ตลาด forex เป็นตลาด zero sum หมายความว่าเมื่อรวมผลลัพท์ของผู้ที่ได้กำไรและผู้ที่ขาดทุน ก็จะได้เป็น 0 หรือให้พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ เมื่อมีคนนึงได้ ย่อมมีอีกคนนึงเสีย และเมื่อเราเสียจะมีอีกคนนึงที่ยิ้มรับกำไรที่ได้จากเราไป
มาดู "ผู้เล่น" และบทบาทต่างๆดีกว่า 1. Market Maker ก็คือผู้จัดการตลาด เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำหรับ forex แล้ว ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น MM ก็น่าจะเป็น Big Bank ที่ควบคุมการไหลเข้าออกของเงินสกุลนั้นๆ อีกทั้งเป็นผู้ที่ตั้งอัตราและเปลี่ยน เพราะว่า MM นั้นสามารถมองเห็นปริมาณ Order ทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขาย ทำให้สามารถกำหนดราคาได้ เช่น เมื่อ MM เห็น order ฝั่งซื้อเป็นจำนวนมาก แต่มี order ฝั่งขายน้อย MM ก็จะขยับราคาขึ้นเพื่อยับยั้งผู้ซื้อรายใหม่ และจูงใจให้เกิดการขาย
แล้วทำไม mass ถึงเสียตลอด และทำไม sm ถึงได้เสมอ ต้องมาดูกระบวนการทำงานของ sm กัน
sm จะทำอยู่ 4 อย่าง 1. Accumulation 2. Markup 3. Distribution 4. Mark Down
Accumulation เมื่อ sm ดูราคาแล้วคิดว่าเหมาะสมที่จะเริ่มซื้อ (ตลาดมักเป็นขาลงอยู่) และคิดเปลี่ยนทิศทางของตลาด ในขณะนั้นมักจะมี supply เป็นจำนวนมาก และราคาถูก เพราะ mass เทขายออกมาเป็นจำนวนมาก และยังคิดจะขายอีก เหมือนกับเมื่อเราเห็นแท่งดำๆวิ่งลงยาวๆ เราจะอยู่ไม่สุข อยากเข้า อยากชอต ไม่อยากตกรถ ยิ่งเห็นมันทำท่าจะลงอีก ก็ทนไม่ไหว sm ก็ได้โอกาสซื้อ ล่อให้massจำนวนมากที่สุด เปิด short order ให้มากที่สุด จับคู่กับ long order ของ sm โดยจะแสดงให้เห็นในรูปของ sideway โดยหากดูที่ time frame ใหญ่ขึ้น อาจจะเห็นเป็น แท่งสั้นๆ หรือโดจิ ที่มี volume สูงมาก จากนั้นsm ก็ยกราคาขึ้นเล็กน้อยด้วยการ buy lot ใหญ่ๆ เพื่อ lock แมงเม่าผู้โชคร้าย กลุ่มนี้เอาไว้ โดยใช้จิตวิทยาว่า ไม่มีใครอยากปิด position ตอนมันแดงๆ ขาดทุนหรอก แล้วก็ทำการกวาด supply ที่เหลือในตลาดให้หมด ใน forex supply ก็คือ short order นั่นแหละ เมื่อตลาดเห็นความผิดปกติ เช่น เห็นเป็นโดจิขายาว (เนื่องจาก sm ดึงราคาขึ้นเพื่อ lock) ที่ time frame ใหญ่ ก็ไม่มีใครคิดจะเปิด short อีก พูดง่ายๆ supply หมดตลาดแล้ว
บ้านเราบางช่วงที่มะนาวขาดตลาด ราคามันขึ้นไปได้อย่างน่าตกใจ ตลาด forex ก็เช่นกัน ยิ่งเป็นตลาดที่ demand/supply เกิดจากความรู้สึก ไม่ได้เกิดจากสินค้าจริงยิ่งหมดง่าย นี่คือเป้าหมายของการ Accumulation ก่อนปล่อยราคาขึ้น sm มักมี trick เด็ดอีกอันนึง คือเปิด short order ใหญ่ทีเดียว เพื่อให้ราคาวิ่งลง จนดูเหมือนว่ามันจะ break out ลงข้างล่าง เพื่อล่อลวงแมงเม่าให้เข้ามาเปิด short ให้มากที่สุด แล้ว sm ก็ buy สวน ให้ราคากลับมาในอยู่ใน zone เดิม lock แมงเม่าผู้น่าสงสารไว้ หลังจากนั้น ไม่ว่าใครก็น่าจะมองออกแล้วว่าราคามันไม่ลงไปแล้ว ก็จะเกิด demand ขึ้นในใจของ mass ในขณะที่ไม่มี supply ในตลาด คงไม่ต้องบอกว่าเหตุการณ์ต่อไปเกิดอะไรขึ้น
MarkUp ถึงตอนนี้ sm นั่งเฉยๆ ดูราคาวิ่งขึ้น เมื่อราคาวิ่งขึ้นไประดับหนึ่ง ก็จะมี mass บางส่วน ปล่อยของทำกำไร ทำให้ราคาตกกลับมา แต่sm จะต้องรักษาเทรนด์เอาไว้เพื่อให้ราคาวิ่งขึ้นต่อจนถึงจุดที่น่าพอใจ แต่ต้องการใช้เงินน้อยที่สุดเค้าจึงทำเพียงแค่หยุดราคาที่ตกเอาใว้ โดยจุดที่เค้ายอมให้มันลงต่ำสุด จนต้องเข้าแทรกคือจุดบนสุดของ accumulation zone แต่หลายครั้งที่ sm ไม่ต้องแทรกแซงใดๆ mass เป็นผู้ดันราคากันขึ้นไปเองด้วยtrend lineบ้าง ด้วยfiboบ้าง ทำให้ sm ได้กำไรแบบเนื้อๆ แค่นั่งดูเฉยๆ
Distribution เมื่อราคาถึงจุดที่น่าพอใจแล้ว sm ก็จะทำการหลอกล่อให้ mass เชื่อว่าราคามันจะวิ่งขึ้นต่อ เช่นการทำ new high ราคาวิ่งทะลุเส้นแนวต้าน เพื่อให้ mass เชื่อว่าราคาจะขึ้น แล้วเปิด long order โดยจับคู่กับการขายของsm (ปิด long position) ถ้าราคาวิ่งลงมา sm ก็จะดันราคากลับไปใหม่อีก ทำให้เราเห็น pattern จำพวก double top, tripple top, head and shoulder จนเมื่อใกล้หมดก็ปล่อยของทีเดียวหมด ฟาดกำไรจนอิ่ม supply ล้นตลาด ในขณะที่ราคายังสูงอยู่ คงไม่ต้องบอกว่าราคาจะวิ่งลงเร็วขนาดไหน เมื่อมีการขาย (ปิด long position) lot ใหญ่ และยิ่งวิ่งลงเร็วขึ้นเมื่อ mass เกิด panic
MarkDown เมื่อราคาวิ่งลงมาถึงจุดที่ sm มั่นใจว่าจะปั่น demand ได้อีกครั้งก็จะทำการ mark ช่วงราคาที่จะเริ่มทำ accumulation อีกครั้ง
แล้ว mass ล่ะ mass สามารถเป็นผู้ผลักดันให้เกิดเทรนด์ได้หรือไม่ คำตอบคือได้ นั่นคือช่วงข่าวแรงๆ แต่หากมองในมุมของ sm แล้ว ถ้าข่าววิ่งทิศเดียวกับ sm sm ก็ยิ่งได้กำไร ถ้าวิ่งทิศตรงข้าม จะกลายเป็นการเปิดโอกาสให้ sm สามารถเปิด order เพื่อจับคู่กับ mass ทีเดียวเป็นจำนวนมากๆ ได้ โดยที่ mass ไม่รู้ตัวเลย
จากกระบวนการทั้งหมดจะพบว่า เมื่อใดก็ตามที่เราขายจับคู่กับ sm ซื้อ หรือเราซื้อจับคู่กับ sm ขาย เราจะมีโอกาสขาดทุนสูงเสมอ เมื่อใดก็ตามที่เรา buy ที่ราคานี้ ก็คือกำลังมีอีกคนที่ขายให้เราที่ราคานี้ และเมื่อใดก็ตามที่เราขายที่ราคานี้ ก็คือกำลังมีอีกคนที่ซื้อของเราไปที่ราคานี้ ตามระบบการจับคู่ ก่อนเปิด order ให้หยุดนิดนึง แล้วดูว่าใครกันที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเรา
Buyer/Seller อีกฝั่งหนึ่งที่คุณลืมนึกถึง
หมายเหตุ - sm ไม่ได้จะสำเร็จทุกครั้งหรอก แต่เมื่อเค้าเสียเค้าก็เสียให้ในกลุ่ม sm กันเองนั่นแหละ แล้วแต่ว่าจังหวะนั้นใครใหญ่กว่า
1 VI สายเจ้าของกิจการ กลุ่มนี้เรียกได้ว่าเป็นนักลงทุนแนว VI สายหลัก ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการมีอิสรภาพทางเวลามากกว่าอิสรภาพทางการเงิน หลักการที่ใช้จึงเป็นการค้นหากิจการที่ดี มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน มีผู้บริหารที่วางใจได้ ซื้อที่ราคาเหมาะสมหรือถ้าซื้อได้ในราคามี MOS ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี และถือตราบที่ยังเป็นธุรกิจที่ดี มีความได้เปรียบในการแข่งขัน และผู้บริหารวางใจได้ จะเห็นว่า MOS สำหรับ VI สายนี้คืออัตตราวัดความคุ้มค่านั่นเอง
2 VI สายนักสำรวจกิจการ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มนักลงทุนแนว VI อีกสายที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการมีอิสรภาพทางการเงินมากที่สุดเพราะมักจะทำกำไรได้ก้อนโต หลักการที่ใช้จึงเป็นการค้นหากิจการที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสูง วิเคราะห์หาตัวเร่ง หาความเสี่ยง หาkeyที่มีผลกระทบต่อการเติบโตหรือถดถอย แล้วเข้าซื้อตั้งแต่ยังไม่ค่อยมีคนสนใจ ในราคาที่ยังถูกมากเมื่อเทียบกับอนาคตหลังจากเติบโตแล้ว และจะขายเมื่อการเติบโตลดลง ราคาเต็มมูลค่า หรือพบกิจการอื่นที่มีแนวโน้มเติบโตมากกว่า หรือเมื่อตัวเร่งหรือ Key ที่คาดว่าจะเห็นไม่เกิดขึ้นจริงซึ่งอาจจะขาดทุนบ้าง จะเห็นว่า MOS สำหรับ VI สายนี้ก็คือ upside นั่นเองยิ่งซื้อถูกยิ่งมี upside มาก
3 VI สายเหาฉลาม( CI ) กลุ่มนี้จริงๆไม่จัดว่าเป็นนักลงทุนแนว VI สักเท่าไหร่แต่อาศัยว่าซื้อหุ้น VI เหมือนกัน ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการมีกำไรจากหุ้นแต่ไม่ต้องการออกแรงมากนัก ขอแค่ได้กำไรบ้าง ขาดทุนน้อยๆ รวมๆแล้วได้มากกว่าเสียก็พอ หลักการที่ใช้จึงเป็นการค้นหาเซียนที่จะเกาะไปด้วยและจะต้องตามจนครบกระบวนการ ตั้งแต่ซื้อยันขาย ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งมักจะตามแค่ตอนซื้อแต่ตอนขายดันไม่รู้ว่าเซียนขาย เลยมักจะขาดทุนแล้วมาโวยวายเซียนบ่อยๆ วิธีแก้มีสองทางคือหลังจากตามแล้วต้องเรียนรู้วิธีคิดของเซียน แล้วพัฒนาตัวเองขึ้นไปเป็นนักลงทุนแบบ 1 หรือ 2 ให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นคนที่สนิทสนมกับเซียนจะได้รับอานิสงค์ครบทั้งตอนซื้อตอนขาย จะเห็นว่า MOS สำหรับกลุ่มนี้คือความสนิทสนมแนบแน่นกับเซียนยิ่งสนิทมากยิ่ง MOS เยอะ
4 VI สายตัวแทบขาด กลุ่มนี้คือกลุ่มคนที่หลอกตัวเองว่าเป็น VI ทั้งๆที่ไม่เคยใช้หลักการ VI เลย แต่เวลาคุยกับใครก็มักจะบอกว่าตัวเองเป็น VI หรือเป็นนักลงทุน จะโกรธมากถ้าใครมาบอกว่า "ที่เอ็งทำมันเป็นการเกร็งกำไร" หลักการที่ใช้จะเป็นการหาข่าวแล้วซื้อขายตามข่าวบทวิเคราะห์ข่าวลือเป็นหลัก และมักจะขาดทุนมากกว่ากำไร มีสโลแกนคือ "ซื้อเมื่ออ่อนตัว ขายเมื่ออ่อนใจ" จริงๆคนกลุ่มนี้ไม่ได้ผิดอะไรเพราะเป็นคนที่คอยทำให้ตลาดหุ้นมีสีสัน และเป้าหมายลึกๆในการลงทุนของคนกลุ่มนี้ไม่ใช่เงิน เวลา หรือเป็นเจ้าของกิจการ ที่เค้าต้องการคือความภูมิใจในตนเอง ดังนั้นใครเจอคนกลุ่มนี้ได้กำไรให้แสดงความชื่นชมเยอะๆ แต่เวลาเขาขาดทุนอยู่เฉยๆไว้ แล้วจะดีเอง......