงเล่นน้ำ (ใส่ชูชีพที่ยืมมาจากบ้านพักที่ให้บริการฟรีแ่ก่แขกที่อยากลงเล่นน้ำ) ลอยไปขึ้นที่หน้าบ้านพักนู่นแน่ะ เกือบ 8 กิโล เล่นเอาเบื่อน้ำกันไปเลย 55++ เห็นบอกบางช่วงก็น่ากลัว น้ำนิ่งๆ ไม่ไหวติง ต้องใช้ขาตีให้ลอยตัว แอบกลัวจระเข้ด้วย เพราะน้ำมันนิ่งมากแล้วก็ถ่ายรูปบรรยากาศหน้าบ้านอีกเล็กน้อย ขากลับเช้าอีกวันก็แวะไปกิน ผัดไทท่ายาง ที่ท่ายาง ไม่เคยไปเลย ขับไปก็ถามทางเขาไปตลอด อร่อยสุดๆ ราคาก็ถูกมากแล้วก็ขับไปทำบุญวันสงกรานต์ ที่อัมพวากันแวะ "วัดบางกุ้ง" ก่อน น้องชายเรายังไม่เคยมาก็ขับไป ถวายสังฆทาน วัดใกล้ๆ กันแถวนั้น (เลือกวัดเงียบๆ สงบไม่ใช่พุทธพานิชมากเกินไป) แต่เราจำชื่อวัดไม่ได้ กุฎิหลวงพ่อเจ้าอาวาสเป็นเรือนไม้โบราณ (ท่าจะเก่ามากเลย) ลมเย็นดีมาก มีขุดคลองจากแม่น้ำไว้ริมกุฎิด้วย แม้แต่โบสถ์ก็โบราณด้วยแล้วก็ขับวนออกไปอีกทาง แวะไป "โบสถ์คริสต์ วิหารพระแม่บังเกิด" เรายังไม่เคยมาเหมือนกัน แต่ไม่ได้ไปเข้าข้างใน อดชมความสวยงามเลย ไว้ไปแก้ตัวใหม่เน้อแล้วก็จบทริปนี้ที่ "ตลาดน้ำอัมพวา" ไม่ได้ถ่ายอะไรมาก เนื่องจากไปตอนบ่ายโมง ร้อนมาก คนยังไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่เรามาหลายทีแล้วก็เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาก แต่ซื้อของกินกลับบ้านมาอีกเพียบ เพราะวันหยุดยาวอืม...เพิ่งลองใช้โปรแกรม photoscape แล้วรูปที่ถ่ายมารวมๆ กันเหลือแค่ 10 รูปเอง โพสต์รวดเร็วดีมากเลย คนดูก็ไม่เบื่อรูปเยอะเกินไปด้วย เวิร์คมากๆ ใช้ก็ง่าย 55++ไว้ว่างๆ จะมาอัพอีกหลายทริปเลย
เที่ยวเรื่อยๆ หัวหิน-ประจวบฯ จุดหมายที่ครัวชมวาฬ
วันหยุดยาว คนคงออกนอกเมืองกันหมด อัพบล็อก...ลงทริปที่ดองไว้ดีกว่า มีตั้ง 4 ทริปแน่ะ ที่ยังไม่ได้ลงตั้งแต่ทริปเดือนธ.ค. ยันมี.ค.เลยเนี่ยขอลงทริปล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมก่อน ขับรถแวะเที่ยวจากหัวหิน ไปจนถึงประจวบฯ โดยมีจุดหมายที่ "ครัวชมวาฬ"จากการนัดแนะกับเพื่อนๆ ตั้งแต่เดือนกุมภาฯ หน้าร้อนอย่างนี้ไปไหนดี จัดทริปสถานที่ใน wish list เราดีกว่า ครัวชมวาฬระหว่างทางเพื่อนอยากไปไหว้พระที่ "ถ้ำเขาย้อย"ภายในซอกหลืบของถ้ำ ก็จะยังองค์พระและเจ้าแม่กวนอิมให้กราบไหว้อยู่พระพุทธไสยาสน์สมัยเรียนม.5 เคยมาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นต้องปีนขึ้นบันได เดินลึกเข้าไปในถ้ำเพื่อมาให้ถึงองค์พระพุทธไสยาสน์นี้่ แต่ 2 ครั้งหลังที่ไปเค้าเจาะปากถ้ำเดินขึ้นไปไม่กี่ก้าวก็ถึงองค์พระฯ เลย ทางเดินที่เคยปีนขึ้นไปเมื่อก่อนก็ถูกทิ้งไว้ให้หญ้ารกร้่างต่อมาก็ตั้งใจว่าจะไป "พระราชวังมฤคทายวัน" แต่เราขับรถเร็วจนเลยอีกแล้ว จุดหมายต่อไปก็เลยไปหาอะไรกินกัน แต่ไม่ได้เลือกกินมาก เพราะจุดหมายเราวันนี้คือจะตั้งใจไปกินกาแฟและเค้กกัน ก็เลยแวะกินที่ร้านค้าหน้า Golden Place หัวหิน เลยแวะถ่ายรูปซะหน่อยแล้วก็เลยไป ร้านกาแฟข้างบ้าน ร้านกาแฟน่ารักๆ ในหัวหินมาถึงก็สั่งเลย "บานอฟฟี่" แต่อร่อยสู้ที่ปายไ้ม่ได้อ่ะวาฟเฟิลช็อคโกแลต (จริงๆ สั่งผิด อยากสั่งไอศครีมวาฟเฟิลราดช๊อคโกแลตมากกว่า) มาร้านกาแฟ แล้วจะไม่มีกาแฟได้อย่างไรมาชมบรรยากาศในร้านบ้างดีกว่าเคาท์เตอร์มีของที่ระลึกขายด้วยแล้วเราก็ตีตั๋วยาวไปกุยบุรี แต่ไม่อยากเข้าบ้านพักเรานัก เพื่อนเลยอยากไปเที่ยวหว้ากอ ซึ่งเราคิดว่าไม่ไกลนักจากที่พักเพราะเราเคยไปแล้วอุทยานวิทยาศาสตร์ หว้ากอ แต่ที่แรกที่เราไปคือ อาคารจัดแสดงเกี่ยวกับดวงดาว เรียกอะไรหว่าจำไม่ได้เราชอบมากเลย จัดแสดงได้ดีมาก มีจุดที่น่าสนใจมากมายหนอนอวกาศ เข้าไปยืนแล้วไปจะเปิดขึ้นอัตโนมัติเราจะไม่ลงรูปมากนะคะ เพราะจะลงอีกทีที่่ทริปประจวบฯ ที่เราไปมาเมื่อเดือน ธ.ค.แล้วก็ขับรถไป พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมุมยอดฮิตปลาสิงโตปลาไหลมอเรย์ น่ากลัวมากเลยอุโมงค์ปลาแล้วขา่กลับก็ขับรถพาเพื่อนเข้าทางด้านหลัง ผ่านบ้านคลองวาฬ อ่าวมะนาว อ่าวประจวบฯเพื่อนแวะลงไปถ่ายรูปอ่าวประจวบฯขับรถกลับที่พัก ครัวชมวาฬ ที่บ้านบ่อนอก กุยบุรี บ้านพักของเราวันนี้ บ้านกะรังตาเขียว ถึงแม้ไม่ได้ติดหาด แต่ก็อยู่ไม่ไกลกับทะเล (รีวิวอื่นๆ ของรีสอร์ทเราอัพไว้ในที่พักหลักร้อยแล้วนะ ตามไปดูกันได้)เดินเล่นชมทะเลยามเย็นกับเพื่อนๆพักผ่อนกินอาหารเย็น (อร่อย แต่ปริมาณอาหารเยอะมากๆ กินไม่หมด)นอนหลับตื่นเช้ามานั่งๆ นอนๆ จนคนเช็คเอาท์ออกหมด รีสอร์ทเป็นของเราหลังจากนั้นก็เก็บข้าวของออกจากรีสอร์ท ไปไหว้พระกันต่อหลวงพ่อทวด วัดห้วยมงคลอากาศร้อนจัดเราไม่ถ่ายรูปเลย (เอารูปมาจากทริปเก่าๆ ที่เคยไปอ่ะ)แล้วก็ขัีบรถมุ่งตรงเข้าหัวหิน ไป พระราชวังมฤคทายวัน ที่เราพลาดไปเมื่อวานนี้ปิดทริปด้วยรูปนี้นะคะ กลับออกมาพระราชวังปิดพอดี รถติดอีกตามเคย*******************
วันเรื่อยเปื่อยที่....สวนผึ้ง
ตั้งชื่อ วันเรื่อยเปื่อย....ก็มันเป็นวันเรื่อยเปื่อยจริงๆจริงๆ ทริปนี้เกิดขึ้นได้เพราะเซ็ง โดนเลื่อนวันไปเที่ยวบ้านวัดจันทร์กับอ่างขางไปเดือนมกราคม ก็เลยโทรไปทำน้ำเสียงเศร้าใส่เพื่อน เพื่อนก็ต้องลางานมากับเรา และดันไปตรงกับวันที่มีทริปบอลลูนพอดี เลยเป็นทริปหนีคนได้ดีนักโปรแกรมก็เซ็ทไว้นานแล้ว จน 2 อาิทิตย์ก่อนไปงานยุ่งมากไม่มีเวลาเตรียมตัวเลย ดีที่ได้พริ๊นท์ข้อมูลร้านอาหารแนะนำที่รวบรวมจากในห้อง BP ไว้แล้ว จึงเก็บติดรถไปด้วยแบบไม่ค่อยพร้อม มันจึงกลายเป็นทริปเรื่อยเปื่อยนี่ล่ะโปรแกรมที่ตั้งใจไปว่าจะแวะ บ้านพิพิธภัณฑ์ที่สาย 2 แต่ไปถึง 9 โมงเช้า พิพิธิภัณฑ์ยังไม่เปิด แป่ว...อดเยย ส่วนที่ที่ 2 ว่าจะแวะซื้อโยเกิร์ตกับนมสดที่สหกรณ์ฯ หนองโพ แต่ข้าพเจ้าขับรถเร็ว เลยไปซะ...อดกินตามระเบียบแล้วก็วันกลับว่าจะแวะ พระราชวังสนามจันทร์แต่มาไม่ทันสี่โมงเย็น พระราชวังปิดแล้ว อดตามระเบียบ ส่วนโปรแกรมที่เหลือในสวนผึ้งก็เรื่อยเปื่อยวันแรก เริ่มต้นกันที่ "ภโวทัย" เราขับเร็ว เลยทางเข้าอีกแล้ว ต้องวนกลับมาใหม่ "หลงจังทัวร์" ยังเป็นอยู่ตลอด บรรยากาศร่มรื่น ปลูกต้นไม้เยอะแยะ แต่ละต้นก็จะเขียนชื่อบรรยายไว้ ต้นไม้แปลกๆ ก็เยอะพิพิธภัณฑ์ของเก่าที่เจ้าของสะสมไว้มากมาย แต่เสียดายเค้าไม่ให้ถ่ายรูปข้างใน ก็ต้องทำตามระเบียบเค้า ถ่ายได้แต่ป้ายด้านนอกบรรยากาศอันร่มรื่นออกจากภโวทัย ตั้งใจจะำไปแก่งส้มแมว เพราะเป็นเส้นทางเดียวกัน แต่ต้องขับรถเข้าไปอีกประมาณ 12 กม. ดูแล้วไม่น่าจะไกล แต่อ่ะนะเส้นทางใช้ได้เลย ไกลมากๆ แถมก่อนถึงดันไปเจอไปป้าย จุดชมวิวชายแดนไทย-พม่า 8 กม. เลยหลวมตัวขับรถเข้าไป โดยไม่คิดว่า 8 กิโล มันคือ 8 กิโลแม้วอ่ะ แถมเส้นทางเป็นถนนลูกรัง ขึ้นเขาอย่างเดียว ไม่เหมาะกับรถเก๋งอย่างเราเลย ต้องออฟโรดเท่านั้น แต่ด้วยความบ้าบิ่น ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็ขับไปเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงถ้าไม่เห็นว่าทางข้างหน้าเป็นเช่นไร และอีกยาวไกลแค่ไหน เราคงไปต่อแล้วและทางที่ผ่านมาเป็นเช่นนี้ได้จุดชมวิวมาแบบนี้ แต่ยังไม่ถึงจุดชมวิวตามป้า่ยบอกนะคะ แต่ไม่ไหวแล้ว เราขับรถขึ้นมาคันเดียวมาอยู่บนนี้ได้ยังไงเนี่ย ตอนลงจับไมล์ได้ ประมาณ 7 กิโล และขับรถออกไปถนนใหญ่อีกสิบกว่าโล เหนื่อยมากเลย และเริ่มหิวแล้วด้วยดีนะที่ก่อนเข้าไปภโวทัยเหลือบไปเห็นป้ายทางไป "ครัวกะเหรี่ยง" ก่อนแล้วร้านนี้ก็เป็นร้านในลิสต์ที่ตั้งใจมากิน เกือบพลาดอีกแล้วเราเมนูเด็ด "เมี่ยงเสวย" เสริ์ฟพร้อมคะน้าสดๆ"ต้มยำไก่บ้าน" อาจมองไม่เห็นไก่จนนึกว่าให้น้อยนะคะ แต่มันเยอะมากตกอยู่ก้นชาม เพราะมาทั้งเนื้อไก่และเครื่องใน"เต้าหู้ทรงเครื่อง" แล้วก็สั่ง "ไก่รวนเค็ม" ไปกินเป็นมื้อเย็น เนื่องจากที่บ้านพักไม่มีร้านอาหาร แล้วด้วยความเหนื่อยเราก็สั่งโค๊กพร้อมน้ำแข็ง รวมค่าเสียหายทั้งหมดอาหาร 4 อย่าง พร้อมน้ำื่ดื่ม 375 บาทเท่านั้น ถูกมากๆหลังจากกินอาหารเสร็จ ตอนแรกตั้งใจจะพาเพื่อนไปแช่น้ำพุร้อนที่ธารน้ำร้อนบ่อคลึงและแวะน้ำตกเก้าชั้น แต่เหนื่อยจากการขับรถ ขอเข้าที่พักก่อนค่อยออกมาเที่ยวตอนบ่ายแก่ๆที่พักเรา "ตะโกล่าง ฮิลล์ รีสอร์ท" อยู่ที่บ้านตะโกล่าง ขับเลยสวนผึ้งไปหน่อยเข้าที่พักก็เลยหลับพักเอาแรงกัน แต่ตื่นมาเย็นแล้ว ไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนก็เลยเดินถ่ายรูปเล่นในรีสอร์ทหน้าตา้บ้านพักเรา หลังเล็กหลังละ 600 บาท นอนได้ 3-4 คนแน่ะ แต่เรามากันแค่ 2 คนเอง ถามแม่บ้านว่า นี่หลังเล็กแล้วเหรอคะเนี่ย มันดูใหญ่มากเลยสำหรับ 2 คนสภาพเตียงนอนระเบียงนั่งเ่่ล่นหน้าห้องพัก ที่ไม่ได้นั่งเลย พอใกล้ค่ำอากาศเย็นมากๆ ต้องรีบหนีเข้าห้องภายในห้องมีแต่พัดลมนะคะ แต่ที่นี่ก็อากาศเย็น ในห้องน้ำก็น้ำเย็นมาก ต้องรีบอาบก่อนพระอาิทิตย์ตกมิฉะนั้นจะหนาวมากหลังจากตื่นกันแล้วก็ไปเดินเ่ล่นถ่ายรูป รูปอื่นๆ ในรีสอร์ทวันหลังเราจะโพสต์ไว้ในที่พักหลักร้อยในบล๊อกของเรานะ (แต่ตอนนี้ยังไม่ได้สร้างหน้าบล๊อกเลยอ่ะ)ตกเย็นก็รีบกลับมาอาบน้ำ กินข้าวเย็นก็ได้ข้าวกับไก่รวมเค็มจากร้านครัวกะเหรี่ยงเจ้าเดิม พร้อมด้วยต้มมาม่าไว้เป็นน้ำซุปอีกหนึ่งอย่าง แล้วก็นั่งเขียนโปสการ์ดหาเพื่อนๆ แต่เขียนได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องรีบหนีความหนาวเข้าห้องเช้ามาตื่นมาทำข้าวต้มกับกินกันไข่เจียวไชโป้ อาจจะดูเหมือนไหม้ แต่ก็หมดก่อนอาหารอย่างอื่นนะอากาศดีบวกกับเราเหนื่อยจากการขับรถเมื่อวานทำให้เราตื่นสาย ออกจากรีสอร์ทเกือบเที่ยง ระหว่างทางออกมาเจอเจ้าแพะกลุ่มนี้ออกจากรีสอร์ทมาไม่ไกล ก็แวะเที่ยวสวนกล้วยไม้ ที่เมื่อวานเล็งไว้ว่าจะแวะมา แต่เผลอนอนยาวไปหน่อยกล้วยไม้งามมากเลยน้องคนงานตามมาบรรยาย บอกเราว่าปกติส่งออกไปญี่ปุ่น แต่ถ้าสนใจซื้อปลีกก็ขาย ที่นี่คงอากาศดี กล้วยไม้งามมากเลยเป็นฟาร์มกล้วยไม้ที่ดูสะอาดตามากเลยจริงๆ มีสวนส้มอีกหนึ่งที่เราลืมแวะ เป็นสวนส้มโชกุนแห่งเดียวของสวนผึ้ง ส่งมาขายที่เดอะมอลล์ ไม่ให้ซื้อปลีกที่สวน ดันลืมแวะซะได้หลังจากนั้นก็แวะไป ธารน้ำร้อนบ่อคลึง ระหว่างทางผ่านรีสอร์ทดัง แวะเข้าไปเนียนถ่ายรูปซะหน่อยแอบเนียนเหมือนบ้านเรา 55++บ้านพักน่ารักๆแกะแม่ลูกฟาร์มแกะรีสอร์ทข้างเคียง นากาย่าแต่พอไปถึงเตรียมตัวไปแช่น้ำร้อนอย่างดี แต่คนเยอะมาก เปลี่ยนใจกลับออกมาระหว่างทางเจอดอกบัวตองดอกไม้สีเหลืองข้างทางสวยๆแล้วก็ออกไปทางจอมบึง ระหว่างทางก็แวะถ้ำจอมพลเข้าตัวอ.จอมบึง เปิดโปรแกรมร้านอาหารอร่อยที่พริ้นต์จากคำแนะนำของเพื่อนๆ ในห้อง เจอร้านนี้เข้าพอดีีร้่านอยู่หน้าสำนักงานเกษตรฯ จอมบึงจานแรก "ต้มแซบหมู"จานที่ 2 "ปลาทับทิมลุยสวน" ตอนแรกนึกว่าจะราดมาเป็นน้ำลาบ แต่นำปลามาทอดกรอบราดมาพร้อมผัดมะเขือยาว เสริ์ฟพร้อมน้ำจิ้มทะเล น่าตาน่ากินแถมอร่อยมากๆจานสุดท้าย "ผัดหอยลายน้ำพริกเผา" กับข้าวรวมข้าวและน้ำ ค่าเสียหายทั้งหมด 107 บาทเท่านั้น ทั้งอร่อยทั้่งถูกร้านนี้เป็นห้องแอร์ แถมเมนูก็มีให้เลือกมากมาย ทุกอย่าง 30 บาทขาดตัว คุณภาพเกินราคา เราว่าครัวกะเหรี่ยงถูกและอร่อยแล้ว มาเจอร้านนี้สุดยอด ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ในห้องที่แนะนำร้านอร่อยมากมาย วันหลังจะตามไปลองชิมให้หมดเลยขากลับผ่านสหกรณ์ฯ หนองโพ เลยยูเทริ์นไปแวะซื้อนมสดกลับบ้านมาจนได้แต่ขากลับรถติดมากเลย อดแวะพระราชวังสนามจันทร์เลย ไม่เป็นไรวันหลังมาใหม่ก็ได้ทริปนี้เป็นทริปเรื่อยเปื่อยจริงๆ ได้เที่ยวไม่กี่ที่เอง นอนซะเป็นส่วนใหญ่ 55++ ที่เหลือก็ขับรถแวะถ่ายรูปสองข้างทางไปเรื่อยๆ ถ้ามีใครผ่านสวนผึ้งแล้วเห็นรถที่จอดแวะถ่ายป้าย ถ่ายหลักกิโล ถ่ายดอกไม้ต้นไม้ไปตลอดทางก็ให้คิดว่าเป็นยัยสองคนนี่แน่ๆ เลย แต่เราก็บอกเพื่อนนะ ไม่มีทัวร์ไหนจัดแบบนี้แน่ เรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ ก็ถือว่าได้พักผ่อนชาร์ตแบตให้ตัวเองกับมาทำงานต่อเราจะลงรูปรีสอร์ทที่เราพักน้อยไปหน่อย จริงๆ แล้วมีรูปเพียบเลย ตั้งใจจะแยกมาเป็นที่พักหลักร้อย.....แค่นี้รูปทริปนี้ก็เพียบแล้วอ่ะปิดท้ายรูปนี้ น่ารีสอร์ทที่เราพัก "Nature is Life"จขบ. แอบโชว์พุงนิดหน่อยตอนกระโดด**************************
เที่ยวกองถ่ายพระนเรศวร และซาฟารี ปาร์ค บ่อพลอย
มีคนมาให้จัดทริปไปกาญฯ ...เสร็จเรา จัดโปรแกรมตามที่เราอยากไปและไม่เคยไปซะเลยสถานที่ที่จัดไปได้แก่วันแรก- ตลาดน้ำดำเนินสะดวก- กองถ่ายตำนานสมเด็จพระนเรศวร ค่ายสุรสีห์- ซาฟารี ปาร์ค บ่อพลอย- สะพานข้ามแม่น้ำแคว ส่วนวันที่ 2 เปิดโอเพ่น เพื่อใครอยากไปไหน เราก็ไปให้ (เพราะเราไม่มีไอเีดียแล้ว 55) เริ่มต้นที่ "ตลาดน้ำดำเนินสะดวก" ด้วยความที่ไม่เคยไป ก็ลองไปซักครั้งตอนนี้...ก็รู้็แล้ว คงไม่ไปอีก ดูวุ่นวาย เป็นตลาดปรุงแต่งมากเลยออกจากตลาดน้ำก็เดินทางไปกองถ่าย แต่ใกล้เที่ยง ก็เลยแวะไปเช็คอินที่พัก และแวะไปหาอาหารเที่ยงกินก่อนแวะร้าน "ผัดไทยซุ่นเฮง" อาหารแนะนำ ผัดไทยวุ้นเส้น ทำจากวุ้นเส้นท่าเรือ เจ้าดังของเมืองกาญฯหลังจากอิ่มแล้วก็เดินทางไปกองถ่ายกันพร้่อมมิตรสตูดิโอ ค่าเข้าชม คนละ 100 บาทแต่เราทำโบร์ชัวหาย ดังนั้น บรรยายตามที่จำได้แล้วกัน 55++โบสถ์วัดพระมหาเถรคันฉ่องประตูเมืองหงสาประตูเมืองหงสาสิงห์คู่ สัญลักษณ์ของศิลปะพม่า (นึกถึงพระธาตุดอยกองมูเลยอ่ะ)เข้าสู่ท้องพระโรงเมืองหงสาแล้ว ทองแจ่มจ้าเลยหนีจากเมืองหงสา เข้าสู่ท้องพระโรงอโยธยาแล้วอ่ะอากาศร้อนมากๆ ขากลับมีรถกอล์ฟบริการด้วย ระหว่างทางนั่งรถ ก็ถ่ายไปเรื่อยๆฉากนี้ ในภาค 2 ที่องค์ดำไปเจอยายคนนึง (เราไม่ไดู้ดูภาค 2 แต่พี่ที่ไปด้วยบอกให้ฟัง)กำแพงเมืองอโยธารถกอล์ฟมาจอดที่จุดที่เป็น ตำหนักของบุเยงนอง ทำด้วยทองคำทั้งหลังเลยโรงเก็บอุปกรณ์ประกอบฉากเพิ่งมารู้ว่าทำไมทั้งที่แดดร้อนมาก แต่ภาพสีไม่แ่จ่มเลย ก็ตอนขึ้นรถกลับออกมาแล้วฝนตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยซะงั้นแล้วก็เดินทางไปที่ต่อไป "ซาฟารี ปาร์ค บ่อพลอย" ภาวนาให้ฝนหยุดตกด้วย เพราะไม่รู้ว่าจะขับเ้ข้าไปดูสัตว์ในซาฟารีปาร์คได้ยังไง ถ้าฝนตก แต่ฝนก็หยุดพอดีตอนเราไปถึง ค่าเข้าชมคนละ 120 คนขับไม่นับด้วยล่ะ ใจดีจัง ค่าอาหารตะกร้าเล็กๆ ตะกร้าละ 20 บาท เป็นแครอทหั่นบางๆ ด่านแรก เจอเจ้านี่ก่อนเลย เราเปิดกระจกซะกว้างสุดๆ ไปเลย ฮ่าๆ สะใจดีมีควายป่าไบซันด้วย 2 ตัวแน่ะ แต่เราถ่ายไม่ได้เพราะเค้าห้ามเปิดกระจก อยากจะเปิดจะตาย แต่เค้าห้ามเพราะมันน่าตาน่ากัวมากเจ้าตัวแรกออกมายืนรอรับหน้าประตูเลย แต่ยังไม่น่ากลัวเท่าตัวที่ 2 ตัวดำเป็นเหนี่งและมหึมามาก พอเราปิดหน้าต่างและขับออกมา มันก็ไปยืนขวางรถคันหลังเราเลย....คงจะประมาณว่า ไม่ให้ชั้นกินไม่ได้นะ ชั้นจะยืนขวางไม่ให้ไปอ่ะ...ด่านต่อไปก็เจ้ากวางเหมือนกัน แต่คนละพันธุ์กัน ก็เลยขังแยกกรงกันมั๊งกรงที่ว่านี้่ กรงกว้างนะคะ ขับรถเข้าไปวนได้ แต่ละกรงก็มีประตูแยกกัน พอรถเข้ามาก็ปิดประตูกรงเดิม แล้วเปิดประตูกรงใหม่ กันสัตว์ออกมาปะปนกันโฉมหน้ากวางแบบใกล้ชิด อ่อยอาหารให้ แล้วแอบลองจับเขากวางดูด้วย ว่าแข็งหรือเปล่าแล้วก็มีกรงเสือถ่ายไม่ทันจ้า ถ้าถ่ายทันก็แปลว่ามันคงอยู่ใกล้รถมาก 55++สิงโต ตอนแรกก็นึกว่าสต๊าฟไว้ เพราะไม่ขยับเลย เลยแอบใจกล้าเปิดกระจกไปถ่าย เด็กๆ ห้ามเอาเยี่ยงอย่างนะ ไม่ปลอดภัยเลยขับมาด่านสุดท้ายแล้ว แต่สัตว์เยอะมากเลย หลายประเภทอูฐ...ขอบอกปากเหม็นมากอ่ะนกกระจอกเทศ ไม่ค่อยกล้าเปิดกระจกกว้าง กลัวนกจิกตาม้าลาย น่ารักมากเลยสัมผัสแบบใกล้ชิดปลายจมูก 55++ตัวลามะ ไปเคาะกระจกรถคันหน้าและพอหันกลับไปดูรถคันหลัง...โดนรุมยีราฟอันนี้คือยีราฟกำลังใช้ลิ้นเลียอาหารในกระป๋องในรถอยู่ ไม่ใช่ียีราฟกินปลาไหละนะ มีคนเข้าใจผิดมาแล้วอ่ะถ้าเพื่อนๆ ไปก็อย่าลืมเหลืออาหารให้กรงสุดท้ายด้วยนะ เพราะสัตว์เยอะมากเลยออกมาจากสวนสัตว์ก็ แวะไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว ฟ้าหลังฝนยังมืดอยู่เลยค่ำนั้นเราก็ไปกินอาหารค่ำที่ร้าน "ครัวชุกโดน" ด้วยความที่หิว ลืมถ่ายรูปมาเลย พลาดได้ไงเนี่ย อาหารอร่อยทุกอย่างเลย แล้วก็กลับที่ัพัก เดี๋ยวเราค่อยรีวิวที่พักที่หลังดีกว่าเช้ามา...ออกจากที่พัก ก็วางแผนไป "ช่องเขาขาด" ที่อ.ไทรโยค ไม่คิดค่าบริการค่ะ แล้วแต่จะบริจาคเพื่อใช้ในการบูรณะ ที่นี่มีผู้จัดการเป็นฝรั่งชาวออสเตรเลียด้วยนะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายมรณะ ชื่อภาษาอังกฤษว่า Hellfire Pass หรือช่องไฟนรก เพราะขณะที่นักโทษกำลังขุดช่องเขาเพื่อสร้างทางรถไฟ ก็ต้่องจุดคบเพลิงและมีแสงไฟออกมาจากช่องเขา ลักษณะเหมือนช่องไฟนรกPeach Vessel มอบแด่ Peter Rushforth หนึ่งในนักโทษชาวออสเตรเลียทางเดินลงไปยังช่องเขาขาด (แต่เราถ่ายย้อนทางขึ้นขึ้นมานะคะ) ระยะทางทั้งเส้นทางใช้่เวลาเดินไปกลับประมาณ 2 ชม.ครึ่ง แต่เราขอเดินไปแค่ช่องเขาขาดพอ ประมาณ 300 เมตร ใช้เวลาเดินไปกลับ 40 นาที เนื่องจากเป็นป่า ทางเดินก็เย็นสบายค่ะ สังเกตได้จากต้นมอสตามทางเดินสิแล้วก็ลงบันได จะเจอทางเดินแบบนี้ไปยังช่องเขาขาด อาจเจอไม้หมอนเป็นระยะบ้างถึงแล้ว...ช่องเขาขาด มีรางรถไฟเหลือให้เห็นบ้าง ด้านขวามือคือ อนุสรณ์สลักไว้ว่า.... รางรถไฟ และไม้หมอนนี้เป็นของทางรถไฟสายเดิมโดยกองร้อยซีั กรมทหารหลวงออสเตรเลีย เมื่อเดือนเม.ย. 2532 ได้ย้ายจากช่องเขาขาดมาวางไว้ที่นี่ในปี 2549 (จริงๆ มันยาวกว่านี้ เราขอย่อนะคะ)ช่องเขาสุดทางเดินของช่องเขาขาดที่จุดนี้ แต่สามารถจะเดินไปจุดอื่นๆ ได้ต่อไป แฮ่ะๆ แต่พวกเราขอเดินกลับละกัน....ไม่ไหวค่าบนแท่นสลักไว้ว่า "Burma-Thailand Railway ในการรำลึกถึงทุกท่านที่ประสพความทุกข์ทรมาณและทุกท่านถึงแก่กรรม 1942-1945"ขากลับต่อไปเราก็แวะไปซื้อของฝากที่ร้าน "วุ่นเส้นท่าเรือ" ฝนก็เทลงมาที่ต่อไปที่เราแวะคือ "วัดถ้ำเสือ"ขาขึ้น ขึ้นกระเช้าขึ้นไป ไป-กลับ คนละ 10 บาท แต่ทางขึ้นชันมาก ขาลงเลยต้องลงเดินบันได ประมาณ 156 ขั้นด้านบนเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทานพรองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรีแล้วก็อยากไปแช่น้ำแร่กัน แต่ถ้าไปน้ำพุร้อนหินดาดก็กลัวไกลไป คนขับรถแนะนำให้มาแช่น้ำร้อนที่นี่ "วัดวังขนาย"น้ำแร่เป็นน้ำบาดาล ไม่มีกลิ่นกัมมะถัน ลักษณะการแช่ก็มีทั้งแบบ แช่เท้า แช่ทั้งตัว เป็นลักษณะคล้ายหม้อต้ม และเป็นอ่างจากุชชี่ แยกชาย-หญิง การอาบน้ำแร่ไม่คิดค่าบริการ แล้วแต่จะทำบุญค่ะบ่อแช่เท้าต่อนิดนึง รีวิวยาวมากๆ ขอรีวิวที่พักหน่อย"พลอยเกสต์เฮ้าส์" ที่พักหลักร้อย ที่ภูมิใจเสนอ 55++ อยู่ในตัวเมืืองค่ะห้องพักด้านซ้าน Building A เป็นห้องเดี่ยว มีสวนและห้องน้ำแบบ Open Air พร้อมด้วย ทีวี คืนละ 700 (จองในเนต ถ้าไม่จองผ่านเนต คืนละ 950-)การ์เด้นท์วิวจากห้องนอนห้องอาบน้ำแบบโอเพ่นBuilding B เป็นห้องติดกันบนตึก 2 ชั้น ราคา 550 ไม่มีทีวี ไม่มีสวนและห้องน้ำโอเพ่นแอร์ แต่ห้องอาบน้ำใหญ่นะถ้าห้องด้านบนแบบมีทีวี และมีห้องนั่งเล่นเล็กๆ แยกจากห้องนอนไปก็จะคืนละ 700 เหมือนด้านล่างค่ะภูมิใจนำเสนอราคาระดับนี้กับรีสอร์ทสวยๆ มาก*****