V for Vendetta : God is in the rain
V for Vendetta

Remember, remember
The fifth of November
The gunpowder treason and plot.
I know of no reason
Why the gunpowder treason
Should ever be forgot.

เรื่องนี้ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะตัดสินใจว่าเขียนดีหรือไม่เขียนดี เพราะกลัวตัวเองจะไปเอี่ยวกับการเมืองนี่สิ



ภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างหนัก และไม่ใช่หนังที่ดูง่ายสักเท่าไหร่ ไม่ใช่หนังครอบครัวที่เหมาะกับการดูตอนกินข้าวเย็น หรือ เหมาะกับผู้ที่กำลังมองหาอะไรที่ทำให้กระชุ่มกระชวย
แต่ถ้าอยากดูหนังอะไรที่ต้องคิดนิดนึง หนังที่อาจจะสะกิดอะไรหลายๆอย่างในใจ หนังที่อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้ทำอะไรๆ (อะไรล่ะ 55)

หนังเรื่องนี้วางเรื่องอยู่ที่ ลอนดอน อังกฤษ ที่ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้แตกต่างอะไรไปกับช่วงสงครามโลก หรืออย่างน้อยก็ช่วงก่อนสงครามโลก ที่มีเคอร์ฟิว ที่คนตรวจตระเวน มีพฤติกรรมที่ห้ามทำ มีของที่ห้ามมี แม้แต่ผู้นำในภาพยนตร์ Adam Sutler ก็เหมือนจะเป็นตัวแทน สัญลักษณ์ในการสื่อถึงอดีตผู้นำนาซี Adolf Hitler
มีการ England Prevails!! เหมือนกับการที่มี Heil Hitler!!

รวมถึงการที่มีการทดลองมนุษย์ เหตุการณ์ที่ Saint Mary ทำให้คนดูอย่างเราๆอดเทียบกับ Auschwitz หรือ Belzec ไม่ได้ มันชวนให้คิดถึง Schindler's list จริงๆ (ซึ่งเป็นหนังในดวงใจอีกเรื่องนึง) ที่ทั้งสองเรื่องต่างมีเหตุการณ์ที่มนุษย์ปฏิบัติกับมนุษย์ด้วยกัน โดยที่ฝ่ายนึงไม่ต่างจากสัตว์หรือสิ่งของ

เห็นตัวอย่างของหนังเรื่องนี้ครั้งแรกก็คิดไว้เลยว่าต้องดูให้ได้ ทั้งที่ตอนนั้นเพิ่งม.ต้นเอง จนตอนนี้อยู่มหาวิทยาลัยแล้วเพิ่งได้มีโอกาสมาดู แล้วก็จำได้ด้วยว่าได้ดูตัวอย่างหนังครั้งแรกที่ไหน! โอ้วว

ตัวละครหลักของเรื่องก็คือ V ที่นำแสดงโดยเอลรอนจาก The Lord of the Ring หรือเอเจ้นท์สมิธจาก The Matrix แม้เรื่องนี้เราจะไม่ได้เห็นหน้าของนักแสดงเลย แต่วืธีการพูดของ V ก็เป็นเอกลักษณ์และแสดงตัวตนความรู้สึกออกมาได้ดีมากๆ แสดงถึงความเป็นปัญญาชน สุภาพชนของ V แม้ว่าการกระทำของ V จะออกแนว...รุนแรงไปสักหน่อย



แม้ว่า V จะเป็นพระเอกและที่สำคัญภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากการ์ตูน แต่ก็เป็นพระเอกที่มีความโหดเหี้ยมจนน่ากลัว สังเกตว่าเขาฆ่าคนของรัฐบาลที่ขวางทางได้อย่างไม่ลังเลเลย และไม่ใส่ใจด้วยว่า จะมีคนที่ไม่รู้เรื่องตายไปด้วยไหม จากตอนที่ให้คนในสถานีโทรทัศน์แต่งตัวเป็น V และยังสามารถจับนางเอกของเราไปทรมานได้อีกด้วย!! Natalie Portman เรื่องนี้ก็ยังสวย แต่บางซีนที่ต้องโทรมก็โทรมได้ใจ ตอนที่เพิ่งออกมาจากคุกแล้วหายใจไม่ออก เรารู้สึกหายใจไม่ออกตามเธอไปด้วยเลย
(เราเพิ่งจะรู้สึกเรื่องนี้แหละว่า Natalie Portman หน้าตาเหมือน Keira Knightley ปกติไม่เคยรู้สึกนะ  โดยเฉพาะมุมด้านข้างเหมือนมาก ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะ Keira ก็เลยแสดงเป็น Natalie ในบทของเจ้าหญิงอมิดาล่าใน Starwar มาแล้ว)



แต่ตัวตนของ V ที่เป็นอย่างนี้ก็มีที่มาที่ไป เนื่องจากเขาถูกรัฐบาล "ทำ" ให้เป็นอย่างนี้

สิ่งที่ V ทำ อาจจะมองได้ว่าเป็นความแค้นส่วนตัวล้วนๆ ดูจากรายนามบุคคลที่เขาตามฆ่า แต่ถ้ามองอีกด้านนึง ก็เป็นเพราะว่ารัฐบาลกดดันประชาชน และตีกรอบอิสรภาพให้กับประชาชนมากเกินไป ไม่งั้นเมื่อหน้ากากไปถึงบ้าน คงไม่มีคนใส่และออกมาทำอะไรบ้าๆ แต่ถ้าเกิดว่าบวกบวกเอาเหตุการณ์เลวๆที่รัฐบาลทำมานั้น...หนังก็เหมือนจะพูดว่า มันก็สมควรแล้ว (หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่พูดได้จริงๆ พูดได้ดีและดังเสียด้วย)



อำนาจ ตำแหน่งทางการเมือง และการชนะการเลือกตั้งที่แลกมาด้วยชีวิตคนเกือบแสนคน
ทุกๆอย่างที่รัฐบาลทำ ทำให้ประชาชนในที่สุดวันนึงก็ต้องทนไม่ไหว เมื่อทนไม่ไหวกับสภาพที่เป็นอยู่ ก็ทำให้มีการสนับสนุน V ขึ้นโดยที่พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า V เป็นใคร มาจากไหน มีจุดประสงค์อะไร
แต่ V สามารถทำในรัฐบาลเผด็จการที่ไม่สามารถแตะต้องได้และมีอำนาจเต็มนั้น สั่นคลอนได้



ฉากที่ชอบที่สุดคงไม่พ้นฉากโดมิโน ซึ่งให้ความรู้สึกอลังการ และมีพลังมากๆ ผู้ชายคนเดียวสามารถล้มระบบของประเทศประเทศนึงได้ แถมมันยังตัดกับฉากพูดของสารวัตรกับฉากที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดและที่กำลังเป็นไป ทำให้รู้สึกว่ามันมีอิทธพลและพลังมากจริงๆ
แบบว่าผู้ชายคนนี้ใช้ชีวิตทั้งชีวิตที่ผ่านมาไปกับการคิดจะล้มล้างรัฐบาลเผด็จการนี้ และพร้อมที่จะเสียชีวิตของตัวเองไปกับการกระทำนี้ด้วย

อีกฉากหนึ่งที่ชอบก็คือฉากที่ฆ่าท่านผู้นำ เมื่อจบฉากที่ท่านผู้นำกล่าวคะประกาศที่ว่า "คืนนี้จะเกิดความยุติธรรม และมันจะปราศจากความเมตตา" ... สิ่งที่เกิดขึ้นวินาทีถัดจากนั้น ก็เป็นคำว่ายุติธรรมที่สายตาของ V
เราเคยคิดตอนที่ดู Valkyrie ว่า ตอนให้ทอม ครูซฆ่าฮิตเลอร์สำเร็จ มันก็ยังมีฮิตเลอร์คนที่สอง คนที่สาม ที่รอเสียบอยู่เสมอ ซึ่งมือขวาของฮิตเลอร์ก็คือ Heinrich Himmler
แต่ V สามารถอ่ะ ...แบบว่าสามารถทำให้มันล้มครืนกันทั้งกระดานได้ ด้วยการอาศัยประชาชน

เป็นฉากปฏิวัติและฉากระเบิดพระราชบังกิงแฮมที่ทรงพลังและไม่คิดว่าจะมีหนังเรื่องไหนทำได้ทรงพลังแบบนี้อีก มันชวนขนลุก และชวนให้คิดว่า "น่าจะไปดูในโรง"จริงๆ

และก็สมกับที่เป็นพี่น้องจาก The Matrix จริงๆ แม้ว่าตัวหนังจะไม่ได้แอคชั่นมันหยดเหมือน The Matrix แต่ว่าหลายๆซีนก็ยังมีลายเซ็นอันเป็นเอกลักษณ์อยู่ เช่นซีน ขว้างมีด หรือ ฉาก God is in the rain. เลือดในเรื่องนี้ก็สาดกระจายได้สวยงามมาก หลังจากที่เพิ่งดู 300 รอบที่สองและเพิ่งสังเกตว่าฉากตัดคอใน 300 มันช่างแห้งเหือดยังกับหนังซอมบี้


สิ่งที่ชอบมากที่สุดในหนังก็คือ ความจริงที่ว่า V รัก Evey ...

He was Edmond Dant?, and he was my father, and my mother, my brother, my friend. He was you, and me. He was all of us.

ประโยคจบ ที่ทำให้เราน้ำตาซึมเลย

ปล.ถ้าเกิดว่าใครติดตามเรื่องกฏหมายลิขสิทธิ์คอมพิวเตอร์ ที่มีคนออกมาประท้วงไม่เห็นด้วยกันมากมาย มีคลิปในยูทูปออกมาประท้วงเยอะแยะ และคลิปที่ว่าก็เป็นคนใส่หน้ากากของ V โดยใช้ชื่อว่า Anonymous
จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ V ก็เคยเป็นสัญลักษณ์ในการประท้วงหลายๆครั้งมาแล้ว



Create Date : 01 พฤษภาคม 2555
Last Update : 1 พฤษภาคม 2555 15:07:25 น.
Counter : 2590 Pageviews.

0 comment
Eat Pray Love : อิ่มมนต์รัก
Eat Pray Love (2010) 



รู้มาว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากนิยายที่โด่งดัง และแปลเป็นภาษาต่างๆกว่า 30 ภาษา เป็นเรื่องที่ตัดตัวอย่างหนังมาน่าดูมาก ยังจำได้จนถึงวันนี้ทั้งที่ดูไปแค่ครั้งเดียว โปสเตอร์หนังก็ชวนให้ดูเอามากด้วย...คาดเอาไว้ว่าคงเป็นหนังรักโรแมนติกคอมเมดี้แนวๆ Letters to Juliet แต่ก็ไม่ใช่ Eat Pray Love ที่ชื่อภาษาไทยสุดจะเก๋อย่าง อิ่มมนต์รัก ให้อะไรมากมายกับคนดู ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเก็บเกี่ยวมันไปได้แค่ไหน


Liz Gilbert(Julia Robert) เป็นนักเขียนที่กำลังโด่งดัง และมีความฝันอยากเป็นนักเดินทางตั้งแต่เด็ก เธอถูกหมอดูที่บาหลีทำนายไว้อย่างต้นร้ายปลายดี เมื่อเธอกลับมาที่นิวยอร์ก เธอกลับพบว่าสามีของเธอและเธอ มันไปด้วยกันไม่ได้อีกต่อไป ความรักที่เคยประคับประคองกันมา ความหวานชื่นสมัยแต่งงาน สิ่งที่เคยคิดว่าดี กลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย เธอไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ทั้งที่ตัวเธอเองก็มีพร้อม ทั้งเงิน สามี และความสำเร็จในชีวิต ความไม่เข้าใจเล็กๆที่ค่อยๆสะสม จนในที่สุดเธอก็ฟ้องหย่า ลิซพบรักอีกครั้งอย่างรวดเร็วกับเดวิด(James Franco จาก 127 Hours) นักแสดงละครเวทีผู้รักอิสระ เป็นตัวของตัวเอง และมีวิธีการดำรงชีวิตที่ไม่เหมือนใคร Bold and free spirit person  แต่ไปได้ไม่ถึงหกเดือน ความรักครั้งใหม่นี้ก็ล้มเหลวอีก อะไรๆที่เคยดีก็ไม่ดีอีกต่อไป ตอนแรกๆแค่การซักผ้าก็ยังน่ารักและสนุกได้ ตอนนี้อะไรๆก็ดูขัดหูขัดตาไปเสียหมด ทั้งที่จริงๆแล้วความรักก็ยังคงอยู่ของมันตรงนั้น

ลิซตัดสินใจเดินทางเพื่อแสวงหาตัวตนของตนเอง
There is a joke.
A poor guy always went to the church and pray to statue god. 
"God, God. Please please please please let me win a lottery." 
He made this prayer everyday. 
One day, this statue came alive and tell to this poor guy, 
"Dear son, please please please please buy a ticket."

การเดินทางไปสามประเทศของลิซก็เหมือนกับการซื้อตั๋วลอตเตอรี่นั่นแหละ เธอคิดว่าเธออาจจะสามารถพบเจอตัวตนของเธอได้ที่ไหนสักแห่ง



อิตาลี เมืองแห่งพาสต้า พิซซ่า มักกะโรนี และ สปาเกตตี้
เธอพบเจอมิตรภาพและเพื่อนดีๆมากมาย ลิซพบโซฟีจากร้านคอฟฟี่ช้อปที่คนแน่น(คิดว่าที่อิตาลีน่าจะเหมือนฝรั่งเศสเรื่องร้านกาแฟ ที่คนนิยมกินกาแฟสดกันมากๆ) พบจีโอวานนี ครูสอนภาษาอิตาลีคนรักของโซฟี ที่สอนให้รู้จักเสียงขึ้นๆลงๆอันเป็นเอกลักษณ์ของภาษาอิตาลี ได้พูดคุยกับช่างตัดผมที่สอนให้เธอรู้ถึง Happiness of Doing Nothing ความสุขของการไม่ทำอะไรเลย
ทำให้คนดูอย่างเราๆนอกจากจะน้ำลายไหลจากภาพสวยๆที่สวยจริงๆยังกับรายการอาหาร ของอาหารอิตาลีต่างๆแล้ว ยังให้เราได้รู้ถึงวัฒนธรรมอิตาลีเช่น การใช้ภาษามือ หรือ นิสัยการชอบพัก(ซึ่งก็เหมือนชาวฝรั่งเศสอีก)
ได้สอนให้เพื่อนของเธอได้รู้ความสุขเล็กๆของการใช้ชีวิตตามใจปากตามใจตัวเอง
"กินซะ แล้วพรุ่งนี้เราก็จะไปซื้อกางเกงยีนส์ที่ตัวใหญ่กว่า"
ได้เห็นครอบครัวที่มีความสุขในชีวิต เห็นคู่รักที่ประสบความสำเร็จในด้านความรัก

เธอไปยังเป้าหมายต่อไป ด้วยหัวใจที่อิ่มเอิบ
อินเดีย...ประเทศที่วุ่นวาย สับสน ลิซไปค้นหาความสงบในประเทศนี้
เธอไม่สามารถทำใจให้สงบได้ สมองของเธอฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา เธอพบกับชายตะวันตกผู้ซึ่งก็เคยผ่านความล้มเหลวในชีวิตครอบครัวมาเช่นกันกับเธอ เธอได้เรียนรู้การอยู่กับตนเอง เรียนรู้ตัวเอง ...และที่สำคัญที่สุดคือ การให้อภัยตนเอง



และเธอก็กลับไปหาหมอเทวดาคนเดิมอีกครั้งที่บาหลี Ketut Liyer หมอดูผู้คอยชี้ทางสว่างให้กับเธอ
เธอได้ตัดสินใจให้ที่ยิ่งใหญ่ เธอให้เงินกับหมอยาที่หมดเนื้อหมดตัวจากการที่ฟ้องขอเรียกร้องสิทธิ์การเลี้ยงลูกสาวหลังจากหย่ากับสามี
เธอพบกับผู้ชายคนใหม่ Felipe หนุ่มใหญ่ปากหวานชาวบราซิล ความรักที่หอมหวาน แต่เต็มไปด้วยความกลัวครั้งนี้ เกือบจะล้มเหลวอีกครั้ง เพราะเธอคิดว่าความรักของเธอจะทำให้สมดุลของชีวิตเธอพังอีกครั้ง
"Sometimes to lose balance for love is part of living a balanced life. "
บางครั้งการเสียสมดุลจากความรัก ก็ทำให้ชีวิตของเราสมดุลขึ้นมาได้



และเธอก็ตัดสินใจจะก้าวข้ามความกลัวทั้งหมดไป และเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง
"attraversiamo" Let's cross over!

จริงๆแล้วตอนดูหนังก็แอบง่วงๆนิดหน่อย มีแอบเบื่อๆบ้าง ไม่ค่อยมีสมาธิกับหนังเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะทั้งในเก้าอี้เลกเชอร์แล้วต้องเงยหน้ามอทีวี เลยปวดคอก็ได้มั้งคะ ทั้งที่จริงๆแล้วหนังก็ดีเลยล่ะ 
เห็นว่าหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยเปรี้ยงในบ้านเราเท่าไหร่ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะไม่ใช่แนวอยู่แล้ว แต่ในบ้านเกิดของหนังเองแล้ว ถือว่าฮอตทีเดียว



Create Date : 23 เมษายน 2555
Last Update : 11 พฤษภาคม 2555 0:13:23 น.
Counter : 17884 Pageviews.

0 comment
ความสุขของกะทิ : จากซีไรซ์มาสู่จอภาพยนตร์
ความสุขของกะทิ 



วันนี้เพิ่งได้ดูความสุขของกะทิจากวิชาเลือกในมหาลัย ... ออกตัวก่อนว่า โดยส่วนตัวเป็นคนชอบวรรณกรรมทุกรูปแบบ โดยเฉพาะวรรณกรรมเยาวชนเรียกได้ว่า โตมาด้วยกันเลย (ประดุจดั่งแชแนลวี...มุกอะไรเนี่ย 55) แต่ผลงานของนักเขียนซีไรท์ชื่อดังอย่างคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ ก็ยังไม่เคยผ่านสายตาเลยสักเล่ม อาจจะเป็นเพราะตอนที่ความสุขของกะทิออกมา เราพ้นช่วงที่อยากจะอ่านวรรณกรรมเยาวชนไปแล้ว



ตอนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ฉาย จำได้ว่ามีเสียงวิจารณ์ในแง่ลบมากมาย โดยเฉพาะบทพูด ซึ่ง...ขนาดเราที่ชอบอ่านหนังสือ เรียกว่าชีวิตอ่านหนังสือมาหลายร้อยเล่ม (แบบว่าเช่าเอา) ยังสะดุดกับบทสนทนาในหลายๆตอนที่ภาษาเขียนมากๆ เดาเอาว่าคนทำหนังเรื่องนี้คงคิดว่าตัวหนังสือนั้นดีอยู่แล้วจนไม่อยากปรับแต่งอะไรเพิ่มเติม

บอกตรงๆว่า เราเองก็เคยอยากให้หนังสือที่เราชอบเป็นแบบนั้น ไม่ต้องตัด ไม่ต้องแต่ง เอามาทุกบรรทัดให้ครบๆ แต่เมื่อดูหนังมากๆเข้าก็เข้าใจนะ ว่ามันเป็นไปไม่ค่อยจะได้

ตัวหนังเอง...อาจจะเป็นเพราะดูในห้องเรียน จึงค่อนข้างตั้งใจดูเป็นพิเศษ

ตัวหนังค่อนข้างเรียบๆ เนือยๆ เอื่อยๆ อาจจะง่วงไปหน่อยสำหรับบางคน อาจจะดูอาร์ตสำหรับบางคน มีสิ่งที่อาจจะเป็นสัญลักษณ์มากมายในหนัง เช่นม้า (เคยอ่านเรื่องม้ามาบ้าง ตอนที่มี MV ของ Singular ที่มีซิมโบลเยอะๆ) หรือ กุญแจที่สั่นไหว(อันนี้อาจารย์พูด ว่ามันหมายถึง การที่กะทิไม่อยากเข้าไปสู่โลกของแม่ O_O ล้ำลึกเนอะ 55) หรือ เงาของต้นไม้ การถ่ายต้นไม้ การเลื่อนกล้องแบบอาร์ตๆ(มั้ง)ที่เลื่อนผ่านหน้าต่าง ...

เรื่องซิมโบลหลายๆอย่างในหนังเนี่ย บางทีเราก็ว่ามันเหมือนภาพ Abstract อ่ะนะ ที่ใครจะดูเป็นแบบไหนก็ได้ หรือความจริงมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้

หนังเริ่มจากชีวิตของกะทิ เด็กหญิงวัยเก้าขวบ หน้าม้าเต่ออันเป็นเอกลักษณ์ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในชนบท กับครอบครัวที่มีแค่ตากับยาย ตาผู้อ่อนโยน ใจดี 
มีอารมณ์ขัน กับ ยายผู้ซึ่งเข้มงวดกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่จริงๆแล้วก็รักกะทิมาก มีชีวิตวัยเด็กตามประสาเด็กๆทั่วไป มีพี่ทองเด็กวัดแสนดี 



แต่ ไม่มี

แม่...

แม่ไม่เคยสัญญาว่าจะกลับมา

ในบ้านไม่มีรูปถ่ายแม่เลย

ไม่มีใครเคยพูดถึงแม่

กะทิจำหน้าแม่ไม่ได้แล้ว

ความสุขของกะทิ

เหลือเพียงเสียงของแม่ที่กะทิจำได้

อยากเห็นแม่หิ้วตะกร้ากลับจากตลาด

อดีตเหมือนเงาที่บางครั้งก็นำทางอนาคต

น้ำตาไม่อาจแทนความเศร้าโศกได้

หนังมีตัวหนังสือขึ้นมาเป็นระยะๆ ไม่ความรู้สึกเหมือนขึ้นบทใหม่ เวลาเราอ่านหนังสือ 

สุดท้ายครอบครัวของกะทิก็ตัดสินใจให้กะทิไปพบแม่ เมื่อแม่ใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว ฉากแรกที่เจอแม่ เห็นแม่ไม่ขยับเขยื้อน ไม่พูด เราเข้าใจได้ทันทีว่าแม่เป็นอัมพฤกษ์แต่ตอนแรกนึกว่าเป็นใบ้ด้วย ฉากต่อมาที่แม่กะทิพูดได้ เรางงเลย แบบว่า เดาผิดเหรอเนี่ย อะไรแบบนี้

แม่ของกะทิตัดสินใจจะไปจากกะทิเพราะว่าตัวเองเป็นอัมพฤกษ์คิดว่าจะสร้างความเดือดร้อนเป็นอันตรายแก่ลูก ...ซึ่ง ในฐานะที่เป็นลูกคนนึงนะ ต่อให้แม่เป็นอย่างไง เราก็ยังอยากอยู่กับแม่ ถ้าแม่ยังรักเราล่ะก็นะ แต่นี่ผู้ใหญ่คิดแทนกะทิมาตลอด ในทุกๆเรื่อง ไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันก็ด้วย

เมื่อกะทิมาเจอแม่ในสภาพที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด จากที่คิดเอาไว้ว่า "อยากจะเห็นแม่หิ้วตะกร้ากลับจากตลาด" แม่กลับไม่พูดไม่จา ไม่ขยับเขยื้อน ไม่กอดกะทิ ไม่อธิบาย กะทิจึงวิ่งออกไปร้องไห้ (ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าเหตุผลนี้มั้ย คงต้องไปหาคำตอบในหนังสือเอา)

จริงๆเราตั้งคำถามถึงพ่อตั้งแต่ที่ แม่ไม่เคยสัญญาว่าจะกลับมา แล้ว

กะทิเป็นเด็กที่เข้มแข็ง ไม่เคยถาม ไม่เคยพูด เก็บทุกสิ่งไว้ในใจ แต่จริงๆแล้วเธอก็มีมุมที่คาดไม่ถึง เช่น การเสนอตัวเป็นโกลด์ให้เด็กผู้ชาย ฉากน่ารักๆแบบนี้ก็ชวนยิ้มเหมือนกัน หรือกระทั่งการตัดสินใจเรื่องพ่อของกะทิ พ่อที่ไปอยู่อังกฤษและไม่เคยกลับมา ไม่เคยใส่ใจ แม่ให้กะทิเลือกเอง และกะทิก็ตัดสินใจได้อย่างที่ตัวเองน่าจะมีความสุขที่สุด ...จริงๆตรงนี้ หลายๆคนอาจจะไม่เข้าใจ ว่า จริงๆแล้วกะทิไม่ได้ส่งจดหมายไปหาพ่อ แต่ส่งจดหมายไปหาพี่ทอง คำเฉลยมีเล็กๆที่ฉากสุดท้ายที่พี่ทองพูดว่า "ตกใจเลย ตอนเห็นจดหมาย ไม่คิดว่าจะเขียนมา ดีใจที่กะทิรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร" แล้วกะทิก็บอกว่า "เรื่องนี้เก็บเป็นความลับระหว่างเราสองคนนะ" ก็คือกะทิส่งจดหมายไปหาที่ทองที่อเมริกาต่างหาก ไม่ได้ส่งไปหาพ่อ 

กับฉากท้ายสุด ที่เป็นฉากเต้นรำ...เราว่าตรงนี้แหละ เฉลยคำว่า ความสุขของกะทิ ที่ว่าไม่ว่ากะทิจะผ่านเรื่องร้ายๆอะไรมามากมายเท่าไหร่ แต่กะทิก็ยังมีคนที่รักและเข้าใจกะทิมากมาย



เราสะดุดมากตอนที่เชอรี่พูดคำว่า "สวยหยดย้อยเลยค่ะ" กับลุงตอง ตอนจัดดอกไม้ เกิดมาเรายังไม่เคยได้ยินคำนี้ออกจากปากใครมาก่อน 555
เราว่าคำพูดของน้อย วงพรู ธรรมชาติที่สุดแล้วในเรื่อง(อาจจะมากไป แบบว่าคำพูดดูเป็นตัวเองสุดๆ และแอบดูฝรั่ง) เช่นตอนที่กะทิโดนอะไรสักอย่างตำที่หาดทราย แล้วน้อยถามว่า "เป็นอะไรป่าว เจ็บมั้ย" ธรรมชาติสุดละ แล้วเราก็พึ่งรู้ว่าเสียงน้อย เป็นอย่างนี้เหรอ เป็นเอกลักษณ์มาก 

หนังเนิบ เนือย คล้ายๆสไตล์การดำเนินเรื่องของหนังญี่ปุ่นบางเรื่องที่ก็ต้องใช้ความอดทนในการดูเช่นกัน ... มุมกล้องสวย ช้า... ภาพสีสดสวย 
เหมือน All about lily chou chou มาก ตอนที่เห็นทุ่งนา (บอกตรงๆ หลังจากดู all about lily chou chou เห็นทุ่งเขียวๆปุ้บ นึกถึงปั้บ หนังมันติดตาจริงๆ)

ปล. หนังเรื่องนี้ห่างไกลคำว่าห่วยมาก สำหรับเราค่ะ เห็นในกระทู้หลายๆคน เราไปค้นๆดู เสียงบ่นกันให้แซ่ด


ขอมาแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้ง หลังจากที่ไปหาหนังสือมาอ่านเรียบร้อยแล้ว
เราคิดว่าตัวหนังสือนั้น ดีกว่าฉบับภาพยนตร์เอามากๆเลยทีเดียว แม้ว่าบทภาพยนตร์จะถอดหนังสือมาเป้ะๆ หนังสือเล่มเล็กๆที่สามารถอ่านจบภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง 
เราคิดว่าตัวละครที่ตรงกับในหนังสือมากที่สุดก็คือ น้าฎา ดูเธอค่อนข้างตรงกับในหนังสือเลยทีเดียว คนที่ไม่ตรงกับในหนังสืออย่างผิดคาดของเราก็คือ น้อย วงพรู
น้ากันต์ในหนังสือค่อนข้างเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์(อย่างล้นเหลือ อย่างน้อยก็ในสายตาคนอ่านอย่างเราล่ะนะ) เงียบแต่อบอุ่น แม้จะไม่พูดแต่คอยอยู่ข้างๆตลอด เราสัมผัสได้ถึงความรักที่เขามีให้ เป็นคนนึงที่เข้าใจกะทิมากที่สุด และมีโมเมนต์น่ารักๆให้ยิ้มได้เสมอ เป็นตัวละครที่เราชอบมากที่สุดเลยล่ะ หลังจากอ่านจบ แบบว่าประทับใจอ่ะนะ

แต่ก็ยังคิดว่าหนังก็ไม่ได้ห่วยมากอะไรนะ ^^




Create Date : 18 เมษายน 2555
Last Update : 13 พฤษภาคม 2555 20:39:49 น.
Counter : 2569 Pageviews.

0 comment
The Vow (2012) , To love and to be loved
The Vow (2012) , To love and to be loved

หนังเรื่องนี้ถูกเลื่อนฉายแล้วฉายอีก แม้กระทั่งตอนที่เข้าโรงอยู่ ณ ตอนนี้ก็จำกัดโรงและรอบน้อยมากๆ



หนังรักเรื่องนี้ The Vow นำแสดงโดย คู่ที่ดูเหมือนจะไปได้ดีกับหนังรักโรแมนติกแนวนี้อย่าง Channing Tatum(Dear John, Step Up) และ Rachael McAdams(The Notebook, Mean Girl, Sherlock Holmes) 

ขอบอกว่าเป็นเรื่องที่ตัดตัวอย่างในน่าดูเอามาก เห็นตัวอย่างครั้งแรกแล้วก็ตั้งใจไว้เลยว่าจะดูแน่นอน
แต่ก็มีเสียงบอกว่าไม่สนุกเท่าที่หวังเอาไว้ ก็เลยไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายกับตัวหนังสักเท่าไหร่

" I vow to love you, and no matter what challenges might carry us apart, we will always find a way back to each other."

ลีโอกับเพจเป็นคู่แต่งงานที่รักกันมาก ประเภทที่คนดูอย่างเราๆเห็นแล้วต้องอิจฉาในความรักที่เธอได้รับ จนกระทั่งวันนึงทั้งคู่ประสบอุบัติเหตุจนเพจสูญเสียความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับลีโอไป เพจกลับไปเป็นคนเดิมเป็นผู้หญิงคนเดิมที่ยังรักคู่หมั้นคนเดิมของเธอ ยังใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวพ่อแม่ของเธออย่างมีความสุข และอยากจะเรียนกฏหมาย ไม่ใช่เพจที่ออกจากบ้าน หันหลังให้กับคนในครอบครัว และเป็นช่างปั้น

ลองคิดดูว่าเราตื่นขึ้นมาในวันนึงพบว่าเราได้แต่งงานกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ ล้อมรอบไปด้วยคนที่ไม่รู้จัก ทะเลาะกับครอบครัว ทำอาชีพที่แม้แต่เราเองก็ไม่คาดคิด คงทำอะไรไม่ถูก สับสนไปหมด ตั้งคำถามกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว เพจก็เป็นอย่างนั้น แต่ลีโอก็รักเธอมากพอที่จะยอมรับมันและพยายามที่จะทำให้ความรักของพวกเขากลับมาอีกครั้ง

Can one love in a life time get a second chance?

เราไม่รู้มาก่อนว่าเรื่องนี้ Based on true story(ทั้งที่มันก็เขียนอยู่โต้งๆบนใบปิด) เลยคิดว่าตอนจบที่ Happy Ending เพจทำอะไรสักอย่างและความทรงจำทั้งหมดกลับคืนมา แต่เปล่าเลย มันไม่ใช่อย่างนั้น เพจและลีโอหย่ากัน แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเหมือนที่เธอเคยตัดสินใจในอดีต ที่จะลาออกจากโรงเรียนกฏหมาย และเริ่มอาชีพการเป็นศิลปิน และเริ่มที่จะรักใหม่อีกครั้งกับผู้ชายคนเดิม



หนังมีซีนน่ารักๆอยู่หลายฉาก ตอนที่ลีโอกับเพจคบกัน ทั้งการแต่งงานกันในมิวเซียม หรือซีนน่ารักแบบแปลกๆในรถ
ไม่ได้ซาบซึ้งตรึงใจขนาดที่น้ำตาไหลอะไรขนาดนั้น แต่ก็นับว่าเป็นหนังที่ Worth watching อยู่เหมือนกัน

แถมท้ายกับภาพตลกๆที่ก็แอบเห็นด้วยเล็กๆ




Create Date : 11 เมษายน 2555
Last Update : 11 เมษายน 2555 18:14:16 น.
Counter : 1942 Pageviews.

2 comment
The Iron Lady(2012) , Don't ever compromise!!
The Iron Lady (2012)

จริงๆแล้วช่วงนี้ชีวิตค่อนข้างวุ่นวาย เรื่องนู้นนี่นั้นก็เป็นไปได้ไม่ค่อยราบรื่นนัก
แต่ก็ยังอยากหาเวลามาดูหนังดีๆบ้าง

หลังจากที่คราวก่อนได้ดู Hugo หนังที่สรรเสริญศาสตร์แห่งการทำหนังไปแล้ว

คราวนี้เรามาถึงหนังออสการ์อีกเรื่อง The Iron Lady
จริงๆแล้วตัวหนังปฐมทัศน์ไปตั้งแต่ปลายปี 2011 แต่มาฉายจริงอีกทีตอนต้นปีนี้เอง

การกลับมาอีกครั้งของเมอรีลที่ยิ่งใหญ่ และในที่สุดเธอก็ได้ออสการ์จากเรื่องนี้เสียที หลังจากเข้าชิงมาสิบกว่าครั้ง

The Iron Lady เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและคนเดียวของประวัติศาสตร์อังกฤษ มากาเร็ต แทตเชอร์ ตัวหนังเล่าเรื่องแบบผ่านจากมุมมองของมากาเร็ตในยามชรา ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ และมักจะห็นภาพสามีอยู่กับเธอตลอดเวลา เป็นหญิงชราผู้จมอยู่กับอดีตที่รุ่งโรจน์



มากาเร็ต แม้จะเป็นแค่ลูกสาวเจ้าของร้านขายของชำ แต่เธอก็มีความพยายาม ความตั้งใจ และที่สำคัญ ความทะเยอะทะยาน เธอตั้งใจเรียน สอบเข้าออกฟอร์ต และมีความคิดจะเข้าไปในวงการการเมือง ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ยุคที่อังกฤษย่ำแย่ มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายชัดเจน มีการประท้วง สงครามกลางเมือง แต่มากาเร็ตโชคดีที่เจอผู้ชายที่เกิดมาเพื่อเธอ เดนิส

ในสมัยที่โลกการเมืองเป็นเรื่องของผู้ชาย การที่รองเท้าส้นสูงจะย่ำลงไปในดินแดนแห่งรองเท้าหนังไม่ใช่เรื่องง่าย เธอมีความกระหายที่จะพิสูจน์ตนเอง มากาเรตได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้างที่ยอมรับเธอ และได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ชาวอังกฤษรักที่สุดในชั่วข้ามคืนที่ชนะสงคราม

แต่ความยอมหักไม่ยอมงอ ของมากาเร็ตทำให้ผู้สนับสนุนเริ่มตีตัวออกห่าง คนที่เคยสนับสนุนเธอกลับกล้าเสนอชื่อตนเองเข้าชิงตำแหน่งเสียเอง
"คนเราไม่ควรจะทดสอบความจงรักภักดีของคนอื่นมากเกินไป"
"เราต้องการนายกรัฐมนตรีที่ฟังเรา"

แม้ว่ามากาเร็ต แทตเชอร์จะลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี แต่สิบกว่าปีของเธอในสภาก็เป็นความภาคภูมิใจของเธอ แม้ว่าการทำงานเหล่านั้นจะกัดกินความสัมพันธ์ในครอบครัวของเธอ
"Were you happy, Denis?"
"Tell me the truth"
แม้กระทั่งในยามที่เดนิสจากไปแล้ว แม้ว่าเธอจะรักสามีและนึกถึงเขาขนาดไหน เธอเองก็ไม่มั่นใจว่าในช่วงเวลาที่เขาใช้ชีวิตร่วมกันกับเธอ มันเป็นชีวิตคู่ที่มีความสุขหรือเปล่า

โดยภาพรวม แม้ว่าจะเป็นหนังประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้น่าเบื่อ หนังมีความน่าสนใจและชวนขนลุกเป็นระยะๆ(ไม่แน่ใจว่าขนลุกความหลอนของเดนิสหรือว่าขนลุกความยิ่งใหญ่ของมากาเร็ต)
เป็นหนังที่เราเชื่อว่าคนดูจะได้อะไรๆกลับไปพอสมควร



และเมอรีล สตีฟก็ดูจะคู่ควรกับออสการ์จริงๆ เพราะเมื่อกลับไปย้อนดูมากาเร็ต แทตเชอร์ตัวจริงแล้ว เหมือนเปี้ยบ ทั้งน้ำเสียง บุคลิก วิธีการพูด หน้าตาก็ยังคล้าย ซึ่งจริงๆหนังแนวๆนี้ หรือตัวละครแนวๆนี้ก็เป็นแนวโปรดของออสการ์อยู่แล้ว เช่น The King Speech หรือ The Queen



Create Date : 31 มีนาคม 2555
Last Update : 31 มีนาคม 2555 22:12:45 น.
Counter : 2692 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

marina_rain
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]



ติดต่อทางอีเมลได้ที่ wasineechann@gmail.com
All Blog