|
จากมนุษย์เงินเดือนมาเป็นแม่ค้า
ตัดสินใจอยู่นานว่าจะลาออกจากงานประจำที่เงินเดือนค่อนข้างสูงดีหรือไม่ ลึกๆแล้วเสียดายงาน เสียดายเงิน เสียดายโอกาสในการพบปะผู้คนในวงการต่างๆ
แต่เมื่อประสบอุบัติเหตุรถชนจนหมดสติ พอฟื้นขึ้นมา ก็คิดได้ว่าโชคดีนะที่ยังไม่ตาย เพราะมีอะไรอีกหลายอย่างในชีวิต ที่ตั้งใจจะทำแล้วยังไม่ได้ทำเต็มตัว เนื่องจากเป็นลูกจ้างเค้าอยู่ เงินเดือนสูงก็มาพร้อมกับตำแหน่งที่แบกรับหนักอึ้ง รวมถึงความคาดหวังของนายจ้าง เราเองก็เอาเปรียบใครไม่เป็นซะด้วย
เมื่อรักษาตัวจนหายพบว่า สภาพร่างกายอ่อนแอกว่าเดิม บวกกับอายุที่ใกล้จะ 50 ขวบอยู่รอมร่อ ตรากตรำทั้งเรื่องงานเรื่องลูกมานานนัก จะพักก็ไม่ได้ ทำงานให้เค้าต่อไปก็ไม่คุ้มกับค่าจ้างที่เค้าจ่าย เนื่องจากร่างกายเริ่มอ่อนเพลียง่าย ทำงานดึกดื่นเหมือนเดิมไม่ไหว ทำไงดีล่ะคิดมากจัง มรดกก็ไม่มี 3 หนุ่มก็ยังต้องเรียนอีกไกล บ้านก็ต้องผ่อน หนักใจจังวุ้ย
กลับมาตั้งสติเป็นไงเป็นกันยื่นใบลาออกก่อน เพราะเป็นคนไม่ชอบเอาเปรียบใคร แม้แต่พักร้อนก็ไม่ได้ใช้ ช่วยเค้าจนวันสุดท้าย กลับบ้านเกือบ 2 ทุ่ม รู้สึกเป็นอิสระแย้ว
มาเริ่มต้นคิดว่าจะทำอะไรดี แล้วเริ่มทำการ Survey ตลาด โชคดีที่มีเพื่อนเป็นเจ้าของโรงงาน OEM ต้องการสร้าง Brand เราเองก็ทำด้าน Brand Name และ Retail บวกกับประสบการณ์ ด้านการขายและการตลาดกว่า 20 ปี เลยคิดว่าน่าจะทำได้
ว่าแล้วก็เริ่ม Present Concept ของเรา เพื่อขอพื้นที่ห้าง มีห้างนึงให้โอกาสเรา เริ่มมาทำ P&L ว่าจะไปรอดหรือไม่ ดูแล้วตัวเลขไม่น่าเกลียด ว่าแล้วก็ทำการออกแบบร้าน เพื่อทำภาพ Perspective นำเสนอ ถ้าผ่านก็ได้เซ็นต์สัญญาเช่าพื้นที่แน่นอน
เพื่อนๆช่วยเป็นกำลังใจให้แม่ค้าหน้าใหม่คนนี้ด้วยนะค้า รอดูผลจากห้างแล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อค่ะ ขอบอกว่างานนี้สู้ตาย ถ้าได้พื้นที่เมื่อไหร่ 3หนุ่มคงมีงานพิเศษทำเพื่อหารายได้แน่ๆ
Create Date : 06 กันยายน 2550 | | |
Last Update : 6 กันยายน 2550 7:40:58 น. |
Counter : 1025 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เมื่อลูกไม่ได้ดั่งใจ
เมื่อลูกไม่ได้ดั่งใจ
เรามักจะได้ยินคุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วย ความคาดหวังบ่นเสมอว่า ลูกไม่ได้ดั่งใจ เมื่อความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่อยากจะให้คุณพ่อคุณแม่ถามตัวเองสักนิดว่า เราเลี้ยงลูกแบบไหน ตามใจไปรึเปล่า อบรมสั่งสอนเพียงพอมั้ย หรือว่ามีหน้าที่หาเงินให้ลูกใช้ ขับรถรับส่งลูก หาที่เรียนพิเศษให้ แล้วใช้ความคาดหวังของเราเป็นตัวตั้ง เอาผลการเรียนของลูกเป็นคำตอบสุดท้าย ถ้าคุณเลี้ยงลูกแบบนี้ลูกก็อาจจะบ่นอยู่ในใจเหมือนกันว่า พ่อแม่ไม่ได้ดั่งใจหนู เพราะคุณกำลังเอาตัวเองเป็นตัวตั้งโดยไม่คิดว่าลูกนั้นมีความเป็นตัวตน มีความคิดเป็นของเค้าเอง เด็กยิ่งโตเท่าไหร่ก็มีความเป็นตัวตนสูงเท่านั้น หน้าที่ของคนที่เป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูนั้นต้องประกอบด้วยการอบรมสั่งสอนและดูแลให้เค้ามีความสุขตามอัตภาพเข้าไปด้วย นั่นคือหน้าที่ที่แท้จริง
การเลี้ยงดูนั้นต้องอาศัยความรัก ความเข้าใจ ความเอาใจใส่ ความใกล้ชิด และความผูกพันอย่างยิ่ง เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำได้ยากยิ่งนัก ผู้เขียนเองก็ทำได้ไม่มากในตอนแรกต้องค่อยๆปรับวันละนิดให้เกิดความเคยชิน จากคะแนนเต็ม 100 ยอมรับว่าเริ่มต้นให้คะแนนตัวเองแค่ 20 เอง และก็หาข้ออ้างต่างๆนานาว่าที่เราทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์เนื่องจากเหนื่อย ต้องทำงานนอกบ้าน ต้องทำงานบ้าน ต้องมีภาระเลี้ยงลูก ทำให้เกิดความเครียด ต้องการเวลาพักผ่อนฯลฯ สาระพัดข้ออ้างและข้อแก้ตัวที่จะใช้ปลอบใจตัวเองว่าที่ทำได้แค่นี้เพราะอะไร แต่เหตุผลที่แท้จริงนั้นถ้าลองไตร่ตรองดีๆจะพบว่าเป็นข้ออ้างที่เราอ้างขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเองโดยเอาความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสุขส่วนตัวเป็นที่ตั้ง เมื่อเวลาผ่านไปแล้วพบว่า ลูกไม่ได้ดั่งใจ ก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับมาเริ่มต้นใหม่ได้อีก ได้แต่มานั่งถามตัวเองว่าที่ผ่านมาเราทำหน้าที่ ดีที่สุดหรือยัง ลองทำใจเป็นกลางวิเคราะห์ด้วยเหตุและผล จะได้คำตอบเองว่าเพราะอะไรลูกถึง ไม่ได้ดั่งใจ
หลายครอบครัวที่ลูกชอบเรียนแผนกศิลป์ แต่พ่อแม่อยากให้เรียนวิทย์ ในเมื่อลูกไม่อยากเป็นแพทย์หรือวิศวะก็ไม่เข้าใจว่าจะให้ลูกไปเรียนวิชาเคมี ฟิสิกส์ ชีวะ เพื่ออะไร ลองนึกย้อนวัยดูสิว่าช่วงไหนของชีวิตที่เรามีความสุขมากที่สุด ก็คือช่วงวัยรุ่นนี่แหละที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นช่วงที่สนุกสุดๆ เป็นช่วงที่เพื่อนมีอิทธิพลมากมายกับชีวิต เป็นช่วงที่ต้องลุ้นผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อกำหนดชะตากรรมในอนาคต ถ้าคุณพ่อคุณแม่ใกล้ชิดลูกไม่พอ สิ่งแวดล้อมและคนใกล้ชิดจะมีปัจจัยอย่างยิ่งในการเปลี่ยนชีวิตพวกเค้า หลายคนคบเพื่อนดีก็ดีไป แต่หลายคนที่หลงผิดและหาทางกลับไม่ได้
อยากฝากคุณพ่อคุณแม่ว่าทำไมเราไม่ตั้งโจทย์ใหม่ว่า ทำอย่างไรให้เราได้ดั่งใจลูก จะดีกว่ามั้ย เป็นการวิเคราะห์ทั้งตัวเองและความต้องการของลูกเพื่อนำมาเปรียบเทียบกันว่าโจทย์ที่ตั้งไว้นั้นถูกใจทั้งสองฝ่ายหรือไม่ มีความเข้าใจตรงกันหรือเปล่า มีความต้องการสอดคล้องกันและพร้อมที่จะจับมือเพื่อเดินไปในเส้นทางเดียวกัน มิใช่ปล่อยให้เส้นทางที่จะเดินเป็นเส้นทางคู่ขานอีกต่อไป เมื่อทำอย่างนี้แล้วคงจะหาคำตอบที่ ได้ดั่งใจ ทั้งสองฝ่ายนั่นเอง
Create Date : 06 สิงหาคม 2550 | | |
Last Update : 6 สิงหาคม 2550 13:14:16 น. |
Counter : 562 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
การเลือกโรงเรียนให้ลูก
การเลือกโรงเรียนให้ลูก
การจะหาโรงเรียนให้ลูกเรียน ควรจะต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง 1. ค่าเทอม (ต้องอยู่ในกำลังที่พอส่งได้ และคิดไกลถึงระยะเวลา 12 ปีขึ้นไป) 2. ระยะทาง (ไม่ไกลจนเกินไปและทำให้ลูกต้องเป็นทุกข์ในการเดินทาง) 3. สิ่งแวดล้อม (เพื่อนสภาพแวดล้อม ความปลอดภัยในรร.) 4. หลักสูตรและ วิธีการสอน (ดูว่าเหมาะกับลูกเราหรือไม่ และเด็กมีความสุขในการเรียนหรือเปล่า)
การศึกษาทางเลือกในบ้านเรานั้น มีแนวทางอยู่ไม่มากนัก ที่ฮิตมากๆก็ได้แก่ แนวสาธิต แนวคาทอลิค แนวอินเตอร์ หรือแนวสองภาษา ปัจจุบัน พ่อ แม่ เริ่มตื่นตัวและเลือกเฟ้นรร.ให้ลูกอย่างจริงจัง ซึ่งแต่ละแนวก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป แต่พ่อแม่บางกลุ่มก็เห็นว่ารร.ที่มีอยู่ไม่ตอบโจทย์ที่พวกเขาต้องการ จึงเป็นที่มาของรร.ทางเลือกแนวใหม่ ได้แก่ การจัดการเรียนการสอนแบบโฮมสคูล และแนววอลดอร์ฟ
"โฮมสคูล" (โรงเรียนบ้าน) ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก และกระแสแนวคิดยุคใหม่ของบรรดาพ่อแม่ ผู้ปกครองยุคโลกไร้พรมแดนเวลานี้ กำลังจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ต่อสังคมไทย ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ 2542 นั่นคือการทำบ้านให้เป็นโรงเรียน ถือเป็นการศึกษาทางเลือกที่กำลังจะเฟื่องฟูในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะทำให้หลายครอบ ครัวหันกลับมาใส่ใจบุตรหลานอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง พวกเขาเหล่านี้มีความต้องการไม่เหมือนคนอื่น สรุปได้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่พ่อแม่มีหลักการและอุดมการณ์ความเห็นต่างไปจากระบบการศึกษาในโรงเรียน ไม่อยากเห็นการแข่งขัน และอาจจะมีเรื่องความไม่มั่นใจคุณภาพการศึกษาร่วมด้วย กลุ่มที่ลูกไม่ชอบโรงเรียนไปแล้วร้องไห้ ผู้ปกครองคิดว่าสอนเองดีกว่า และกลุ่มสุดท้าย ลูกมีคุณสมบัติเป็นพิเศษ เป็นเด็กอัจฉริยะ เรียนไม่เหมือนคนอื่น หรือเป็นเด็กพิเศษประเภทสมาธิสั้น บกพร่องทางการเรียนรู้ หรือ ออทิสติก เวลาเรียนแล้วมีปัญหา
ส่วนการศึกษาแนววอลดอร์ฟของรูดอล์ฟ สไตเนอร์นั้น เป็นเกิดจากการศึกษาของนายแพทย์ พร พันธุ์โอสถ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปัญโญทัย ที่ไปทำการศึกษาแนวนี้ในสถาบันของวอลดอร์ฟที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 3 ปี วอลดอร์ฟ เห็นว่า การศึกษาไม่ได้เป็นเรื่องของการลงทุนทางธุรกิจ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการแสวงหากำไร แต่เป็นการสร้างคน โดยมองว่าการศึกษาจะต้องพัฒนาคนในทุกมิติ คือ ทั้งมิติทางกาย ใจ และจิตวิญญาณ
พ่อ แม่ในปัจจุบันจึงมีแนวทางในการเลือกรร.ให้ลูกมากขึ้น อย่างไรก็ตามควรคำนึงถึงความชอบของลูกด้วยไม่ใช่ยึดตามความคิดของตนเองโดยไม่สอบถามความสมัครใจของผู้เรียน เข้าทำนองถูกใจเราแต่ไม่ตรงใจลูก
Create Date : 06 สิงหาคม 2550 | | |
Last Update : 6 สิงหาคม 2550 13:16:52 น. |
Counter : 14710 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
มนุษย์เงินเดือนกับการเลี้ยงลูก
มนุษย์เงินเดือนกับการเลี้ยงลูก
เจอคำถามจาก มนุษย์เงินเดือน มากมายเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกวัยเรียน โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็กว่าทำอย่างไรเมื่อลูกไปรร.ในขณะที่เราในฐานะมนุษย์เงินเดือนก็ต้องเลิกงาน 5 โมงกว่า ลูกของเราต้องจะทำอย่างไรในเวลา 2-3 ชม.หลังเลิกเรียน จากประสบการณ์ตรงในฐานะเป็นมนุษย์เงินเดือนแถมไม่มีมรดกหรือพ่อแม่อุปถัมภ์ ต้องก่อร่างสร้างตัวจากศูนย์แถมยังมีลูกเร็วอีกต่างหาก ยอมรับว่าเหนื่อยแทบขาดใจเนื่องจากไม่มีญาติพี่น้องเป็นตัวช่วยเลย ชีวิตจะเริ่มต้นแต่เช้ามืดควักลูกจากที่นอนจับอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปหลับต่อในรถ ถึงรร.เช้าหน่อยหาอาหารเช้ารับประทานแถวรร. ต้องเลือกรร.ใกล้ที่ทำงานเพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับลูกมากหน่อย หรือบางครั้งลูกมีปัญหาที่รร.จะได้มีเวลาพบคุณครูประจำชั้น เมื่อใกล้เวลาทำงานก็รีบเผ่น ตอนเย็นลูกจะเลิกประมาณ 3 โมงสำหรับเด็กเล็ก ก็มีหลายวิธีนะคะ ตั้งแต่ให้นั่งรถรร.มาที่ทำงาน (ถ้านายใจดีและเข้าใจ) มานั่งทำการบ้านรอเวลากลับพร้อมกัน หรือให้เรียนพิเศษสอนการบ้านที่รร.เลย กลับบ้านจะได้พักผ่อนเต็มที่ ของผู้เขียนเองเนื่องจากรร.ไม่มีนโยบายรับสอนพิเศษต้องใช้วิธีฝากไว้กับภรรยาภารโรงค่ะ โดยเค้าสงสารเลยรับดูแลให้
เวลาลูกไม่สบายเราสองคนสามีภรรยาต้องเก็บพักร้อนไว้สำหรับลูกอย่างเดียวเท่านั้นคือผลัดกันลาพักร้อนเพื่อดูแลลูก เชื่อหรือไม่ว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมาเราไม่เคยลากิจหรือลาป่วยเลย ชีวิตนี้ป่วยไม่ได้ ตายไม่ได้จนกว่าลูกจะโต หน้าที่ของการเป็นพ่อเป็นแม่นั้นเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ต้องพร้อมที่จะเสียสละทุกอย่างเพื่อลูกจริงๆ ใครไม่พร้อมก็อย่ามีดีกว่า เพราะการทำให้เค้าเกิดมาต้องมาพร้อมกับคำว่า หน้าที่ และ ความรับผิดชอบ ไปตลอดชีวิตของเรา ต้องเตรียมทั้งแรงกายที่จะทุ่มเทในการหาเงิน เก็บเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของเค้าอย่างน้อยก็ 20 ปีกว่าจะเรียนจบหรือหาเลี้ยงตัวเองได้ ต้องเตรียมแรงใจในการอบรมสั่งสอนให้เค้าเป็นคนที่สมบูรณ์ทั้งคุณธรรมและจริยธรรม เราไม่ได้เน้นให้ลูกเรียนเก่งแต่เน้นให้ลูกเป็นคนดีอยู่ในสังคมได้และพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่า เน้นให้ลูกมีความสุขกับการดำเนินชีวิตโดยไม่ต้องไปแข่งขันกับใครนอกจากตัวเอง เน้นให้ลูกรู้จักการรับและ การให้ตลอดจน การแบ่งปัน เน้นให้ลูกไม่ประมาทกับชีวิต เน้นให้เค้าทำวันนี้ให้ดีที่สุดและดีกว่าเมื่อวาน
อยากจะให้กำลังใจพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนเช่นเดียวกับเราสองคนว่าไม่ยากหรอกค่ะในการฟันฝ่า เพราะเราทั้งคู่ทำมาแล้ว โดยเลี้ยงลูกด้วยตัวเองถึง 3 คน ตอนลูกเล็กๆเค้าต้องไปอยู่ตาม Nursery ตอนปิดเทอม พอโตหน่อยก็อยู่กันเอง บอกอย่างไม่อายเลยว่าเราเพิ่งจะมี บ้าน เป็นของตนเองเมื่อวัยใกล้ 50 นี่เอง เพราะตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเราไม่ประมาทกับชีวิตจัดสรรงบประมาณเพื่อทุ่มเทเรื่องเรียนและการดูแลลูกเป็นหลัก ที่เหลือเป็นเงินออม เมื่อพร้อมถึงค่อยคิดเรื่องปัจจัยอื่นที่ตามมา เวลา 24 ชม.หรือเงิน 100 บาทของเราทั้งคู่เมื่อเทียบด้วย ตัวเลขอาจไม่แตกต่างจากคนอื่น แต่เมื่อเทียบด้วย มูลค่าเราจัดสรรแตกต่างจากคนอื่นมากมายนัก ลองจัดสรรตัวคุณเองดูนะคะคุณจะอัศจรรย์ใน มูลค่า ที่คุณค้นพบก็เป็นได้
Create Date : 06 สิงหาคม 2550 | | |
Last Update : 6 สิงหาคม 2550 13:17:55 น. |
Counter : 1617 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|