LOVE IS A WAR , EASY TO START BUT VERY HARD TO STOP.
Group Blog
 
All blogs
 

แอร์เป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสและเชื้อรานะจ๊ะ





แพทย์แนะหมั่นทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ อย่าให้มีกลิ่นอับชื้น ล้างแผ่นกรองอย่างน้อยเดือนละครั้ง ชี้เครื่องปรับอากาศเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสและเชื้อรา ต้นเหตุโรคภูมิแพ้ ผื่นผิวหนัง หอบหืด ปอดบวม วัณโรค และโรคระบบทางเดินหายใจ


นพ.ฉัตรชัย เอกปัญญาสกุล แพทย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) องครักษ์ เปิดเผยว่า ไม่มีใครสนใจว่าเครื่องปรับอากาศนั้นแม้จะทำให้คลายร้อนลงได้ แต่แฝงไปด้วยเชื้อโรคและมลพิษที่มีผลต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อสุขภาพแทบทั้งสิ้น เช่น โรคภูมิแพ้ ผื่นผิวหนังอักเสบ หืดหอบ ปอดบวมจากเชื้อลีเจียนแนร์ วัณโรค และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอื่นๆ เชื้อโรคที่อยู่ในเครื่องปรับอากาศมักเป็นเชื้อโรค ที่เจริญเติบโตได้รวดเร็วและแพร่เชื้อผ่านทางอากาศ โดยเชื้อแบคทีเรียส่งผลให้คนที่ใช้เครื่องปรับอากาศเป็นโรควัณโรค เชื้อไวรัส ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส งูสวัด หัดเยอรมัน


นพ.ฉัตรชัย กล่าวด้วยว่า ดังนั้นผู้ใช้เครื่องปรับอากาศควรจะสังเกตว่าเวลาที่เปิดเครื่องปรับอากาศ ถ้ามีกลิ่นอับชื้นที่มากับความเย็น กลิ่นอับชื้นเหล่านี้มักมาจากเชื้อโรคที่ออกมาจากช่องระบายความเย็น และแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ โดยความชื้นจะเป็นแหล่งสะสมเพาะพันธุ์อย่างดีของเชื้อโรค และเมื่อสะสมมากๆ เชื้อโรคก็จะหลุดลอยออกมาปะปนกับอากาศเย็นภายในห้อง ไม่ใช่ความเย็นบริสุทธิ์ แต่เป็นความเย็นที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคต่างๆ มากมาย โรคที่พบบ่อยของการใช้เครื่องปรับอากาศที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคก็คือ โรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการคันจมูก คันตา จามบ่อย แน่นจมูก และเมื่อตื่นนอนขึ้นมาจะมีอาการระคายคอ และหากมีอาการป่วยรุนแรงมาก อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้





นพ.ฉัตรชัยกล่าวว่า แนะนำให้ผู้ที่ใช้เครื่องปรับอากาศล้างทำความสะอาด เครื่องปรับอากาศสม่ำเสมอ ด้วยการล้างแผ่นกรองอากาศอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยใช้น้ำฉีดแรงๆ ที่ด้านหลัง ด้านที่ไม่ได้รับฝุ่น ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกหลุดออก และในแต่ละปีควรล้างเครื่องปรับอากาศแบบเต็มระบบ.



อย่าลืมล้างแอร์กันบ้างนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของเราเอง







 

Create Date : 29 ตุลาคม 2551    
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2551 0:05:00 น.
Counter : 1016 Pageviews.  

ประโยชน์ของการกินช็อกโกแลต




สาวๆ มักเกลียดกลัวช็อกโกแลตเพราะเชื่อว่าเป็นศัตรูของความงามและน้ำหนัก แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง ปีศาจช็อกโกแลตของสาวๆ ก็มีดีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็น ช็อกโกแลตดำ (Dark Chocolate)เท่านั้นนะคะ เพราะในช็อกโกแลตดำนั้นประกอบไปด้วยสาร Flavonoids ในปริมาณสูง พ่วงด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนต์ชนิดเดียวกับที่พบใน ไวน์แดง ชา ผลไม้และผักบางชนิด จากผลวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัย Glasgow สก็อตแลนด์ พบว่า flavonoids สามารถช่วยต่อต้านการก่อตัวของมะเร็งได้

แต่หากคุณเกลียดช็อกโกแลตดำเพราะรสชาติออกขมๆ ไม่อร่อยเอาเสียเลย ลองหันมากินช็อกโกแลตนมแทนก็ได้ แม้ในช็อกโกแลตนมจะมีสารแอนตี้ออกซิเดนต์น้อยกว่าช็อกโกแลตดำ แต่ก็มีปริมาณแคลเซียมสูงกว่าถึง 5 เท่า


ดังนั้น ช็อกโกแลตนมจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการเสริมความแข็งแรงของกระดูก

และหากคุณรู้สึกดีมากๆ เวลากินช็อกโกแลตแล้วล่ะก็ ไม่ต้องแปลกใจ เพราะผลวิจัยหลายชิ้นพบว่า เวลาคนเรากินช็อกโกแลตนั้น สมองจะปล่อยสารเอนโดฟีน ซึ่งออกฤทธิ์เหมือนฝิ่นธรรมชาติ (ไม่เป็นอันตรายค่ะ) ซึ่งทำให้เราอารมณ์ดีและบรรเทาความเจ็บปวดได้




ว่าแล้ว......ก็เดินไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบช็อกโกแลตมากินกันเถอะ




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2551    
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2551 19:13:07 น.
Counter : 2459 Pageviews.  

หมอยัน!!! น้ำผลไม้ ให้โทษมากกว่าให้คุณ



ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรรณี นิธิยานันท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาต่อมไร้ท่อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า ในปัจจุบันสังคมไทย เน้นไปในเรื่องของอาหารเพื่อสุขภาพ อะไรก็ตามที่มีนัยแสดงว่า เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ คนก็จะนิยมบริโภค ทั้งๆ ที่บางครั้งสินค้าตัวนั้น ก็แทบจะไม่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพเลย

คุณหมอวรรณี บอกว่า ถ้านำน้ำหวานกับน้ำผลไม้มาเปรียบเทียบกัน น้ำผลไม้ก็ยังมีประโยชน์ มากกว่าน้ำหวาน เพราะยังมีสารอาหารที่ให้ประโยชน์ ต่อร่างกายอยู่บ้าง

แต่น้ำผลไม้ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายนั้น จะต้องเป็นน้ำผลไม้คั้นสด ย้ำว่าคั้นสดๆ และต้องไม่ผ่านกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมอาหาร เพราะถ้าผ่านกระบวนการผลิตแล้ว สารอาหารทั้งหมดของน้ำผลไม้ก็จะหายไปทันที แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากนำน้ำผลไม้ ทุกรูปแบบ มาเปรียบเทียบกับผลไม้สดทั้งผลแล้ว น้ำผลไม้ก็แทบจะไม่ให้ประโยชน์ อะไรต่อร่างกาย นี่คือความจริง...ของน้ำผลไม้ที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้ว

คุณหมอวรรณี บอกว่า ตอนนี้เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพของคนไทยมาแรง หันไปทางไหนมีแต่คนต้องการอาหารเพื่อสุขภาพ แต่มักจะขาดความเข้าใจ พื้นฐานเกี่ยวกับอาหารเพื่อสุขภาพอย่างถูกต้อง

ผู้บริโภคจำนวนมาก ต่างสนับสนุนให้คนที่ตนรักดื่มน้ำผลไม้ เพราะเชื่อว่ามีประโยชน์ ต่อร่างกาย แต่ในมุมกลับกัน หากน้ำผลไม้ที่นำมาดื่ม ไม่ได้เป็นน้ำผลไม้คั้นสดแล้ว ร่างกายของคนที่คุณรักก็จะได้แค่น้ำตาล บวกกับกลิ่นของผลไม้ และตัวน้ำเท่านั้น ร่างกายไม่ได้ประโยชน์จากสารอาหารในน้ำผลไม้อย่างที่คาดหวังเลย เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไป โรคอ้วนก็เข้ามาทำความรู้จัก แล้วก็พาไปสู่โรคอื่นๆ อีกมากมาย ยิ่งถ้าเป็นผู้ป่วยเบาหวานแล้ว ก็จะทำให้น้ำตาลขึ้นมาก ส่งผลร้ายแทรกซ้อนตามมา

คุณหมอวรรณี ขอแนะนำว่า ถ้าอยากจะดื่มน้ำผลไม้ ให้ดื่มน้ำเปล่า แล้วทานผลไม้ทั้งลูก เพราะร่างกายจะได้สารอาหารที่แท้จริง รวมไปถึงกากใยอาหาร เพื่อไปดูดซับไขมัน และ ช่วยในระบบขับถ่าย

นายแพทย์ฆนัท ครุธกูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ และโภชน- วิทยาคลินิก ศูนย์หัวใจหลอดเลือด และเมแทบอลิซึม คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ขอตั้งคำถามว่า

เราจะดื่มน้ำผลไม้ไปเพื่ออะไร?

ความเข้าใจแรกที่ว่า ดื่มน้ำผลไม้แล้ว ผิวพรรณจะสวย เรื่องนี้ก็ยังไม่มีงานวิจัย ทางการแพทย์ออกมายอมรับ ส่วนความเข้าใจที่ว่า ดื่มน้ำผลไม้แล้วร่างกายจะได้ประโยชน์ งานวิจัย ทางการแพทย์ก็ยืนยันว่า ในภาวะของคนที่มีร่างกายปกติ เน้นคำว่า ปกติ ไม่มีข้อมูลยืนยันว่า การดื่มน้ำผลไม้แล้วจะส่งผลดีต่อสุขภาพ แต่งานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่า น้ำผลไม้จะส่งผลดี เฉพาะคนป่วยที่ขาดวิตามินเท่านั้น เช่น คนป่วยเป็นโรคลักปิด ลักเปิด เป็นต้น

คุณหมอฆนัท บอกว่า นอกจากน้ำผลไม้จะให้ประโยชน์กับคนป่วยที่เป็นโรคขาดวิตามินแล้ว คนสูงอายุ ที่ไม่มีฟันที่จะเคี้ยวอาหาร ก็มีความจำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำผลไม้สด แต่หมอขอแนะ ให้เป็นผลไม้สดปั่นจนเป็นน้ำจะดีกว่า เพราะร่างกายจะได้กากใยอาหารด้วย ประการสำคัญ ต้องให้ผู้สูงอายุทานในระดับที่พอดี

ส่วนความเชื่อที่ว่า น้ำผลไม้ ยิ่งดื่มมากยิ่งได้ประโยชน์นั้น

คุณหมอฆนัท ขอทำความเข้าใจอีกครั้งว่า ในชีวิตประจำวัน หากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำสะอาด ร่างกายก็ได้รับสารอาหาร ในจำนวนที่เพียงพอแล้วแทบไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำผลไม้เพิ่มเลย หมอขอย้ำว่า ร่างกายต้องการสารอาหารในระดับพอดี อย่าไปเชื่อว่า ยิ่งได้รับมากยิ่งดี

มีคนไข้ของหมอรายหนึ่ง ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง จากประวัติของคนไข้มา พบหมออย่างสม่ำเสมอ แต่วันร้ายคืนร้ายก็ถูกหามมาส่งที่โรงพยาบาล แพทย์เวรก็รับเข้าห้องไอซียูทันที สอบถามญาติก็รู้ว่า ก่อนหน้าที่จะมาโรงพยาบาล คนไข้ดื่มน้ำผลไม้ปั่นไป 2 แก้ว จากการดื่มน้ำผลไม้ 2 แก้วนี้เอง จึงส่งผลให้โปแตสเซียมในเลือดขึ้นสูง หัวใจจึงเต้นผิดจังหวะ แต่โชคดีที่คนไข้มาถึงโรงพยาบาลได้ ทันเวลา ไม่เช่นนั้นโอกาสคงรอดน้อยเต็มที

กรณีตัวอย่างของคนไข้รายนี้ ชัดเจนว่า ร่างกายต้องการสารอาหารในระดับที่พอดี ถ้าได้รับมากเกินไป ก็จะเกิดปัญหา ในภาวะคนที่ไม่ปกติ เช่น ผู้ที่ ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง การบริโภคน้ำผลไม้มากเกินไปก็อาจจะมีอันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้ การบริโภคน้ำผลไม้มาก ก็อาจส่งผลให้คนปกติกลายเป็นโรคอ้วน มีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง

ส่วนความเข้าใจเรื่องสุดท้าย ที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่า น้ำผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านเซลล์มะเร็งนั้น หมอขอบอกว่า ยังไม่มีงานวิจัยมายืนยันว่า สารต้านอนุมูลอิสระจากน้ำผลไม้ จะต่อต้านมะเร็งในคนได้ เพราะฉะนั้น หมออยากให้คนนิยมดื่มน้ำผลไม้นั้น

ลองตอบคำถามว่า คุณจะดื่มไปเพื่ออะไร?

งานวิจัยเรื่อง การวิเคราะห์คุณสมบัติการต่อต้านอนุมูลอิสระและปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่ม เพื่อสุขภาพ ของประเทศไทย ปี พ.ศ.2549 ของปาจรีย์ อับดุลลากาซิม นักศึกษาปริญญาโท สาขาโภชนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล กรุงเทพมหานคร พบว่า เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีคุณสมบัติของสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั้น ต้องเป็นเครื่องดื่ม ที่ยังไม่ผ่านกระบวนการในการผลิตทางอุตสาหกรรมอาหารในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ทั้งพาสเจอไรส์ และสเตอริไรส์

ปาจรีย์ นำเครื่องดื่มที่โฆษณาว่าเพื่อสุขภาพ 10 ชนิด มาเข้าห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ พบว่า เครื่องดื่มที่ได้ผ่านกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมอาหารมาแล้ว จะทำให้สารต้านอนุมูลอิสระหายไปมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์และมีเครื่องดื่ม บางชนิดที่ไม่เหลือสารต้านอนุมูลอิสระให้เห็นเลย สิ่งที่คงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงในเครื่องดื่มที่โฆษณาว่าเพื่อสุขภาพก็คือ น้ำตาล เพราะฉะนั้น การโฆษณาของน้ำผลไม้บางพวกที่บอกว่า ในน้ำผลไม้จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ คงจะขัดแย้งกับงานวิจัยฉบับนี้

วันนี้ ปาจรีย์ เรียนจบปริญญาโทแล้ว เธอได้เข้ามาทำงานเป็นนักวิจัยทางโภชนาการ ให้กับเครือข่าย คนไทยไร้พุง ของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ปาจรีย์ บอกว่า น้ำผลไม้ที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาดนั้นจะมี 3 แบบ



แบบที่ 1 เรียกว่า น้ำผลไม้คั้นสด
แบบที่ 2 เรียกว่า น้ำผลไม้เข้มข้น และ
แบบที่ 3 เรียกว่า น้ำผลไม้แบบผสม

วิธีการทำน้ำผลไม้ที่เธอเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ น้ำผลไม้เข้มข้น และน้ำผลไม้แบบผสม ขั้นตอนการทำน้ำผลไม้ทั้ง 2 แบบนี้ จะทำให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ ต่อร่างกายหายไป สิ่งที่น่าเป็นห่วงต่อมา น้ำผลไม้บางยี่ห้อโฆษณาว่า มีเนื้อผลไม้อยู่ในกล่อง แต่ข้อมูลที่ปาจรีย์ได้รับกลับตรงกันข้าม เนื้อผลไม้ในกล่องของน้ำผลไม้ส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นเนื้อผลไม้ที่มาจากธรรมชาติที่แท้จริง แต่ มาจากการใส่สารเติมแต่ง เช่น แป้งแปลงรูป (Modified starch) ซึ่งจะทำให้เกิดเนื้อผลไม้เทียม (Pulp) ขึ้นมา

นอกจากนั้น ในกระบวนการผลิตน้ำผลไม้ ยังมีการใส่สารแขวนลอย (Stabilizer) สารเติมแต่ง (Additives) วัตถุเจือปนอาหาร (Food Additives) น้ำ, น้ำตาล,กรด รวมไปถึงการปรุง แต่งกลิ่นรสให้ถูกปากของผู้บริโภค ปาจรีย์ บอกว่า ข้อมูลการทำน้ำผลไม้แบบนี้ ไม่ใช่เธอคนเดียวที่รับรู้ นักศึกษาที่เรียนด้าน โภชนศาสตร์ และด้านเทคโนโลยีอาหารในทุกระดับต่างรับรู้กันหมด



แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่ผู้นิยมดื่มน้ำผลไม้ส่วนใหญ่ ไม่ได้มีโอกาสที่จะรับรู้ ข้อมูลเหล่านี้




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2551    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2551 12:25:13 น.
Counter : 2567 Pageviews.  

วิธีรักษา กระดูกสันหลัง (มนุษย์เงินเดือนต้องอ่าน!)

มนุษย์เงินเดือน หรือคนทำงานทุกวันนี้ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ทำงานนั่งหลังขดหลังแข็ง จนลืมดูแลพฤติกรรมตัวเองไปกันเกือบหมดแล้ว ส่งผลให้โครงสร้างร่างกาย โดยเฉพาะกระดูกสันหลังซึ่งเป็นเสาหลักของร่างกาย เป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททุกเส้น ที่ออกไปควบคุมการทำงานของร่างกายในทุกระบบ เพื่อให้ร่างกายไม่ถูกทำร้ายด้วยความไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์



ซีเคร็ท เชพ เวลเนส เซ็นเตอร์ (Secret Shape Wellness Center) แนะนำวิธีการหลีกหนีความเสี่ยงที่จะทำร้ายกระดูกสันหลัง โดยปรับเปลี่ยนท่วงท่าการนั่ง ยืน เดิน นอน เพื่อยืดอายุการใช้งานของกระดูกสันหลัง ดังนี้

1. การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด

2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้

3. การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้างเกิดการคั่งของกรดแลกติค มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ

5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย

6. การยืนแอ่นพุง หรือหลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง

7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง

8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

9. การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ

10. การนอนขดตัวหรือนอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2551    
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2551 15:37:58 น.
Counter : 3070 Pageviews.  

ภัยมืดที่สาว ๆ ต้องระวัง

เคยรู้สึกกลัวเวลาที่ต้องกลับบ้านคนเดียวมืดๆ ระแวงเวลาที่ต้องเดินออกจากออฟฟิศคนเดียว หรือผวาเวลาที่ต้องนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านดึกๆบ้างหรือเปล่า

ไม่ผิดหรอกที่จะรู้สึกแบบนั้น และไม่ต้องกังวลด้วยว่าคุณจะกลายเป็นสาวพารานอยด์จนเกินเหตุ หากว่ายังติดตามข่าวหน้าหนึ่งที่มีคดี ปล้น จี้ หรือทำร้ายร่างกายจากหนังสือพิมพ์หัวสีแทบทุกวัน แต่ถ้าใครยังคงคิดว่าเรื่องแบบนี้ยังห่างไกลและมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง


คงเห็นกันแล้วว่าช่วงปลายฤดูร้อนย่างเข้าฤดูฝนมีสถิติอาชญากรรมร้ายๆกับผู้หญิงค่อนข้างสูง ไหนจะฟ้าฝนที่ไม่เป็นใจให้ต้องใส่เสื้อผ้าเปียกๆตากฝน
ท่ามากลางอากาศมืดมัวสลัวครึ้มล่อตาล่อใจมิจฉาชีพ ไหนจะการจราจรติดขัดทำให้ต้องกลับบ้านดึกดื่น รู้ตัวอย่างนี้แล้วเรานี่แหละต้องรู้จักป้องกันตัวเองดีกว่ารอคนอื่นมาช่วยแล้วต้องเสียใจทีหลัง


ต่อไปนี้คือบางส่วนจากนิตยสารที่เราหยิบยกขึ้นมา เพื่อเตือนสาวๆ ให้ระวังภัยมืดใกล้ตัวคุณ!!!


*ไม่อยากเสี่ยงควรเลี่ยง 10 ซอยอันตราย*


ซอยลาดพร้าว 21 เขตจตุจักร


ซอยวิภาวดี 64 เขตหลักสี่


ซอยจรัลสนิทวงศ์ 37


ซอยจรัลสนิทวงศ์ 89


ซอยสวนผัก 11 เขตตลิ่งชัน


ซอยภิรมย์ เขตสัมพันธวงศ์


ซอยเจริญนคร 23 หรือ ซอยอู่ใหม่ เขตคลองสาน


ซอยวิมุตยาราม เขตบาง


ซอยร่วมรักษา เขตห้วยขวาง


ซอยวัดมะกอก ถนนราชวิถี ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ


*วิธีปฏิบัติตัวเมื่อต้องนั่งแท็กซี่คนเดียว*
สาวๆ จ๋า เมื่อหน้าฝนมาเยือนการเดินทางย่อมไม่สะดวกสบายเหมือนฤดูอื่นๆ แต่เรียกแท็กซี่ได้แล้วก็อย่างเพิ่งดีใจ อย่าเผอเรอนั่งสบายๆ ในแอร์ชุ่มช่ำจนลืมนึกถึงความปลอดภัยละ


1. เริ่มตั้งแต่ก่อนขึ้นรถ
เวลาเปิดประตูบอกที่หมายให้สังเกตว่าในรถมีทะเบียนรถที่เป็นแผ่นเหล็กติดอยู่ที่บริเวณประตูหรือไม่ และสังเกตว่าคนขับหน้าตา ท่าทาง ดูน่าไว้วางใจหรือไม่ มีอาการมึนเมารึเปล่า

2. เมื่อขึ้นไปนั่ง ควรจำทะเบียนรถทันที หรือจดใส่กระดาษไว้ ดูชื่อคนขับ
และดูรูปบัตรที่ติดในรถกับคนที่ขับว่าตรงกันหรือไม่ แต่จะให้ดีที่สุดควรโทรศัพท์หาคนที่กำลังจะไปหา แล้วบอกไปเลยดังๆ ให้คนขับได้ยินว่า " ฉันขึ้นรถ TAXI เขียว-เหลือง ป้ายทะเบียน กทม. มจ.xxxx กำลังจะไปแล้วนะ เดี๋ยวเจอกัน" ไม่ต้องอายเพราะความปลอดภัยของเราใครจะรับผิดชอบ จริงไหม

3. ถ้าโดยสารคนเดียวควรเลือกนั่งเบาะหลังที่นั่งคนขับ โดยนั่งให้ชิดประตูเพราะจะทำให้การพยายามทำอันตราย ต่อผู้โดยสารโดยตรงเป็นไปได้ยากขึ้น แต่เวลาจะลงรถควรลงทางประตูด้านซ้ายเพราะจะได้เป็นการกันไม่ให้คนขับลงจากรถแล้วมาทำอันตรายในระยะประชิดได้

4. พยายามอย่าบอกว่าไม่รู้หรือไม่ชินกับเส้นทาง ถึงแม้จะมาจากต่างจังหวัด ถ้าคนขับถามว่าไปทางไหนดี ควรบอกไปว่า "ไปทางไหนก็ได้......แต่ให้ดีเลือกทางที่รถไม่ค่อยติด และไม่เข้าซอยเปลี่ยว " ถ้าไม่รู้ทางทั้งคนนั่งและคนขับ อาจเปลี่ยนรถคันใหม่ หรือถามทางกับคนแถวนั้น แต่ที่ที่จอดถามต้องปลอดภัย คนพลุกพล่าน

5. หากคนขับแท็กซี่ชวนคุย ควรคุยเฉพาะเรื่องเส้นทางเท่านั้น ไม่ควรคุยเรื่องส่วนตัว เพราะจะเป็นการนำไปสู่การคุยเรื่องทะลึ่งลามกได้

6. ขณะนั่งบนรถควรสังเกตอะไรบ้าง
* เส้นทางตลอดเวลาที่ผ่าน อาทิ เช่น ป้ายบอกชื่อถนน ชื่อซอย
ถ้ารู้สึกผิดปกติให้โทรหาญาติหรือเพื่อนโดยบอกเส้นทางที่ผ่านมาทุกระยะ
* หากคนขับ ปรับกระจกมองข้างหลัง มาดูระดับขา หรือ ระดับหน้าอกของเรา

ควรลงจากรถเพราะอาการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคนขับไม่ให้เกียรติต่อผู้โดยสารผู้หญิง และบ่งบอกว่าเขาอาจกำลังคิดอะไรที่ไม่ดีอยู่ แต่หากจำเป็นต้องนั่งต่อควรเอากระเป๋ามาปิดขาหรือเอามากอดอกไว้ ทำท่าทางให้ดูน่าเกรงใจ ที่สำคัญก่อนออกจากบ้านก็ควรจะดูแลตัวเองเบื้องต้นไว้บ้าง เช่น
ไม่แต่งตัวโป๊เกินไป หรือมีเสื้อคลุมที่มิดชิดติดตัว

* ควรสังเกตว่าคนขับขยับมือมาที่ช่องแอร์หรือฉีดสเปรย์ที่ช่องแอร์หรือไม่
ถ้าผิดสังเกต เริ่มรู้สึกมีอาการแปลกๆ เช่น รู้สึกปวดหัว คลื่นไส้จะอาเจียน
รู้สึกเหมือนจะเป็นลม ไม่มีเรี่ยวแรง แสดงว่าคุณอาจโดนมอมยา
ควรหาที่ปลอดภัยคนเยอะๆ สว่างๆ แล้วลงจากรถ รีบโทรหาญาติหรือเพื่อนทันที หากโชคดีควรหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เยอะๆ หาที่พิงแล้วจะค่อยๆ ดีขึ้น
* ควรระวังคนขับบางรายที่ใช้วิธีช่วยขนสัมภาระ
แล้วพยายามจะแตะเนื้อต้องตัวแบบไม่ตั้งใจ
บางคนฉวยโอกาสนี้ป้ายยาสลบใส่โดยที่ผู้โดยสารไม่รู้ตัว

7. สิ่งที่สำคัญที่สุดเวลานั่งแท็กซี่ คือ อย่าคิดว่า " คงไม่มีอะไร นั่งหลายครั้งแล้วไม่เห็นมีอะไรเลย" เพราะจะทำให้คุณปิดโอกาสในการระมัดระวังภัยของตัวเอง
* อย่าเผลอหลับบนรถแท็กซี่เด็ดขาด ไม่ว่าจะเหนื่อย ไม่สบาย หรือเมาแค่ไหนก็ตาม

8. ถ้าถูกพาไปที่เปลี่ยว อย่าเปิดโอกาสให้คนขับประชิดตัว ควรพยายามชิงหนีออกมาก่อน ถ้าไม่มีอาวุธป้องกันตัวให้เอารถเป็นที่กำบัง หรือ วิ่งรอบรถพร้อมกับ ร้องตะโกนให้คนช่วยเพื่อถ่วงเวลา ถ้านานแล้วยังไม่มีใครมาช่วย ให้ตะโกนดังๆ ว่า " ตำรวจมาแล้ว ตำรวจช่วยด้วย " ให้คนร้ายหันไปมอง แล้ววิ่งสุดชีวิต ถ้าฉวยจังหวะนั้นได้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะวิ่งห่างจากคนร้ายได้ประมาณ 100 เมตร

9. ถ้าบอกให้จอดแล้วไม่ยอมจอดแต่ยิ่งขับเร็วขึ้น
ก่อนอื่นต้องตั้งสติดีๆแล้วเปิดประตูด้านหนึ่ง (ควรเป็นประตูด้านซ้ายของเบาะผู้โดยสาร จำไว้ว่าเราต้องนั่งเบาะข้างหลังคนขับ) ให้สะบัดค้างไว้นอกรถเพื่อสร้างจุดสังเกต มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะมีคนสังเกตเห็นและช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ


*ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ให้สกัด 7 จุดสำคัญ*


*1. บริเวณศีรษะ*
จุดอ่อนสำคัญที่จะหยุดคนร้าย ได้แก่ ดวงตา หู จมูก ขมับ ท้ายทอย ปลายคาง โดยเลือกใช้สิ่งของที่มีลักษณะแหลมๆ แทงไปตรงจุดดังกล่าว หรือฉีดน้ำหอม/น้ำยาดับกลิ่นปากไปที่ตา รับรองคนร้ายไม่รอดแน่


*2. ลูกกระเดือก*
ควานหาของแหลมๆ เช่น กุญแจ แปรงสีฟัน หรือ มาสคาราก็ได้ แทงเข้าไปบริเวณนี้จะมีผลทำให้กระดูกอ่อนของกล่องเสียงโจรแตกจนถึงขั้นพูดไม่ได้ก็มี


*3. ลิ้นปี่*
ตรงกลางบริเวณท้องส่วนบน อาจจะใช้สมุดเล่มหนา แปรงสีฟัน หรือโทรศัพท์มือถือ กระทุ้งไปตรงจุดนี้ให้เต็มแรง คนร้ายจะเกิดอาการจุก ตัวงอและล้มลงได้


*4. เป้ากางเกง*
ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ และง่ายต่อการจู่โจม หากผู้ชายถูกกระแทกบริเวณนี้จะอ่อนแรงลง ยิ่งถ้าแรงมากจะส่งผลให้ลูกอัณฑะแตกถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว


*5. หน้าแข้ง*
วินาทีนี้แล้วคงไม่ต้องนึกเสียดายของกันแล้วละ หยิบของที่แข็งแรงพอจะเหวี่ยงได้เช่น กล้องดิจิตอล ฟาดสุดแรงเข้าที่หน้าแข้งไปเลยเพื่อสร้างความเจ็บปวดและทำให้เสียการทรงตัว เป็นโอกาสให้รีบวิ่งเอาตัวรอด


*6. หลังเท้า*
ถึงตอนนี้รองเท้าส้นสูงที่สาวๆ มักบ่นว่าปวดเมื่อยยามสวมใส่จะกลายเป็นประโยชน์ยามคับขัน เหยียบไปอย่างแรง ย้ำๆๆๆ จะยิ่งดีและถ้ายังมีโอกาสให้ตามด้วยยุทธศาสตร์ข้ออื่นอีกก่อนผละหนี


*7. นิ้วมือ*
อาจจะใช้ที่ดัดขนตาหนีบไปที่นิ้วมืออย่างแรงหรือหักนิ้วไหนก็ได้กลับอีกด้าน วิธีนี้ต่อให้คนร้ายตัวใหญ่แค่ไหน ก็ต้องสยบ







 

Create Date : 25 ตุลาคม 2551    
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2551 15:46:42 น.
Counter : 323 Pageviews.  

1  2  3  4  

Gus J.
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ยินดีต้องรับสู่ BLOG PIZZA
(◡‿◡✿) (◕‿◕✿) (◕〝◕) •.★*
*.:。✿*゚‘゚・✿.。.:*.♡.•
°∴ ☆..•°
รักสวยรักงาม
ชอบสะสมเงินและเครื่องสำอาง
รสนิยมสูงรายได้พองาม
ชอบท่องเที่ยวไปเรื่อยเปื่อย
ชอปปิ้งคืองานของเรา ห้างไหนเซลจะเจอเราที่นั่น
เรื่องกินขอให้บอก กินได้ทุกอย่างจนตัวอ้วนกลม
รักหมารักแมว
อยากเป็นแม่บ้านให้คุณสามี
อยากมีลูกชายน่ารักๆ
นี่แหละตัวชั้น
❃❂❁❀✿✾✽✼✻✺✹✸✷
free counters




Friends' blogs
[Add Gus J.'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.