The Great Gatsby (2013) คนคลั่งรัก รักเธอ สุดที่รัก
 The Great Gatsby (2013)

IMBD - 7.3/10
Rotten Tomatoes - 49%

เมื่อแจ็คมาเจอกับสไปเดอร์แมน... ในหนึ่งในนวนิยายอเมริกันที่ดีที่สุดจาก F.Schott Fitzgerald ในชื่อภาษาไทยชวนจั้กจี้ว่า รักเธอ สุดที่รัก



เรื่องนี้เป็นการไฟท์กันระหว่างเศรษฐีเก่า ผู้ดีใหม่ คนรวยคนจน ความรักข้ามชนชั้น ดอกฟ้ากับหมาวัด อ่ะแหมม...นี่คืออะไรคะ ละครไทยหลังข่าวรึเปล่า กลิ่นน้ำเน่าคลุ้งขนาดด

ไม่ใช่ค่ะ นี่คือวรรณกรรมขึ้นหิ้งสุดคลาสสิคเรื่องหนึ่ง The Great Gatsby ผู้ซึ่งมีการตัดต่อตัวอย่างได้น่าดู และลีโอนาโด ดิคาปริโอ ที่แม้ว่าจะไม่ละอ่อนหล่อเหลาเท่าสมัยโรมิโอ ที่แค่ยิ้มสาวๆก็ใจละลาย กับพ่อหนุ่มตาใสยิ้มสวย กับผมม้าน่ารักๆคนนี้

ตอนนี้ลีโอเป็นนักแสดงหนุ่มรุ่นใหญ่ ที่ตัวก็ใหญ่ตาม และแน่นอนว่าฝีมือก็ใหญ่ตามตัว เป็นนักแสดงที่หลังๆเล่นแต่บทดีๆหนังดีๆ ดราม่าๆหน้าตาเคร่งเครียด ขมวดคิ้วกันจนตีนกาขึ้นเต็มหน้าผาก ทั้งคนดูคนเล่นนั้นล่ะ

ฉากหลังเป็นปี 20 หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจบลง ยุคสมัยแห่งความฟุ้งเฟ้อในอเมริกา ที่นิวยอร์ก มีปาร์ตี้ที่ใหญ่กว่า เงินที่เยอะกว่า เหล้าที่ถูกกว่า ศีลธรรมที่หละหลวมกว่า สังคมที่เหมือนพลุ สวยงาม ชั่วครั้งชั่วคราว



เรื่องนี้เล่าเรื่องผ่าน Nick Carraway (Tobey Maguire) ผู้ไล่ตามความฝัน ไล่ตามภาพสร้างของ American Dream ชายหนุ่มผู้ซึ่งทิ้งความฝันในการจะเป็นนักเขียนสมัยเรียน Yale ไป และหันมาไล่ตามกระแสของการบูมของ Wallstreet แทน



Daisy หญิงสาวแสนสวย ผู้ซึ่งรับรู้อยู่แก่ใจกับการนอกใจของสามีผู้ดีเก่าของเธอ ที่อยู่กับคนอื่นแม้ในขณะที่เธอคลอดลูกสาว โทรศัพท์ขณะรับประทานอาหารเย็นถึงสามีเป็นอะไรที่ทิ่มแทงจิตใจ เราชอบที่เธอพูดถึงลูกสาวตัวเองว่า
" I hope she will be a fool, that the best thing a girl in this world can be, a beautiful little fool"
เราว่าแครี่ มัลลิแกนออกจะดูปราดเปรียว เฉลียวฉลาดไปหน่อยสำหรับบทเดซี่ แต่สำหรับความสวย และความเหมาะสมกับเสื้อผ้าและแฟชั่นสไตล์แกสบี้ ผมสั้นๆ ใส่หมวก ใส่ที่ประดับผมอลังการๆ เสื้อตาข่าย อะไรวิบๆวับๆ เราให้เธอเต็มสิบ ผู้หญิงคนนี้สวยมาก

เดซี่เป็นผู้หญิงสวย เป็นผลผลิตของสังคมจอมปลอมหรูหรา เธอเลือกหนทางที่สบายกว่า แทนที่จะมีความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความกดดัน แม้ว่าจริงๆแล้วเธอจะรักแกสบี้เช่นกัน เธอพร้อมที่จะโผเข้าหาใครก็ตามที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย เธอไม่พร้อมที่จะเสียสละอะไรเพื่อใครทั้งสิ้น
Daisy : Open another window
Nick : There arent any more
Daisy : Then telephone for an axe



Jay Gatsby
ผู้ชายผู้ซึ่งบูชาความรัก ทะเยอทะยาน ผู้ชายที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนเดียวที่เขาหลงรักมานานแสนนาน ผู้ชายที่พยายามถีบตัวเองขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของสังคม
" He do all of that for the girl he havent met in five years and now he just want to invite her for tea, how modesty of it"
ชอบฉากที่นิคตกลงใจจะพาเดซี่มาดื่มชา แล้วเจเสนอสิ่งตอบแทนมากมาย นิคเลยบอกว่า เต็มใจทำให้ ...รู้สึกเหมือนแกสบี้คิดว่าทุกๆอย่างที่ได้มาต้องมีสิ่งแลกไปเสมอ
แล้วก็ชอบที่นิคพูดว่า วันมะรืนโอเคมั้ย แล้วเจอึกอักบอกว่าอยากตัดหญ้ารอบๆบ้านให้เรียบร้อยก่อน น่ารักมากกกกกกกกก เหมือนเด็กผู้ชายอ่ะ ที่เพิ่งเคยพบรักกับผู้หญิงครั้งแรก ฉากที่แกสบี้เจอกับเดซี่อีกครั้ง ทั้งตื่นเต้น ทั้งซึ้ง ประดักประเดิด แล้วก็หวานมากๆ
ชอบฉากที่นิคพยายามขัดจังหวะด้วยการทำเสียงในครัว คนมีความรักเหมือนทั้งโลกนี้มีแค่คนสองคนจริงๆ เสียใจและเสียดายแทนเดซี่



แต่...เจย์หวังมากเกินไปกับเดซี่ เดซี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะทำทุกอย่างเพื่อความรัก เหมือนที่เธอเองก็ไม่ได้รอเจย์เมื่อห้าปีก่อนเช่นเดียวกัน ในช่วงครึ่งหลังของเรื่องอารมณ์สดใสเต็มไปด้วยความรักในครึ่งแรกหายไปแล้ว เจย์พยายาม กระเสือกระสนที่จะรอคอย โน้มน้าวตัวเองให้เชื่อว่าเดซี่จะมา เดซี่จะไปกับเขา ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เราทั้งสงสารทั้งสมเพชในขณะเดียวกัน เราชอบฉากที่เจย์ขอให้นิครอเป็นเพื่อน ในคืนที่เดซี่ขับรถชนเมอร์ธิล



Tom Buchanan
ทอมที่ใช้ชีวิตหรูหราอู้ฟู่ มีชู้อยู่ทั่วไป ทอมเป็นผู้ชายที่ดูถูกคนอื่น และเป็นคนเดียวในเรื่องที่แสดงออกชัดเจนถึงการเหยียดสีผิว
"We were born different" ประโยคนี้ประโยคเดียวก็แสดงถึงความเป็นตัวทอมได้อย่างดี ผู้ชายที่คิดว่ากำพืดคือทุกอย่าง ตรงกันข้ามกับเจย์ผู้ซึ่งบูชาเงินและความรัก
เราชอบฉากที่ทอมกับเจย์แข่งรถกัน แล้วทอมแวะเติมน้ำมันที่บ้านของสามีของผู้หญิงที่ทอมเป็นชู้ด้วย แล้วสามีของผู้หญิงคนนั้นบอกว่า กำลังจะย้ายเมือง ทอมเลยรู้สึกว่า ภรรยาและชู้รักต่างกำลังจะหายไปพร้อมๆกัน

ซีนที่เจย์พยายามบังคับเกลี้ยกล่อมให้เดซี่บอกว่าไม่เคยรักทอม ต่อหน้านิคและจอร์แดน เรารู้สึกร้อนอบอ้าวไปด้วยมากๆ แล้วรู้สึกเลยว่าอุณหภูมิในห้องนั้นคงสูงจริงๆ

เราแอบคิดว่าถ้าเกิดคนที่เล่นเป็นแกสบี้ตอนเด็กๆ จะเป็นลีโอสมัยหนุ่มๆคงดีไม่น้อย



ฉากเมอร์ทิลถูกรถชน แล้วตกลงมา เศษกระจกแตกกระจาย ต่อหน้าป้ายรูปตา ...เราชอบมากกกก!!! ฉากนี้ถ่ายออกมาได้สวยมาก เห็นแล้วรู้เลยว่า เพื่อสามมิติจริงๆ

เคยมีคนพูดว่าหนังเรื่องนี้แสดงถึงความล่มสลายของ American Dream สิ่งที่ฟุ้งเฟ้อหรูหรา เป็นเปลือกนอกที่ว่างเปล่า ข้างในจริงๆมันดำมืด และเต็มไปด้วยคำโกหกหลอกลวง หลังจากแกสบี้ตายแล้ว ไม่มีใครมางานศพเขาเลยสักคน ยกเว้นพวกนักข่าว มีแต่นิคเท่านั้น ซันที่นิคพูดถึงแกสบี้หลังจากที่เขาตายแล้วนั้น ทำให้เรารู้สึกเช่นกันว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมาในหนังมันล้วนเป็นอะไรที่จอมปลอม ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปทันทีที่แกสบี้ตาย ทำให้นิครู้สึกขยะแขยงกับสังคมกลวงๆแห่งนี้



เราชอบความรัก(แบบลูกผู้ชาย)หรือจะเรียกว่ามิตรภาพก็ได้ ระหว่างนิคกับเจย์ นิคเป็นคนเดียวที่แคร์เจย์จริงๆ เป็นคนเดียวที่รักเจย์จริงๆในแบบที่เจย์เป็น เจย์ไม่ได้เป็นหนุ่มออกซ์ฟอร์ด ไม่ใช่เจ้าชาย ไม่ใช่ผู้ดีเก่ามาจากไหน เป็นเพียงผู้ชายจนๆที่รวยขึ้นมาได้ด้วยเงินสกปรก แต่นิคก็รักเจย์จริงๆจากตัวเจย์เอง มันเป็นความรักจากการนับถือในตัวเจย์ การได้เห็นเจย์ทุ่มเท่กับความรักอันยิ่งใหญ่ บิดบังความจริงเรื่องที่เดซี่เป็นคนขับรถ และตายไปด้วยคำครหาจากสังคม แม้ว่าเดซี่จะไม่ได้แยแสอะไรเลย
"He had one of those rare smiles with the quality of eternal reassurance in it, that you may come across four or fives times in life"



การตัดต่อ การเล่าเรื่อง(ผ่านนิค) ดนตรีประกอบ ภาพ เป็นหลายๆสิ่งที่สิ่งที่ดีที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี่ การตัดภาพที่ให้อารมณ์เหมือนการ์ตูนหรือหนังสมัยก่อน การเล่าเรื่องแบบสมัยก่อนเช่นกัน ดนตรีสุดยอดในทุกๆฉากโดยเฉพาะ Lena Del Ray ที่เข้ากับอารมณ์ในตอนนั้นมากๆ สุดๆ

โดยรวมเราคิดว่าหนังดีนะ โทบี้ ลีโอ กับ แครี่ มัลลิแกน เข้ากับบทมากๆ



Create Date : 05 ตุลาคม 2556
Last Update : 3 ธันวาคม 2557 16:02:53 น.
Counter : 3464 Pageviews.

0 comment
The Bling Ring (2013) วัยร้ายวัยลัก
The Bling Ring



ก็เข้าโรงกันไปเรียบร้อยกับ The Bling Ring ภาพยนตร์อีกเรื่องของ Emma Watson ที่เธอจะมาสลัดภาพแม่มดสาวผู้ชาญฉลาด เป็นเด็กวัยรุ่นสุดแสบ (พ่วงความแรดและตอแหล นอกจากสองคำนี้นึกคำอื่นไม่ออกจริงๆ ขออภัย)

จริงๆถ้าไม่ชอบ Emma ก็ยังดูได้ เธอเด่นเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เดินเรื่องทั้งหมด แต่เธอสวยมากนะเราว่า ^^



หนังเรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ โซเฟีย คอปโปลา และสร้างมาจากเรื่องจริงจาก Aritcle ใน Vanity Fair เรื่อง The Suspects Wore Louboutins เราเคยดูหนังของเธอเรื่องเดียวคือ Lost in Translation ก็ค่อนข้างชอบนะคะ แต่มากับเรื่องนี้ เราว่าเค้ามีการเล่าเรื่องที่แปลกดี หนังเงียบเป็นพักๆสลับกับเสียงดนตรีในผับดังเป็นพักๆ ทั้งๆที่เราว่าเรื่องค่อนข้างน่าสนใจ แต่เรารู้สึกเฉยๆ แล้วก็รู้สึกว่าโทนของหนังเรียบไปหน่อย ไม่มีอะไรพีค ไม่มีช่วงที่ลุ้น แต่ก็ดูสนุกใช้ได้



หนังเล่าเรื่องของกลุ่มวัยรุ่นที่เข้าขโมยของบรรดาเซเลปฮอลลีวู้ดต่างๆเช่น ปารีส ฮิลตัน , ลินเซย์ โลฮาน , มิแรนด้า เคอร์ หลังจากวาดทรัพย์สินไปได้เกือบร้อยล้านเหรียญและใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟู่ฟ่าจึงโดนจับได้ และเข้าคุกไปตามระเบียบ

นี่คือโฉมหน้าตัวจริงที่เป็นแรงบันดาลใจของเรื่องนี้ค่ะ


แต่... เราคิดว่าไม่มีใครที่รู้สึกผิดเลย มีแต่คนคิดว่า "ซวยแล้ว, โชคร้ายชะมัด" อะไรแบบนี้ ไม่มีใครเลยที่คิดว่า สิ่งที่ทำมันผิดไปแล้ว และไม่มีใครในหนังพูดด้วยว่ามันคือสิ่งที่ผิด ในขณะที่ขโมยของ เพื่อนๆคนอื่นๆในผับหรือปาร์ตี้ที่ไป มีแต่คนทึ่งกึ่งชื่นชมกันทั้งนั้น ว่า เข้าไปได้ไง เจ๋งไปเลยนะ



ขนาดโดนจับได้แล้วตอนที่ Vanity Fair มาให้สัมภาษณ์ นิกกี้และแม่ยังดูเฉยๆกับเรื่องนี้มากๆ หรือ ที่มาร์คพูดว่า หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นมีคนแอดเฟรนในเฟสมาเกือบ 800 คน แถมยังมีคนตั้งแฟนเพจให้อีกด้วย
ไม่ว่าตอนที่นิกกี้ให้สัมภาษณ์กับ Vanity Fair หรือตอนไปออกรายการตอนจบ เธอแบบ...สตอเบอรี่สุดๆอ่ะ =_= มีการฝากฝังเวบไซต์ให้เข้าไปติดตามอีกต่างหาก
โคลอี้ทุกๆฉากของการไปศาลหรือการออกมาจากคุก เธอเริศเลอออตลอดดด ชุดเป้ะหน้าเป้ะแว่นเป้ะ



คนที่เป็นตัวดำเนินเรื่องก็คือ Katie chang เล่นเป็น Rebecca สาวหมวยหน้าเอเชียคนนี้ เป็นคนเริ่มเรื่องราว The Bling Ring เราไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อนจากหนังเรื่องไหนเลย เราว่าเธอสุดๆไปเลยนะ ใจเย็นมากๆ พอเกิดเรื่องก็ยังรับมือกับตำรวจที่เข้ามาจับได้อย่างมีสติ

หนังสื่อให้เราเห็นถึงสังคมวัยรุ่นอเมริกันที่ฉาบฉวย และวัตถุนิยม (เมืองไทยก็เป็นเนอะ 555) ใครใช้กระเป๋าสวยๆรองเท้าแพงๆ ก็ได้รับสายตาชื่นชม มาร์คที่เคยเป็นไอเด็กเนิร์ด เดินชนใครก็โดนด่า พอมีเงิน มีของดีๆใช้ปุ้บก็ดูดีขึ้นมาทันที ครอบครัวก็เหมือนใช้ชีวิตตัวใครตัวมัน ตอนกลางคืนลูกไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ เจอกันแค่เรียกมากินข้าว ลูกชายซ่อนรองเท้าส้นสูงไว้ใต้เตียงยังไม่รู้เลย ที่สำคัญตัวละครในเรื่องไม่มีใครจนเลยสักคน โดยเฉพาะนิกกี้และโคลอี้ มีบ้านดีๆของกินดีๆเสื้อผ้าดีๆใส่



เราชอบตอนที่ Rebecca บอกว่าเธอเห็น Lindsay Lohan เป็นไอดอล จากข่าวที่ลินเซย์ขโมยเสื้อผ้ากับเครื่องประดับ ตอนที่โดนสอบปากคำ Rebecca เลยถามตำรวจว่า ลินเซย์ว่ายังไงกับการกระทำของเธอบ้าง

สรุปแล้วเราว่า จะไปดูก็ได้ หรือไม่ดูก็ไม่เสียหายอะไรค่ะ แต่ไปดูก็ไม่ได้เสียดายตังค์นะ
ตอนนี้เรตใน IMBD อยู่ที่ 6.2 และ Rotten Tomatoes อยู่ที่ 60 เปอร์เซ็นค่ะ





Create Date : 05 ตุลาคม 2556
Last Update : 5 ตุลาคม 2556 11:57:03 น.
Counter : 2284 Pageviews.

0 comment
A Beautiful Mind
A Beautiful Mind



หนังเรื่องนี้เป็นหนังออสการ์จากปี 2001นำแสดงโดยรัสเซลล์ โครว์ และในเวลานั้นก็กวาดรางวัลไปได้หลายเวทีอยู่
ในสายตาของคนที่นานๆทีจะดูหนังรางวัล หรืออย่างน้อยก็มีแค่ช่วงปีหลังๆเท่านั้นที่ดูเกือบครบทุกเรื่อง A Beautiful Mind เป็นหนังที่ไม่น่าเบื่อ ดูง่าย กลมกล่อม ไม่เลี่ยน(อย่างที่หนังออสการ์บางเรื่องเป็น) ที่สำคัญก็คือ เจนนิเฟอร์ คอนเนลี่ เรื่องนี้น่ารักและสวยมาก เราเพิ่งดูเธอไปใน He's Just Not That Into You แล้วก็คิดว่าเธอไม่สวยเลย เราเคยดูเธอครั้งแรกจาก Labyrinth(1986) หนังแก่กว่าเราหลายปีอยู่ที่เล่นคู่กับนักร้องผู้เป็นตำนานในยุคนั้น David Bowie
แล้วเราก็ใช้เวลานึกหน้าชาร์ลสนานมากว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่นึกไม่ออกสักที ทั้งๆที่จริงๆหนังที่เขาเล่นก็ดูไปหลายรอบ อย่าง The Davichi Code เล่นเป็นนักฆ่าคลั่งศาสนา Silas , Inkheart เป็นตัวละครที่เรารักที่สุดในหนังสือ นิ้วฝุ่น Dustfinger แต่เราคงจำหน้าเขาได้จาก The Davinchi นั่นแหละ

A Beautiful Mind เป็นเรื่องราวของ John Nash นักคณิตศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์ เจ้าของรางวัลโนเบล ที่ชีวิตไม่ได้สวยหรูอย่างที่น่าจะเป็น กว่าจะมาเป็นวันนี้ ชีวิตของเขาผ่านอะไรมามากมาย ภาพยนตร์เรื่องนี้มีแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง และหนังสือชีวประวัติอย่างไม่เป็นทางการของ John Nash ด้วยชื่อเดียวกันกับภาพยนตร์นี่เอง



เรื่องทั้งหมดเริ่มขึ้นในชีวิตการเป็นนักศึกษาของเขา อาจารย์ของ Nash ที่คาเนกี้ได้เขียนจดหมายแนะนำให้เขาไปฮาวาร์ด ด้วยประโยคที่ว่า "This man is a genius" แต่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันเสนอทุนคาร์เนกี้ให้กับเขา
Nash เลือกพรินซ์ตัน เขาใช้ชีวิตอย่างนักศึกษาที่แปลกประหลาดที่สุดคนนึงของมหาวิทยาลัย เขาไม่มีเพื่อน เขาเป็นคนไม่เข้าสังคม ไม่สุงสิงกับใคร เขามักจะชอบพูดตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม แม้กระทั่งเพื่อนกลุ่มเดียวของเขา ก็ยังเป็นเพื่อนที่เริ่มจากการล้อเลียน ในขณะที่คนอื่นๆรอบตัวประสบความสำเร็จกับงานวิจัยที่ทำ ได้รับเสนอชื่อเข้าทำงานดีๆ แต่เขากลับยังไม่มีแม้แต่หัวข้อ



ในหนังตอนนี้นี่เอง...ที่มี "เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ผู้เสเพล" เข้ามาในชีวิต เพื่อนที่สุดแสนจะกระตือรือร้น และยอมรับทุกๆอย่างของความเป็นตัวเขา สนับสนุนเขา เป็นหนึ่งในแรงผลักดันที่ทำให้ Nash สามารถคิดค้นงานวิจัยจบของเขา ซึ่งก็คือ ทฤษฎีสมดุลของแนช



งานวิจัยชิ้นนี้ทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตมาก ยิ่งกว่าเพื่อนร่วมรุ่นคนไหนๆ ได้รับเข้าทำงานในวีลเลอร์แลป ได้ช่วยงานแพนตากอนถึงสองครั้งในสี่ปี ได้สอนในมหาวิทยาลัยชื่อดัง MIT ได้เจอกับผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง ในแต่งงาน มีครอบครัว มีลูกชาย





 แต่แล้วก็มี "สายลับอเมริกัน" คนนึง เข้ามาขอความร่วมมือให้แนชช่วยในการสืบค้นข้อมูลเรื่องรหัสลับจากนิตยสารต่างๆ

เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มกลัว และเป็นโรคระแวง ว่าชีวิตของเขาในฐานะสายลับและนักถอดรหัสจะมีผลต่อครอบครัวของเขา เขาเริ่มวิตกกังวล มีคนคอยสะกดรอยตามตลอดเวลา บ้านไม่ปลอดภัยอีกต่อไป กระทั่งมหาวิทยาลัยก็ไม่ปลอดภัย สถานที่ส่งมอบรหัสก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป



และแล้วเขาก็พบว่า ชาร์ลสเพื่อนร่วมห้องผู้เสเพลและหลานสาวของเขา มาร์ซี่ กับสายลับอเมริกันคนนั้น ไม่เคยมีอยู่จริง แม้กระทั่งสถานที่ที่ไปส่งจดหมายก็ยังเป็นภาพที่เขามโนขึ้นมาทั้งสิ้น แนชใช้เวลามากและต้องผ่านอะไรหลายๆอย่างกว่าจะยอมรับในตัวเองได้ว่าภาพที่เขาเห็น ไม่ใช่ของจริง เกือบจะทำให้ลูกชายคนเดียวต้องจมน้ำตาย เกือบจะทำร้ายภรรยา อลิเซียต้องเผชิญกับแรงกดดัน และต้องตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ เราว่าในฐานะผู้หญิงด้วยกัน เธอมาจากครอบครัวที่ดี แต่งงานกับผู้ชายที่มีฐานะการทำงานที่มั่นคง แต่วันนึงพบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำลายลง เรารู้สึกว่าเธอเข้มแข็งและน่านับถือมาก ในการที่สามารถยืนอยู่เคียงข้างผู้ชายคนนี้ อดทนกับเขามาตลอด ทั้งที่เขาไม่สามารถหางานทำ ซ้ำยังคงจมอยู่กับตัวเอง



เขายอมแพ้ให้กับความคิดของตัวเองหลายครั้ง และก็ลุกขึ้นมาได้ทุกครั้ง เขาเรียนรู้ที่จะยอมรับและอยู่กับมันมาตลอดชีวิต เขาพบว่าเพื่อนๆทุกคนยังรักเขาเสมอมา และคนที่รักเขามากที่สุดก็คือ ภรรยา

ฉากสุดท้ายที่ประทับใจมากๆก็คือ ฉากวางปากกา ที่ทุกๆคนให้การยอมรับนบถือเขา แนชสามารถกลับมาสอนได้ใหม่ และได้รับรางวัลโนเบล
เราแอบน้ำตาซึมเลย ... อยากให้ทุกคนได้ดูมากๆ อยากให้ทุกคนได้สัมผัสกับสิ่งที่เขาเผชิญ ได้สัมผัสความรักแรกและรักสุดท้ายที่บริสุทธิ์จริงๆ

เราว่า John Nash เป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกคนหนึ่งที่มีผู้หญิงอย่างอลิเซียเคียงข้างมาตลอด



Create Date : 20 ตุลาคม 2555
Last Update : 20 ตุลาคม 2555 18:06:49 น.
Counter : 5984 Pageviews.

0 comment
Lorenzo's Oil.., Don't give up while you are still breathing.
Lorenzo's Oil

ภาพยนตร์เรื่องนี้คงไม่เป็นที่คุ้นหูของใครหลายๆคน จริงๆตัวเราเองก็เพิ่งได้ยินวันที่ได้ดูนี้แหละค่ะ เป็นหนังปี 1992 กำกับ โดย George Miller สร้างมาจากเรื่องจริงของออกุสโตและมิเคล่า โอดอนเน่ พ่อและแม่ที่มีความอดทนและความพยายามเป็นเลิศ และยังได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนั้นถึงสองสาขา แม้จะชวดทั้งสองตำแหน่งก็ตาม



ภาพยนตร์สองชั่วโมงครึ่งเรื่องนี้ดีมาก ให้อะไรแก่คนดูสุดๆ จริงๆคนดูไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็ได้นะคะ แต่ถ้ามีก็จะดี และเข้าใจสิ่งที่ทั้งคู่พยายามค้นหา พยายามต่อสู้กับมันได้มากกว่า

ภาพยนต์เริ่มขึ้นที่แอฟริกาตะวันออกปี 1983 ท่ามกลางแสงแดดสดใส ลมร้อนๆที่พัดต้องหน้ายามวิ่งเร็วๆ เสียงหัวเราะ เสียงทุ้มใหญ่ของโอมูริชายหนุ่มมุสลิมชาวอัฟริกันที่แสนใจดี ว่าวตัวใหญ่ โลเรนโซ่ เป็นเด็กน้อยวัยห้าขวบเติบโตมาท่ามกลางสิ่งเหล่านี้

เมื่อเขากลับมายังวอชิงตันในอีกสามเดือนต่อมา คุณครูที่โรงเรียนต่างพากันสอบถามมิเคล่า ผู้เป็นแม่ว่า ลอเรนโซ่ มีปัญหาอะไรที่บ้านหรือไม่ เนื่องจากเด็กชายเริ่มมีพฤติกรรมแปลกประหลาด ชอบทำลายข้าวของ อารมณ์เสีย หงุดหงิดง่าย แพทย์บอกว่าลอเรนโซ่เป็นโรคไฮเปอร์ คืออยู่นิ่งๆไม่ได้ ทำอะไรนานๆไม่ได้ พวกเขาเสนอให้ลอเรนโซ่เข้าคลาสพิเศษสำหรับเด็กมีปัญหา แต่มิเคล่ากลับปฏิเสธ เธอยืนยันว่าลูกของเธอ เธอเลี้ยงเองได้
แต่ในคืนคริสมาสต์ปีนั้น ลอเรนโซ่ก็ตกจักรยาน...

เด็กชายเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งในคืนวันอีสเตอร์ปี 1984
Dr. Judalon บอกว่า เขาเป็นโรค ALD Adrenoleukodystrophy โรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรมที่อยู่บนโครโมโซม X เท่านั้น ดังนั้น ผู้ชายจึงมีโอกาสเป็นได้มากกว่าผู้หญิง เพราะผู้หญิงมี XX ก็คือมี X สองตัว ถ้าอีก X นึงปกติดี ก็จะเป็นแค่พาหะ ไม่แสดงอาการ ส่วนผู้ชายมีแค่ X ตัวเดียว เพราะโครโมโซมเป็น XY ดังนั้นจึงแสดงอาการของโรคได้ทันที
ในความเป็นจริงแล้วไม่ควรใช้คำว่า ผู้ชายมีโอกาสเป็นได้มากกว่าผู้หญิงหรอก เพราะผู้หญิงไม่มีโอกาสเป็นได้ด้วยซ้ำ ผู้ป่วยที่เป็น ALD มักจะเป็นตั้งแต่อายุ 5-10 ปี และใช้ชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสองปีเท่านั้น ถ้าเกิดว่าผู้หญิงจะเป็น แปลว่าโครโมโซม X ทั้งสองของเธอต้องเป็นXที่เป็น ALD ทั้งสองตัว แปลว่าตัวนึงมาจากพ่อ ตัวนึงมาจากแม่ และการที่ตัวนึงจะมาจากพ่อนั้น แปลว่าพ่อต้องเป็นโรคนี้ ซึ่งเป็นไปได้ เพราะผู้เป็นโรคนี้ต้องตายตั้งแต่เด็กๆแล้ว
(ความรู้สมัยม.ปลายที่เริ่มจางๆ 55)
เมื่อเราหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคก็ปรากฏว่า โรคนี้สามารถติดต่อทางกรรมพันธ์ปกติได้เช่นกัน คือ ติดต่อทางโครโมโซมร่างกาย อาจจะมาจากทางพ่อหรือทางแม่ และเป็นได้ทั้งชายหญิง แต่ก็หายากกว่าแบบ X-Linked เยอะ ส่วนมากมักจะมาจากการกลายพันธุ์




ALD คือโรคที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเอนไซม์ที่จำเป็นต่อการสลายกรดไขมันสายยาวได้ ทำให้ไขมันไปสะสมในสมอง ทำลายเยื้อหุ้มไมอีลินที่หุ้มเซลล์ประสาท ขอฝอยนิดนึงตรงนี้ ไมอีลีนชีทก็เหมือนกับทางลัด มันจะหุ้มเซลล์ประสาทไว้เป็นปล้องๆ ลองนึกภาพมันเป็นฉนวนกันไฟฟ้า และกระแสประสาทเป็นไฟฟ้า มันทำให้กระแสประสาทต้องกระโดดข้ามปล้องไมอีลีนชีท ทำให้สัตว์ที่มีไมอีลีนชีทมีความเร็วของกระแสประสาทมากกว่าสัตว์ที่ไม่มีหลายร้อยเท่า



ผู้ที่เป็น ALD จะมีความบกพร่องในการสื่อสาร ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ ไม่สามารถเข้าใจคำพูดต่างๆ ไม่ได้ยิน สมองกับร่างกายไม่เชื่อมกัน หงุดหงิดง่าย ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ มีอาการชัก กลืนลำบาก ตาบอด และเสียชีวิตในที่สุด

ซึ่งในปี 1984 นั้น โรคนี้ยังไม่มีทางรักษา หรือให้พูดตามตรงคือ ไม่มีใครใส่ใจจะค้นคว้ารักษาด้วยซ้ำ เนื่องจากคนเป็นน้อย ใช้ทุนสูง ใครจะมาออกทุนให้ล่ะ จริงมั้ย... แต่มิเคล่าและออกุสโตนั้น ก็ไม่ยอมแพ้ พวกเขาไม่เชื่อหมอ การไปประชุมผู้ปกครองของเด็ก ALD มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง การรักษาต่างๆมีแต่จะทำให้ลอเรนโซ่แย่ลง ตอนนั้นเด็กชายรับการรักษาหลายแบบทั้งการควบคุมอาหารซึ่งรังแต่จะทำให้ระดับ Fatty Acid ที่มีปัญหาคือ C24 และ C26 เพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อพวกเขาพาลอโรนโซ่ไปทำการรักษาที่บอสตันซึ่งเป็นการรักษาแบบกดภูมิต้านทาน ภายในไม่กี่อาทิตย์ ลอเรนโซ่ พูดไม่ได้ เดินลำบาก เหล่านักวิทยาศาสตร์เห็นลอเรนโซ่เป็นเพียงกรณีศึกษาอีกกรณีหนึ่งเท่านั้น มูลนิธิ ALD ไม่ยอมเปลี่ยนการรักษาเพราะกลัวเสียชื่อเสียง ออกุสโตและมิเคล่า ตัดสินใจนำลอเรนโซ่กลับมาบ้าน

ระหว่างนั้น...ทุกๆอย่างในชีวิตของทุกคนเปลี่ยนไป มิเคล่าต้องดูแลลอเรนโซ่ตลอดเวลา โดยมีเดนเดรียร์น้องสาวคนเดียวของเธอมาช่วยด้วยทั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวและน้องสาวก็ค่อนข้างง่อนแง่น แต่ในการโต้เถียง จริงๆแล้วพี่น้องทั้งคู่ก็ยังรักกัน ไม่ว่าจะเถียงกัน หรือลำบากยังไง แดนเดรียร์ก็ไม่เคยทิ้งมิเคล่า ออกุสโตและมิเคล่าตัดสินใจเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้แลรักษาลอเรนโซ่ด้วยตัวเอง ทั้งคู่หมกตัวอยู่ในห้องสมุด เรียนรู้ทุกอย่าง เริ่มต้นความรู้ตั้งแต่ศูนย์ ออกุสโตต้องจำนองบ้านหลายต่อหลายครั้ง ในขณะที่ทำงานไปด้วยและค้นคว้าไปด้วย

ทุกอย่างไม่มีเวลามากนัก....เพราะลอเรนโซ่ เหลือเวลาอีกไม่มากนัก
ทุกคนในบ้านต้องกินอาหารด้วยมือ เพราะลอโรนโซ่ไม่สามารถหยิบช้อนส้อมได้อีกต่อไป
ลอเรนโซ่เริ่มกินอาหารไม่ได้ กลืนน้ำลายไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ เขาต้องนอนบนเตียงตลอดเวลา ให้อาหารผ่านทางสายที่ต่อเข้าไปในจมูกลงไปยังหลอดอาหาร ต้องมีพยาบาลคอยดูแลยี่สิบสี่ชั่วโมงคอยดูดเอาน้ำลายออก แม้กระทั่งพยาบาลที่เปลี่ยนกันไปหลายต่อหลายคนก็ไม่สามรถทนแรงกดดันและบรรยากาศในบ้านหลังนี้ได้
ลอเรนโซ่ชักและสำลักบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น และแต่ละครั้งก็ยาวนานขึ้น เป็นนาที เป็นชั่วโมง หลายชั่วโมง และเป็นคืน... ลองจินตนาการดูว่าเราสำลักและไอพยายามที่จะเอาอะไรบางอย่างออกมาอยู่ทั้งคืน แค่การสะอึกหลายนาทีก็ทำคนจะบ้าตายแล้ว นี่ไม่ต้องพูดถึงกันเลยทีเดียว



ออกุสโตพบว่า กรดโอเลอิกน้ำมันมะกอกที่สกัดเอากรดไขมันของคาร์บอนที่มีปัญหาออกนั้นสามารถช่วยลอเรนโซ่ได้ พวกเขาโทรศัพท์ไปหานักวิทยาศาสตร์และนักเคมีมากมาย จนพบนักเคมีคนหนึ่งที่มีน้ำมันมะกอกนี้อยู่ ระดับกรดไขมันในเลือดของลอเรนโซ่ลดลงกว่าครึ่งและก็ไม่สามารถลดไปมากกว่านี้
พวกเขายังคงค้นคว้ากันต่อไป
หลายครั้งที่คนรอบข้างยอมแพ้แล้วยอมแพ้อีก คอยตั้งคำถามตลอดเวลาว่า
...สิ่งที่พวกเขาทำมันถูกหรือยัง เด็กผู้ชายคนนี้อยากอยู่ตรงนี้ไหม อยากทรมานอย่างนี้ไหม หรือความจริงแล้วเขาอยากจากไปอย่างสงบมากกว่า
แม้กระทั่งมิเคล่าผู้ซึ่งยืนหยัดจะรักษามาตลอดก็ยังเคยพูดกับลอเรนโซ่ที่นอนเป็นเกือบๆจะอยู่ในภาวะผักบนเตียงว่า "It is alright if you want to fly home to be with baby Jesus, Mommy and Daddy will be okay" (ประโยคไม่ค่อยถูกแน่เลย จำไม่ค่อยได้แล้ว)
แล้วในตัวของลอเรนโซ่แท้จริงแล้วนั้น เหลืออะไรบ้าง พวกเขาตั้งคำถามกับตนเองว่า ลอเรนโซ่ที่พูดไม่ได้ ไม่ได้ยิน มองไม่เห็น มีอะไรหลงเหลืออยู่ในจิตวิญญาณของเขาบ้าง



มิเคล่าส่งจดหมายไปหาโอมูรี ชาวหนุ่มชาวแอฟริกันร่างยักษ์ถึงเรื่องของลอเรนโซ่ เขาบินข้ามทวีปมาอยู่ในเมืองที่ไม่คุ้นเคย เพื่อมาพยาบาลลอเรนโซ่ มาร้องเพลง มาอยู่เป็นเพื่อนเด็กชายตัวน้อยๆที่เคยขอให้เขาทำนู่นนี่ให้

หลังจากนั้นพวกเขาพบว่า Eruic Acid ในน้ำมันละหุ่งสามารถช่วยได้ แต่ยังไม่มีการยืนยันที่แน่ชัด ทั้งยังหายากมากๆ พวกเขาโทรศัพท์ไปหาบริษัทเคมีกว่าร้อยบริษัท จนกระทั่งพบนักเคมีชาวอังกฤษที่กำลังจะเกษียณในอีกหกเดือน เขาสกัดเอากรดตัวนี้ให้ทั้งๆที่ต้องใช้ทุนมหาศาลและยุ่งยากต่อการสกัดมาก เดนเดรียร์ยอมเป็นหนูทดลองกินกรดชนิดนี้ก่อนลอเรนโซ่ เพราะเธอเองก็เป็นหนึ่งในพาหะเช่นกัน



ออกุสโตใช้ Oleic Acid 4 ส่วน ผสมกับ Eruic 1 ส่วน และสามารถทำให้ระดับกรดไขมันของลอเรนโซ่กลับมาเป็นปกติได้ แม้ว่าไมอีลินที่ถูกทำลายไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาเป็นปกติอีกแล้วก็ตาม ลอเรนโซ่เสียชีวิตเมื่ออายุสามสิบปี มากกว่าที่แพทย์ทำนายไว้ถึง 22 ปี
พวกเขาไม่ได้แค่ช่วยยื้อชีวิตของลูกชายตนเอง แต่การค้นพบนี้ยังสามารถช่วยเด็กโรค ALD ได้หลายร้อยคนทั่วโลก น้ำมันชนิดนี้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ลอเรนโซ่ "Lorenzo's Oil"
มีการสร้าง The Myelin Project ขึ้นมา เป็นการปลูกถ่ายไขกระดูกที่จะสามารถรักษาโรคนี้ได้ ที่คุณเองก็สามารถบริจาคเงินให้กับโครงการนี้ได้



ออกุสโตเคยบอกเอาไว้ว่า "Michaela once said that the real Lorenzo was locked in his ALD body,and I believe that is true."
วารสาร New Scientist ในปี 2002 เคยถามเขาว่า "Do you see yourself as a scientist" เขาตอบว่า "No, I'm a father"

ในช่วงชีวิตสุดท้ายของลอเรนโซ่ เขาเป็นอัมพาต สื่อสารด้วยกันขยับนิ้วมือ กระพริบตา และผ่านทางคอมพิวเตอร์ เขายังคงสามารถคิดได้ชอบฟังเพลง และชอบที่มีคนอ่านหนังสือให้ฟัง



"Certainly, he has good days and bad days, he is bedridden and he cannot eat more than through a tube… but his mind is still there. He likes that we read to him, that we play music for him and he knows who is around him"




Create Date : 05 ตุลาคม 2555
Last Update : 5 ตุลาคม 2555 18:04:33 น.
Counter : 4013 Pageviews.

2 comment
Bridge to Terabithia (2007)
Bridge to Terabithia (2007)

เป็นอะไรที่คาดไม่ถึงเอามากๆสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่โปสเตอร์ดูเด็กน้อยเสียเหลือเกิน และค่ายวอลเดนและวอลด์ดิสนีย์ก็การันตีความเป็นหนังเด็กได้เป็๋นอย่างดี แต่...ในสายตาเรา เรื่องนี้ไม่ได้เด็กเลยสักนิดเดียว



แต่ก็เป็นหนังที่ให้ข้อคิดดีๆ จุดประกายอะไรบางอย่างให้ต้องเก็บกลับมาขบคิด และทำให้ย้อนนึกถึงวัยเด็กได้เช่นเดียวกัน



Jesse เป็นเด็กผู้ชายที่ไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆในห้อง และไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว ทั้งๆที่จริงๆแล้วตัวเขาเองมีความสามารถมาก ทั้งด้านวาดรูป และกีฬา เขาเป็นเด็กชายเพียงคนเดียวในครอบครัวที่มีพี่น้องผู้หญิงสามคน Jesse ถูกเลี้ยงมาอย่างเด็กผู้ชาย ขณะที่พี่น้องคนอื่นๆในครอบครัวโดยเฉพาะน้องสาวคนสุดท้องถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมเอาอกเอาใจ



จนกระทั่งมีเด็กผู้หญิงคนนึงย้ายเข้ามาอยู่บ้านข้างๆ Leslie รวมทั้งเป็นเพื่อนร่วมห้องอีกด้วย เธอเป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยความร่าเริง เสน่ห์ อิสระเสรี และมีจินตนาการสูง Leslie มาจากครอบครัวที่อบอุ่น ที่ทั้งพ่อและแม่ที่เป็นนักเขียนก็ต่างเอาใจใส่เธอเต็มที่

Jesse และ Leslie ได้ข้ามไปยังอีกฝั่งของป่าด้วยเชือก และอีกฝั่งของป่านั่นเองที่กลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์ในจินตนาการของทั้งสอง Terabithia ที่มีทั้งอัศวินและจอมมารร้ายแห่งความมืด มีโทรลยักษ์



ตัวละครที่ออกมาในดินแดนมหัศจรรย์นี้ล้วนเป็นตัวแทนจากโลกแห่งความเป็นจริงทั้งสิ้น ทั้งปีศาจหน้าตาน่าเกลียด และโทรลที่มาจากเด็กหญิงขาใหญ่ประจำโรงเรียน

สิ่งเหล่านี้ทำให้เรานึกไปถึงตอนเด็กๆสักห้าหกขวบได้ ชีวิตตอนเด็กๆของเราเติบโตมาในบ้านสวน ด้วยความรู้สึกที่คล้ายๆว่าโลกมันมหัศจรรย์เอามาก มีการผจญภัยทุกๆวัน ซึ่งย้อนมองกลับไปในเวลานั้น การผจญภัยของเราอาจจะเป็นแค่การเดินข้ามคลองด้วยท่อนต้นกล้วย แต่ก็รู้สึกว่าทุกๆวันมันตื่นเต้นและมหัศจรรย์เหลือเกิน



เราคิดว่าลึกๆแล้ว Jesse นั้นหลงรัก Leslie เข้าแล้ว ทั้งที่ในตอนแรกเขารักคุณครูดนตรีคนสวย เมื่อครูมาชวนเข้าไปพิพิธภัณฑ์นั้น เขาจึงตอบรับอย่างไม่ลังเล และไม่ได้ชวนเลสลี่ไปด้วย ทั้งที่ใจนึงก็แอบแว่บคิดถึงเลสลี่อยู่เหมือนกัน แต่เมื่อกลับมากลับพบว่าเลสลี่ประสบอุบัติเหตุขณะที่พยายามข้ามไปยังโลกแห่งจินตนาการของเธอ

...ตรงนี้เป็นจุดพลิกผันของหนัง ซึ่งเราก็ไม่คาดคิดว่าจะได้มาเจอ วรรณกรรมเด็กน้อยเรื่องที่ตัวละครที่สำคัญต่อจิตใจของคนอ่านจะพบกับความตาย

การสูญเสียเลสซี่ของเจสเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และเกือบจะทำให้เขาเสียดินแดนมหัศจรรย์ของทั้งคู่ Terabithia ไป แต่แล้วก็เป็นคนในครอบครัวของเขาเองที่ช่วยเขาออกมาจากความสูญเสียนั้น
พ่อที่ใส่ใจเขามากกว่าที่เขาคิด และน้องสาวคนเล็ก May Belle ที่เห็นพี่ชายของตัวเองเป็นฮีโร่มาโดยตลอดแม้ว่าเธอจะซุกซนไปบ้าง แต่เธอก็เป็นน้องสาวที่ดีและเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์

ฉากสุดท้ายที่เจสเปิดโลก Terabithia ให้กับ MayBelle ได้เข้าไปเป็นส่วนนึงของดินแดนมหัศจรรย์นี้ เราขนลุกสุดๆ

ลองเปิดดูตัวอย่างหนังดูแล้ว...เราคิดว่าเรื่องนี้คงเกิดเหตุการณ์คล้ายๆกับที่เกิดกับเรื่อง Pan's Labyrith คือการผิดคาดของคนที่เข้าไปดู แต่ในกรณีของ Pan's Labyrinth คนคาดหวังจะได้พบอะไรเด็กๆแต่กลับพบเลือดสาดกระจาย แต่เรื่องนี้ก็ถือว่ายังเด็กกว่า Pan มาก
สำหรับเรื่องนี้ดูตัวอย่างหนังแล้วเหมือนจะเป็นแนวๆ Narnia ผ่านอะไรสักอย่างเข้าไปสู่แดนมหัศจรรย์ แต่Bridge to Terabithia ไม่ใช่อย่างนั้น มันเต็มไปด้วยโลกแห่งความเป็นจริงผสมกับโลกแห่งจินตนาการ

...สรุปแล้วอยากให้ดูนะคะ แต่อาจจะต้องเตรียมใจนิดนึง ว่ามันไม่ใช่หนังแฟนตาซีจ๋า หรือหนังที่มีความสุขล่องลอยเท่าไหร่

ปล.คุณครูคนสวยตอนแรกเรามองคิดว่าหน้าเหมือน Katy Perry จัง มองไปมองมานี่มัน Summer นี่นา!!




Create Date : 21 พฤษภาคม 2555
Last Update : 21 พฤษภาคม 2555 16:22:02 น.
Counter : 3238 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  

marina_rain
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]



ติดต่อทางอีเมลได้ที่ wasineechann@gmail.com
All Blog