เที่ยวเนปาล... แบกเป้เที่ยวเดี่ยวได้สบายมาก (วันที่สาม)

เที่ยวเนปาล... แบกเป้เที่ยวเดี่ยวได้ สบายมาก
วันที่สามโหนรถบัสเที่ยวเบาดา> น้ำตก> ปศุปฎินาถ> ภัคตะปูร์

17กรกฎาคม 2554

เช้านี้สารีต้าให้ลองทานแป้ง Pancake ไส้มันฝรั่งบดผสมหอมแดง...รสชาติจืดอีกแล้ว (><')
ดิฉันขอชาเนปาลต้มกับนมใส่เหยือกเช่นเคยและกาแฟร้อนหอมๆ (ที่นี่ไม่มีคอฟฟีเมต) เช้านี้ต้องทานเยอะหน่อยค่ะ แม้รสชาติจะไม่ถูกปากแต่ก็จัดการPancake ไปถึงสองแผ่น เพื่อตุนพลังงานไว้สำหรับการลุยไกลในวันนี้ และถามคำถามที่ข้องใจตั้งแต่เมื่อวานกับสารีต้าว่า

"ที่นี่ไม่มีน้ำแข็งขายเหรอ?”
จึงได้คำตอบว่า "มีขาย...แต่เป็นน้ำแข็งสำหรับแช่อาหารให้เย็นเช่นแช่ไอติม ผัก เนื้อสัตว์ฯ ไม่สะอาดพอที่จะนำมาทำเครื่องดื่ม" หมดข้อข้องใจค่ะ * ลืมมันซะIce Cappuccino, Forget it! *


วันนี้สารีต้านำเที่ยวค่ะ เพราะระยะทางไกลต้องเดินทางด้วยรถบัส หากไปคนเดียวอาจจะขึ้นรถไม่ถูก หลงทางและเสียเวลาได้ เนื่องจากวันนี้เป็นทริปวันสุดท้ายของดิฉัน สารีต้าจึงอยากให้ดิฉันได้เที่ยวตามแผนมากที่สุด ซึ่งจริงๆแล้ว วันนี้ตั้งใจจะไป "นครก๊อต" เมืองบนเทือกเขาที่สามารถเห็นวิวหิมาลัยได้ชัดที่สุดจากกาฐมาณฑุ แต่ด้วยสภาพอากาศไม่อำนวย มีเมฆปกคลุมมาก หากไปนครก๊อตก็มองไม่เห็นหิมาลัยอยู่ดี จึงเปลี่ยนเป็นเที่ยวน้ำตก (ดิฉันจำชื่อภาษาเนปาลไม่ได้จำได้แต่ความหมาย) Beautiful Waterแทน ซึ่งเป็นน้ำที่ไหลลงมาจากเทือกเขาหิมาลัยและยังเป็นแหล่งน้ำสำคัญ สำหรับดื่ม-ใช้ของคนทั้งเมืองกาฐมาณฑุอีกด้วย แผนในวันนี้จึงเริ่มจากเจดีย์เบาดา >น้ำตก>ปศุปฎินาถ>และเมืองเก่าภัคตะปูร์


รถบัสวันนี้คนแน่นมาก ต้องยืนเบียดกับชาวเนปาล....แต่แปลกจัง! ทำไมคนที่นี่ไม่มีกลิ่นตัว (คิดว่าอาจเป็นเพราะอาหารการกินที่มีแต่ข้าว ผัก ไข่ โยเกิร์ตและเนื้อไก่) แม้รถจะคนแน่นมากแค่ไหน รถบัสก็จอดรับคนทุกป้ายเพื่อรับคนขึ้นมา.. ขึ้นมา...เพื่อ...? ระยะทางจากปาตันไปเจดีย์เบาดา ผ่านกาฐมาณฑุและห่างออกจากกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันออก รวมระยะเวลาประมาณ 40 นาที ค่ารถ 20รูปี ...ดีจัง!











"เจดีย์เบาดา" Boudhaเป็นเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในเนปาลมีอายุกว่า 2,000 ปี จึงถูกยกให้เป็นมรดกโลกอีกเช่นกัน (มรดกโลกแห่งที่สี่ของทริปนี้) ยอดองค์พระเจดีย์เป็นรูปตาและคิ้วทั้ง 4 ด้าน มีชื่อเล่นว่า "วัดตาโต" ซึ่งรูปตานี้มักเป็นสัญลักษณ์ที่เราเห็นบนสินค้าที่ระลึกของเนปาลหลายๆอย่างเช่นเสื้อยืด กล่องชา ฯลฯ

บริเวณเจดีย์เป็นแหล่งชุมชนชาวทิเบตที่อพยพจากจีนมาอาศัยตั้งแต่ปี 2502 รอบๆเจดีย์จะมีวัดทิเบตและสินค้าพื้นเมืองของทิเบตวางขาย หลังจากเข้าไหว้สักการะองค์พระทิเบตในโบสถ์ เรายืนรอรถบัสเพื่อเดินทางต่อ..ไปน้ำตก










รอรถนานพอสมควรเพราะระยะทางไกลมาก แทบไม่มีรถคันไหนไปเมืองที่ตั้งของน้ำตก และใช้เวลานั่งรถเกือบๆชั่วโมง ผ่านหมู่บ้าน ผ่านทุ่งนาขั้นบันได สุดสายรถบัสก็คือถึงทางขึ้นน้ำตก สารีต้าพาเดินขึ้นน้ำตกไปเรื่อยๆจนถึงจุดที่สวยและสูงของน้ำตก น้ำเย็นมาก ต้นไม้เขียวๆตลอดทาง...พาลเริ่มกลัวเจองู แต่ก็โชคดีค่ะที่ไม่ได้เจอ

ด้านบนมองเห็นวิวเมืองที่มีแต่ทุ่งนาขั้นบันไดเขียวชะอุ่มสบายตา เราเดินข้ามสะพานปูน ที่พาดสองฝั่งของน้ำตก เพื่อเดินทางกลับลงจากอีกด้านน้ำตกฝั่งที่ไม่ใช่ทางขึ้น มีชาวบ้านนำแพะมาเล็มหญ้า มีเล้าไก่ของชาวบ้าน และร้านค้าเล็กๆ ขายถั่ว น้ำดื่ม โคคาโคล่า แฟนต้า เป๊ปซี่ ฯ ริมข้างทาง เราแวะดื่มน้ำอัดลมเพื่อพักเหนื่อยดับความกระหาย แต่น้ำก็เย็นไม่ได้ดั่งใจดิฉันเลย !

เฮ้อออ....บางทีก็เบื่อนิสัยคนกรุงรักความสบายของตัวเองเหมือนกัน มาสัมผัสกับความสมถะ-เรียบง่ายบ้างก็น่าจะดี "จะได้ไม่ลืมตัว...ว่าเราก็มาจากดิน น้ำ ฟ้า ลม ไฟ เกิดขึ้นมา-ดำรงชีวิตอยู่-และก็ต้องตายดับไปกลับคืนสู่ ดิน น้ำ ฟ้า ลม ไฟ เหมือนกันทุกคน"

เราใช้เวลานั่งรถบัสต่อไปยัง "ปศุปฎินาถ" (มรดกโลกแห่งที่ห้าของทริป) ซึ่งเป็นวัดที่สำคัญที่สุดในศาสนาฮินดู เป็นสถานที่เผาศพของชาวฮินดู ติดกับแม่น้ำบาคมาติ ด้านในเข้าได้เฉพาะชาวฮินดู เสียดายมากที่ดิฉันไม่ได้เข้าไปด้านใน แต่ก็เห็นควันไฟจากการเผาศพตลอดเวลา บรรยากาศโดยรอบปศุปฎินาถ ทำให้ดิฉันนึกถึงคำว่า "ทุกขเวทนา" ได้อย่างชัดเจนเห็นภาพ มีทั้งคนป่วย คนนอนเจ็บรอความตาย และศพรอเผา




จากท่ารถรอบๆปศุปฎินาถ...เราเดินทางต่อด้วยรถบัสมาลงริมถนนและเดินเท้าต่อเป็นระยะทางพอสมควร น่าจะใช้เวลาเดินสัก 15-20 นาที ไปยังหมู่บ้านโบราณอายุกว่า 2000ปีที่ยังมีชีิวิต หมายความว่า...เป็นหมู่บ้านที่มีคนอาศัยอยู่ตามปกติและดำเนินวิถีชีวิตเช่นนี้มายาวนานถึง 2000 ปีโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ที่นี่คือ "ภัคตะปูร์"













ดิฉันชอบบรรยากาศและตึกรามบ้านช่องที่นี่มาก นึกในใจว่าสมแล้วที่ถูกยกให้เป็นมรดกโลก (มรดกโลกแห่งที่หกของทริป) ที่นี่มีความแตกต่างจากปาตันตรงที่บ้านทุกหลัง อิฐทุกก้อนยังคงสภาพเก่าแก่ยาวนานมาถึงทุกวันนี้ ในขณะที่ปาตันบ้านเรือนจะคละเคล้าเก่า-ใหม่ผสมปนกันไป

อาชีพหลักของผู้คนในภัคตะปูร์ คือ"เครื่องปั้นดินเผา" พื้นที่กลางชุมชนจะมีลานกว้าง ไว้ตากหม้อดิน มีเตาเผาหม้อดินทำจากอิฐมอญ













ยามว่างของผู้ชายส่วนใหญ่ที่นี่คือการนั่งเล่นหมากรุก เล่นไพ่ ไฮโลฯ โดยจะเห็นการจับกลุ่มแบบนี้แทบทุกมุมตึก







เดินเล่นผ่านตัวหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นทางเข้าสู่พระราชวังโบราณภัคตะปูร์ (หนึ่งในสถานที่ถ่ายทำหนังฮอลลีวูดเรื่อง “Little Buddha”) ดิฉันพักทานอาหารเที่ยงที่ Restaurantบริเวณรอบๆพระราชวังฯ ที่มีให้เลือกอยู่หลายร้านเนื่องจากเป็นสถานที่ท่องเที่ยว


เมนูเที่ยงมื้อนี้คือ "เนปาลเซท" ประกอบไปด้วยข้าวสวย+ แกงไก่รสชาติดีมาก คล้ายๆแกงฮังเลทางเหนือของไทย+ โยเกิร์ต+ ถั่วต้ม+ผัดผักและน้ำพริกผสมผัก ตามด้วยกาแฟร้อน ด้วยความที่มากับชาวเนปาลหรือป่าวไม่ทราบ พอเราทานข้าวหมดถาด พนักงานเดินมาเติมข้าวสวยให้เราด้วย และเทผัดผักจากหม้อเติมให้เราในถาด จนอิ่มท้องมาก คราวนี้มีแรงเดินถ่ายรูปต่อได้มากโขเลยค่ะ


พระราชวังภัคตะปูร์ มีความสวยงามและแลดูสะอาดตามากกว่าที่กาฐมาณฑุและปาตันพอสมควร ดิฉันเดินเล่นและถ่ายรูปไปทั่วจนสารีต้าเหนื่อย......ขอนั่งรอใต้ศาลา พอถึงเวลาตะวันใกล้จะตกดิน เราจึงเดินมาที่คิวรถบัส เพื่อหาสายรถบัสที่จะพาเราเดินทางกลับบ้านที่ปาตัน (เราเดินทางขามาเข้าเมืองภัคตะปูร์ทางนึง แต่เดินทางกลับอีกทางนึง)

















คืนนี้ดิฉันนอนหลับสนิทมาก คงด้วยความเหนื่อยล้า รุ่งขึ้นต้องตื่นเช้าเพื่อไปแอร์พอร์ต เช็คอินและเดินทางกลับสู่กรุงเทพมหานคร

ความตื่นเต้นยังไม่จบค่ะ ขณะนั่งอยู่บนเครื่องหลังบอกลาหุบเขากาฐมาณฑุออกมาได้สักระยะนึง สภาพท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ และทันใดนั้นเอง

...ภาพวิวเทือกเขาหิมาลัยก็โผล่ขึ้นมาริมหน้าต่างฝั่งที่ดิฉันนั่ง คือฝั่งซ้ายมือของเครื่อง และเสียงกัปตันประกาศออกไมค์ให้ผู้โดยสารมองนอกหน้าต่างก็ดังตามมา ดิฉันอธิบายความตื่นเต้นดีใจนี้ไม่ถูก ว่าภาพที่อยู่ตรงหน้ามันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มากขนาดไหน เทือกเขาหิมาลัยตั้งสูงตะหง่าน ทะลุผ่านชั้นเมฆขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับเครื่องบิน

....หรือนี่คือคำร่ำลาของเนปาลดินแดนหิมาลัย เพื่อจะบอกดิฉันว่า...กลับมาอีกนะ







 

Create Date : 16 สิงหาคม 2554   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2558 11:07:17 น.   
Counter : 1452 Pageviews.  


เที่ยวเนปาล... แบกเป้เที่ยวเดี่ยวได้ สบายมาก (วันที่สอง)

16 กรกฎาคม 2554

เมื่อคืนดิฉันนอนหลับสบายเชียว แม้ห้องนอนไม่มีเครื่องปรับอากาศ มีเพียงเตียงนอน-หมอน-มุ้ง แต่อากาศเย็นสบายมาก ตื่นนอนพร้อมแสงที่ส่องมาจากช่องหน้าต่างบานเล็กๆ รีบล้างหน้าแปรงฟันแต่งตัว (ไม่อาบน้ำตอนเช้าอีกเหมือนเคย) เพื่อลงมาทานอาหารเช้าแบบเนปาลฝีมือสารีต้าในครัว







สารีต้าเตรียมไข่ผสมเครื่องเทศแบบเนปาลจานใหญ่ขนาดเท่าไข่เจียว...ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าไข่ดาวหรือไข่เจียวดีค่ะ มันผสมผสานกันอย่างละครึ่ง รสชาติจืดๆแต่มีกลิ่นหอมๆจากเครื่องเทศอะไรสักอย่างที่ดิฉันไม่รู้จัก เสริฟพร้อมชานมร้อนใส่เหยือกและกาแฟ ดิฉันชอบชาเนปาลมากกลิ่นหอมดี รสชาติอ่อนๆ (จะต้องหาซื้อกลับไปเมืองไทยแน่นอน)

หลังจากมื้อเช้าดิฉันบอกสารีต้าว่า...วันนี้อยากเที่ยวเองช่วยแนะนำหน่อย เธอเดินหายไปครู่เดียวกลับมาพร้อมกับกางแผนที่บนโต๊ะอาหาร เพื่ออธิบายเส้นทางการวิ่งของสายรถบัสระหว่างเมืองปาตันไปเมืองกาฐมาณฑุทางถนนวงแหวน (Ring Road) เพื่อให้ดิฉันกลับบ้านถูกในตอนเย็น และอธิบายราคาเท็กซี่ที่ควรจะเป็นจากจุดนึงไปอีกจุดนึง สอนให้ต่อรองราคาและไปไหนควรนั่งรถบัส ไปไหนควรนั่งเท็กซี่ ต้องจ่ายค่ารถบัสเท่าไหร่แถมให้ดิฉันยืมเงินรูปีไปใช้ก่อน 2,000รูปี (ในกระเป๋าตังส์ดิฉันมีแต่ U$ ค่ะ) เธออธิบายทุกอย่างละเอียดมาก เพื่อให้ดิฉันประหยัดเงินในกระเป๋ามากที่สุด (สารีต้าน่ารักที่สุดเลย) และเดินมาส่งดิฉันขึ้นรถบัสโดยบอกกับเด็กกระเป๋ารถชาวเนปาลเป็นภาษาเนปาลว่าฉันจะลงที่ "สวะยัมภูนาถ" การผจญภัยจึงเริ่มขึ้น ณ บัดนี้



อยู่กรุงเทพมหานครมาสิบเอ็ดปีไม่เคยใช้บริการรถเมล์ขสมก.ทั้งแบบมีแอร์และแบบไม่มีแอร์ แต่มาเนปาลดิฉันได้นั่งรถบัสคันเล็กๆ ไม่มีแอร์แถมฝุ่นลอยคลุ้งอยู่ในอากาศตลอดเวลา คุณพระ! ในกระเป๋าโดเรมอนของดิฉันมี.....!.....หน้ากากกันฝุ่นคือชีวิตของฉัน! ฮะ ฮา ฮ่า ดีใจที่สุด เหตุผลที่สารีต้าให้ดิฉันนั่งรถบัสจากเมืองปาตันไปเจดีย์สวะยัมภูนาถ เพราะระยะทางค่อนข้างไกลต้องใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที ถ้าไปเท็กซี่จะแพง ไปรถบัสจ่ายแค่ 20 รูปี ที่นี่ไม่มีกระบอกเก็บเงินเหมือนรถเมล์บ้านเรา ผู้โดยสารจะจ่ายเงินตอนลงจากรถกัน ระหว่างนั่งรถบัส เด็กกระเป๋ารถชาวเนปาลอายุน่าจะไม่เกิน 13 ขวบท่าทางแสบดีทีเดียว ดิฉันสังเกตว่าเด็กกระเป๋ารถทะเลาะกับผู้โดยสารแทบทุกคน โดยเฉพาะกับผู้หญิง แม้ฟังภาษาเนปาลไม่รู้เรื่องแต่มองจากสิ่งที่เห็นคือ เด็กได้รับแบงค์ที่มีค่ามากกว่า 20 รูปีแล้วไม่ทอนเงินบ้าง ทอนไม่ครบบ้าง(คิดเอา) แล้วก็ทะเลาะเถียงกับผู้โดยสารจนรถออก ผู้หญิงก็ชี้หน้าด่าเป็นภาษาเนปาล เห็นเช่นนั้นแล้ว ดิฉันก้มดูตังส์ที่สารีต้าให้ไว้เป็นเงินรูปีว่ามีแบงค์ 20 รูปีไหม? 555 มีเพี๊ยบ! นังเด็กแสบแกไม่ได้แอ้มฉันหรอก!

นั่งรถนานพอสมควรเหมือนจะผ่านไปราวๆ 40 นาที เด็กกระเป๋ารถหันมาพูดอะไรกับฉันเป็นภาษาเนปาล! ฟังไม่รู้เรื่องด้วยสิ ฉันพูดกลับไปว่าเป็นคำถามว่า "Swayambhu?” “No no no” เป็นคำตอบกลับมาแล้วต่อด้วยภาษาเนปาลอีก แต่หันไปพูดและขำกับผู้โดยสารคนอื่น (ดูมันทำ!) แต่ก็มีผู้ชายใจดีคนนึงพูดภาษาอังกฤษบอกว่ายังไม่ถึงหรอกแต่อีกไม่ไกล เมื่อถึงจุดหมายเด็กกระเป๋ารถตะโกนมาบอกฉันให้ลง (เออ...ยังดี) จ่ายตังส์เสร็จ ไม่จบ! ขอตังส์เพิ่มอีก ดิฉันแกล้งไม่ได้ยินเดินเชิดหน้าที่ปิดหน้ากากอยู่เนี่ยแหล่ะ ข้ามถนนสู่ที่หมายคือเจดีย์ทันที








ทางขึ้นเจดีย์สวะยัมภูนาถต้องเดินขึ้นบันไดประมาณ 300ขั้น แต่ก็ไม่ได้สูงชันเท่าดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ บ้านเรา เพราะฉะนั้นสบายมากค่ะ ด้านบนบริเวณที่ตั้งของเจดีย์จะมองเห็นวิวเมืองกาฐมาณฑุโดยรอบทั้งหมด เจดีย์ที่นี่มีชื่อเล่นว่า"วัดลิง" (Monkey Temple) เพราะระหว่างทางขึ้นเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงลิงจำนวนมาก แต่ด้วยความเป็นคนไทยเราจะเคยชินกับลิงอยู่แล้ว จึงไม่น่ากลัวอะไรมากนัก ความเก่าแก่ของเจดีย์สวะยัมภูนาถยาวนานมากกว่า 2000 ปีจึงเป็นมรดกโลกแห่งที่สองสำหรับทริปนี้ของดิฉัน








บริเวณโดยรอบของเจดีย์จะมีการทำพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์อย่างหนาตา ซึ่งเต็มไปด้วยควันธูป มีถ้วยเทียนเล็กๆวางเต็มพื้นไปหมด ดิฉันเดินเล่นหมุนกงล้อภาวนารอบเจดีย์ไปเรื่อยๆตามเข็มนาฬิกา ทำตามคนข้างหน้าไปเรื่อยๆ ภายในกงล้อภาวนาแต่ละอันจะบรรจุกระดาษที่เขียนบทสวดมนต์เอาไว้เป็นภาษาเนปาลม้วนเอาไว้ โดยเชื่อว่าหากเราหมุนกงล้อแต่ละอัน ก็เท่ากับว่าเราได้สวดบทสวดมนต์เหล่านั้นจนครบถ้วน และริ้วธงหลากสีสันที่ผูกระโยงระยางจากยอดเจดีย์ลงมาก็เช่นกัน บนผืนธงแต่ละอันจะมีบทสวดมนต์เขียนไว้ทุกผืนเช่นกัน และจะมีการเปลี่ยนธงทุกวันพระจันทร์เต็มดวงซึ่งนั่นก็หมายความว่าจะมีการเปลี่ยนธงเดือนละสองครั้ง

ดิฉันเพลิดเพลินกับการเดินเล่นรอบๆเจดีย์สวะยัมภูนาถมาก เนื่องจากที่นี่ก็เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวประเทศต่างๆที่มักรายล้อมไปด้วยแกลอรี่ภาพวาดสีน้ำ สีน้ำมัน และงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆของเมืองนั้นๆ อย่างที่นี่...ก็จะมีภาพวาดเทือกเขาหิมาลัยวางขายอยู่เยอะมาก








ดิฉันนั่งพักเหนืื่อยจิบกาแฟเย็นที่ไม่ค่อยได้ดั่งใจสักเท่าไหร่ที่ร้านแถวๆบนเจดีย์ เนื่องจากเมืองนี้ไม่มีน้ำแข็งค่ะ! แม่จ้าววววว! ใช้นมเย็นในตู้เย็นชงผสมกับกาแฟเป็น "กาแฟเย็น" แต่ไม่ใส่น้ำแข็งและทั้งร้้านไม่มีน้ำแข็งขาย รสชาติเหมือนเราดื่มนมรสกาแฟยังไงยังงั้น..... ฉันได้แต่หวังว่า...บนถนนทาเมลจะมีกาแฟสดเย็นๆให้ดิฉันดื่ม (อารมณ์เสียอยู่คนเดียว)


ขากลับสารีต้าบอกไว้ว่าให้เดินลงบันไดอีกด้านนึงของเจดีย์ ที่ไม่ใช่ด้านเดียวกับที่เราขึ้นมา เนื่องจากจะเป็นทางลัดเพื่อเดินทางเข้าเมืองกาฐมาณฑุได้ใกล้กว่าการกลับไปลงบันไดทางเดิม ดิฉันก็ทำตามและลงมาต่อราคาเท็กซี่ให้เหลือแค่ 200รูปี เพื่อเดินทางเข้าสู่ถนนทาเมล ใจกลางเมืองกาฐมาณฑุ

ถนนทาเมลถ้าเปรียบง่ายๆก็คือถนนข้าวสารของเมืองไทย คือมีทุกอย่างที่นักท่องเที่ยวต้องการ ไม่ว่าจะเป็นที่พักราคาถูก อุปกรณ์ปีนเขาและเสื้อผ้ากันหนาวสำหรับขึ้นหิมาลัย บริษัททัวร์นำเที่ยวภายในประเทศพวก One day trip หรือไปเที่ยวต่อเมืองอื่นๆ ซึ่งคราวนี้เวลาของดิฉันไม่พอที่จะไปเที่ยวทริปอื่นต่อ แต่คราวหน้าได้ใช้บริการแน่นอน จุดมุ่งหมายของดิฉันที่ทาเมลคือ Exchange Center และมีเยอะมาก เราสามารถเดินอ่านอัตราแลกเปลี่ยนเปรียบเทียบหลายๆร้านก่อนจะแลก มีรับแลกเงินไทยด้วย เงินU$ ด้วย ดิฉันจึงนำเงินU$ทั้งหมดที่แลกจากสนามบินสุวรรณภูมิมาแลกเป็นเงินรูปีให้หมด1U$=70รูปีได้ตังส์มาหมื่นกว่ารูปี








เป้าหมายต่อไป...ร่างกายร่ำร้องหากาแฟสดหอมๆเย็นชื่นใจ สายตาไปเตะโดนโรงแรมดูดีแหล่งนึงมี Restaurantหน้าตาดี ดูแล้วน่าจะมี “Ice Cappuccino” แน่นอนเป้าหมายมีไว้พุ่งชน ดิฉันพุ่งปรี่เข้าใส่ทันที นั่งโต๊ะ "Menu please” รีบหาอาหารไทย เอ๊ะ! เวอร์ไปหรือป่าววันเดียวนะ เพิ่งจากเมืองไทยมาแค่วันเดียวเอง อ๊ะ! กินอาหารเนปาลต่อก็ได้ สั่งสเต๊กไก่ดีกว่าดูแล้วเค้าน่าจะทำเมนูไก่ได้อร่อยเพราะที่นี่ไม่กินเนื้อหมูไม่กินเนื้อวัว ไก่ก็น่าจะเลิศ เครื่องดื่มล่ะทีนี้มีหมดHot Cappuccino Latte Espresso เรียกเด็กเสริฟทันทีสั่ง “Ice Cappuccino please.” No, we don't have ice. พระเจ้า! อะไรกันคะ? OK....ummm water and a cup of Cappuccino, chicken steak and seasonal fruits. หลังจากอิ่มท้องพร้อมอารมณ์เซ็งนิดๆที่ได้รับรู้ว่าเนปาลไม่มีน้ำแข็ง เช็คบิลมา 1,200รูปี ดิฉันเศร้าอยู่พักนึงแต่ก็เข้าใจได้ว่าประเทศเขาอากาศหนาวมาก จะมีฤดูร้อนก็แค่นิดเดียว ใครเขาจะมีโรงงานผลิตน้ำแข็งให้เจ๊งล่ะ

ถนนทาเมลยังเป็นแหล่งช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยวอีกด้วย ดิฉันเดินเล่นไปเรื่อยๆเจอกระโปรงถูกใจต่อราคาได้ตัวละ 350 รูปี และเดินเล่นมาทะลุต่อที่ตลาดอ๊ะซันAsan Market เป็นตลาดเก่าที่วางของขายแบกะดิน เป็นที่ซื้อข้าวของ-เครื่องใช้ อาหารแห้งของชาวเนปาลไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาเดินเท่าไหร่ ดิฉันชอบบรรยากาศที่ตลาดนี้มาก เสน่ห์ของมันอาจจะมาจากความวุ่นวาย จอแจ ผู้คนโดยเฉพาะผู้หญิงใส่เสื้อผ้าสีสันหลากหลาย น่าจะเรียกได้ว่าสีสันเยอะที่สุดในโลกก็ว่าได้ เดินดูวิถีชีิวิตของคนที่นี่แล้วก็เพลินตาดีค่ะ และรู้สึกปลอดภัยกว่าเดินซื้อของในตลาดที่เมืองไทยอีกค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม













เมื่อเดินไปเรื่อยๆจนสุดตลาดอ๊ะซัน ก็จะเจอ "กาฐมาณฑุดอร์บาร์สแควร์" สถานที่ที่องค์การยูเนสโกยกให้เป็นมรดกโลก(แห่งที่สามของทริปนี้) ด้านในจะมีพิพิธภัณฑ์พระราชวังเก่า (Hanuman Dhoka Durbar Kathmandu) อายุกว่า 2,000ปีเช่นกัน และมีพระราชวังกุมารีซึ่งเชื่อว่าองค์กุมารีคือเทพเจ้าที่มีชีิวิตของชาวฮินดู เด็กผู้ที่ได้เป็นพระราชกุมารีจะถูกคัดเลือกโดยพิธีกรรมทางศาสนาฮินดู สิ่งต้องควรระวังที่กาฐมาณฑุสแควร์คือ ห้ามพูด-ห้ามมองหน้าใครเด็ดขาด แม้กระทั่งมีคนเดินเข้ามาทัก Namaste! Where are you come from? เผลอตอบไปว่า Namaste...I'm Thai. ด้วยนิสัยคนไทยอัธยาศัยดี ทันใดนั้นคุณจะถูกรบกวนชวนคุยขออาสาพาเที่ยว ขอเป็นไกด์ให้ไหมและเสียอรรถรสในการเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวไปในทันที นึกได้ดังนั้น! มองหาเจ้าหน้าที่ตำรวจใส่ชุดสีฟ้านะคะ เดินตรงไปหาพวกเขา และเขาจะบอกให้คนเหล่านั้นออกห่างจากตัวคุณทันทีค่ะ ดิฉันไม่ได้ใจร้ายนะคะ แค่อยากดื่มด่ำกับการท่องเที่ยวเท่านั้นเอง อีกอย่างหากคุณชอบท่องเที่ยวแนววัฒนธรรมสถานที่สำคัญๆแต่ละแหล่ง เราสามารถอ่านหนังสือดูข้อมูลประวัติศาสตร์ด้วยตัวเองได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องมีไกด์ก็ได้












หลังจากเหนื่อยล้ากับความวุ่นวายในกาฐมาณฑุ ดิฉันคิดถึงเมืองปาตันขึ้นมาทันทีจึงนั่งรถเท็กซี่กลับปาตันและไปที่ปาตันสแควร์ เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเย็นอันแสนสงบที่ร้านกาแฟเล็กๆร้านนึงบริเวณรอบๆนั้น และเดินเลือกซื้อของพื้นเมืองกลับไปเป็นที่ระลึกด้วยนั่นก็คือ "กระบอกมนต์" ซึ่งเป็นของที่ชาวธิเบตใช้สำหรับสวดมนต์ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเดิน-จะนั่ง ก็มักหมุนกระบอกมนต์พร้อมพูดบทสวดมนต์ไปด้วย ภายในกระบอกมนต์จะมีม้วนกระดาษเขียนบทสวดมนต์เป็นภาษาเนปาล เชื่อว่าเมื่อเราหมุนกระบอกมนต์ก็เท่ากับเราได้ท่องบทสวดมนต์ในนั้นทุกบทแล้ว


ดิฉันสังเกตดูครอบครัวของ Home Stay คุณแม่กับพี่ชายของสารีต้าคงเคร่งศาสนามาก เพราะนอกจากจะเป็นมังสวิรัติกันทั้งบ้านแล้ว ทุกวันคุณแม่ของสารีต้าจะหมุนกระบอกมนต์และท่องอะไรพรึมพรำคนเดียววันละสองรอบ คือเวลาเช้าตรู่และเวลาย่ำค่ำ บางทีก็เห็นพี่ชายของสารีต้านั่งนับลูกประคำไปเรื่อยๆในเวลาค่ำๆ ดิฉันจึงอยากได้กระบอกมนต์กลับมาไว้เพื่อเป็นที่ระลึก ให้นึกถึงความสมถะแบบพุทธและความเคร่งศาสนาของชาวปาตันโดยเฉพาะครอบครัวของสารีต้า









--------อ่านต่อการโหนรถเมล์เทีี่ยวเจดีย์เบาดา>น้ำตก>เมืองเก่าภัคตะปูร์ในทริปวันที่สามได้ในไม่ช้าค่ะ------------------




 

Create Date : 04 สิงหาคม 2554   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2558 11:07:35 น.   
Counter : 1064 Pageviews.  


เที่ยวเนปาล... แบกเป้เที่ยวเดี่ยวได้ สบายมาก (วันแรก)


การเที่ยวต่างประเทศคนเดียวสำหรับผู้หญิงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว (ในบางประเทศ) และหนึ่งในนั้นดิฉันคิดว่าคือที่นี่ "เนปาล" เมืองแห่งอารยธรรมกว่า 2000ปี แหล่งรวมมรดกโลก มีการผสมผสานของศาสนาต่างๆไว้อย่างลงตัว และเป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้า

การเตรียมตัวสำหรับการเที่ยวคนเดียวต้องศึกษาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายเพื่อให้ได้ข้อมูลหลายๆด้านและสามารถวิเคราะห์ถึงปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจเกิดและเตรียมพร้อมในทุกๆด้าน แต่ทั้งหมดนี้ไม่ไช่เรื่องยากอีกต่อไปในยุคข้อมูลข่าวสารอินเตอร์เน็ต ดิฉันมีเวลาเพียง 3 วันสำหรับทริปนี้ จึงวางแผนการเที่ยวแค่ภายในหุบเขากาฐมาณฑุซึ่งประกอบไปด้วยเมืองกาฐมาณฑุ (เมืองหลวง) เมืองปาตัน (City of Fine Arts) และเมืองภัคตะปูร์ (เมืองเก่ากว่า 2000ปีที่ยังมีชีวิต)

ก่อนเดินทางดิฉันหาข้อมูลเกี่ยวกับเนปาลจากหน้าโฮมแพจ เว็บบอร์ดต่างๆจากผู้ที่เคยเดินทางด้วยตัวเองโดยไม่ใช้บริการโปรแกรมทัวร์ ในที่สุดดิฉันก็ได้ข้อสรุปให้กับตัวเองได้ว่า...ดิฉันอยากได้ไกด์นำเที่ยวเป็นชาวพื้นเมืองเนปาล ซึ่งจะช่วยให้เราได้เที่ยวแนวลึกกว่าการเดินเที่ยวถ่ายรูปตามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีไว้ในหนังสือท่องเที่่ยว หรือการไปตามแผนที่เท่านั้น คิดได้ดังนั้นแล้วดิฉันจึงตัดสินใจหาที่พักแบบโฮมสเตย์ เพื่อให้ได้สัมผัสวิถีชีวิตการอยู่ การกินและการมองแบบชาวเนปาล ซึ่งก็หาได้ง่ายจากเว็บไซด์เช่นกัน

ดิฉันคงไม่ต้องอธิบายขั้นตอนก่อนการเดินทางเช่น
การจองตั๋วว่าสายการบินไหนราคาเท่าไหร่
เงินรูปีต้องแลกเงินที่ไหน
ทำวีซ่าที่สถานทูตเนปาลยังไง
อากาศช่วงที่จะไปอุณหภูมิเฉลี่ยเท่าไหร่ควรเตรียมเสื้อผ้าแบบไหน
หรือหาที่พักยังไง

เพราะข้อมูลพวกนี้คุณสามารถหาอ่านได้ง่ายมากในอินเตอร์เน็ตซึ่งมีข้อมูลเป็นภาษาไทย สิ่งที่ควรเตรียมไปอย่างยิ่งสำหรับการเดินบนถนนในกาฐมาณฑุคือหน้ากากกันฝุ่น และหากไม่ต้องการเปลี่ยนหน้ากากแบบผ้าทุกวัน ดิฉันแนะนำให้ซื้อยี่ห้อ 3Mค่ะ มีขายตามร้านประเภทอุปกรณ์ Security ราคาประมาณ 100-150 บาท แล้วคุณจะรู้สึกว่า "หน้ากากกันฝุ่นคือชีวิตของฉัน"





15 กรกฎาคม2554
เริ่มต้นความประทับใจแรกของการเดินทางด้วยสายการบิน Royal Nepal แม้ว่าแอร์โฮสเตสจะสวยไม่เท่าคนไทย แต่การบริการและอาหารอร่อยดีค่ะ มีบริการเสริฟอะไรต่อมิอะไรอยู่เรื่อยๆ เริ่มจากเครื่องดืื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ถั่วเนปาล (อร่อยสุดๆ) ไวร์ วิสกี้ เบียร์ อาหาร (ไก่อบราดข้าวอร่อยมากค่ะ) กินอิ่ม และทุกอย่างขอเพิ่ม-ขอเติมได้ตลอดโดยเฉพาะไวน์แดงรสชาติดีทีเดียว


จากหน้าเว็บไซด์ที่อ่านมาแนะนำให้เลือกที่นั่งขาไปเป็นริมหน้าต่างด้านขวาของตัวเครื่อง และขากลับให้นั่งริมหน้าต่างด้านซ้ายของตัวเครื่อง แต่หากไม่ได้เลขที่นั่งตามนี้เรามาขอเปลี่ยนที่นั่งบนเครื่องได้ค่ะ สายการบิน Royal Nepal คนไม่แน่นมากนัก เพื่อจะได้เห็นวิวของเทือกเขาหิมาลัยได้ถนัดชัดเจน ก่อนเข้าสู่หุบเขากาฐมาณฑุเครื่องจะบินผ่านเทือกเขาหิมาลัยก่อนค่ะ เพียงแต่ขาไปท้องฟ้ามีแต่เมฆปกคลุมหนาแน่นมองไม่เห็นอะไรเลย ดิฉันจึงไม่ได้เห็นวิวหิมาลัยต้องรอลุ้นอีกทีขากลับ


ถึงสนามบินกาฐมาณฑุโดยสวัสดิภาพ กัปตันนำเครื่องลงจอดด้วยความนิ่มนวลค่ะ แม้ว่าลักษณะภูมิประเทศจะเป็นหุบเขา ยากแก่การนำเครื่องลงจอดก็ตาม ดิฉันไม่ได้โหลดกระเป๋าเพราะสัมภาระแค่ 3 วันแทบไม่มีอะไรมาก จึงเดินไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองและออกมาเจอเจ้าของโฮมสเตย์ที่รอรับอย่างง่ายดาย เนื่องจากสนามบินที่นี่เล็กมาก เล็กกว่าสนามบินในต่างจังหวัดที่เมืองไทยหลายเท่าตัวเลยก็ว่าได้ และที่แปลกตากว่าคือรถเท็กซี่ค่ะ ทุกคันเป็นไซร์เล็กแบบเดียวกันหมดขนาดประมาณใหญ่กว่ารถมีร่าบ้านเราสมัยก่อนนิดนึง นั่งได้ 4ที่นั่งรวมคนขับ ถ้ากระเป๋าใบใหญ่ประเภทเตรียมมาขึ้นหิมาลัยก็คงจะนั่งไม่พอค่ะ เห็นขนาดรถเล็กขนาดนี้แรงดีใช้ได้เลยค่ะ ที่สำคัญรถทุกคันไม่มีแอร์ค่ะ ต้องเปิดกระจกรับลมและนี่แหล่ะ! "หน้ากากกันฝุ่นคือชีวิตของฉัน"

โฮมสเตย์ที่ดิฉันพักอยู่ในเมืองปาตันห่างออกมาจากเมืองกาฐมาณฑุและสนามบินประมาณแค่ 10-15 นาที แต่เสียงบีบแตรบนท้องถนนก็ยังคงมีอยู่ไม่แพ้ถนนในกาฐมาณฑุ หลังจากวางกระเป๋าในห้องพัก ดิฉันรีบเปลี่ยนชุดสบายๆ เพื่อเดินเล่นชมเมืองปาตันยามเย็นอย่างไม่รีรอ สาวเนปาลเจ้าของบ้านชื่อ "สารีต้า” เป็นผู้นำเที่ยวพาเดินทั่วทุกตรอก ซอกซอย ของเมืองปาตันซึ่งเป็นเมืองเก่า บรรยากาศเงียบสงบขึ้นมาก ที่อยู่อาศัยลักษณะบ้านเรือนแบบเก่าดั้งเดิมสร้างด้วยอิฐมอญเป็นแถวสูงๆขึ้นไป ประตูบ้านบานเล็กมากกว้างแค่เมตรกว่า สูงไม่เกินสองเมตร เชื่อว่าเมื่อเข้าบ้านจะต้องก้มหัวเพื่อเป็นการย้ำเตือนให้เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน หรืออีกเหตุผลนึงน่าจะมาจากเรื่องภูมิอากาศที่หนาวเหน็บการสร้างประตูบ้านให้เล็ก หน้าต่างบานเล็กๆจะช่วยให้ลมหนาวไม่พัดเข้ามามากนัก และลักษณะเด่นของอิฐมอญที่ช่่วยคลายความร้อนยามกลางคืนได้ดี และเก็บความเย็นได้ดีในยามกลางวัน การเดินทางในช่วงเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นฤดูร้อนของที่นี่ ดิฉันจึงไม่ต้องเผชิญกับความหนาวเย็นและอุณหภูมิในฤดูร้อนก็แค่ 19-24 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าไม่ได้ร้อนมากมายนักสำหรับคนไทยอย่างเราๆ









บ้านเรือนในปาตันมักเรียงตัวติดกันล้อมรอบตัววัดทั้งสี่ด้าน โดยมีวัดอยู่ตรงกลาง สารีต้าเล่าว่า บ้านที่ล้อมรอบวัดเป็นญาติกันหมดและมีหน้าที่ช่วยกันดูแลรักษาวัดนั้นๆ ขอบบานประตูด้านบนบ้านบางหลังมีลาย Paint รูปพระพุทธรูปไว้ 5 องค์แสดงถึงธาตุดิน น้ำ ฟ้า ลม ไฟ ซึ่งรอย Paint นี้จะมีได้ก็ต่อเมื่อบ้านหลังนี้มีผู้เฒ่าผู้แก่ ที่นี่ให้ความสำคัญกับการมีอายุยืน จะมีงานเฉลิมฉลองอายุและPaintขอบบนของบานประตูเพื่อบ่งบอกและยกย่องผู้อาวุโสของบ้านนี้





ถนน...เรียกว่าทางเดินน่าจะเหมาะกว่า ถูกแยกเป็นซอยเล็กๆสำหรับคนเดินผ่านแคบๆพอสวนกันได้ หน้าก็วัด หลังก็วัด ริมข้างทางจะเจอศาลเทพเจ้าพระศิวะของศาสนาพรหมณ์อยู่เป็นระยะๆ ในชุมชนหนึ่งๆจะมีแหล่งน้ำสาธารณะไว้ดื่มไว้ใช้ร่วมกัน เป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมอยู่ด้านล่างจากระดับทางเดินลึกลงไป 5-7 เมตร ผู้คนในชุมชนก็จะนำภาชนะสำหรับใส่น้ำมารองและขนไปใช้-ไปดื่มยังบ้านของตัวเอง

สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองปาตันได้แก่ ปาตันดอร์บาร์สแควร์ (Lalitpur Sub-Metropolitan City) ที่นี่ไม่มีห้างสรรพสินค้า ดังนั้นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยามเย็นของชาวเมืองปาตันทุกเพศทุกวัยจึงมารวมกันที่ปาตันดอร์บาร์สแควร์ ภายในบริเวณนี้เคยเป็นพระราชวังเก่า มีความงดงามด้วยศิลปะแบบชาวเนวาร์(ชาวพื้นเมืองของเนปาล)และถูกยกให้เป็นมรดกโลก







ปาตันยังมีวัดที่สำคัญๆได้แก่วัดมหาเบาดา Mahabuddha Rudravarna มีการผสมผสานเอาศิลปวัฒนธรรมตะวันตกรวมอยู่ด้วย สังเกตจากรูปปั้นสิงโตด้านในวัด







วัดพันพระพุทธรูป Mahabuddha Templeที่มาของชื่อวัดคือมีพระพุทธรูปองค์เล็กๆรวมกันนับได้ 1,000 องค์ทำด้วยอิฐมอญติดไว้รอบเจดีย์







เวลาช่วงเย็นย่ำสำหรับการเดินทางในวันแรกนี้ ดิฉันให้สารีต้ากลับไปพักผ่อนก่อนเพื่อใช้เวลาเดินเล่นในตลาดปาตันและหาที่นั่งดื่ม-กินบรรยากาศภายในปาตันสแควร์ค่อยๆค่ำลงเรื่อยๆ









________ติดตามอ่านต่อทริปวันที่สองเมื่อ...เขียนเสร็จ_________

รายละเอียดค่าใช้จ่ายก่อนเดินทาง(เงินบาท)
สายการบิน Royal Nepal ไป-กลับ 11,700 บาท
ค่าประกันสุขภาพระหว่างเดินทาง 153 บาท
ค่าทำวีซ่า 900 บาท

รายละเอียดค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทาง (เงินรูปี)
วันที่15 ก.ค. 54
1 อาหารเย็นที่ร้านในปาตันสแควร์ 700
2 เบียร์ 200
3 สบู่ 20

วันที่16 ก.ค. 54
1 Bus ไป สวะยัมภูนาถ 20
2 Ticket เข้าสวะยัมภูนาถ 200
3 กาแฟร้าน Roof บนเจดีย์สวะฯ 350
4 Taxiจากสวะฯไป Thamel 200
5 อาหารเที่ยงบนถนนทาเมล 1,200
6 ซื้อกระโปรงบนถนนทาเมล 350
7 Ticket เข้ากาฐมาณฑุสแควร์ 250
8 Taxiกาฐมาณฑุสแควร์ไปปาตัน 300
9 Ticket เข้าปาตันสแควร์ 200
10 ซื้อกระบอกสวดมนต์ 1,200
11 ดื่มกาแฟสด ร้านกาแฟที่ปาตัน 100
12 ซื้อชาเป็นของฝาก 860

วันที่17 ก.ค. 54
1 Bus ไปเจดีย์เบาดา 20
2 Ticket เข้าเจดีย์เบาดา 150
3 Bus จากเบาดาไปน้ำตก 20
4 น้ำดื่ม 70
5 Bus จากน้ำตกไปปศุปฎินาถ 20
6 Bus จากปศุปฎินาถไปภัคตะปูร์ 20
7 อาหารเที่ยงที่ร้านในภัคตะปูร์ 955
8 หน้ากากพระพิฆเนศ 300
9 ไอติมเนปาล 10
10 Bus จากภัคตะปูร์กลับปาตัน 20

วันที่18 ก.ค. 54
1 Taxi จากปาตันไปสนามบิน 250
2ค่าที่พัก Home stay Sanu's House 3คืน4วัน 2,100

รวมค่าใช้จ่ายระหว่างทริปรวมทั้งสิ้น 10,085รูปี (4,584บาท)โดยแบ่งเป็น
ค่าเดินทาง 870 รูปี
ค่าที่พัก 2,100รูปี
ค่าอาหาร 3,585รูปี
ค่าTicket 800 รูปี
ของฝากฯลฯ 2,730รูปี

รวมทริปการเดินทางทั้งหมด 12,753+ 4,584 บาท
ค่าใช้ทั้งหมด = 17,337 บาท

ข้อมูลเพิ่มเติม
1. การบินไทยมีเที่ยวบินทุกวัน/สายการบินRoyalNepalมีเที่ยวบินแค่จ.พ.ศ.
2. ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง เวลาต่างกัน 1.5 ชั่วโมง
3. อัตราแลกเปลี่ยน 1U$=70 รูปี /1 บาท= 2.2 รูปี
4.เดือนกรกฎาคมอุณหภูมิ 19.5-28.1 ํc
5. สิ่งที่ควรเตรียม: หน้ากากกันฝุ่น ยาแก้ไข้ แก้แพ้อากาศ
6. หากคิดว่าจะกินอาหารเนปาลไม่ได้ให้เตรียม มาม่า น้ำดื่ม

ที่เนปาลไม่มีน้ำแข็ง เนื้อวัว เนื้อหมู แอร์คอนดิชั่น แกนกลางกระดาษทิชชู่ สบู่เหลว ไฟบนถนนยามกลางคืน รถไฟ ห้างสรรพสินค้า วินมอร์ไซด์





 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2554   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2558 11:07:51 น.   
Counter : 3104 Pageviews.  



Black Sesame
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




บางครั้ง...สถานที่..ที่เดียวกัน ของ..ของสิ่งเดียวกัน
สำหรับบางคนอาจสร้างความประทับใจได้มากมายมหาศาล
แต่สำหรับบางคน...กลับไม่มีความหมายอะไรเลย

บาง Blog เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าประทับใจ น่าจดจำ อยากเขียนถึง
บาง Blog มีเพียงภาพถ่าย ไม่มีเรื่องราวใดๆจะเขียนถึงด้วยซ้ำ

แต่....ความประทับใจมากมายมหาศาลทั้งหมดเหล่านั้น
ก็เป็นเพียงเรื่องที่่ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่อาจสำคัญมากไปกว่า...ปัจจุบันที่ดำรงอยู่ Instagram
[Add Black Sesame's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com