กฏแห่งการดึงดูด
เคล็ดลับที่จะนำไปสู่ความสุขและความสำเร็จของชีวิต โดยเชื่อใน “Law of Attraction” กฎแห่งการดึงดูด เพราะจิตของเรามีพลังอำนาจ มหาศาล พูดง่ายๆก็คือ ให้คิดแต่สิ่งที่ดี แล้วสิ่งดีๆ จะถูกดึงดูดเข้ามาหาเราเอง

“นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สำหรับการมีชีวิตอยู่ เพราะเป็นครั้งแรกที่มนุษย์เรา มีอำนาจถึงขั้นใช้เพียงปลายนิ้วก็หาความรู้ได้”

ความลับที่จะทำให้คุณจะได้เรียนรู้วิธีการใช้ความลับในทุกแง่มุมของชีวิต ทั้งด้านการเงิน สุขภาพ ความสัมพันธ์ ความสุขและปฏิสัมพันธ์ทุกรูปแบบของคุณในโลกนี้ คุณจะเริ่มเข้าใจพลังอำนาจภายในตัวเองที่ถูกปกปิดซ่อนเร้นมานานและสิ่งที่เปิดเผยนี้จะนำมาซึ่งความยินดีในทุกๆ ด้านชีวิตของคุณ

ความสำเร็จ ทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ เราต้องเข้าใจใน 3 กระบวนการ ดังนี้

กระบวนการที่ 1 : Attraction Process หรือ กระบวนการสร้างแรงดึงดูด

โลกของเรามีแรงดึงดูด ที่เป็นพลังงานที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่พวกเราสามารถสัมผัสมันได้ ผ่านกระบวนการเกี่ยวเนื่องอื่นๆ ตัวเราเองก็สามารถสร้างแรงดึงดูดได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่จะวิ่งเข้ามาหาเรา..คุณต้องการสิ่งที่ดีหรือไม่ดีหละ คงไม่มีใครต้องการสิ่งไม่ดี และคงไม่มีใครไม่ต้องการสิ่งดีดี ทุกคนต่างต้องการสิ่งดีดีเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสุขภาพ ทรัพย์สินเงินทอง หน้าที่การงานต่างๆ ก็ล้วนแต่ต้องการสิ่งดีดี ทีนี้เราจะสร้างแรงดึงดูดอย่างไร ให้มีแต่สิ่งดีดีเข้ามาหละ

The secret ได้บอกหลักสำคัญๆของแหล่งแรงดึงดูดสิ่งดีดี ไว้ดังนี้

1.1 การคิดเชิงบวก (positive thinking):

ทุกความคิดมีแรงดึงดูด เคยสังเกตุมั๊ยว่า หากเราคิดคำนึ่งหรือกังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่งบ่อยๆ เรื่องนั้นก็มักเกิดขึ้นจริง ดังนั้น หากเราเปลี่ยนความคิดจากการคิดถึงสิ่งที่ไม่ดีบ่อยๆ เป็นคิดถึงแต่สิ่งที่ดีดี บ่อยๆ คลื่นความคิดเราก็จะแปรเปลี่ยนเป็นแรงดึงดูด ดูดสิ่งดีดีเข้ามาในชีวิต

ในประเด็นนี้ หากเรามองในทางธรรมแล้ว ก็คงไม่ต่างอะไรกับที่ชอบพูดกันว่า คิดดี ทำดี พูดดี ..สิ่งที่สะท้อนกลับมาหาเราก็คงดีเหมือนกัน

1.2 รู้เท่าทันความคิดของตัวเอง :

เหมือนเป็นการมีสติ กำหนดรู้ว่า ขณะนี้เราคิดอะไร คิดดีหรือคิดเลว เมื่อเรารู้เท่าทันความคิดเราเมื่อไหร่ เราก็สามารถคัดแยกความคิดเลวออกจากความคิดดีได้ ทำให้เรามีโอกาสที่จะยับยั้งความคิดเลว และดำเนินความคิดดีดีต่อไป

เคยสังเกตุตัวเองกันมั๊ย หากเมื่อเราคิดเลว อารมณ์ที่ไม่ดี ก็จะเกิด แต่หากเมื่อไหร่เราคิดดี ความสบายใจ อารมณ์ที่ดีก็จะเกิด อารมณ์เป็นสิ่งหนึ่งที่ก่อให้เกิดการกระทำ คนที่ไม่รู้เท่าทัน ไม่รู้จักควบคุมความคิดเลว อารมณ์เลว ก็จะโกรธง่าย เกลียดง่าย ฉุนเฉียวง่าย สิ่งเหล่านี้ ถูกถ่ายทอดผ่านใบหน้าและร่างกายออกสู่ภายนอก สิ่งที่สะท้อนจากภายนอกกลับมาหาตัวคุณก็คงไม่ใช่สิ่งดีนักหรอก แต่ในทางกลับกัน คนที่คิดดี รู้เท่าทันระงับความคิดและอารมณ์เลว สิ่งดีดี จากจิตใจก็จะถูกทอดผ่านร่างกายให้แสดงออกมาแต่ในสิ่งดีดี สิ่งที่คุณได้รับก็จะเป็นสิ่งดีด้วยเช่นกัน เมื่อคุณรู้สึกดี ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สร้างสรรค์สิ่งต่างๆก็จะบังเกิดขึ้น ทำให้คุณสามารถพัฒนาตัวเองทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างดีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย อนาคตของคุณขึ้นกับความคิดของคุณแล้วหละ

สร้างคิดดี อารมณ์ดี โดย รู้จักมีความพึงพอใจ (Satification) รู้จักชื่นชมผู้อื่น (Appriciation) มีความหวัง (Hope) มีความสุข (Happiness) รู้จักสนุก ร่าเริง(Joy) รู้จักขอบคุณ (Gratitude) รู้จักรักทั้งตัวเอง ผู้อื่น และสิ่งอื่นรอบตัว (Love) เป็นต้น

ละทิ้ง ความคิดเลว อารมณ์เลว โดย ตัดความหวาดกลัว (Fear) ความกดดัน เครียด(Depression) ผิดพลาดเลอะเทอะ (Fault) ไม่พอใจขุ่นเคือง (resentment) ความเกลียด (Hate) ความโกรธ (Angry) การตำหนิติเตียน (Criticism) การกล่าวโทษนินทา (Blame) เป็นต้น

ความเครียด ความคิดเชิงลบ ก่อให้เกิดอารมณ์ที่ขุ่นมัว เศร้าหมอง ส่งผลต่อระดับการทำงานของร่างกายและสมองที่ลดลงเสมอ

the secret แนะกระบวนการสร้างสรรค์ (Creative process) ไว้ให้ 3 ขั้นตอน คือ

ขั้นที่ 1 ขั้นตอนการร้องขอ (Ask) : เหมือนคุณมี ตะเกียงวิเศษ เมื่อถูเจ้ายักษ์ออกมาแล้ว คุณต้องร้องขอ คุณต้องคิดให้พลังแห่งจักรวาลรับรู้ว่า คุณต้องการอะไรอย่างแท้จริง แล้วคุณจะได้สิ่งนั้นมา..นั่นแหละ หากสิ่งที่คุณคิด..ไม่ดี..สิ่งที่คุณได้ก็ย่อมไม่ดีเช่นกัน แต่หากคุณคิดดี สิ่งที่คุณได้ย่อมดีเสมอ ในขั้นตอนนี้เทคนิคที่ the secreat แนะนำ คือ การเขียนสิ่งดีดี คุณสามารถเขียนสิ่งดีดี ที่คุณต้องการในสมุดบันทึกได้ทุกวัน เพื่อให้คุณจดจำสิ่งดีดีที่คุณต้องการ มันจะก่อให้เกิดแรงบันดาลใจลึกๆ ในใจ ให้คุณพยายามทำให้สิ่งที่คุณต้องการจนสำเร็จ

ขั้นที่ 2 ขั้นตอนแห่งความเชื่อ (Believe) : จงเชื่อในสิ่งดีดี ที่คุณพึงอยากได้ ว่าคุณจะต้องได้มา ศรัทธาที่ไม่สั่นคลอนก่อให้เกิดสิ่งที่เป็นจริง เมื่อไหร่ที่คุณพลาดจากหวัง จงเชื่อเสมอว่า หากหวังและพยายามต่อไป วันหนึ่ง ฝันคุณจะเป็นจริง กรณีนี้ คงเข้าตำราคนไทยที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น หากเราเชื่อ และพยายามทำในสิ่งที่เราเชื่อ สักวัน สิ่งนั้นจะสำเร็จดังฝัน

ขั้นที่ 3 ขั้นตอนแห่งการรับ (Receive) : เป็นการยอมรับ ทั้งสิ่งที่สมหวังและผิดหวัง การผิดหวัง หากเรายอมรับเราสามารถนำมันมาทบทวน ไตร่ตรองได้อีกรอบ แล้วเราจะเห็นถึงข้อผิดพลาดอันนำไปสู่แนวทางในการปรับปรุง

1.3 เริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งดีดี :

คุณเคยสังเกตุมั๊ย หากวันไหนคุณตื่นมาพร้อมอารมณ์ที่ขมุกขมัว วันนั้น คุณอาจปวดหัว อะไรก็ดูช่างหงุดหงิดในสายตาของคุณไปเสียทั้งหมด ไม่ว่า จะเป็นคน การจราจร หรือ สิ่งแวดล้อมต่างๆ แต่ในทางกลับกัน หากคุณสามารถตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกดีดี สมองคุณก็จะแจ่มใส จิตใจก็จะเบ่งบาน พร้อมที่จะมีสติรับรู้เรื่องราวต่างๆ ในวันนั้น ได้อย่างต่อเนื่องและมีสมาธิในการไตร่ตรองแยกแยะ พิจารณาสิ่งที่ ผิด ถูก ชั่ว ดี ได้ไม่ยาก ซึ่งเมื่อคุณได้กรองและเลือกที่จะรับแต่สิ่งดีดีแล้ว อารมณ์ก็จะดียิ่งขึ้น สิ่งที่แสดงออกมาจากตัวคุณ ก็ดี สิ่งที่คุณจะได้รับต่อไป ยิ่งดี

เมื่อใดที่เรารู้สึกแย่ ท้อถอย the secret แนะให้มองสิ่งที่สวยงาม การได้ฟังเพลงดีดี เพลงเชิงบวก การได้มองเด็กๆที่สดใสร่าเริง การได้ชมดอกไม้สีสวยๆ ที่กำลังเบ่งบาน การได้เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงสุนัข เลี้ยงแมว การได้เล่นกีฬา การได้ออกไปท่องเที่ยว เพราะ the secret เชื่อว่า "เมื่อคนรู้สึกรัก สิ่งดีดีก็จะเข้ามาในชีวิต"

ซึ่งสิ่งเหล่านี้เหมือนกับเราจะรู้กันเองนานแล้ว ใช่ป่าว เพราะเราคงได้ยินกันบ่อยๆ ว่า ความรักทำให้โลกสดใส โลกทั้งใบเป็นสีชมพู ไม่ว่าจะรักแบบไหน แต่ต้องเป็นรักที่บริสุทธิ์ใจจึงจะไม่เป็นทุกข์...รักทำให้คนสามารถมองโลกได้ในแง่ดีเสมอ...

1.4 อย่าลังเลกับสิ่งที่จะลงมือทำ :

สิ่งดีดี โอกาสคอยเราอยู่เสมอ เมื่อเราสามารถสร้างแรงดึงดูดได้แล้ว สิ่งที่สะท้อนกลับมา เมื่อเราหยุดคิดอย่างรอบคอบแล้ว อย่าลังเลที่จะรับ อย่าปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอย เพราะหากคุณไม่เริ่มผลคงไม่เกิด เราไม่จำเป็นต้องเห็นตลอดทั้งเส้นทางหรือเห็นทางทั้งหมด แต่หากคุณเริ่มและลองดู คุณอาจจะเห็นทางอีกหลายทางซึ่งสามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้

1.5 รู้จักพอเพียง :

การรู้จักพอ จะสร้างความสุขที่แท้จริง คนเราทุกวันนี้ ล้วนแต่เอากิเลสเป็นที่ตั้ง อยากได้สิ่งต่างๆมากมายจนเกินความจำเป็นความพอดี ข้อนี้ คงเข้ากับหลักพุทธศาสนา หรือแม้กระทั่ง หลักเศรษฐกิจพอเพียง ได้เป็นอย่างดี

เมื่อรู้จักพอ ความสุขก็เกิด ความเหนื่อยล้า แห่งการดิ้นรนก็น้อยลง ทำให้คนมีเวลาที่จะคิดทบทวนไตร่ตรองสิ่งต่างๆในความคิด ได้ดีขึ้น ดังนั้น ความพอเพียงคงแยกกันไม่ออกจากข้ออื่นๆ ที่กล่าวข้างต้น

กระบวนการสร้างแรงดึงดูด โดยสรุปแล้ว หากเราต้องการพบความสุขและความสมหวังที่แท้จริง เราก็ควรมุ่งเน้นที่สร้างแรงดึงดูดที่ดี เราต้องหัดปรับเปลี่ยนความคิดทัศนคติไปในทิศทางที่ดี

หากเราคิดดี ทำดี สิ่งสะท้อนออกไปดี สิ่งที่เราได้รับก็จะดี เมื่อทุกคนทำได้ โลกก็จะเป็นสุขและพัฒนาในทิศทางที่ดี...

the secret บอกว่า ทุกวันนี้คนเรามันใช้คำพูดว่า "ต่อต้าน" ในการรณรงค์ต่างๆ ซึ่งทำให้การรณรงค์เหล่านั้นไม่ประสบผลสำเร็จซักที ดังนั้น ควรเปลี่ยนคำพูดเชิงลบ จากคำว่า "ต่อต้าน" เป็นคำพูดเชิงบวก คำว่า "ส่งเสริม" คงจะดีกว่า อาทิเช่น

แทนที่จะต่อต้านสงคราม ก็ควรเปลี่ยนเป็น สนับสนุนสันติภาพ
แทนที่จะต่อต้านความยากจนอดอยาก ก็ควรเปลี่ยนเป็น สนับสนุนผู้คนให้มีอาหารกิน
แทนที่จะต่อต้านพรรการเมืองใดเป็นพิเศษ ก็ควรจะเปลี่ยนเป็น สนับสนุนพรรคการเมืองตรงข้ามพรรคนั้น

หากทุกคนเพื่งไปยังสิ่งที่ไม่ต้องการ สิ่งนั้นมันคงยังวนเวียนในหัวสมองของทุกคน แล้วในที่สุดมันก็เป็นการตอกย้ำและดึงดูดให้สิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการนั้นเกิดขึ้น เหมือนสุภาษิตไทยว่า "ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ" นั่นเอง ดังนั้น ทุกคน ควรเรียนรู้ที่จะสงบนิ่งและละความสนใจไปจากสิ่งที่เราไม่ต้องการ

กระบวนการที่ 2 : Gratitute หรือ รู้จักขอบคุณ และชื่นชม

การรู้จักขอบคุณ ขอบคุณสิ่งที่อยู่รอบตัวคุณ สิ่งที่คุณมี สิ่งคุณเป็น ด้วยใจจริง ตัวอย่างเช่น

แทนที่คุณจะมองว่าของขวัญจากเพื่อนมูลค่าน้อยนิด คุณจงมองเสียใหม่ว่า ขอบคุณที่มีเพื่อนที่น่ารัก เพื่อนยังคิดถึงเราเสมอ

แทนที่คุณจะน้อยใจว่าพ่อแม่ดุว่า คุณจงมองเสียใหม่ว่า ขอบคุณที่ทุกวันนี้ยังได้ยินเสียงของพ่อแม่ และท่านยังได้มีทุกข์สุขร่วมกับเรา

แทนที่คุณจะมองว่าอาหารมื้อนี้น้อยเกินไป กินไม่อิ่ม คุณจงมองเสียใหม่ว่า ขอบคุณที่ทุกวันนี้คุณยังมีข้าวมีอาหารให้ได้กิน

แทนที่คุณจะมองว่างานหนักเหนื่อย เงินเดือนน้อย คุณจงมองเสียใหม่ว่า ขอบคุณที่คุณยังมีงานทำยังมีเงินเดือนใช้

แทนที่คุณจะมองว่าเช้านี้รถติดน่าเบื่อ เปลืองน้ำมัน คุณจงมองเสียใหม่ว่า ขอบคุณที่คุณโชคดี ยังมีรถขับ ขอบคุณที่ฝนไม่ตกซ้ำลงมาอีก ขอบคุณที่ได้ที่นั่งบนรถเมล์ ขอบคุณที่ได้ยืนถือเป็นการออกกำลังกายอีกวัน เป็นต้น

หากคุณสามารถมองสิ่งรอบตัวในมุมที่ดีดีได้ คิดเชิงบวกกับสิ่งเหล่านั้นได้ และสามารถขอบคุณสิ่งเหล่านั้นได้ และชื่นชมอย่างจริงใจ คุณก็จะสามารถสร้างแรงดึงดูดดีดี ให้กับชีวิตคุณได้ไม่ยาก

กระบวนการที่ 3 : Visualize หรือ รู้จักสร้างภาพ

การสร้างภาพในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการให้โกหกหลอกลวง สร้างภาพให้ดูดี ในสายตาคนอื่น แต่การสร้างภาพในที่นี้ หมายถึง การสร้างจิตนาการแห่งความหวังของคุณให้เป็นภาพออกมา เช่น

หากคุณต้องการมีบ้านสวย คุณลองวาดภาพบ้านในฝันของคุณออกมาดูซิ คุณก็จะมีความหวัง แรงบันดาลใจ พลังในจิตใจให้เกิดความพยายามในการสร้างสรรค์แนวทางที่จะให้ได้มาซึ่งบ้านในฝันของคุณ

ไม่เฉพาะสิ่งของ แม้แต่บุคคลหากเราฝันมันก็อาจเป็นจริง เชื่อได้ว่า ข้อนี้ ทุกคนก็คงเคยฝันถึง คนในอุดมคติ ที่คุณสามารถเอาเป็นแบบอย่างได้ ความลับข้อนี้ มันอาจถูกเปิดเผยมานานแล้ว เพียงแต่เรายังไม่ทราบเท่านั้นเองว่า มัน คือ ช่องทางแห่งความสำเร็จ

การสร้างภาพ มันก็เหมือนเป็นการสะกดจิตตัวเอง ด้วยภาพ ที่อาจสร้างขึ้นมาในสมอง ในจิตใจ หรือ วาดออกมาให้เห็นจริงๆในวัสดุใดใด การสร้างภาพ ไม่ได้จำเพราะเพียงรูปภาพ แต่หมายรวมถึง ภาพของอักษรที่ร้อยเรียงคำพูด การกระทำของทั้งตัวเราเองและคนอื่นที่เราต้องการขอบคุณและชื่นชม เช่น หากคุณมองภาพดีดี หรือเขียนคำชื่นชมลูก สามี ภรรยา เจ้านาย ลูกน้อง ทุกวัน ก็จะทำให้คุณมีทัศนคติและความสัมพันธ์ที่ดีต่อพวกเค้า เป็นต้น

หากคุณได้เพ่งมอง และรู้จักชื่นชมภาพเหล่านี้ทุกวัน แรงดึงดูดภายในจิตใจคุณก็จะถูกสร้างขึ้น สิ่งที่คุณฝันก็จะบังเกิด ดังนั้น หากคุณสร้างภาพในใจ ในสมอง ในความคิด ที่เป็นสิ่งดีดี สิ่งที่น่าชื่นชม ปฎิกิริยาต่างๆของคุณก็จะแสดงออกมากับสิ่งเหล่านั้นดี ปัญหาความขุ่นใจก็จะถูกลบเลือนออกไป แล้วสิ่งดีดี ก็จะบังเกิดขึ้นกับคุณอย่างแน่นอน

ข้อคิดจากคำคม ใน The secret

"Whatever you're thinking and feeling today is creating your future"
"อะไรก็ตามที่คุณคิดและรู้สึกในวันนี้ คือ สิ่งที่สร้างอนาคตของคุณ"

"Your thaught and you feeling create your life"
"ความคิดและความรู้สึกของคุณ สร้างชีวิตคุณ"

"You create your own universe as you go along"
"คุณสามารถสร้างจักรวาลของคุณเองได้ ในทุกขณะที่คุณดำเนินชีวิต"

" Take the first step in faith you don't have to see the whole staircase just take the first step"
"เริ่มก้าวแรกด้วยความศรัทธา คุณไม่จำเป็นต้องเห็นขั้นบันไดทั้งหมด คุณแค่เริ่มต้นที่ก้าวแรก"

"When you want to change your circumstance you must first to change your thinking"
"หากคุณต้องการเปลี่ยนสิ่งที่เป็นอยู่รอบตัวคุณ คุณต้องเปลี่ยนความคิดคุณเป็นอันดับแรก"

"Imagination is everything. It is the preview of lifes coming attractions"
"จินตนาการคือทุกสิ่ง มันเปรียบเสมือนภาพของชีวิต ที่กลายเป็นแรงดึงดูด"

"Whatever the mind of man can conceive, it can achieve"
"อะไรก็ตาม ที่จิตใจของคนสามารถคิดได้ มันก็สามารถนำมาครอบครองได้"

"We are a creater of our universe"
"พวกเราคือผู้สร้างสรรรค์จักรวาลของพวกเราเอง"

"Energy flows when attention goes"
"พลังงานจะไหลลื่น เมื่อความมุ่งมั่นเกิดขึ้น"

"The relationship will really work, we need to focus on what we appriciate about the other person, not only complaining about"
"ความสัมพันธ์จะดำเนินไปด้วยดี หากคุณรู้จักชื่นชมสิ่งที่คุณประทับใจบ้าง ไม่ใช่เพียงแค่การบ่น ดุด่า หรือตำหนิ"

"We can not control other people, no matter how are we try"
"เราไม่สามารถควบคุมผู้อื่นได้ ไม่ว่าเราจะพยายามมากซักแค่ไหนก็ตาม"

" All power is from within and is therefore under our own control"
"พลังอำนาจทั้งหมดมาจากภายใน ฉะนั้นมันควรอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา"

" You are the designer of your destiny. You are the writher who write your story.
The pen is in your hand and the outcome is whatever that you choose"
"คุณคือผู้ออกแบบชะตาชีวิตของตัวคุณเอง คุณคือผู้แต่งเรื่องราวของคุณเอง
ปากกาอยู่ในมือของคุณแล้ว และผลท้ายสุดที่ได้ ก็ขึ้นกับที่คุณจะเลือกเอง"





“สิ่งที่คุณต่อต้าน จะยิ่งทานทน” … Carl Jung (1875-1961)

“ไม่ว่าคุณจะคิดว่าคุณทำได้ หรือคิดว่าคุณทำไม่ได้ คุณก็คิดถูกทั้งนั้น” .. Henry Ford (1863-1947)



“เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะรู้สึกแย่ ในขณะที่คิดอะไรดีๆ” … Charles Haanel



สุดท้ายนี้ โปรดจงพึงระลึกอยู่เสมอว่า...


** หากต้องการลดน้ำหนัก อย่ามุ่งคิดถึงแต่การ ลดน้ำหนัก แต่จงรวมศุนย์ความคิดไปที่น้ำหนักที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ จงรู้สึกถึงความรู้สึกยามที่น้ำหนักตัวของคุณพอเหมาะที่สุด แล้วคุณก็จะได้น้ำหนักตัวเท่านั้น ** จักรวาลไม่ต้องใช้เวลาในการนำมาซึ่งสิ่งที่คุณปรารถนา จะหนึ่งดอลล่าร์หรือล้านดอลล่าร์ก็ง่ายพอกัน**


** สิ่งที่ปรากฏในปัจจุบันของคุณ เป็นผลจากการกระทำในอดีตของคุณนั่นเอง**

**หลายครั้งที่คุณพยายามให้สิ่งบางสิ่ง คนบางคน สถานที่บางสถานที่ สร้างความสุขให้คุณแต่ความสุขนั้นกลับไม่เกิดขึ้น เพราะแท้จริงแล้ว สิ่งเดียว คนเดียว และสถานที่เดียวที่จะสร้างความสุขอย่างแท้จริงให้กับคุณนั้น คือ ใจของคุณเอง ตัวของคุณเอง เท่านั้น**

** มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะเปลี่ยนผู้คนรอบๆ ตัวคุณ งานและหน้าที่ของคุณ คือ ทำตัวให้สอดคล้อง เหมาะสม เพียงพอ และ พอใจกับสิ่งที่คุณเป็นอยู่ และมุ่งมั่นให้ดีขึ้น**

** ทุกสิ่งคือพลังงาน เปลี่ยนแปลงถ่ายเทได้ จิตใจเท่านั้นที่สามารถควบคุม และเปลี่ยนแปลงทิศทางของพลังงานได้ คุณจะถ่ายเทให้พลังงานวิ่งไปจุดใด ทิศทางใด ดีหรือเลว ก็ขึ้นกับตัวคุณ**

** คุณเป็นต้นตอของพลังงานทั้งหมดในโลก คุณ คือ พระเจ้า ที่ปรากฏกายในร่างของมนุษย์ ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ**

** พลังงานไร้พรหมแดนฉันท์ใด ศักยภาพไร้ขอบเขตฉันท์นั้น คุณจะเดินทางไปได้ทุกที่ตราบเท่าที่คุณหวัง**

** สร้างวันของคุณไว้ล่วงหน้า ด้วยการคิดถึงวิถีทางที่คุณต้องการให้วันของคุณดำเนินไป แล้วคุณจะสามารถสร้างชีวิตของคุณเองได้จากความตั้งใจ

** ความสามารถทั้งหมด ความปิติทั้งหมด ความรักทั้งหมด ความสมบูรณ์ทั้งหมด ความเจริญรุ่งเรืองทั้งหมด มีพร้อมอยู่แล้วและรอคอยให้คุณมาคว้ามันไป เมื่อคุณกระหายมัน อยากได้มัน คุณต้องตั้งใจจริง และเมื่อคุณตั้งใจจริง และปรารถนาอย่างแรงกล้าถึงสิ่งนั้นที่คุณต้องการ สิ่งนั้นจะมาหาคุณ จงจดจำความสวยงามที่อยู่รอบตัวคุณ อวยพร ขอบคุณและชื่นชมมัน ในอีกด้านหนึ่งสำหรับสิ่งที่ยังไม่เป็นไปอย่างที่คุณต้องการให้เป็นในตอนนี้ จงอย่าทุ่มเทพลังงานให้กับมัน อย่าตำหนิ อย่าบ่น จงยินดีกับทุกสิ่งที่คุณต้องการและได้รับแล้วคุณจะมีมันมากขึ้นอีก**

** เริ่มฝึกจากสิ่งเล็กๆน้อยๆ ก่อน เช่น กาแฟสักถ้วย หรือที่จอดรถ นี่เป็นวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยคุณได้สัมผัสกับการทำงานของกฏแห่งการดึงดูด จงตั้งใจและจริงจังที่จะดึงดูดอะไรสักอย่างที่เล็กๆก่อน เมื่อคุณได้ประจักษ์ในพลังดึงดูดของตนเองแล้ว คุณก็สามารถยกระดับขึ้นสู่การสร้างอะไรที่ใหญ่กว่านั้นได้**

The Secret



Create Date : 12 มีนาคม 2555
Last Update : 12 มีนาคม 2555 17:01:55 น.
Counter : 545 Pageviews.

0 comment
ความสุขจากการให้อภัย
ความสุขจากการให้อภัย



“ ผู้ที่อ่อนแอไม่สามารถให้อภัยใครได้ เพราะการให้อภัยได้นั้นนับเป็นความเข้มแข็งแท้จริง ” มหาตมะคานธี



มาลองช่วยกันพิจารณาข้อความนี้นะครับ

หากคุณให้ความรัก ความไว้วางใจ ช่วยเหลือใครสักคน แต่ภายหลังเขากลับไปคบคิดกับคนอื่นให้ร้ายคุณ พูดถึงคุณในทางที่เสียหาย จนคุณต้องได้รับความอับอาย คุณจะให้อภัยเขาคนนั้นได้ไหม

๑. ให้อภัยได้ ถ้าคนนั้นได้รับโทษอย่าสาสมเสียก่อน

๒. ให้อภัยได้ เพราะเป็นสิ่งดีที่จะให้อภัย ดังเช่นที่พ่อแม่ หรือศาสนาสั่งสอนมา

๓. ให้อภัยได้ เพราะจะช่วยให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข

๔. ให้อภัยได้ เพราะเป็นการแสดงออกของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

ท่านผู้อ่านจะเลือกข้อใดที่ตรงใจท่านมากที่สุด

ผมได้ลองถามนักศึกษาแพทย์ปี ๕ ที่เรียนวิชาจิตเวชศาสตร์อยู่รวม ๓๓ คน คำตอบที่ได้จากลูกศิษย์แพทย์กลุ่มนี้น่าสนใจทีเดียวครับมีตอบข้อหนึ่งอยู่ ๑๓ คน ตอบข้อสองอยู่ ๑๒ คน ตอบข้อสามอยู่ ๕ คน และตอบข้อสี่อีก ๓ คน ที่กล่าวมานี้คงไม่ถึงกับเป็นโพลสำรวจนะครับ เพียงอยากจะให้เห็นว่าคนเราแต่ละคนมีมุมมองในเรื่องการให้อภัยที่แตกต่างกันมาก

มนุษย์มีแนวโน้มในจิตใจแต่กำเนิดที่จะโต้ตอบทางลบมากขึ้นต่อคนที่แสดงออกทางลบต่อเรา ธรรมชาตินี้เองเป็นที่มาของการแก้แค้นกันและตอบโต้กันจนไม่รู้จบสิ้น สิ่งนี้เกิดจากอะไร นอกจากมนุษย์แล้ว สิ่งมีชีวิตอื่นมีพฤติกรรมการแก้แค้นเช่นมนุษย์หรือไม่ จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบปรากฏการณ์ของการแก้แค้น เกิดขึ้นได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูงบางชนิดด้วย เช่น ลิงชิมแปนซี และพบต่ออีกว่า เมื่อการแก้แค้นเกิดขึ้น การกระทำนั้นมักจะมีความรุนแรงมากกว่าที่ถูกกระทำในตอนแรก จึงมีแนวโน้มให้เกิดวงจรการล้างแค้น ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราพบเห็นตัวอย่างการโต้ตอบที่รุนแรงมากมายในสงครามและประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การให้อภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยตัดและลดทอนการแก้แค้น ซึ่งมีแต่จะเพิ่มความสูญเสียทั้งสองฝ่าย

พัฒนาการ ของการให้อภัยผู้อื่น เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการทางจิตใจด้วย พบว่า คนเราสามารถให้อภัยได้มากขึ้นตามอายุ คือคนในวัยสูงอายุจะให้อภัยผู้อื่นได้ง่ายกว่าคนในวัยผู้ใหญ่และมากกว่าคนในวัยรุ่น ซึ่งน่าจะสะท้อนถึงโลกทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปในคนที่ผ่านชีวิตมานานกว่า มีความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น นอกจากนี้พัฒนาการของการให้อภัยยังมีลักษณะที่เป็นลำดับขั้นเหมือนที่มนุษย์เรามีพัฒนาการทางร่างกาย จากคลานเป็นนั่ง จนถึงการยืนและเดินตามลำดับ คือใน ขั้นต้น การให้อภัยจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ที่กระทำผิดได้รับการล้างแค้นหรือการลงโทษอย่างสาสมเสียก่อน ขั้นกลาง คือ การให้อภัย เป็นสิ่งควรทำเนื่อง จากเป็นสิ่งที่สังคมและคำสั่งสอนของพ่อแม่หรือศาสนาสอนไว้ ในขั้นสูงคือ การให้อภัยควรทำเพื่อให้เกิดความสงบสุขในสังคมและในขั้นสูงสุดคือเป็นการแสดงออกของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ( Unconditional love )

ความจริงแล้วการให้อภัยกลับกลายเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ที่ให้อภัยเอง เพราะการให้อภัยคือการปลดปล่อยตนเองจากซากอดีตที่เจ็บปวดเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ดังที่ คอร์รี่ เทน บูม ( Corrie ten Boom ) ผู้ช่วยเหลือชาวยิวจากค่ายกักกันของนาซีได้กล่าวว่า “ การให้อภัยคือการปลดปล่อยนักโทษ และนักโทษผู้นั้นก็คือคุณนั่นเอง ” และจากประสบการณ์ตรงของเธอเองที่ได้บันทึกไว้ว่า “ ในท่ามกลางเหยื่อที่ถูกนาซีทำทารุณกรรมนั้น ผู้ที่สามารถสร้างชีวิตใหม่ได้ดีและสามารถดำรงชีวิตที่เป็นสุขได้คือ ผู้ที่สามารถให้อภัยต่อความเลวร้ายเหล่านั้น ”

ผลดีอีกประการคือผู้ที่มักให้อภัยผู้อื่นได้ง่ายจะมีความเป็นปฏิปักษ์น้อย ไม่หลงตัวเอง ไม่ชอบครุ่นคิดวนเวียน เป็นคนที่มีนิสัยพูดง่าย ไม่เรื่องมาก ทำให้กังวลและซึมเศร้าน้อยกว่า ป่วยเป็นโรคประสาทน้อยกว่า มีลักษณะที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากกว่า การให้อภัยจึงเป็นเสมือนภูมิคุ้มกันโรคทางจิต เพิ่มสุขภาพจิตที่ดีสำหรับตัวผู้ให้อภัยนั้นเอง ผมจึงอยากชวนท่านผู้อ่านได้ทบทวนไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งและตั้งใจอย่างแน่วแน่ เพื่อที่จะช่วยกันปลดปล่อยความเคืองแค้นที่ยังฝังใจ เพื่อให้จิตใจได้รับอิสรภาพและเกิดความสุขสงบทางใจ

การที่จะให้อภัยแก่บุคคลผู้ที่เคยทำให้เราเจ็บปวด แม่ชีเทเรซ่าสอนว่า

“ เพื่อที่จะให้อภัยใครบางคนที่ทำให้เราปวดร้าว เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่กับผู้ที่เคยทำให้เราผิดหวัง เพื่อที่จะคงความเสียสละไว้แม้เคยถูกหลอกลวง เหล่านี้แม้หากจะเจ็บปวด แต่เป็นการให้อภัยและเป็นรักที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว ”

Secret Box

• การให้อภัยเป็นเครื่องพัฒนาการของจิตใจ

• การให้อภัยที่สูงที่สุดเป็นการแสดงออกของความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข

• จงเริ่มด้วยการตั้งจิตที่แน่วแน่ในการให้อภัยใครบางคนที่เคยทำให้เราเจ็บปวด

• การให้อภัยจะนำให้เกิดอิสรภาพและความสุขในชีวิต

บทความจากนิตยสารซีเคร็ต



Create Date : 12 มีนาคม 2555
Last Update : 12 มีนาคม 2555 16:30:43 น.
Counter : 351 Pageviews.

0 comment
ทุกข์เพราะยึด
ทุกข์เพราะยึด
พระไพศาล วิสาโล


มื่อพูดถึงความทุกข์กายแล้ว สาเหตุมีเยอะแยะไปหมด ความหิว ความเจ็บป่วย แผ่นดินไหว อุบัติเหตุ อุทกภัย การปล้นจี้ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุของความทุกข์ทางกาย แต่ถ้าพูดถึงความทุกข์ใจแล้ว ก็มีอยู่สาเหตุเดียว นั่นคือ ทุกข์เพราะยึด

ความยึดติด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง คือสาเหตุหลักที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ใจ ยึดติดเรื่องอะไรบ้าง ก็ยึดติดเรื่องราวในอดีต เช่น ความสูญเสียในอดีต โดยเฉพาะสูญเสียของรัก สูญเสียคนรัก รวมไปถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่ถูกกระทำโดยใครบางคน ที่จริงมันผ่านไปนานแล้ว แต่พอยึดเอาไว้ที่ใจ ไม่ยอมปล่อยวาง ก็เลยทุกข์ เจ็บปวด โกรธแค้น เสียดาย อาลัย ถ้าไม่ทุกข์เพราะยึดในอดีต ก็กังวลกับอนาคต เหตุร้ายยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็กังวลหรือตีตนไปก่อนไข้เสียแล้ว บางทีก็นึกถึงอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้า บางคนเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย แต่ก็นึกปรุงแต่งไปไกลว่าฉันจะตายแล้วหรือนี่ ความกังวลกับอนาคตก็เป็นความยึดติดอีกแบบที่ทำให้เราทุกข์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่นึกถึงอนาคต ความกังวลก็ไม่เกิด ความกลัวก็เช่นกัน ส่วนใหญ่เรากลัวสิ่งที่ยังไม่เกิด ตอนนี้ยังสบายดีอยู่ แต่นึกถึงเหตุร้ายล่วงหน้า อันนี้เรียกว่าคิดข้ามช็อต ก็เลยทำให้เป็นทุกข์

นอกจากความยึดติดในอดีต ในอนาคตแล้ว สิ่งที่เป็นปัจจุบัน ถ้ายึดติดก็ทุกข์เหมือนกัน อย่างเช่น เสียงที่มารบกวนขณะที่เรากำลังนั่งสมาธิ เสียงโทรศัพท์ก็ดี เสียงรถยนต์ก็ดี อาจจะไม่ดังเท่าไหร่ แต่พอใจเราไปยึดติดเข้า ก็เป็นทุกข์ทันที เกิดความหงุดหงิด ไม่พอใจ ยิ่งปรุงแต่งต่อไปว่ามันไม่น่า มันไม่ควร เราก็ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น เกิดโทสะ เกิดความโกรธ นี่ก็เรียกว่าเป็นเพราะยึดติดกับอารมณ์ปัจจุบัน อารมณ์ปัจจุบันอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวทนา เรานั่งนานๆ หรือว่าอยู่กลางแดด ก็เกิดทุกขเวทนาขึ้น ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเป็นของจริง ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต มันเป็นปัจจุบัน แต่พอใจเราปักตรึงลงไปตรงนั้น ทีนี้ไม่ใช่แค่ทุกข์กายแล้ว แต่ยังมีทุกข์ใจด้วย ถ้าเราไม่ปล่อย ไม่วาง ความทุกข์ก็ตามมารบกวนจิตใจของเรา

นอกจากนี้เรายังทุกข์เพราะยึดติดกับสิ่งที่ปรุง แต่งขึ้นมา อาจจะไม่ใช่ปรุงแต่งเกี่ยวกับเรื่องราวในอนาคต แต่ปรุงแต่งต่อจากสิ่งที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู เห็นเงาพาดผ่านกลางดึกก็ปรุงว่าเป็นคนบ้าง เป็นผีบ้าง เห็นกิ่งไม้บนพื้นดินก็ปรุงว่าเป็นงูบ้าง แค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้กลัว ยิ่งไปยึดมันเข้า บางทีก็ทำให้นอนไม่หลับ หรือว่าเห็นเพื่อนร่วมงานกระซิบกระซาบกันก็ปรุงว่าเขากำลังนินทาเรา ก็เลยไม่สบายใจ บางคนฟังหลวงพ่อบรรยายก็ปรุงต่อไปว่าท่านกำลังตำหนิเรา ต่อว่าเรา พอคิดอย่างนี้เข้าก็กระสับกระส่าย รุ่มร้อนในใจ หารู้ไม่ว่าปรุงทั้งนั้น

ปกติคนเราปรุงวันละหลายสิบเรื่อง ถ้าปล่อยให้ผ่านเลยไปก็ไม่มีอะไร แต่พอไปยึดเป็นจริงเป็นจัง ก็ทุกข์ขึ้นมาทันที บางทีสามีภรรยาทำร้ายกัน หรือทำร้ายตัวเองก็เพราะความคิดปรุงแต่ง ปรุงว่าเขากำลังนอกใจเรา ไม่ซื่อต่อเรา พอคิดแบบนี้ก็เลยเครียด นอนไม่หลับ จนเป็นโรคประสาท หรือทะเลาะเบาะแว้งกัน อันนี้ก็เพราะว่ายึดติดในสิ่งที่ปรุงแต่ง ผู้คนเป็นทุกข์ก็เพราะเหตุนี้มาก ยิ่งไม่มีหลัก ไม่รู้จักไตร่ตรองก็ทำให้หลงเชื่อความคิด ความคิดทั้งหลายล้วนเกิดจากการปรุงของเรา แต่สุดท้ายมันกลับมาปรุงเรา จนกลายเป็นนายเราก็มี

เบื้องลึกของความยึดติดทั้งหลายที่พูดมา ก็คือความยึดติดในตัวตน อันนี้เป็นรากเหง้าของความยึดติดและความทุกข์ทั้งหลายเลยก็ว่าได้ ความยึดติดในตัวตน จะว่าไปแล้ว ก็เป็นความยึดติดในสิ่งที่ปรุงแต่งอย่างที่พูดเมื่อกี้ แต่เป็นการปรุงแต่งในระดับจิตใต้สำนึกเลยก็ว่าได้ ยึดติดว่ามีตัวกู แล้วก็ทำให้มีของกูตามมา ความทุกข์เกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตและอนาคต ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับของกูและตัวกูทั้งนั้น เช่น แค้นใจที่ถูกต่อว่า กลัวตกงาน กลัวสอบเข้าไม่ได้ กลัวถูกทิ้ง เหล่านี้มีรากเหง้าที่ตัวกู ของกู กลัวบ้านจะถูกยึด กังวลว่าลูกจะอยู่อย่างไร ใครจะดูแล กังวลที่ลืมทิ้งกระเป๋าเอาไว้ที่บ้าน หรือลืมล็อคกุญแจบ้าน เหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับของกูทั้งนั้น ถ้าเป็นของคนอื่นก็ไม่รู้สึกกังวลใช่ไหม ใครจะตาย ใครจะป่วย กี่มากน้อย ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ ตราบใดที่เขาไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่พี่น้อง หรือไม่ใช่เพื่อนร่วมชาติของเรา เราก็ไม่ทุกข์อะไร ได้ยินข่าวว่ามีคนหิวตายนับล้านคนที่แอฟริกา เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะไม่ใช่เพื่อนร่วมชาติของเรา ไม่ใช่ญาติของเรา ไม่ใช่คนที่เรารู้จัก แต่ถ้ารู้ว่าพี่น้องของเราป่วยด้วยโรคมะเร็ง เรานอนไม่หลับเลยก็มี

ขอให้พิจารณาดู ความทุกข์ใจทั้งหลายทั้งปวง สาวหาสาเหตุก็จะไปสุดอยู่ที่ความติดยึดในตัวตน หรือความติดยึดว่ามีตัวกูของกู แม้แต่ความทุกข์เพราะยึดติดในอารมณ์ปัจจุบัน เช่นหงุดหงิดเพราะเสียงที่ดัง หรือทุกข์เพราะปวดท้อง เสียงดังและอาการปวดท้อง เป็นอารมณ์ปัจจุบันไม่ใช่สิ่งปรุงแต่ง และทำให้ทุกข์กายก็จริง แต่มันจะไม่ขยายจากทุกข์กายเป็นทุกข์ใจไปได้ถ้าไม่มีความยึดมั่นในตัวกู ของกูเข้าไปผสมโรงด้วย เช่นเวลาปวดหรือเมื่อย มันเป็นรูปที่เมื่อย เป็นกายที่ปวด เป็นทุกขเวทนา แต่พอไปยึดและปรุงว่าฉันปวด ฉันเมื่อย ใจก็จะเป็นทุกข์ทันที แทนที่จะเห็นว่าเป็นกายที่ปวด เป็นรูปที่เมื่อย ก็เกิดความสำคัญมั่นหมายว่าฉันปวดฉันเมื่อย ตรงนี้เป็นที่มาของความทุกข์ใจ

การปรุงจนเกิดมี ตัวกู ของกูขึ้นมา เป็นสาเหตุของความทุกข์ใจ เช่น ปรุงว่ามี กูผู้ปวด กูผู้เมื่อย กูผู้รำคาญ กูผู้โกรธ อันนี้เป็นการเกิดแบบหนึ่ง เรียกว่าภพชาติ ไม่ใช่ว่าต้องเกิดจากท้องแม่ถึงจะเรียกว่าเป็นการเกิด การมีตัวกูเกิดขึ้นมาก็เป็นภพชาติ อย่างที่เราสวดเมื่อกี้ว่า การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป ไม่ใช่แค่เกิดจากท้องแม่เท่านั้น แม้กระทั่งการเกิดตัวกูขึ้นมา ในใจ ก็ทำให้เป็นทุกข์เช่นกัน มันเป็นการเกิดที่สืบเนื่องจากการปรุงแต่ง เมื่อเกิดตัวกูขึ้นมาแล้วก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น เช่น พอเกิดตัวกูผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็ย่อมทุกข์เพราะลูก ไม่ใช่แค่ห่วงกังวลลูกเท่านั้น แต่ยังทุกข์เพราะว่าลูกไม่เชื่อฟัง ลูกไม่เคารพฉันซึ่งเป็นพ่อแม่

ธรรมดาของคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็อยากจะให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองคิด นี้เป็นความยึดติดถือมั่นอีกแบบหนึ่ง อยากจะให้เขาดีเหมือนตัว อยากจะให้เขามีชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ แต่พอลูกไม่ดีเหมือนตัว มีชีวิตไม่ตรงตามที่เราวาดหวังก็ทุกข์ พูดแล้วก็ไม่ฟังก็ทุกข์ ลูกบางคนไม่พูดกับแม่ ประท้วงแม่ เพราะถูกแม่ต่อว่าที่ชอบเล่นเน็ต เล่นเกมส์ออนไลน์ทั้งวันทั้งคืน จนไม่สนใจเรียนหนังสือ และไม่เป็นอันหลับอันนอน พอถูกแม่ว่ามากๆ เข้า ลูกก็ไม่พูดกับแม่ แม่เลยเสียใจและโกรธลูก ยื่นคำขาดว่าถ้าลูกไม่พูดกับแม่ แม่จะโดดตึก ขู่แล้วคิดว่าจะได้ผล ปรากฎว่าไม่ได้ผล แม่ก็เสียใจ น้อยใจลูก เลยโดดลงจากระเบียงตึกตาย นี่ก็เป็นความทุกข์ของคนเป็นแม่ พอยึดติดในความเป็นแม่ ก็วาดหวังว่าลูกจะต้องเชื่อฟังแม่ พอลูกไม่เชื่อฟัง แม่ก็เป็นทุกข์ทันที

คนเป็นพ่อก็ทุกข์เพราะลูกเหมือนกัน พ่อเป็นคนธรรมะธรรมโม ชอบเข้าวัด แต่ลูกเป็นเด็กวัยรุ่น ไม่ค่อยสนใจธรรมะ เรียนหนังสือก็ไม่ค่อยเรียน เหมือนกับวัยรุ่นทั่วๆ ไป แต่ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกกมะเหรกเกเร ไม่ได้ติดเหล้าติดยา พ่อก็รู้สึกผิดหวังในตัวลูก ผิดหวังแล้วก็เลยโกรธ ต่อว่าลูก มีปากเสียงกัน สุดท้ายลูกกับพ่อก็ไม่คุยกัน พ่อก็พยายามเข้าหาลูก ซื้อรถมาให้ลูก แต่ก็พยายามควบคุมการใช้รถของลูก ลูกก็ไม่พอใจ วันหนึ่งลูกจะขับรถไปบ้านเพื่อนตอนกลางคืน พ่อไม่อนุญาต แต่ลูกไม่ฟัง ขับรถฝืนคำสั่งพ่อ พ่อโกรธ ตามไปบ้านเพื่อน แล้วก็ไปเอารถกลับมาพร้อมลูก พอถึงบ้านก็มีปากเสียงทะเลาะกัน ทะเลาะกันท่าไหนไม่รู้ จู่ ๆ พ่อก็ควักปืนออกมายิงลูกตาย แล้วก็ยิงตัวตาย คงทำใจไม่ได้ว่าฉันเผลอฆ่าลูก รู้สึกผิดมหันต์ ก็เลยฆ่าตัวตายตาม

นี่เป็นผลของความยึดติดถือมั่น โดยเฉพาะความยึดติดถือมั่นของพ่อ ว่าลูกต้องเชื่อฟังพ่อ ต้องอยู่ในโอวาทของพ่อ ต้องดีเหมือนพ่อ หรือดีอย่างที่พ่อคิด แต่เมื่อลูกไม่เป็นอย่างนั้นก็โกรธ แล้วกลายเป็นเกลียด สุดท้ายก็ทำร้ายลูก นี่เป็นความทุกข์เพราะยึดติด คือยึดติดถือมั่นว่าฉันเป็นพ่อ แกเป็นลูก เพราะฉะนั้นต้องฟังฉัน พอลูกไม่ฟัง ก็เกิดโทสะขึ้นมา เห็นไหมว่าความยึดติดถือมั่นในความเป็นพ่อ ก็มีโทษและทำให้เป็นทุกข์ เช่นเดียวกับความยึดมั่นสำคัญหมายในความเป็นแม่ เพราะมันทำให้เกิดกิเลสตัวใหญ่ตามมา ว่าลูกต้องเชื่อฟังฉัน ต้องเคารพฉัน ต้องเป็นอย่างที่ฉันต้องการ พอไม่เป็นดั่งใจ เมตตาก็กลายเป็นโทสะไป หรือไม่ก็กลายเป็นอกุศล เป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ นี่ก็เป็นความทุกข์จากการยึดติดถือมั่นในตัวกูของกูอีกแบบหนึ่ง

ความยึดมั่นถือมั่นในตัวกู เป็นอุปาทานอย่างหนึ่ง พอมีอุปาทานหรือความยึดมั่นแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ก็จะมีกิเลสตามมา และถ้ากิเลสนั้นไม่สมหวัง ไม่สมประสงค์ก็เกิดทุกข์ ถ้าไม่ระบายทุกข์ใส่คนอื่น ก็ระบายทุกข์ใส่ตัวเอง อันนี้รวมถึงความยึดมั่นสำคัญหมายว่าฉันเป็นคนดีด้วย มีความยึดมั่นแบบนี้ก็ทำให้ทุกข์ได้ เช่น ทุกข์เพราะว่าคนไม่เห็นความดีของฉัน ทุกข์เพราะว่าฉันทำดีไม่ได้ดี ทุกข์เพราะเห็นคนอื่นดีกว่าตัว ทำความดีนั้นเป็นสิ่งดี แต่พอยึดมั่นสำคัญว่าฉันเป็นคนดี ก็ทำให้อัตตาฟูฟ่อง พอเจอคนที่เขาดีกว่า ก็ไม่พอใจ เกิดความอิจฉา นี่ก็เป็นทุกข์ของคนดี หรือทุกข์ของคนที่ยึดมั่นสำคัญหมายว่าฉันเป็นคนดี นี่ก็เป็นทุกข์เพราะการเกิดอีกแบบหนึ่ง คือเกิดตัวกูผู้เป็นคนดี เป็นการเกิดที่ปรุงขึ้นมาโดยมีรากเหง้ามาจากความยึดมั่นในตัวกูของกู

ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีพราหมณ์ถามพระพุทธองค์ว่าท่านเป็นใคร ท่านเป็นเทวดาหรือ พระองค์ก็ปฏิเสธ ท่านเป็นคนธรรพ์หรือ พระองค์ก็ปฏิเสธ ท่านเป็นยักษ์หรือ พระองค์ก็ปฏิเสธ สุดท้ายพราหมณ์ก็ถามว่าท่านเป็นมนุษย์หรือ พระองค์ก็ปฏิเสธอีก พราหมณ์ยิ่งงงใหญ่ว่าตกลงท่านเป็นอะไร พระพุทธเจ้าอธิบายว่า กิเลสที่จะทำให้พระองค์เป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ เป็นยักษ์ เป็นมนุษย์ไม่มีแล้ว พูดง่าย ๆ กิเลสที่จะทำให้เป็นนั่นเป็นนี่ไม่มีแล้ว แต่ถ้าจะเรียกก็เรียกพระองค์ว่า พุทธะก็แล้วกัน

ความรู้สึกว่าเป็นนั่นเป็นนี่ มันไม่ใช่ของจริง มันเป็นความปรุงแต่ง พอเราไปยึดเข้า ก็เตรียมตัวทุกข์ได้เลย เพราะว่าไม่มีอะไรที่จะยึดติดถือมั่นได้เลยซักอย่าง เนื่องจากทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงและแปรเปลี่ยน ขณะเดียวกันพอยึดติดถือมั่นว่าเป็นอะไร ก็จะมีกิเลสตามมา ขึ้นชื่อว่ากิเลสก็ล้วนทำให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นความอยากได้หรืออยากผลักไส ก็ล้วนนำไปสู่ความทุกข์ใจ เพราะเมื่อความจริงไม่เป็นอย่างที่อยาก ก็เป็นทุกข์แล้ว ที่จริงเพียงแค่นึกอยาก ไม่ว่าอยากผลักไสหรือ อยากได้ครอบครองก็เป็นทุกข์แล้ว เพราะมันทำให้จิตดิ้นรน ทนอยู่เฉยไม่ได้ ก็ทุกข์ขึ้นมาทันที

ถามว่า ในเมื่อความยึดติดเป็นทุกข์ แล้วทำไมผู้คนถึงยึดอยู่ได้ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง นั่นก็เพราะความหลงและลืมตัว พูดง่ายๆ คือเพราะลืม และเพราะหลง ลืมคือขาดสติ หลงคือขาดปัญญา ทำอย่างไรถึงจะปล่อยวางได้ ก็ต้องมีสติ และมีปัญญา สติทำให้ระลึกได้ ทำให้ไม่ลืมตัว ไม่ใช่ระลึกได้ในเรื่องอื่นเท่านั้น แต่ระลึกได้ในกายและใจ ก็ทำให้ไม่ลืมตัว เมื่อไม่ลืมตัว ก็ไม่ไปยึดอดีตกับอนาคต หรือถ้ารู้ว่ายึด ก็วางได้

คนเราเวลาเกิดทุกข์แล้วมักจะไม่รู้ทุกข์ เพราะลืมตัว แต่พอมีสติ ก็เห็นทุกข์ รู้ว่าแบกความทุกข์เอาไว้ ก็ทำให้วางได้ เป็นการวางได้เองโดยไม่ต้องสั่ง และถ้าเห็นว่า ทุกข์นี้สักแต่ว่าเกิดขึ้นโดยไม่ไปยึดเอาไว้ เช่น เมื่อความปวด ความเมื่อย ความเจ็บ เกิดขึ้น แต่ไม่เข้าไปยึดติดถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา ความสำคัญหมายว่า เราทุกข์ เราปวด เราเมื่อย เราโกรธ ก็ไม่เกิดขึ้น เวลานึกถึงอดีต นึกถึงอนาคตแล้วเกิดความโกรธหรือกังวลขึ้นมา นี่เรียกว่าลืมตัว

แต่ถ้ามีสติ เห็นความโกรธ เห็นความกังวล ความยึดมั่นสำคัญหมายว่าเราโกรธ เรากังวล ก็ไม่มี เพียงแต่เห็นความกังวลเกิดขึ้นที่ใจ ความโกรธเกิดขึ้นที่ใจ ไม่เข้าไปเป็นมัน ไม่มีฉันผู้โกรธ ฉันผู้กังวล ฉันผู้ทุกข์ จิตก็หลุดจากความทุกข์ได้ ความปวดกายก็เช่นเดียวกัน มันปวดมันเมื่อย ก็เห็นความปวดความเมื่อย แต่ไม่ปรุงเป็นฉันผู้ปวดผู้เมื่อย ก็ไม่มีความทุกข์ใจ ไม่มีความปวดใจ ถามว่าทำไมถึงปรุงเป็นฉันผู้ปวดผู้เมื่อยได้ ตอบสั้น ๆ ว่าเป็นเพราะไม่มีสติ ไม่มีสติเมื่อไร ก็ปรุงตัวกูขึ้นมาเมื่อนั้น สติจึงเป็นเครื่องสลายตัวตน หรือพูดให้ถูกต้องคือทำลายความยึดติดถือมั่นในตัวตน มีสติเมื่อไร ความยึดถือมั่นว่ามีตัวกูของกูก็หายไป ถ้าเพียงสักแต่ว่ารับรู้สิ่งต่างๆ อย่างมีสติ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสกับท่านพาหิยะ ก็ไม่มีตัวกูมาก่อความทุกข์

ท่านพาหิยะเป็นนักบวชสมัยพุทธกาล อุตสาห์เดินทางข้ามวันข้ามคืนเพื่อจะมาพบพระพุทธเจ้า มาถึงเมืองสาวัตถีขณะที่พระพุทธองค์กำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่ จึงรีบเข้าไปทูลขอให้พระองค์แสดงธรรม ท่านพาหิยะอยากจะฟังธรรมเดี๋ยวนั้นเลย พระองค์ก็ปฏิเสธ ท่านพาหิยะก็ยืนกราน ขอให้พระองค์แสดงธรรมอยู่นั่น พระองค์ก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่เวลา เพราะกำลังบิณฑบาตอยู่ ท่านพาหิยะทูลขอถึงสามครั้ง สุดท้ายพระองค์ก็ยอมแสดงธรรม ทรงแสดงธรรมสั้นๆ ว่า “เมื่อเห็นรูป ก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟัง ก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อทราบ ก็สักแต่ว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งในอารมณ์ ก็สักแต่ว่ารู้แจ้งในอารมณ์ เมื่อนั้นตัวเธอย่อมไม่มี เมื่อใดตัวเธอไม่มี เมื่อนั้นย่อมไม่มีทั้งในโลกนี้ ทั้งในโลกหน้า และระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลคือที่สุดแห่งทุกข์” พอพระองค์ตรัสจบ ท่านพาหิยะก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทันที ได้ชื่อว่าเป็นเอตทัคคะในเรื่องการตรัสรู้เร็ว แต่ท่านไม่ทันได้บวชก็โดนวัวขวิดตายกลางถนนนั้นเอง

นี่ก็เป็นคำสอนที่ชี้ให้เห็นว่าเมื่อมีสติขณะเกิดผัสสะ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่ารับรู้อารมณ์ ก็ไม่มีตัวตนเกิดขึ้น สติจึงเป็นอุบายสลายตัวตนที่สำคัญมาก ฉะนั้น การที่จะไม่เกิดภพชาติ ไม่ต้องรอให้ตายหรือหมดลมไปก่อนถึงจะหลุดพ้นจากภพชาติ ในขณะที่เรายังมีลมหายใจ การทำให้ความเกิดไม่มี หมดการปรุงเป็นภพเป็นชาติก็สามารถทำได้ ไม่ได้ทำได้เฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น ปุถุชนก็สามารถทำได้ เพียงแต่ว่าเป็นครั้งคราว ไม่ใช่ถาวรอย่างพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้าที่ท่านไม่มีภพไม่มีชาติแล้ว

เราก็สามารถทำได้ แต่ก็เฉพาะในยามที่มีสติ พอไม่มีสติ ก็ปรุงตัวกูขึ้นมาใหม่ เมื่อเห็น แทนที่สักแต่ว่าเห็น ก็มีตัวกูผู้เห็น ได้ยิน-ก็ไม่ใช่สักแต่ว่าได้ยิน แต่มีตัวกูผู้ได้ยิน โกรธ-ก็ไม่ใช่สักแต่ว่าโกรธ หรือเห็นความโกรธเฉย ๆ แต่มีตัวกูผู้โกรธ เมื่อย-ก็ไม่ใช่สักแต่ว่าเมื่อย หรือเห็นความเมื่อยเท่านั้น แต่ว่ามีตัวกูผู้เมื่อย มันมีการปรุงอยู่ตลอดเวลาถ้าไม่มีสติ แต่ถ้ามีสติ การปรุงก็หมดไป ไม่มีตัวกูขึ้นมา ไม่มีกูผู้โกรธ ผู้เมื่อย อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่มีการเกิด แต่สติเรามีเป็นขณะๆ พอมันดับไป ก็ปรุงตัวกูขึ้นมาอีก

สติหรือความระลึกได้นั้นเกิดเป็นขณะๆ อยู่ที่ว่าจะต่อเนื่องนานแค่ไหน หลวงพ่อคำเขียนท่านเปรียบเป็นโซ่ ที่ต่อกันเป็นข้อๆ บางคนมีไม่กี่ข้อก็ขาด บางคนมีสี่ห้าข้อเท่านั้นก็ขาด แต่บางคนที่ก้าวหน้าในการปฏิบัติ ข้อของสติก็เชื่อมต่อกันเป็นสายยาว แต่ก็ขาดเหมือนกัน จนกว่าจะมีสติสมบูรณ์เป็นพระอรหันต์ ซึ่งมีข้อที่ยืดยาว ไม่ขาด แต่ถึงเราจะทำไม่ได้ขนาดนั้น ก็ไม่เป็นไร ขอให้เพียรสร้างสติให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะทำให้ทุกข์นั้นสั้นลง ๆ เป็นลำดับ

การเจริญสติจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าเราเจริญสติแล้วเราไม่พอใจแค่ใจสงบเท่านั้น แต่ว่ายกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา คือพิจารณากายและใจหรือรูปกับนามด้วย ก็ทำให้เกิดปัญญาขึ้นมา การเจริญสตินี้ ทำไปๆ เรื่อย ๆ จิตก็สงบ แต่ระวังอย่าให้จิตแนบไปกับอารมณ์ ถ้าจิตแนบกับอารมณ์ ได้ความสงบก็จริงแต่ไม่เกิดปัญญา เพราะไม่เห็นความจริงที่เกิดขึ้นกับจิต พอสงบแล้ว อาการขึ้นลงของจิตก็ไม่ปรากฏเพื่อแสดงให้เห็นไตรลักษณ์ อันนี้เป็นข้อเสียที่ไม่ทำให้เกิดปัญญา หลวงพ่อเทียนจึงแนะลูกศิษย์ว่า เวลาจิตสงบมากๆ ต้องเดินให้เร็ว ยกมือสร้างจังหวะให้เร็ว เพื่ออะไร เพื่อกระตุ้นให้ความคิดออกมา จะได้ฝึกสติพร้อม ๆ กับเห็นธรรมชาติของจิตชัดเจนขึ้น นั่นคือเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เช่นนั้นถ้าจิตสงบมาก ๆ บางทีไปคิดว่าจิตเป็นนิจจังคือเที่ยง หรือคิดว่าเป็นตัวตนที่ควบคุมบังคับบัญชาได้ด้วยซ้ำ

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกระตุ้นจิตให้มีความคิดออกมา จะได้เห็นอาการอันเป็นธรรมดาของจิต ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญาตามมา ถ้าจิตนิ่งเสียแล้ว หรือแนบกับอารมณ์ก็จะเพลินในความสงบ แต่ปัญญาไม่เกิด อันนี้ เราก็ต้องเข้าใจหลักของการปฏิบัติด้วย ต้องรู้ว่ามีหลุมพรางตรงไหนเพื่อเราจะได้หลีกเลี่ยง ไม่ถลำเข้าไป หรือเพลินนานเกินไปจนไม่ก้าวหน้า



Create Date : 10 มีนาคม 2555
Last Update : 10 มีนาคม 2555 13:47:27 น.
Counter : 288 Pageviews.

0 comment
เจอทุกข์แต่ไม่ทุกข์
คนเราจะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องรู้จักทุกข์ ถ้าเรารู้จักทุกข์แล้วจะพ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเราไม่รู้จักทุกข์ก็ไม่มีทางที่จะเกิดปัญญาพาใจให้พ้นทุกข์ได้เลย แล้วเราจะรู้จักทุกข์ได้อย่างไร ก็ต้องเจอทุกข์บ่อยๆ เหมือนเราเล่นฟุตบอล เราเจอคู่ต่อสู้ที่เก่งและแกร่งมาก วิธีที่เราจะเอาชนะทีมนี้ได้คือต้องเล่นกับเขาบ่อยๆ เล่นบ่อยๆ จนรู้ทางและรู้จุดอ่อนของเขา ความทุกข์ไม่ว่าจะมีจุดแข็งแค่ไหนก็ต้องมีจุดอ่อนที่เราสามารถจะรู้ได้ หรือสามารถจะรู้ทางกันได้ เมื่อเรารู้ทางแล้วก็สามารถเอาชนะได้ อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญา ใหม่ๆ ก็ต้องยอมแพ้ สู้เขาไม่ได้ก็แพ้ไป เมื่อแพ้แล้วก็ไม่ได้คร่ำครวญ แต่มาใคร่ครวญว่าแพ้เพราะอะไร จนกระทั่งรู้ว่าเป็นเพราะเรามีจุดอ่อนอย่างนี้ ๆ และใคร่ครวญจนเห็นจุดอ่อนของเขาด้วย ความทุกข์ก็มีจุดอ่อน ถ้าเรารู้จักจุดอ่อนของมัน เราก็สามารถจัดการเป็นนายความทุกข์ ไม่ใช่เป็นทาสของความทุกข์

หลวงพ่อคำเขียนอุปมาเหมือนกับช้างหรือควาย ตัวมันใหญ่ แรงมันเยอะมาก มนุษย์เราสู้ไม่ได้เลยถ้าพูดถึงพละกำลัง แต่ทำไมมนุษย์เราถึงสามารถล่ามควายได้ ทำไมเราถึงสามารถควบคุมช้างได้ ช้างยอมให้เราขึ้นไปอยู่บนหลังและสามารถควบคุมมันได้เพราะเหตุใด ควายก็มีจุดอ่อนตรงจมูก ถ้าเอาเชือกสนตะพายได้มันก็อยู่ในอำนาจของเรา ช้างก็มีจุดอ่อนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวล้วนมีจุดอ่อน ความทุกข์ก็มีจุดอ่อน จุดอ่อนอยู่ที่ไหน จุดอ่อนอยู่ตรงที่ว่าถ้าเรารู้ทุกข์เมื่อไหร่มันก็หมดฤทธิ์พิษสงทันที มันพ่ายแพ้ต่ออาการรู้ เหมือนกับโจรกำลังจะเข้าบ้าน ถ้าเจ้าบ้านเห็นโจร โจรก็หนีกระเจิง ความทุกข์มันมีจุดอ่อนอย่างนี้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ควรกลัวความทุกข์ เวลาเจอความทุกข์หรือเจอปัญหา ก็อย่าปฏิเสธผลักไสที่จริงหากสบายมากไปก็ควรพาตัวเข้าหาความทุกข์หรือความยากลำบากบ้าง อย่าลืมว่าทุกข์ไม่ได้มีไว้ให้คร่ำครวญหรือโวยวาย ทุกข์มีไว้ให้ใคร่ครวญ ทุกข์มีไว้เพื่อฝึกให้เราเข้มแข็ง แต่จะทำอย่างนั้นได้ต้องมีสติ โดยเฉพาะการหมั่นรู้ใจดูใจของเรา

คนเรามักจะมองออกไปนอกตัว ซึ่งบ่อยครั้งก็จำเป็นเพราะความทุกข์ของคนเรามักจะมาจากสิ่งภายนอก ธรรมชาติจึงให้อายตนะมาถึง ๕ อย่างเพื่อให้เรารอดพ้นจากอันตราย ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นจุดอ่อนที่ทำให้เราเผลอได้ มีเรื่องเล่าว่ามีหัวขโมยกับเศรษฐี บังเอิญต้องมานอนพักค้างแรมในโรงเตี๊ยมเดียวกันอยู่หลายวัน ช่วงนั้นมีงานจาริกแสวงบุญ ทั้งสองคนหาที่พักไม่ได้เลยต้องมานอนอยู่ในห้องเดียวกัน หัวขโมยก็เล็งเอาทรัพย์จากเศรษฐี ทุกเย็นเมื่อถึงเวลาอาหาร หัวขโมยจะออกอุบาย บอกเศรษฐีว่าคุณลงไปกินอาหารก่อนนะ ผมขออาบน้ำก่อน พอเศรษฐีลงไปกินอาหาร หัวขโมยก็จะออกมาจากห้องน้ำและเริ่มค้นกระเป๋าของเศรษฐี รวมทั้งค้นใต้เตียง ใต้หมอน ของเศรษฐี เพราะเชื่อแน่ว่าเศรษฐีต้องซ่อนเงินเอาไว้ เนื่องจากเศรษฐีใส่ชุดลำลองออกไป ไม่น่าจะพกเงินไปได้ แต่หัวขโมยก็ไม่เจอเงิน

วันรุ่งขึ้นก็ใช้อุบายเดียวกันนี้ เศรษฐีว่าง่าย ลงไปกินอาหาร ส่วนขโมยก็ลงมือค้นหาเงินของเศรษฐีอีก ทำอย่างนี้อยู่ ๓ วันไม่เจอเงินเลย จึงกลัดกลุ้มใจว่าเป็นไปได้อย่างไร เศรษฐีก็ไม่ได้เอาเงินลงไป เมื่อเศรษฐีจะออกจากโรงเรียน ขโมย จึงถามเศรษฐีตรง ๆ ว่า ช่วยบอกทีเถอะว่าคุณเอาเงินไปซ่อนไว้ที่ไหน พร้อมกันนั้นก็สารภาพว่าตัวเองเป็นหัวขโมย อยากจะรู้จริง ๆ เศรษฐีก็เฉลยว่า “ตอนคุณเข้าห้องน้ำ ผมก็เอาเงินไปไว้ใต้หมอนของคุณ”

คำตอบของเศรษฐีเป็นสิ่งที่ขโมยไม่เคยคิดมาก่อน ขโมยค้นทุกจุดเลยนะ แต่จุดเดียวที่ลืมค้นก็คือใต้หมอนใต้เตียงของตัว เป็นเพราะอะไร มันสะท้อนธรรมชาติของคนเรา คือเรามักจะมองข้ามสิ่งใกล้ตัว ยิ่งใกล้ตัวที่สุดก็ยิ่งมองข้าม สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวไม่ได้หมายถึงสิ่งของหรือคนที่อยู่ใกล้ตัวเท่านั้นแต่ยังรวมถึงสิ่งที่อยู่ในตัวด้วย และสิ่งที่ใกล้ตัวเราที่สุดก็คือจิตใจ คนเรามักมองข้ามจิตใจของตัวเอง ดังนั้นเวลาเรามีความทุกข์ เราจะมองไปที่ภายนอกว่าเป็นตัวการทำให้เราทุกข์ แต่เราไม่ค่อยหันมาดูใจของเราเท่าไร ว่าใจของเราต่างหากที่เป็นตัวการ เวลาเราปวด เวลาเราเจ็บ เราก็จะโทษสิ่งภายนอก โทษถนน โทษแดด โทษคนที่อยู่ข้างๆ โทษคนที่อยู่ข้างหน้า แต่เราลืมดูใจของเราที่กำลังบ่น งอแง โวยวาย หงุดหงิด ใจอย่างนี้ต่างหาก ที่ทำให้คนเราทุกข์มากกว่าอย่างอื่น

เวลามีอะไรมากระทบใจ หรือกระทบกาย ไม่ใช่ว่าเราทุกข์ทันที มันจะมีข้อต่อตรงกลางที่เป็นสะพานให้ความทุกข์เข้ามาถึงใจ เวลาเจอแดด เจอฝน เจอเสียงดัง เราไม่ได้ทุกข์ทันที มันต้องผ่านข้อกลางหรือสะพานก่อน ข้อกลางหรือสะพานนั้นคืออะไร ถ้าพูดอย่างง่ายๆ คือความหลงลืม ความไม่มีสติ เมื่อไม่มีสติ เวลามีอะไรมากระทบมันก็แล่นตรงไปถึงใจทันที ทำให้ทุกข์

เคยเล่าเรื่องหลวงปู่บุดดา ถาวโรแล้ว มีเสียงดังจากห้องข้างเคียง ทำให้ลูกศิษย์รำคาญ หงุดหงิด เพราะรบกวนหลวงพ่อที่กำลังจำวัด ลูกศิษย์จึงบ่นออกมาว่า เดินเสียงดังจัง หลวงพ่อแม้จะหลับแต่ก็ได้ยิน จึงพูดเบา ๆ ว่า “เขาเดินของเขาอยู่ดีๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง” เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเพราะอะไรเพราะเราไม่มีสติ เมื่อเสียงเกี๊ยะมากระทบหู เราไม่ได้ทุกข์ทันที มันต้องมีความหลงลืมเกิดขึ้นก่อน ความทุกข์ถึงจะเดินไปถึงใจได้ แต่ถ้าเรามีสติ ก็เหมือนกับเรากำลังชักสะพานออก เหมือนกับว่าข้อตรงกลางมันหลุด เสียงที่มากระทบก็ไม่สามารถกระเทือนไปถึงใจได้ เมื่อสะพานถูกชักออกแล้ว มันก็ไม่สามารถเข้ามาถึงใจได้

สตินั้นสำคัญมาก สติก็คือใจของเรานี่แหละ เราต้องหัดมาดูใจของเรา แล้วชีวิตเราจะง่ายขึ้น จะทุกข์น้อยลง การดูใจเป็นสิ่งที่ทำกันได้ ฝึกฝนกันได้แม้แต่เด็กๆ มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อปลาวาฬอายุแค่ ๔ ขวบ วันหนึ่งถูกแม่ดุ ธรรมดาเด็กเวลาถูกแม่ดุก็มักเถียงแม่หรือแสดงอาการฮึดฮัด แต่ปลาวาฬไม่ทำอย่างนั้น พอถูกแม่ดุ ปลาวาฬก็เดินออกไปทันที แม่สงสัย ถามปลาวาฬว่าจะไปไหน ปลาวาฬตอบว่า “ไปสงบสติอารมณ์”

ปลาวาฬรู้ดีว่าตอนนี้กำลังอารมณ์ไม่ดี ถ้าคนปกติเมื่ออารมณ์เสีย ก็ไม่คอยรู้หรอกว่าอารมณ์เสีย คิดแต่จะระบายอารมณ์ใส่คนอื่น เช่นระบายใส่แม่ แต่ปลาวาฬรู้ว่าตอนนี้ใจกำลังโกรธ และรู้ด้วยว่าความโกรธไม่ดี ก็เลยเดินหนีเพื่อไปสงบสติอารมณ์ แสดงว่าเขาเห็นแล้วว่าตัวการอยู่ที่ใจ ความโกรธนั่นแหละที่ทำให้ใจทุกข์ ก็เลยพยายามจัดการที่ใจของตน แทนที่จะไปโวยวายใส่แม่

น้องไอซ์อายุประมาณ ๔ - ๕ ขวบวิ่งไปชนประตูกระจกอย่างแรง เสียงดังไปถึงหูของแม่ที่กำลังทำครัวอยู่ แม่ตกใจรีบวิ่งไปหาลูก พอจะเข้าไปโอบกอดปลอบใจน้องไอซ์ น้องไอซ์กลับบอกว่า “แม่ไม่ต้องๆ น้องไอซ์นั่งสมาธิก่อน เดี๋ยวก็หาย” ธรรมดาเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตามเวลาเดินหรือวิ่งชนกระจก อย่างแรกที่เรามักทำคือโวยวายว่า ใครปิดประตูอย่างนี้ โทษคนโน้นโทษคนนี้ แล้วก็ระบายความโกรธ หากไม่รู้จะระบายใส่ใคร ก็ระบายใส่กระจก อาจจะเตะกระจกให้หายแค้น แต่น้องไอซ์ไม่ได้ทำอย่างนั้น กลับนั่งสมาธิ เพราะรู้ว่าถ้าทำสมาธิแล้วความปวดจะทุเลาลง

เด็กเขารู้ได้ แม้อายุไม่กี่ขวบ เขาก็รู้ว่าเวลาปวดขึ้นมา ถ้านั่งสมาธิก็หายหรือบรรเทาได้ เด็กอาจจะรู้ด้วยซ้ำว่าเวลาปวดกายแล้ว มันยังปวดใจ ทำให้เกิดโทสะขึ้นมา ซึ่งซ้ำเติมให้ความปวดกายรุนแรงขึ้น น้องไอซ์อาจจะรู้ว่าถ้านั่งสมาธิแล้วจะช่วยระงับใจไม่ให้เกิดโทสะ ซึ่งทำให้ความทุกข์กายลดลง หรือเขาอาจจะเห็นด้วยว่าถ้านั่งสมาธิแล้วทุกข์กายก็จะเบาลงด้วย นี่เป็นสิ่งที่ฝึกกันได้ ถ้าพ่อแม่ฉลาด ก็ฝึกให้ลูกรู้อย่างนี้ได้

แต่พวกเราหลายคนโตแล้ว ก็ต้องฝึกเอง ทำอย่างไร ก็ต้องมาฝึกกันแบบนี้ ใช้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เป็นประโยชน์ ไม่มีใครอยากจะมาเจอความทุกข์ แต่ว่าเมื่อทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็ต้องรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ เช่น ใช้เป็นเครื่องฝึกสติ อย่างนี้เรียกว่าทุกข์เป็น ถ้าทุกข์ไม่เป็นก็แย่ พวกเราจึงอย่าไปกลัวความทุกข์ อย่าไปกลัวความยากลำบาก

เด็กสมัยนี้ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลำบากด้วย ทำไมต้องอยู่แบบเรียบง่าย ทำไมไม่อยู่แบบหรูหรา เราก็มีกินมีใช้ ทำไมไม่กินให้มันเต็มที่ สนุกให้มันเต็มที่ คำตอบก็คือ เพราะมันจะทำให้เราอ่อนแอ ทำให้เราประมาท ทำให้เราติดสบายจนกระทั่งกลายเป็นทาสของความสบาย พอไม่มีความสบายก็จะเป็นทุกข์ กลายเป็นคนทุกข์ง่าย สุขยาก เพราะได้เท่าไหร่ก็ไม่พอ สบายเท่าไหร่ก็ไม่พอ นี่คือธรรมชาติของความสะดวกสบาย คือมันไม่มีขีดจำกัด มันต้องการเรื่อยๆ ไม่เคยเกิดความรู้สึกพอสักที แต่ถ้าเราฝึกใจให้มีสติเราก็จะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรพอ เมื่อไหร่ควรหยุด เราจะรับมือกับสิ่งต่างๆ ได้ กลายเป็นคนสุขง่าย ทุกข์ยาก


พระไพศาล วิสาโล



Create Date : 10 มีนาคม 2555
Last Update : 10 มีนาคม 2555 13:43:51 น.
Counter : 326 Pageviews.

0 comment

Namkhiang-Nitcha
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]