Part 4 เด็กน้อยเที่ยวมาเลเซีย Imbi - bukit bintung - Pretonas
หลังจากที่ ลุย Genting กันมา 1 คืนกับอีก 2 วัน และเมื่อคืนก็นั่งรถกลับลงมาที่ Kuala lumpur
ตื่นขึ้นมาวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายนตอนเที่ยงๆ พาเด็กเดินไปถึงสถานีรถไฟ monorail
จ่ายค่าตั๋ว 1.6 ริงกิตต่อคน (ถูกไปไหน) โหนรถไฟไปลงสถานี Imbi ช้อปปิ้งที่ Time Square
ซึ่งไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักเท่าไหร่ มีราคาที่พอรับได้คือใน sasa แวะซื้อนาฬิกา และ
รองเท้าฝากหลานๆ ส่วนเด็กก็ฉกที่คาดผมของโปรด ซื้อมาก็ใส่เลย ไม่ยอมให้ถอดออก
แวะซื้อ Aunty Ann ให้เด็กเดินกินเพลินๆ ราคาพอๆกับเมืองไทยแต่พนักงานเชื่องช้ากว่าเยอะ
เสียเวลายืนรอนานมาก และพนักงานก็ไม่ได้มีท่าทางเร่งรีบแต่อย่างใด ส่วนตัวคิดว่ารสชาดดีกว่า
เมืองไทย ก็แปลกจริงๆแล้วน่าจะรักษามาตรฐานตามสูตรเท่าๆกัน



เดินดูรองเท้า ฝากเพื่อนสาว แต่แม่เจ้าเค้ามีแต่ไซส์เล็กๆอ่ะ รองเท้าเมืองไทยแบบสวยกว่าด้วย
ราคาตั้งแต่ 39 - 69 ริงกิต



เจอของที่กำลังลดราคาใน Gaudian สอยสเปรย์ play boy ให้พ่อเด็กแพ็คนึง
เฉลี่ยแล้วราคา 130 บาท/ขวด ถูกกว่าเมืองไทยหลายสิบบาทอยู่นะ ได้มาร์คหน้า
มาร์คตา 4 แผ่น ในราคา 10 ริงกิต สอยมาหลายชุดทีเดียว ฝากสาวๆที่บ้าน





ถัดจากสถานี imbi มาหน่อยก็เป็น bukit bintung เดินซื้อของมาเรื่อยๆ
เพลินๆ ก็ถึงห้าง Isetan  ย่านนี้มีห้างสรรพสินค้าเยอะมากทั้ง pavillian lot10
(คราวหน้ามาจะมาพักแถวนี้แหล่ะ ตอนแรกคิดว่าพัก my hotel ใกล้ KL sentral น่าจะสะดวกกว่า
แต่สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยเลย ใกล้ๆ pavillian ก็มี Novotel ที่น่าพักไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้า
ห้างสินค้าแบรนด์ซึ่งพร้อมใจกันลดราคากว่า 70% ช่วงปลายปีแต่ราคายังไม่ได้ใจเรา เลยไม่แบกให้
เปลืองแรง ซื้อเมืองไทยได้อารมณ์กว่า



เด็กเจอเพื่อน อยากพากลับบ้านคร่ะ แต่เค้าไม่ขาย เอาไว้โชว์เฉยๆ เธอก็เดินหอม
เดินกอด ไม่ยอมไปไหน จนต้องเอาไอศครีมมาล่อให้ทิ้งลิง



มองลงมาจากบันไดเลื่อน ตอนแรกก็งง ว่าคนเค้าเป็นอะไรกัน ที่แท้เค้ากำลังหลับกันค่ะ
คือแบบว่า ไม่รู้ว่าเมา หรือแค่เหนื่อยนะ แต่หลับกันจริงจังมาก บางคนมีที่ปิดตากันเลยทีเดียว
ประหนึ่งว่านอนอยู่ที่บ้าน ไม่เคยเห็นที่ไหน ประเทศไทยน่ามีมั่ง แบบเอาไว้ให้พวกพ่อๆ
เลี้ยงเด็ก แม่ก็ช้อปกันสนุกสนาน พ่อก็เลี้ยงลูกป้อนนม นอนกลางวันกันไปอะไรไป เริ่ดเชียว



ใกล้ๆกันคือสิ่งนี้ค่ะ นั่นคือเหตุผลให้คิดว่า ส่วนใหญ่คนที่นอนหลับอยู่แถวนี้ คือคนเมา 55++
แต่จริงๆแล้ว คนที่นั่งดื่มกาแฟก็มีนะ จิบชา จิบกาแฟแล้วแอบงีบ (ใกล้ๆกันก็ Gaudian ) แม่ช้อป
พ่อกับลูกก็นั่งดริ๊ง งีบกันไปอะไรไป



เย็นย่ำ ค่ำมืดแล้ว ได้เวลานั่งรถไฟไป KLCC กันเพื่อเยี่ยมชมตึกแฝด Petronas และ ห้าง suria
 แต่ต้องเปลี่ยนไปนั่ง Kelana jaya line ด้วยการลงที่สถานที่ bukit nana
หรือ bukit bintung ก็ได้ เดินอีกหน่อยไปที่สถานี Diwangi นั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานี KLCC




มาดูตึกแฝด ต้องมากลางคืน จะมีโชว์น้ำพุ ประกอบเพลงอลังการแสงสี สวยงาม ห้างที่นี่ปิดเร็ว
สามทุ่มก็ปิดแล้ว ว้นอาทิตย์ตึก Petronas ไม่เปิดให้ขึ้นไปเยี่ยมชมนะคะ ต้องวางแผนให้ดี



ถ้าอยากได้วิวตึกเต็มๆไม่ติดห้าง Suria ต้องเดินทะลุห้างออกไปอีกฝั่งนึง



ตึกแฝดตอนกลางคืน สวยงามมากๆ ยิ่งเวลาฝนตกด้วยนะถ่ายรูปออกมายิ่งสวย



ถึงฝนจะตกเด็กก็ไม่หวั่น ยืนดูน้ำพุอย่างตื่นเต้นสนุกสนานสุด ดีที่แข็งแรงโดนฝน
ตลอด 4 วันในมาเลเซีย แต่ไม่ป่วยไม่ไข้เลย ภาษาอังกฤษพัฒนาขึ้นด้วยรู้จักส่งภาษา
กับคนแปลกหน้า แสดงว่าเด็กไม่ได้คุ้นแต่กับสำเนียงแม่อย่างเดียวแต่ฟังคนอื่นพูดก็เข้าใจ



ถ่ายฝั่งนี้จะติดห้าง Suria มาด้วย ก็ดูสวยไปอีกแบบ



น้ำพุ เต้นตามจังหวะเพลง เปลี่ยนสีไปมา ดูแล้ว อลังการสุดๆ ผู้คนฮือฮากันมาก ขนาดฝนตกก็ยัง
ยินดีออกมายืนดูและถ่ายรูปชมความงามของลานน้ำพุกันแบบไม่ย่อท้อ (เหมือนลูกเราเลย55+)



ไหนๆก็มากันถึงนี่ จะไม่ให้เด็กน้อยถ่ายรูปคู่ตึกแฝดก็กระไร ก็ขอซะหน่อย (มีพี่เลี้ยงยืนคุมด้วย-
กลัวเด็กกระโดด)



เดินกันขาลาก ก็แบกสังขารกลับโรงแรม ที่เหนื่อยขนาดนี้เพราะต้องใช้รถไฟฟ้านี่แหล่ะ กะว่า
คราวหน้าจะใช้วิธีเช่ารถเอา เพราะเรามีเด็กเล็ก แท็กซี่ก็แอบแพงเกินไป สงสารเด็กน้อย รู้ว่า
เค้าเหนื่อยเพราะผู้ใหญ่อย่างเรายังเหนื่อยเลย แต่เค้าก็ไม่บ่น ไม่งอแง แอบน่าสงสารนะเนี่ย



ติดตามต่อพรุ่งนี้ วันสุดท้าย เราจะไป Sunway กัน



Create Date : 15 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2555 20:18:51 น.
Counter : 1677 Pageviews.

0 comment
Part 3 เด็กน้อยเที่ยวมาเลเซีย Indoor - My hotel@sentral
หล้งจากลุย Out door Themepark @Genting กันมาทั้งวัน ทั้งสนุก ทั้งเหนื่อย ทั้งล้า ก็ได้เวลา
กลับเข้ามาทานอาหารเย็นกันใน Indoor แวะกินที่ร้าน street market (ถ้าจำไม่ผิดอยู่เยื้องๆกับ
 Mary brown มีอาหารตามสั่ง มีข้าวผัดแบบไทยๆด้วย น้ำผลไม้คั้นสดๆ แล้วก็แกงประเภทต่างๆ
ตักกับราดแกง 3 อย่างราคารวมแล้ว 28 ริงกิต ข้าวเยอะใช้ได้แต่กับข้าวน้อยไป มีกุ้งสามตัวเอง
รสชาดดี อร่อยทีเดียว ตอนแรกมองเหมือนน้อยๆ(เพราะจานใหญ่) แต่ก็กินไม่หมด



เด็กเดินวนเวียนอยู่หน้าบ้านผีสิง belive it or not แต่เข้าไม่ได้ ว่าด้วยความสูงอีกแล้ว



ร้านขายของที่ระลึก กิ๊ฟช็อป



เกมส์ Indoor ยิงธนู (ปิดตอน 5 ทุ่ม)



ร้านอาหาร ไม่เคยลองเลยไม่รู้ว่าอร่อยไม๊



บรรยากาศภายใน Indoor themepark ที่ไม่ได้มีแต่เครื่องเล่น แต่ยังมีโรงภาพยนตร์ด้วย



คราวที่แล้วก็พลาดเจ้าอันนี้ คราวนี้ก็พลาดอีกแล้ว เพราะต้องรีบกลับเข้า KL ก่อนจะดึกมากกว่านี้



KFC ก็มี Pizza ก็พร้อม เด็กๆเพลินเลยทีเดียว ของโปรดทั้งนั้น



มีทุกอย่างให้เลือกซื้อจริงๆ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หนังสือ ของที่ระลึก ของประดับ ของเล่น



วิวมองลงมาจากชั้นสองของ genting walk



คิดว่าจะพาเด็กนั่งชมวิว ซักรอบ แต่เวลาไม่เหลือแล้ว ต้องรีบลงไป KL



เด็กร้องไม่ยอมลงจากเครื่องเล่น (ซื้อแบบ single รอบเดียวในราคา 8 ริงกิต)



ได้เวลาจากเกนติ้ง ไปซ่าต่อที่ KL (Kuala Lumpur) ไปรับกระเป๋าจากล็อกเกอร์โรงแรม
firstworld เรียบร้อยแล้ว (ฝากฟรีนานเท่า่ไหร่ก็ได้ รับได้ตลอด 24 ชั่วโมง) แล้วก็ต่อคิวรอขึ้น
กระเช้าเกือบครึ่งชั่วโมง เพราะคนมหาศาลจริงๆแถมลงไปถึงสถานีข้างล่างแล้วเจอตั๋วรถบัสหมดอีก
ต้องเหมาแท็กซี่หน้าเลือดเข้าKL sentral ในราคา 100 ริงกิตถ้วนๆ =_=
ถ้าไม่จำเป็นอย่าขึ้นแท็กซี่ที่มาเลเซียเด็ดขาด เพราะถึงมีมิเตอร์เค้าก็ไม่เปิด ใช้วิธีเรียกตามใจคนขับ
คิดว่าที่นี่ จริงๆแล้วน้ำมันก็ถูกราคาแท็กซี่น่าจะถูกไปด้วย แต่กลับหน้าเลือดกว่าบ้านเรามาก แถม
เวลาฝนตกขึ้นมาที จะหาแท็กซี่ก็แสนลำบาก ดึกๆหน่อยก็หายเกลี้ยง ณ จุดนี้คิดถึงเมืองไทยเลย
 แต่เพราะตั๋วรถบัสหมดทำให้เราก็หมดทางเลือกไปด้วย ยังไงก็ต้องไปแท็กซี่



มาถึง KL sentral ในเวลาเกือบ สี่ทุ่ม เดินจาก Kl sentral สถานีขนส่ง ที่จอดรถบัสชั้นใต้ดิน
(สังเกตุบันไดเลื่อน เดินลงบรรไดมาแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงไปเรื่อยๆตามทางที่มีหลังคา
จะเห็นทางข้ามม้าลาย ข้ามถนนไปจะเห็นป้ายโรงแรม My hotel แต่ไกลเลย ข้ามถนนไปจะ
เจอ My hotel @sentral ก่อน ซึ่งต้องเดินต่อมาอีกจาก My hotel@sentral แล้วไป
เลี้ยวตรงมุมถนนที่เป็นร้าน Old Town coffee เลี้ยวขวาตรงหัวมุมถนนเดินตรงไปเข้าเรื่อยๆ
จะเห็นรางรถไฟ Monorail เดินไปอีกนิดจะเป็น My hotel @KL sentral จองเอาไว้ 2 คืน
ในราคาคืนละ 115 ริงกิต + ค่ามัดจำห้องละ 20 ริงกิต 2 ห้องจ่ายไป 500 ริงกิต
ส่วนเงินมัดจำ 40 ริงกิตจะได้คืนวันเช็คเอ๊าท์ ซึ่งต้องเอาการ์ดมาคืนแล้วถึงได้เงินคืน



ด้านข้างโรงแรมมีร้านอาหารมากมายส่วนใหญ่จะเป็นอาหารอินเดีย  รสชาดถูกปากทั้งพ่อ ทั้งเด็ก
แถมมีเบอเกอร์ไก่-เนื้อ รสเลิศตรงใกล้ๆ My Hotel@sentral ด้วย ชิ้นละ 3.5 ริงกิตแบบพิเศษ
ห่อไข่ แบบธรรมดาจะถูกกว่า ในซอยจะมีมินิมาร์ทที่สามารถซื้อขนม น้ำ บัตรเติมเงิน เครื่องดื่มได้
แต่ช่วงกลางคืนจะมีพวกแก๊งออกมายืนเยอะแยะเลย ถ้าเป็นผู้หญิงเดินทางกันลำพังค่อนข้างน่ากลัว
ขนาดเพื่อนผู้ชายที่เป็นคนอินเดียเหมือนกันยังไม่กล้าเดินผ่านเลย โรงแรมนี้ถือว่าโอเคสำหรับราคา
ระดับนี้ จริงๆแล้วตัวโรงแรมดีทีเดียว แต่สภาพแวดล้อมไม่ค่อยน่าอยู่ ถ้ามากับครอบครัวคิดว่า
คราวหน้าคงไม่เลือกมาพักแถวๆนี้ เป็นย่านที่ไม่เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กเล็กเท่าไหร่เพราะใกล้ๆ
มีซ่องโสเภณีด้วย
(มีโรงแรม Hotel sentral ที่เยื้องๆกันซึ่งใหญ่กว่าราคาแพงกว่าหน่อยแต่ยังไม่เคยเเข้าไปพัก)
ไก่ย่าง chicken tikka อร่อยเริ่ด ราคาไม่แพงเหมือนที่เมืองไทย สะโพกชิ้นใหญ่ๆ
ราคา 7-8 ริงกิตเท่านั้น ที่เมืองไทยชิ้นนึง 250 บาทแน่ะ



และเด็กก็ไม่ยอมพลาด twisty ขนมขบเคี้ยวในตำนาน ยอมรับว่าอร่อยกว่าเมืองไทยไม่มีกลิ่นหืน



พรุ่งนี้เช้า เราจะไป Imbi และ Bukit bintung ช็อปของฝากกันค่ะ



Create Date : 15 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2555 20:20:04 น.
Counter : 2046 Pageviews.

0 comment
Part2. เด็กน้อยเที่ยวมาเลเซีย OutDoor Themepark Genting
เมื่อวานเดินทางจาก Kuala lumpur มายัง Genting Highland หลังจากเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
หลายชั่วโมง ทานอาหารเย็นกันแล้ว เดินช็อปปิ้งนิดหน่อย ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
และวันนี้ก็ได้เวลาออกลุย Out Door Themepark กันแล้ว

ตื่นกันสายๆ เกือบ 10 โมงเช้าตามเวลาถิ่น (คราวก่อนนอนฝั่งสวนสนุกได้ยินเสียงคนกรี๊ดกันแต่เช้า)
แต่คราวนี้นอนฝั่งภูเขา เงียบสงบจริงๆ ถ้าไม่เปิดหน้าต่างก็ไม่เห็นเลยว่าเช้าแล้ว
จับเด็กอาบน้ำอุ่นสบายๆ แต่เด็กก็ยังบ่นว่าหนาว ยืนสั่นงั่กๆอยู่หน้าห้องน้ำ
จนแม่ต้องเดินไปปิดหน้าต่างก่อน เด็กถึงจะออกมาแต่งตัว เตรียมตัวลงไปทานอาหารเช้า



คราวนี้ไม่ได้ซื้ออาหารเช้ารวมกับห้องพัก เพราะเคยมาพักแล้วเห็นว่าอาหารออกจะธรรมดาและ
ต้องเผชิญหน้ากับเหล่ากรุ๊ปทัวร์จากเมืองจีนอีกด้วย ตอนจองกับเว็บ rwgenting ราคาห้องจะแจ้ง
ไว้เลยว่าไม่รวมอาหารเช้า ซึ่งถ้าซื้อแยกราคาแพงมาก เกือบ 600 บาทต่อคน ความจริงอาหารตาม
ฟู๊ดคอร์ด คนนึงจะจ่ายไม่เกิน 200-300 บาทก็อิ่มได้แล้ว พวกเซ็ตอาหารเช้าราคาก็พอรับได้
อาหารบนเกนติ้งจะแพงกว่าในเมืองประมาณ 10-20% ยิ่งพวก seafood ยิ่งแพง
เช้านี้เด็กจัดโจ๊ก ที่ Marry Brown ค่ะ ในราคา 8 ริงกิตเท่านั้น (แม่แอบลืมรูป) ทานข้าวเสร็จก็ออก
 Out Door Themepark กันเลย



แต่ก่อนอื่นเราต้องซื้อตั๋วกันก่อน สำหรับสมาชิก rwgenting ก็จะได้ส่วนลดคนละ 5 ริงกิต
(จากราคาเต็ม 50 ริงกิต ก็เหลือ 45 ริงกิต)​ ซื้อตั๋วได้ 4 ชุดต่อบัตรสมาชิก 1 ใบ
ไปกันผู้ใหญ่ 4 คน เด็ก 1 คน จึงต้องจ่ายตั๋วเด็กราคาเต็มไปซะ คือ 38 ริงกิต
เจ้าหน้าที่จะปริ๊นใบเสร็จสีขาวๆเล็กๆมาให้เราเอาไปแลก สายรัดข้อมือ หน้าสวนสนุก
สามารถเล่นอะไรก็ได้(ยกเว้นเป็นบางอย่าง) เดินเข้าเดินออกได้จนกว่าสวนสนุก
จะปิดตอนห้าทุ่ม สามารถเล่นกี่รอบก็ได้ไม่จำกัด



เด็กประเดิมของเล่น out door อันแรก ที่ดูเหมือนม้าหมุน แต่มีสองชั้น หมุนช้าๆ
รอบนึงใช้เวลาประมาณ 5 นาที ระหว่างที่เรานั่ง ชิวๆ พวกหนุ่มๆเค้าก็ไปเล่นของเล่นฝั่งตรงข้าม
ที่ดูน่ารักๆ แต่น่ากลัวมากๆ ยิ่งตอนมันหมุนเหมือนจะหลุดจากเครื่องเล่นเลยทีเดียว ลงมามีเซ 55++



คราวนี้มาพร้อมเด็กน้อย เลยไม่ค่อยได้เล่นของเล่นเท่าไหร่เลย ส่วนใหญ่จะพาเด็กทัวร์ซะมากกว่า
ส่วนใหญ่ก็เคยเล่นมาเกือบครบหมดแล้วด้วย เลยพาเด็กเดินชิวๆ ตามใจเค้าซักวัน



ไปยืนต่อคิวเกือบหนึ่งชั่วโมง เพื่อล่องเรือ ชมถ้ำไดโนเสาร์ (Dinosour Land)



Dinosour Land ล่องเรือประมาณ 15 นาทีเข้าถ้ำไดโนเสาร์ที่บรรยายเกี่ยวกับ
ไดโนเสาร์พันธุ์ต่างๆ เด็กแอบกลัวเพราะมันมืด ระหว่างล่องเรือมองเห็นบรรดาโรงแรมและเครื่องเล่น
บรรยากาศรอบๆ จากมุมสูง



มองจากด้านล่างขึ้นมาที่ Dinosour land



ระหว่างที่เด็กสนุกสนานอยู่กับไดโนเสาร์ พวกพ่อและอาๆ ก็พากันไปแข่งโกคาร์ทสนุกเชียว จากไดโนเสาร์แลนด์มองลงไปเห็นสนามโกคาร์ทพอดีเลย



ทีนี้ตาเด็กจะซิ่งบ้างอะไรบ้าง กับ รถบั๊มเด็กน้อยที่ต้องสูงอย่างน้อย 75 เซนติเมตร
ถึงเข้าได้ แม่ก็ลืมถ่ายรูปไว้อีกตามเคย ถ่ายไว้แต่วีดีโอ ส่วนภาพข้างล่างนี่เป็นรถเด็กเล่น
ที่อยู่ใน Indoor themepark (สามารถซื้อได้เป็นรอบ แบบ Single ราคารอบละ 8 ริงกิต
ต่อของเล่นหนึ่งชิ้น)



เครื่องเล่นชิ้นนี้จำชื่อไม่ได้ แต่ที่เมืองไทยก็มี ที่นี่สูงมากจนเกือบสัมผัสท้องฟ้าได้เลย (เว่อร์ไปนะ)



เครื่องเล่นหวาดเสียว ที่เด็กอยากจะเล่นสุดๆ ด้วยความที่ปลื้ม สไปเดอร์แมน แต่ความสูงไม่ถึง อดค่ะ



หมอกลงเยอะทีเดียว ยิ่งหลังจากฝนหยุดอากาศก็เย็นขึ้นอีก ลมพัดมาทีปากสั่นงั่กๆ
ดีได้มันเผามาช่วยชีวิตหัวละ 7 ริงกิต สองหัวใหญ่ๆ กินได้ 5 คน ร้อนๆ อบอุ่นแถมอร่อยอีกตะหาก
(มีฝนลงเม็ดเป็นช่วงสั้นๆไม่ถึงสิบนาทีก็หยุดไป)



เดินจนเมื่อย ขอลูกนั่งพักซักหน่อย แต่เด็กยังมีแรงเล่นได้ของเล่นได้อีก แม่ก็นั่งรอไปอะไรกันไป



โรงแรม First world มองมาจากมุมไหนก็เห็น เด่นตระหง่านมาก



บรรยากาศเริ่มจะอึมครึม ตอนประมาณ 5 โมงเย็นเหมือนอากาศจะเย็นขึ้นมาอีกเยอะเลย



อันนี้เหมือนล่องแก่ง สนุกดีถ้าได้เล่นหลายๆรอบ แต่คิวยาวไปหน่อย แถมใกล้มืดแล้วด้วยเจอน้ำเข้าไป หนาววววสั่น



ของเล่นแต่ละชิ้นต่อคิวกันเป็นครึ่งชั่วโมง ทางที่ดีไม่ควรไปวันหยุดอย่างยิ่งเลยเพราะต้องเสียเวลารอคิวนาน หรือทำได้อีกอย่างคือต้องกลับมาเล่นตอนหัวค่ำ พออากาศเย็นคนจะเริ่มกลับเข้า indoor กัน



ว่าแล้วก็กลับเข้าไป Indoor หาอาหารเย็นทานกันดีกว่า



ด้วยความที่ความจำอันเลือนลาง ตอนจะออกไป out door themepark หาทางออกไม่เจอ เดินอ้อมไปซะตั้งไกล พอตอนขากลับก็เจอบันไดเลื่อนอันนี้ที่ทะลุมาจาก ลาน Plaza ของ Firstworld เลย
หลงเดินซะหอบเลย





Create Date : 15 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2555 20:22:07 น.
Counter : 1223 Pageviews.

0 comment
Part 1 เด็กน้อยเที่ยวมาเลเซีย LCCT- Genting
วางแผนเที่ยวมาเลเซียกันตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์  ปี2012 จองตั๋วแอร์เอเชียได้ในราคาโปรฯ 88 บาท
พ่อ แม่ ลูก 3 คน รวมค่าตั๋ว+ภาษี เป็นเงิน 6,558 ทั้งขาไป-ขากลับ หารออกมาแล้วประมาณ
2,186 บาท (ยังไม่รวมค่าอาหารบนเครื่องบินที่ควรสั่งล่วงหน้าก่อนวันเดินทางประมาณ 24 ชั่วโมง)

ได้ไฟล์ทเดินทางวันศุกร์ที่ 9 กลับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 เที่ยวขาไปใช้สิทธิ์เปลี่ยนเวลา
เดินทาง เนื่องจากแอร์เอเชียย้ายไปดอนเมือง จึงเลื่อนเวลาให้เป็น 9.25 น. เครื่องแลนดิ้งมาเลเซีย
เวลา 12.25 ขากลับขนาดว่าเลือกไฟล์ทดึกแล้วด้วยเวลา 22.15 น.แต่ก็ยังเกือบตกเครื่องจนได้

ทั้งๆที่มีเวลาเตรียมตัวเกือบสิบเดือนแต่ก็ยังไม่วาย มีเหตุให้ต้องระทึก เมื่อพ่อกับแม่ลืมทำพาสปอร์ต
ให้เด็กแขก แต่ก็สามารถผ่านมาได้อย่างเฉียดฉิว ได้พาสปอร์ตทันก่อนวันเดินทาง 1 วันพอดีเด๊ะๆ

แต่เนื่องจาก ทริปนี้ เป็นการทัวร์นอกประเทศครั้งแรกของแขกน้อย และด้วยวัย 2.9 ปี ทำให้แม่กังวล
มากว่าชีจะก่อเรื่องบนเครื่องบิน เป็นเหตุให้ต้องทำลิสต์ขึ้นมา สรรหาสารพัดวิธี หลอกล่อเด็กให้นิ่ง
ที่สุดในเวลา 2 ชั่วโมง ทั้งการป้องกันอาการหูอื้อ และทำให้เด็กถูกรบกวนน้อยที่สุด
 เพื่อที่เค้าจะได้ไม่รบกวนผู้โดยสารท่านอื่นๆ.

สิ่งของที่ขาดมิได้ (เมื่อกระเตงลูกน้อยขึ้นเครื่องบิน) คือ...

1. ขวดนม ขวดน้ำ ของเด็กน้อยเอาไว้ให้เค้าดูดตอนเครื่องบินขึ้น ใช้คลายอาการหูอื้อได้ดี
(หลายๆคนกังวลว่าจะถูกห้ามไม่ให้นำขึ้นเครื่องบิน ซึ่งไม่เป็นปัญหาแต่อย่านำไปเยอะให้ติดน้ำไป
หนึ่งขวด นมหนึ่งขวดก็พอ เจ้าหน้าที่สนามบินให้ผ่านตลอด แถมเด็กไม่ต้องเข้าเครื่องตรวจด้วย
 โชคดีไปเพราะแม่เอานมและน้ำใส่กระเป๋าเป้ให้เด็กสะพายเองเลย)
2. ขนมลูกอม อมยิ้มของโปรดติดกระเป๋าไปเยอะๆ
3. ขนมขบเคี้ยว และ อาหารมื้อเบาๆ (อันนี้สั่งไว้ล่วงหน้ากับสายการบิน)
4. ของเล่นที่เค้าชอบ (แขกน้อยชอบดู ABC บนไอแพดแต่ทริปนี้ไม่เอาไปด้วยเพราะต้องการให้เค้า
สนุกสนานกับสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่าท่องมีเดีย เลยนำของเล่นอย่างพวกอุปกรณ์ทำครัวชิ้นเล็กๆ
ไปให้เล่นบนเครื่องบินแทน) แต่ที่ไหนได้พอขึ้นเครื่องชีไม่แลของเล่นเลย สนใจแต่วิวนอกหน้าต่าง
5. กระดาษทิชชู่ทั้งชนิดเปียกและแห้ง
6. กระดาษหรือสมุดระบายสีให้เพลินๆ (บนสายการบินแอร์เอเชีย สำหรับเด็กจะมีของเล่นกระดาษ
ให้พับเล่นหรือตัวต่อเครื่องบินโมเดลแบบกระดาษให้ฟรีด้วย แอร์โฮสเตสจะแจกให้ตอนเข็น
อาหารมาบริการ)

เมื่อพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลย ไฟล์ทนี้ออกเดินทางเวลา 9.25 am. เด็กตื่นตั้งแต่ตี 5 คราวนี้
เราต้องไปถึงดอนเมืองกันเลยทีเดียว เพราะแอร์เอเชียเค้าย้ายไปดอนเมืองแบบถาวรแล้ว T  T

เตรียมตั๋วเครื่องบินและบอร์ดดิ้งที่ปริ๊นมาจากบ้านให้เรียบร้อย ตะลุยรถติดจากฝั่งสาธร
ไปถึงดอนเมือง ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าๆ (เท่านั้นเอง)



ทั้งๆที่ออกเดินทางแต่เช้าก็ยังเดินไปถึงเกทกันแบบเฉียดฉิว โชคดีที่เครื่องบินดีเลย์นิดหน่อย
ทำให้เดินลอยชายได้อีกพักนึง หนุ่มๆเข้าไปสอยสินค้าดิวตี้ฟรีกันในขณะที่เด็กน้อยตื่นเต้นกับ
เครื่องบินด้านนอกอาคาร สนุกสนานประมาณว่าอยู่สนามเด็กเล่น



นี่ขนาดรีบๆนะเนี่ย เด็กก็ยังเดินชมร้านค้า ชมเครื่องบินอย่างสบายใจเลย สนามบินดอนเมือง
เรื่องความปลอดภัยยังด้อยกว่าสุวรรณภูมิ เพราะมีที่ที่เด็กๆสามารถตกลงไปในช่องบันไดเลื่อนได้
มีช่องว่างที่ใหญ่ทีเดียว ถ้าพ่อแม่ละสายตาเด็กๆอาจพลาดตกลงไปได้



ไฟล์ทแอบเลทนิดหน่อย แต่เด็กรอได้ เพราะเพลินกับของเล่นระหว่างรอ (ไม่ได้ไปกะ nok air) แต่ก็
ไปเล่นของเค้าเฉยเลย 55++



ได้ขึ้นเครื่องซะที เด็กตื่นตา ตื่นใจกับเครื่องบินที่จอดอยู่ด้านนอกมาก ยิ่งตอนเครื่องขึ้นนึกว่าจะกลัว
แต่กลายเป็นว่าเธอไม่วางสายตาจากวิวนอกหน้าต่างเลย และดูเหมือนเค้าจะไม่รู้ตัวด้วยว่าหูอื้อ
 เพราะตอนแม่เรียกเหมือนเค้าจะไม่ได้ยิน ต้องสะกิดๆ สังเกตุว่าเค้าจับหูตัวเอง เหมือนสงสัยว่าทำไมไม่ได้ยินเลยถามว่า Are you ok? เค้าบอกว่าเค้า ok... แม่ก็ค่อยโล่งใจ



พออาหารที่สั่งเอาไว้มาเสริฟแล้ว ค่อยนั่งลงได้หน่อย โชคดีที่เด็กไม่ก่อกวน ถึงจะไม่ได้นั่งสงบนิ่ง
มีลุกขึ้นดูวิวนอกหน้าต่างเป็นพักๆ แต่ก็ไม่ได้เสียงดัง ถามแค่ว่า what's this ,
what's that? ตามประสาความอยากรู้อยากเห็น



อาหารบนเครื่อง อร่อยใช้ได้ทีเดียว (แอบชิมของเด็กแล้วมันบดอร่อยเหาะ)



มาถึง สนามบิน LCCT เวลา 12.15 (ตามเวลาท้องถิ่น)
ผ่านด่าน ตม. มาเลเซียเข้ามาอย่างง่ายดาย ไม่ต้องกรอกใบเข้าเมือง
เจ้าหน้าที่จะถามแค่ว่า เรากำลังจะไปไหน พักที่ไหน และถามว่า ไหนล่ะ อลิช่า ? 55++
เด็กเลยต้องกระโดดขึ้นคออาป๊าโชว์หน้าตาให้ลุงตม. แกเห็นซะหน่อย.

เดินกันไกลทีเดียว กว่าจะมาถึงท่ารถบัส มีสีแดง สีเหลือง เลือกตามสะดวก ราคาต่างกัน 1 ริงกิต



พอมาถึงท่ารถบัส ก็ถามพนักงานขับรถหรือพนักงานขายตั๋วแถวๆนั้นว่าคันไหนกำลังจะออก
แต่จริงๆแล้วก็มีคนตะโกนบอกอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วเพื่อเรียกลูกค้าขึ้นรถ...

นั่งรถบัสจาก LCCT (สนามบิน Low cost ) ไป KL sentralด้วยค่าตั๋ว 8 ริงกิต ต่อคน
และสำหรับเด็กๆอย่างแขกน้อยขึ้นได้ฟรี ถ้านั่งกับผู้ปกครอง
*** ห้องน้ำที่ KL sentral มีน้อยมากไม่เพียงพอกับจำนวนคนที่เข้าออกตลอดทั้งวันทั้งคืน
(เปิด 24 ชม.) แถมไม่สะอาดอีกต่างหากถึงจะมีคุณแม่บ้านประจำการอยู่ตลอดแต่ก็ยัง
สกปรกอยู่ดี ทางที่ดีลงจากเครื่องแล้ว เข้าที่สนามบินดีกว่า เพราะสภาพน่าเข้ากว่ากันเยอะเลย***



ลงจากรถบัสมา ณ เวลา 3.10 pm. (ที่จอดรถตรงชั้นใต้ดิน) ก็จะเจอเคาท์เตอร์ขายตั๋วไปเกนติ้งเลย
 ซื้อตั๋วรถที่รวมค่ากระเช้าแล้ว 13 ริงกิตต่อคน ไปถึงรอบ 3.30 pm.พอดีเหลือเวลาอีก 10 นาที
แต่ดันเดินขึ้นไปฝากกระเป๋าเข้าล็อกเกอร์ที่ชั้น 2 ทำให้ลงมาไม่ทันรถ ต้องรอรอบต่อไปคือ 4 pm.
โชคดีที่พนักงานอนุโลมให้ใช้ตั๋วของรอบที่แล้วได้ รอดตัวไปไม่ต้องซื้อใหม่ เสียค่าล็อกเกอร์
ฝากของข้ามคืนไปอีก 20 ริงกิต (แอบเคืองแพงมาก x10 เข้าไปเป็นเงินไทย) แต่เพราะไม่อยาก
ลำบากแบกขึ้นเกนติ้งที่อาจต้องต่อแถวขึ้นกระเช้าตอนขากลับ ซึ่งต้องลากสัมภาระและรอนาน
กว่า 30 นาที



ระหว่างทางที่คาดว่าเด็กจะหลับ แต่กลับตื่นเต้นไปตลอดทาง ถามตลอดว่า นั่นอะไร นี่อะไร สีอะไร



บรรยากาศสดชื่นทีเดียว ระหว่างทางไป เกนติ้ง และแล้วเราก็มาถึงจนได้ด้วยเวลาเกือบชั่วโมง
ได้เวลาขึ้นกระเช้าที่ยาวนานที่สุด เกือบๆ 30 นาที มีหยุดสั้นๆ(1-2 วินาที) เป็นช่วงๆ
เนื่องจากไม่ได้มาเยี่ยมเกนติ้งเป็นเวลา 5 ปี แล้ว (ตอนนั้นยังไม่มีเด็ก) จนวันนี้มาเห็นอีกครั้ง
หลายๆ อย่างเปลี่ยนไปมาก ทั้งทางขึ้นกระเช้า ที่จอดรถ ที่ซื้อตั๋วพัฒนาไปเยอะทั้งรูปแบบและ
สถานที่จากที่เมื่อก่อนที่ซื้อตั๋วจะอยู่ด้านนอก ตอนนี้ย้ายเข้ามาในตัวตึกแล้ว กระเช้ายังเปลี่ยนไป
เป็นแบบใหม่ทั้งหมด เมื่อก่อนยังมีปนๆกัน ใหม่และเก่า

ยิ่งกระเช้าขึ้นสูง ก็ยิ่งมองไม่เห็นบรรยากาศด้านนอก เพราะถูกปกคลุมด้วยหมอกอย่างหนา



เด็กเพลิดเพลินกับวิว ภูเขา ต้นไม้ ท้องฟ้ามากมาย ถามตลอดทางว่า can I go out there mama?



พอบอกว่าไม่ได้ เด็กก็ทำท่า ชิวๆ อย่างนี้ :D



หลังจากลงกระเช้ามาแล้ว ก็ต้องเดินมาอย่างไกล กว่าจะถึง first world ที่ไม่อยากขึ้นรถชัตเตอร์
เพราะอยากเห็นบรรยากาศระหว่างทางไปโรงแรมจะได้รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้างเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
มีทั้งร้านอาหาร มินิมาร์ท ภัตตาคาร โรงแรม คาสิโน โซนตู้เกมส์ ของเล่นทั้งเด็กเล็ก เด็กโต



มีสปาให้นวดคลายปวดเมื่อยด้วย (หลังจากลุย out door theme park มาจะรู้สึกว่าสิ่งนี้จำเป็นมาก)



มาถึงแล้ว First world hotel ที่พักของเราคืนนี้(เสียดายจองได้คืนเดียว) จ่ายไปในราคา 108 ริงกิต
ห้อง standard แต่ห้องดูต่างจากเมื่อ 5 ปีที่แล้วมากๆ หรือโชคดีก็ไม่รู้ เพราะเห็นท่านอื่นที่ไปเที่ยว
เกนติ้งเดือนเดียวกัน แต่สภาพห้องเค้าไม่เหมือนกับของเราเลย



เด็กยืนรอ ลุงๆ เช็คอินกันที่ตู้ kiosk

ถ้ามีเด็กเล็กแนะนำให้นั่งรถ Shutter bus ไปลงหน้าโรงแรม First world เลยจะสะดวกมากกว่า
ไม่เหนื่อยด้วย ส่วนครอบครัวเราคราวนี้เกือบจะหลงเพราะป้ายที่ดูย๊ากยาก ความจริงคืออ่านแล้ว
งงน่ะเอง แต่มีป้ายบอกทางไปตลอดทางถึงจะหลงยังไงก็หาทางไปจนเจอจนได้แหล่ะ หลายๆอย่าง
เปลี่ยนไปจากเมื่อ 5 ปีที่แล้วค่อนข้างเยอะ แอบหลงอยู่พักนึง 



ระหว่างที่รอ พ่อและลุงๆ ไปเข้าตู้ Kiosk (ถ้าจำชื่อไม่ผิด) ใช้แค่บัตรเมมเบอร์ของ rwgenting
กับพาสปอร์ต ก็ได้การ์ดเปิดห้องมาง่ายๆ ไม่ต้องรอคิวยาวๆเหมือนเมื่อหลายปีก่อนแล้ว 
แค่ไปที่ตู้ สอดพาสปอร์ตเข้าไป ก็ได้กุญแจห้องมา สงสัยอะไรก็ถาม
เจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ๆได้เลย เจ้าหน้าที่เยอะพร้อมให้ความช่วยเหลือ รวดเร็วทันใจเป็นที่สุด



ห้องแสตนดาร์ดของเราคืนนี้ ซื้อในราคาสมาชิก rwgenting.com ราคาคืนละ 108 ริงกิต
ไม่รวมอาหารเช้า (ประมาณ 1080 บาทไทย) (ได้ตามที่รีเควสไว้ด้วยว่าขอชั้นสูงๆ และวิวภูเขา)
 ห้องพักเปลี่ยนไปจากเมื่อ 5 ปีที่แล้วพอสมควร ทีวีที่เคยเป็นแบบเก่าๆ และไม่มีโซฟา
ตอนนี้เปลี่ยนใหม่ไฉไลกว่าเดิม ด้วยทีวีติดผนังแบบ LCD มีโซฟาให้นั่งดื่มชา กาแฟ มีแก้วน้ำ
และเหยือกให้รองน้ำเอาไว้ดื่ม ซึ่งตู้กดน้ำจะอยู่ใกล้ๆลิฟ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ปลั๊กไฟได้ใจอีกแล้ว
เพราะปลั๊กไทยก็เสียบได้ (ไม่ต้องใช้ตัวแปลง) ปลั๊กมาเลก็เสียบดี แถมมีที่เสียบ USB ให้ด้วย
สำหรับใครที่เคยชินกับการชาร์จแบตเตอรี่กับโน๊ตบุ๊ค (คือลืมหัวอแดปเตอร์ไว้บ้านน่ะเอง) 
ที่นี่สามารถเสียบ usb เข้าไปแล้วชาร์จได้เลยที่สำคัญมีช่องเหลือเฟือ มีกี่เครื่องก็ชาร์จพร้อมๆกันได้

อย่างที่เห็นในรูปคือเสียบชาร์จไฟได้ปกติ ปลั๊กดิบๆ แบกกันมาจากเมืองไทยนี่แหล่ะ



เหยือกน้ำที่ใส่ได้ทั้งน้ำร้อน และ น้ำเย็น ซึ่งสะดวกสำหรับคนมีเด็กเล็กที่ต้องใช้น้ำต้มสุก
สำหรับน้ำที่ใช้ลวกขวดก็ใช้จากอ่างล้างหน้าได้เลยโดยหมุนไปฝั่งน้ำร้อนอย่างเดียว

ที่นี่แปลกอยู่อย่าง เค้าเอาอ่างล้างหน้าไว้หน้าห้องน้ำ ใครล้างหน้าแรงๆ มีเปียก



มีพัดลมหนึ่งตัว ซึ่งกลางคืนไม่ได้ใช้เลย เพราะอากาศหนาวมาก หน้าต่างก็ไม่ได้เปิด
เพราะลมหนาวด้านนอกกระหนึ่งช่องฟรีซตู้เย็น นอกจากตอนเช้าๆที่อยากสัมผัสบรรยากาศ
อันสดชื่น เพราะพอพระอาทิตย์ขึ้น บรรยากาศก็จะเริ่มอบอุ่นขึ้นมาบ้าง พอเปิดหน้าต่าง
รับบรรยากาศสดชื่นๆ ได้ดีทีเดียว



เห็นวิวแบบนี้แล้วไม่อยากกลับเมืองไทยเลย >_< อากาศดี๊ดี หนาวได้อารมณ์จริงๆ



มุมนี้ถ่ายจากด้านในออกไปด้านหน้าที่เป็นประตูห้องพัก ทีวีติดผนังอยู่ทางขวามือ

มื้อค่ำวันนี้จัดที่ hot pot ซึ่งไม่ได้คล้ายกับ Hot pot บ้านเราเลย ที่นี่มีหม้อต้มที่ดูเหมือนถ้วยน้ำจิ้ม
มากกว่าเพราะว่ามันเล็กได้อีก น้ำซุปซึ่งทางร้านจะถามว่า น้ำซุปไก่ธรรมดา หรือ ซุปต้มยำ 
(ซุปต้มยำรสชาดเหมือนแกงส้มมากกว่าต้มยำ) เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ปิดที่เวลา 23.00 น. พวกเราไป
ถึงตอน 22.00 น. แต่ของสดยังมีออกมาเติมเรื่อยๆอย่างเหลือเฟือ กุ้งสด ซีฟู๊ด หลากหลายประเภท
 สด อร่อยมาก (ของทุกอย่างฮาลาลไม่มีเนื้อหมู) ที่หมดอย่างเดียวคือข้าวผัด ซึ่งน่าแปลกใจเพราะ
มันเป็นตัวตัดกำลังอย่างดีเลย เหมือนเค้าอยากให้ลูกค้าทานเนื้อเยอะๆอ่ะ (ที่พูดนี่คือชอบนะ 55++)
ราคา 399 ต่อหัวเน็ตๆ ไม่บวกค่าอะไรอีกแล้ว และต้องจ่ายบิลค่าอาหารก่อนจะนั่งรับประทานด้วย
เด็กแขกไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น (ฟรีอีกแล้ว) ที่นี่มีน้ำบริการด้วย อย่างอื่นไม่ได้ชิมเลย 
ชิมแต่ชาจีนรสชาดดีทีเดียวไปทางค่อนข้างแก่ แก้เลี่ยนได้ดี มีน้ำผลไม้อย่างอื่นอีกสองสามชนิด 
ถ้าอยากดื่มน้ำอัดลม ก็มีเป็นแบบกระป๋องซึ่งต้องซื้อแยกต่างหากจากราคาบุฟเฟ่ต์
ใน ราคา 5 ริงกิต (แอบแพง)



ทานอาหารเสร็จก็ออกสำรวจ indoor thempark กันซึ่งส่วนใหญ่จะปิดหมดแล้วตั้งแต่เวลา 24.00 น.
 เหลืออยู่ไม่กี่อย่าง เช่น believe it or not และพวกร้านค้า แบรนด์เนมทั้งหลาย ถึงจะลด 70% ไป
แล้วก็ยังแพงอยู่ดี ร้านอาหาร(ยกเว้นพวกไอศครีมปิดเร็ว) จะเปิดกันถึงตีสอง และมี fastfood ที่เปิด
24 ชั่วโมงด้วย คึกคักทั้งคืนเลยทีเดียว



คืนนี้เด็กอิ่มแล้ว ก็ได้เวลานอนซะที  พรุ่งนี้จะลุย out door theme park กัน



สรุปแล้ว First world hotel ก็ยังคงทำให้ประทับใจเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา ถึงจะไม่ได้มาเยี่ยม
นานแล้ว หลายๆอย่างพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นมาก ห้องพักที่ดูดีขึ้น ทันสมัยขึ้น สะดวกสบาย สะอาด
เหมือนเดิม ระบบเช็คอิน ที่สะดวกและใช้เวลาไม่มาก เสียอย่างเดียว wifi ไม่ค่อยแรง 
ขนาดว่าใช้ซิม 3G แล้วสัญญาณก็ยังอ่อน (แต่ก็ยังใช้ได้ดีถ้าอยากได้สัญญาณเต็มๆต้องออกมายืน
หน้าห้องพัก สัญญาณเต็มเหยียดเลย) ถูกใจที่สุดคงเป็นวิวที่ request ไป ขอชั้นสูงๆ (เพราะอ่านเจอ
หลาย review แล้วว่าได้ห้องที่หน้าต่างชนกันกลัวมาก) คราวนี้ได้วิวภูเขา เพราะคราวก่อน ลองฝั่ง
themepark ไปแล้ว เช้าๆต้องตื่นเพราะเสียงกรี๊ดสนั่นดังมากจากที่สนาม รอบนี้หลับสบาย ตื่นสาย
เลย ชอบมันหวานเผาที่สุด กลับมาเมืองไทย ยังคิดถึงอยู่เลย 



Create Date : 14 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2556 2:57:13 น.
Counter : 7098 Pageviews.

3 comment
1  2  

nadiya
Location :
islamabad  Pakistan

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 48 คน [?]



Alisha Khan was born on January 23, 2010. My adorable princess. She inspired me to do things which I dreamed to do but never had any chances to do.

New Comments