Group Blog
 
All Blogs
 

วันสุดท้ายที่หนองคาย

ใครที่เปิดมาหน้านี้ ให้กลับไปอ่านของวันที่ 21-22 มกราคมก่อนนะคะ ข้างล่างเลยค่ะ







23 มกราคม 2548

ตามโปรแกรมทัวร์(ที่เราคิดเองเนี่ย) เราจะรับประทานอาหารเช้าเป็นไข่กระทะ ต่อด้วยเดินตลาดท่าเสด็จ รับประทานอาหารกลางวันที่แดงแหนมเนืองค่ะ แล้วไปนมัสการหลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย







" อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ หลวงพ่อพระใส สะพานไทย - ลาว " คือคำขวัญประจำจังหวัดหนองคาย


เนื่องจากวันนี้ตื่นผิดเวลาไปหน่อย โปรแกรมเลยคลาดเคลื่อนเล็กน้อย กว่าจะออกจากโรงแรมก็ประมาณ 10 โมงกว่าๆแล้ว ตอนแรกกะว่าจะไปรับประทานอาหารเช้าเป็น"ไข่กระทะ"ที่ร้าน"ทานตะวัน" ซึ่งเป้แนะนำมาค่ะ แต่เมื่อไปถึงแล้ว ปรากฎว่าร้านปิดค่ะ อดกินเลย ไม่เป็นไร ไปร้านอื่นก็ได้ค่ะ ชื่อร้าน"ดาริกา" อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล


"ไข่กระทะ" อาหารเช้าจานเด่นในแถบอีสาน เป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากเวียดนาม ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสค่ะ วิธีทำ ดูในนี้เลยค่ะ //www.malila.com/onedish60.html มาดูหน้าตากันก่อน



ขนมปังฝรั่งเศสยัดไส้กุนเชียง + หมูยอ 



  หน้าตาไข่กระทะ


สำหรับรสชาติ ก็ใช้ได้เลยทีเดียวค่ะ อร่อยดี นอกจากนี้อย่างอื่นที่กินก็ยังมี สตูว์ไก่ ขนมจีบ ฯลฯ เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ทานที่ร้านทานตะวัน เพราะเพิ่งเปิดเจอจากเวบไซต์ว่าเป็นร้านที่ดังมากๆ ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าไปกินใหม่ก็ได้ค่ะ







หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารเช้า(ตอนเกือบๆเที่ยงแล้ว) ก็เข้าสู่โปรแกรมต่อไป คือ เดินตลาด"ท่าเสด็จ" ค่ะ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนริมโขงกลางเมืองหนองคาย สามารถจอดรถได้ใน"วัดศรีษะเกศ"ซึ่งอยู่ใกล้ๆค่ะ (แปลกใจเหมือนกันมั้ยคะ ทำไมวัดศรีษะเกศ ถึงมาอยู่ที่หนองคายล่ะ ไม่อยู่ที่ศรีษะเกศ??) มาดูประวัติของท่าเสด็จก่อนดีกว่า


"ท่าเสด็จ"  ท่าเทียบเรือและด่านพรมแดน(เก่า)ของจังหวัดหนองคายค่ะ ซึ่งปัจจุบันนี้ย้ายออกไปทำการที่ "ด่านสะพานมิตรภาพ" แล้ว ชื่อท่าเสด็จนั้นได้มาจากในวันเปิดใช้ท่าเรือ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน" พร้อมด้วย "สมเด็จพระบรมราชินีนารถ" ได้พระราชดำเนินเสด็จมาเปิดด่านแห่งนี้ด้วยพระองค์เอง


ในปัจจุบันการเดินทางข้ามไปยังฝั่งประเทศลาว โดยการใช้เรือเป็นพาหนะอนุญาตให้เฉพาะกับพ่อค้าแม่ค้าท้องถิ่นเท่านั้น ส่วนนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางข้ามพรมแดนต้องใช้บริการรถเมล์และรถตู้ข้ามที่ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเท่านั้นค่ะ

จากการที่ท่าเสด็จต้องลดระดับความสำคัญลงมาเป็นเพียงด่านท้องถิ่นนั้น ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของที่นี่ต้องลดน้อยถอยลงประการใด อันที่จริงน่าจะเป็นการดีเสียอีกเพราะจะเป็นการลดความคับคั่งของการใช้งานของด่านนี้ อีกทั้งถนนหนทางที่ค่อนข้างแคบ ไม่สะดวกในการให้การบริการแก่นักท่องเที่ยวคราวละมากๆก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทางการมองเห็นถึงปัญหา


ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวหรือผู้มาเยือนจังหวัดนี้ยังนิยมมาเยือนท่าเสด็จอยู่ก็คือ "ตลาดสินค้าข้ามแดน" เรียกให้โก้หรูอย่างนั้นแหละครับ ความจริงมันก็คือตลาดสินค้าหนีภาษีนั่นเองค่ะ เป็นสินค้าที่นำเข้ามาจาก "จีนแดง" และ "เวียดนาม" เสียเป็นส่วนมาก จำพวกเครื่องกระเบื้องหรือเซรามิค เครื่องใช้ไฟฟ้า ผ้าไหมผ้าฝ้ายเป็นต้น ราคาก็สมกับฝีมือละมั้งคะ และสินค้าจำพวกอาหารแห้ง อาหารกึ่งแปรรูปและของป่าจากฝั่งนู้นก็พอมีให้เห็นอยู่ประปราย บ้างก็เป็นสินค้าผ่านแดนที่มาจากประเทศมาเลย์เซีย สิงค์โปร์ จำพวกขนมขบเคี้ยว ขนมปังเป็นต้น ซึ่งสำหรับดิชั้น ได้พวกผลไม้อบแห้ง หมูยอค่ะ
          
ที่ท่าเสด็จแห่งนี้จะมีอีกอย่างที่คนทั่วไปค่อนข้างจะรู้จักดีเป็นพิเศษ เป็น"ร้านอาหารเวียดนาม"ค่ะ ที่ขึ้นชื่อติดอันดับใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องแวะทาน "แหนมเนือง" ร้านอาหารแดงแหนมเนืองแห่งท่าเสด็จค่ะ เป็นหมูย่าง รับประทานกับเครื่องแนมต่างๆและผักสด ราดด้วยน้ำจิ้มสูตรเฉพาะตัว ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าต่อไปค่ะ




จุดชมวิวที่ท่าเสด็จ มองเห็นฝั่งลาวค่ะ
จะเห็นว่าฝั่งไทยจะเป็นช่วงเว้าเข้า ส่วนฝั่งลาวจะเป็นสันดอนงอกขึ้นมา








ก่อนที่จะเข้าสู่โปรแกรมต่อไป เนื่องจากเรากินข้าวเช้ากันจนอิ่มแปร้ อาหารยังไม่ย่อยพอที่จะกินแหนมเนืองได้ จึงไปซื้อของเข้าบ้านฆ่าเวลาที่ห้าง " Lotus บิ๊กเจียง" ซึ่งถือเป็นห้างใหญ่ที่สุดในหนองคายเลยมั้ง


จากนั้น เราก็มุ่งหน้าไปนมัสการ"หลวงพ่อพระใส" ที่"วัดโพธิ์ชัย"ค่ะ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ชาวเมืองหนองคายนับถือมาก


"หลวงพ่อพระใส" เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก มีพระรูปลักษณะงดงามมาก ขนาดหน้าตักกว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว ส่วนสูงจากองค์พระเบื้องล่างถึงยอดพระเกศ 4 คืบ 1 นิ้ว ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย ซึ่งเป็นพระอารามหลวง ตั้งอยู่ที่ถนนโพธิ์ชัย ในเขตเทศบาลเมือง มีประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติไทยหลายตอน


เสด็จในกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ในหนังสือประวัติพระพุทธรูปสำคัญซึ่งพิมพ์แจกในงานทอดกฐินพระราชทาน พ.ศ. 2468 ว่า หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปหล่อในประเทศล้านช้าง และตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่า พระธิดา 3 องค์ แห่งกษัตริย์ล้านช้างเป็นผู้สร้าง บางท่านก็ว่าเป็นพระราชธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช ได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ และขนานนามพระพุทธรูปตามนามของตนเองไว้ด้วยว่า พระเสริมประจำพี่ใหญ่ พระสุกประจำคนกลาง พระใสประจำน้องสุดท้อง มีขนาดลดหลั่นกันตามลำดับ


พ.ศ. 2321 พระเจ้าธรรมเทววงศ์ได้อัญเชิญไปไว้ ณ เวียงจันทน์ และในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้อัญเชิญมาฝั่งไทย แต่เกิดพายุ พระสุกจมน้ำอยู่ที่ปากงึม (ณ ตรงเวินพระสุก) ส่วนพระเสริมและพระใส ประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ชัยและวัดหอก่อง


ต่อมาในรัชกาลที่ 4 ได้อัญเชิญพระเสริมลงมาประดิษฐานที่กรุงเทพฯ ที่วัดปทุมวนารามค่ะ ส่วนพระใสประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ทุกปีในวันเพ็ญกลางเดือน 7 ชาวเมืองหนองคายจะมีงานประเพณีบุญบั้งไฟบูชาพระใสที่วัดโพธิ์ชัยเป็นประจำ



ภายในอุโบสถ  




                                                               ภายนอกค่ะ


ซึ่งวันนี้รู้สึกดีมากๆที่ได้มาไหว้พระ ทำบุญค่ะ โดยเฉพาะโอ๊ต ซึ่งไม่ค่อยได้มีโอกาสทำบุญเท่าไหร่ และช่วงนี้ก็ยังมีมารผจญอยู่บ่อยๆอีก ได้เสี่ยงเซียมซีด้วยล่ะ อืมม...ก็ดีนะ เก็บไว้ดีกว่า


ภายในอุโบสถ มีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังเต็มไปหมด ซึ่งเป็นเรื่องราวของตำนานที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นล่ะค่ะ สวยงามมาก เสียดายที่ไม่ได้รับสายสิญจน์ผูกข้อมือ


ขอบคุณ //www.geocities.com/nk_tour2000/nongkhai/interest1.html มากค่ะ ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลให้ดิชั้นดูดมาเขียนไดอารี่







อิ่มบุญแล้วก็ถึงเวลาให้ท้องอิ่มบ้าง ได้เวลาของ"แดงแหนมเนือง"ซะที (ความจริงมาเที่ยว 3 วัน รอโปรแกรมนี้อย่างเดียวเลย) เมืองหนองคายนี่ ถ้าจะเรียกว่าเมืองแดงแหนมเนืองก็คงเรียกได้ละมั้งคะ เพราะ ทั้งเมืองมีแต่ป้ายชี้ทางไปร้านแดงแหนมเนือง ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงไหน หรือจะขับเลยมาแล้วก็ตาม ยังไงคุณก็จะไปร้านแดงแหนมเนืองได้ถูกต้องอย่างแน่นอน มีแผนที่ติดผนังตึกด้วยนะ เหมือนกับว่า ถ้ามาหนองคายแล้วไม่ได้กินแดงแหนมเนืองเนี่ย เหมือนยังมาไม่ถึงหนองคายอ่ะค่ะ


"แดงแหนมเนือง" เค้าการันตีเลย ว่าเป็นต้นตำรับอาหารเวียดนามแห่งแรกในประเทศไทย จากเดิมที่มี 2 ห้องแถว ปัจจุบันมี 5 ห้องแถว บวกกับฝั่งตรงข้ามที่ติดแอร์อีก คนเยอะมั่กมาก โอ๊ตเคยมากิน 2 ครั้ง บอกว่าเจอรัฐมนตรีทั้ง 2 ครั้ง วันนี้มากินก็เจอผู้ว่าฯอีกค่ะ เราสั่งชุดใหญ่มากิน โอววว...แซ่บหลาย รู้สึกอิชั้นจะกินเยอะกว่าเพื่อน เพราะกินแต่หมูกับกระเทียมและพริก ไม่ใส่ผักอ่ะค่ะ คนอื่นเค้าอิ่มผักกันหมด (คุ้มค่ะคุ้ม มาม๊าห้ามด่านะ) หมูยอก็อร่อยนะคะ ก็เลยซื้อแหนมเนืองชุดใหญ่มาฝากปาป๊ามาม๊าด้วยค่ะ รออีก 2 อาทิตย์จะเอากลับไปให้กินนะจ๊ะ ดูโลโก้ไปพลางๆก่อน



อันที่จริง ที่อุดร ก็มีร้านแหนมเนืองอร่อยอีกเจ้าค่ะ ชื่อ วีที เคยกินแล้วเหมือนกัน จำได้ว่าก็อร่อยนะ แต่กินนานแล้วค่ะ ยังไงถ้าไปอุดร ก็อย่าลืมกิน"แหนมเนืองวีที" ละกันค่ะ (ไม่รู้เจ้าของคือใคร วิทวัส สุนทรวิเนตร์รึป่าว)







กินเสร็จก็เดินทางกลับค่ะ ออกประมาณบ่าย 2 ครึ่ง แวะส่งต้นกะพรที่อุดรฯก่อน จากนั้นก็เดินทางต่อค่ะ ถึงขอนแก่นประมาณ 4 โมงครึ่ง เวลายังเหลืออีกมาก เลยแวะดูหนังซักเรื่องค่ะ (เนื่องจากดิชั้นหลังเขามาก เรื่องที่ดูล่าสุดในโรงหนังคือ The Shutter) ดูจากเวลาบวกกับความอยากแล้ว และยังมี soundtrack ด้วย เลยดู "Bridget Jones's diary 2 : The Edge of Reason" คนที่เคยดูมาบอกว่าภาคแรกสนุกกว่า สำหรับเราซึ่งเคยอ่านนิยายมาแล้ว เล่ม 2 จะเน่าๆกว่าเล่มแรกนะ แต่ในหนังทำสนุกกว่านิยายมาก สรุปคือ ชอบค่ะ ทั้งขำ ทั้งซึ้ง ออกมายังคิดว่าตัวเอง เป็น Bridget Jones อยู่เลย ประทับใจผู้ชายดีๆอย่าง Mark Darcy มากค่ะ เมื่อไหร่โอ๊ตจะเป็นได้อย่างงี้บ้างน้า.........








จบสิ้นการเดินทางค่ะ วันต่อๆไป ไดอารี่จะกลับสู่ภาคปกติค่ะ ไม่โหด ยาวเหยียด อย่างงี้แล้วค่ะ ขอบคุณค่ะที่อ่านจนจบนะคะ




 

Create Date : 26 มกราคม 2548    
Last Update : 27 มกราคม 2548 1:07:33 น.
Counter : 820 Pageviews.  

คืนแรกที่อุดรธานี

หยุดพักผ่อนไปเที่ยว 3 วันค่ะ ตั้งแต่วันที่ 21-23 มกราคม 2548 ค่ะ

21 มกราคม 2548

Trip นี้ คือคืนแรกจะค้างที่จังหวัดอุดรธานีก่อน เที่ยว 1 วัน จากนั้นวันรุ่งขึ้นจึงเดินทางไปที่หนองคาย ข้ามชายแดนไปเวียงจันทน์ ค้างคืนที่ 2 ที่หนองคายค่ะ แล้วก็กลับอ.เกษตรสมบูรณ์วันอาทิตย์







วันนี้ออกเดินทางบ่าย 2 โมง ไม่รู้โอ๊ตขับอีท่าไหน ตื่นมาอีกที 4 โมงเย็นแล้ว!!! ถึงอุดรพอดีเลย ขับเร็วจัง คือเราไม่เคยไปอุดรมาก่อนอ่ะนะคะ ไม่เคยคิดว่าจ.อุดรธานีจะเจริญขนาดนี้ ดูจากอะไร? ก็ที่นี่มีห้างโรบินสัน, มีโรงหนัง Major ด้วยล่ะ, Fast food มีทุกอย่าง ที่สำคัญคือ มี Sizzler ด้วยอ่า...อยากกินจัง แต่ไม่ได้ค่ะ มาถึงนี่แล้ว จะมามัวกินของดาดๆแบบนี้ได้งาย เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงที่


ก่อนอื่นก็เช็คอินที่โรงแรมค่ะ เพื่อนที่อยู่ที่นี่ (ชื่อ"เอ" ค่ะ ซึ่งเดี๋ยวก็จะเจอกันเย็นนี้) แนะนำโรงแรมเจริญศรี แกรนด์ ซึ่งถือว่าเป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งที่อุดรเลย (น่าจะ 5 ดาวนะ) ห้องพักโอเคเลยค่ะ ชอบมากๆ การเป็นข้าราชการมันดีอย่างนี้นี่เอง มีส่วนลดค่ะ คือห้องละ 1400 บาท ลดเหลือ 900 บาท/คืน



ห้องพักค่ะ


นั่งพักล้างหน้าล้างตากันเสร็จ ก็ไปขับรถชมเมืองอุดรค่ะ ซึ่งถือว่าเป็นเมืองใหญ่เมืองนึงเลย มีห้างสรรพสินค้าในเมือง ชื่อห้างอุดรเจริญศรี ซึ่งห้างนี้ล่ะค่ะที่มีโรบินสัน และ Major cineplex อยู่ข้างใน ห้างนี้อยู่ติดโรงแรมที่พักเลย(จะเห็นว่าชื่อเดียวกัน) มีคลินิคแพทย์หลายแห่ง (ซึ่งอันนี้ถือว่าธรรมดาในเมืองใหญ่ค่ะ) แต่ที่ไม่ธรรมดาคือ จังหวัดนี้มีคลินิคหมอฟันเยอะมากกกกกกกกก มีตั้งแต่แบบธรรมดาจนถึงหรูหรา มีอยู่แยกนึง มีห้องแถว 6 ห้อง เป็นคลินิคหมอฟัน 5 ห้อง และร้านขายยาอยู่ริมสุด คือถ้ากูปวดฟันเนี่ย เลือกไม่ถูกเลยว่าจะเข้าร้านไหนดี 


พูดถึงชื่อเจริญศรี ไม่ได้มีแต่โรงแรมกับห้างนะคะ เป็นทั้งเจ้าของศูนย์บริการ Mazda, Volvo อีกอันนึงถ้าจำไม่ผิดอาจจะเป็น Nissan ค่ะ สรุปคือ เมืองนี้ทั้งเมืองมีแต่เจริญศรีเต็มไปหมด ซึ่งตอนหลังได้ทราบจากเพื่อนว่า เจริญศรี เป็นชื่อของเศรษฐีในอุดรเนี่ยล่ะ ชื่อเจริญ+ศรี ตอนนี้ลูกชายก็เป็นนายกเทศมนตรีอีกด้วย


พอได้เวลาประมาณ 1 ทุ่ม ก็มาเจอเพื่อนที่นัดไว้ (ก็คือ"เอ"เนี่ยล่ะค่ะ) เอเป็นคนอุดรอยู่แล้ว พอเรียนจบหมอ ก็กลับมาเป็นหมอที่บ้านตัวเอง ตอนนี้ก็กำลังใช้ทุนอยู่ที่ต่างอำเภอเหมือนกัน(แต่บ้านอยู่อำเภอเมือง) (เป็นหมอก็ดีอย่างงี้นี่เอง มีเพื่อนทั่วไทยค่ะ) นั่งคุยสารทุกข์สุกดิบพักนึงที่ Lobby พอสมาชิกทัวร์อีกคนนึงมา(คือ"ต้น")ก็ไปกินข้าวเย็นกัน


ร้านที่เอพาไปกินชื่อ"ระเบียงพัชนี" เป็นร้านติดริมแม่น้ำ ซึ่งถ้าหากมาเองคงหาไม่เจอแน่นอน เพราะซอกซอนมาก ไปถึง คนกินเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกค่ะ โต๊ะแน่นมาก ว่าจะถ่ายรูปอาหารมาให้ดูด้วย แต่ลืม ราคาไม่แพงมากค่ะ บรรยากาศดีทีเดียว เสียดายที่คนแน่นไปหน่อย



จากนั้น ก็ตะลุยราตรีต่อ ตระเวนดูหลายแห่งมาก สุดท้ายไปจบที่ Mambo อยู่ในโรงแรมนภาลัยค่ะ เปิดเพลงธรรมดาๆอ่ะค่ะ มีแต่เทคโน เปิดฮิพฮอพน้อยมากๆ เลยไม่ค่อยได้ออกลีลาเท่าที่ควร แถมมีคอนเสิร์ตบนเวทีคั่นซะยาวเชียว อิชั้นก็นั่งหลับแล้วหลับอีก (เดินทางเหนื่อยด้วยล่ะ) ภาวนาให้มันปิดตี 1 แต่ดันปิดตี 2 อีกแน่ะ เฮ้อ


พอกลับถึงโรงแรม คนอื่นบอกว่าเดี๋ยวจะไปหาก๋วยเตี๋ยวกินหน่อย แต่ดิชั้นขอบายค่ะ ขืนอยู่ต่อ พรุ่งนี้ดิชั้นคงเป็นศพแน่(แต่พวกมันก็เดินทางไปด้วยกันนี่หว่า เอาเหอะ ไม่เจียมสังขารก็ช่างมัน) ซึ่งปรากฎว่าไม่ได้ไปแค่กินก๋วยเตี๋ยวค่ะ แต่ไปต่อไอ้ผับที่มันเปิดถึงเช้าอ่ะ ซึ่งเดี๋ยวพรุ่งนี้ชั้นจะคอยดูน้ำหน้าว่าจะไหวมั้ย


ต่อวันที่ 2 พรุ่งนี้นะคะ




 

Create Date : 25 มกราคม 2548    
Last Update : 1 พฤษภาคม 2552 20:48:53 น.
Counter : 468 Pageviews.  

Adventure in Laos !!!

ใครที่เพิ่งมาอ่านหน้านี้ ให้กลับไปดูของวันที่ 21 มกราคมก่อนนะคะ ข้างล่างเลยค่ะ







22 มกราคม 2548

วันที่ 2 ของการเดินทาง อิชั้นตื่นขึ้นมาก่อนเพื่อน คนอื่นหลับเป็นตาย ไม่ยอมตื่น ต้องปลุกทีละคน โอ๊ตตื่นตามมาทีหลัง ก็เลยชวนกันไปกินอาหารเช้าของโรงแรมระหว่างรอต้นกะพร(แฟนต้น)ตื่น อย่าสงสัยว่า แฟนมันมาจากไหน เพิ่งมาถึงเมื่อคืนค่ะ สรุปคือตอนนี้สมาชิกทัวร์ครบแล้ว(4 คน)


ออกเดินทางจากจ.อุดรธานีประมาณ 10 โมงครึ่งเกือบ 11 โมงค่ะ แวะซื้อลิโพกินก่อน ไม่งั้นขับรถไม่ไหวแน่ (โอ๊ตขับอ่ะนะ) ระหว่างนี้ก็โทรติดต่อ"คุณประธาน สภา" สภาอะไรเหรอ ชื่อนี้จริงๆอ่ะค่ะ ชื่อว่า"ประธาน" นามสกุล"สภา" เอาเป็นว่า เค้าจะชื่ออะไรก็ช่าง แต่เค้าเป็นคนที่คุณพ่อโอ๊ต สั่งลูกน้องผ่านลงมาอีกทีนึง ว่าให้ช่วยดูแลพวกเราให้ไปถึงฝั่งลาวโดยสะดวกด้วย


ถึงจ.หนองคาย ก็ไปเจอคุณประธานสภาที่จุดให้ทำบัตรผ่านแดนค่ะ ใช้เวลาไม่นานมากนัก เพราะเตรียมเอกสารกันมาแล้ว จากนั้นคือ แทนที่คุณประธานสภาจะไปส่งตามที่ว่าไว้ตอนแรก ก็ใช้วิธีบอกทางเอาอ่ะ ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะมีปัญหาอะไรหรอก จนกระทั่ง...เดี๋ยวค่อยเล่าต่อละกัน



ที่เห็นไกลๆ คือ"สะพานมิตรภาพไทย-ลาว"ค่ะ ถ่ายจากฝั่งไทย


ตามที่บอกมา คือไปถึงต้องฝากรถไว้ก่อนค่ะ เพราะเค้าไม่ให้เอารถข้ามชายแดนไป ทีนี้จะให้ฝากตรงไหนล่ะเนี่ย งมหาอยู่ตั้งนาน จากนั้นจะต้องซื้อตั๋วรถโดยสารเพื่อที่จะพาข้ามไปฝั่งลาวค่ะ คนละ 10 บาท ไปถึงตม.ของไทยก่อน ก็ต้องลงรถ เอาบัตรผ่านแดนที่เพิ่งทำเมื่อกี้ไปประทับตรา ซึ่งขั้นตอนนี้มีปัญหาตรงที่พรใช้ passport ต้องกรอกเอกสารเพิ่มจากนั้นก็ขึ้นรถอีกรอบนึง ข้าม"สะพานมิตรภาพไทย-ลาว"ไป เมื่อไปถึงตม.ลาว ลงจากรถ ผ่านด่านตามปกตินั่นแหละ เสียค่าผ่านด่าน ถ้าใช้บัตรผ่านแดน 60 บาท/คนค่ะ ถ้าใช้ passport ก็คนละ 20 บาท



ถ่ายบนรถโดยสารค่ะ ขณะอยู่บนสะพาน กำลังจะข้ามแม่น้ำโขง


ในที่สุดก็ถึงลาวซะที ทีนี้จะเที่ยวได้ยังไง ที่นี่มีรถเช่าพร้อมคนขับแถมค่ะ คนขับเป็นไกด์ด้วยในตัวเลย มีให้เลือกตั้งแต่ รถ 3 ล้อ, รถ Taxi, แล้วก็รถตู้ เราเลือกรถ Taxi ค่ะ เที่ยวละ 500 บาท รวมค่าน้ำมันแล้ว คนขับชื่อลุง"บุญอุ้ม" ค่ะ พูดไทยได้ แกเล่าว่า เคยเป็นนักบินกองทัพอากาศของลาว ยศพันโท ค่ะ แต่ทำไปแล้วไม่ค่อยเจริญก้าวหน้า เลยออกมาเป็น Driver ดีกว่า (ซึ่งดิชั้นคิดว่าคงจะรายได้ดีเลยทีเดียวล่ะค่ะ)



นี่คือยานพาหนะของเรา ที่จะพาเราเที่ยวไปในวันนี้


คนลาวส่วนใหญ่พูดไทยได้ค่ะ บางคำเหมือนภาษาอีสานบ้านเฮาเลย ก็เลยสบายไป ตัวอักษรก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่ ถ้าสังเกตดีๆจะพออ่านออกค่ะ ส่วนใหญ่ก็พูดคล้ายๆคำไทย แต่มีอยู่คำนึง อยู่บนป้ายผ้าที่ติดตามถนน เขียนว่า"สะบายดีปีใหม่ 2005"  คำว่า"สะบายดี" คือคำว่า"สวัสดี"นั่นเอง พอดีลุงคนขับรถแกรับโทรศัพท์ แกกรอกเสียงลงไปว่า "สะบายดี" อืมม ถ้าเราไม่รู้ว่าคุยกะคนลาวอยู่ คงงงเหมือนกันนะ อยู่ดีๆโทรไปหา ดั๊นน...บอกว่าตัวเองสบายดี


ไปถึงกินข้าวกลางวันก่อนเลย ต้นอยากกินร้านที่มีแอร์เลยมากิน"โคคา สุกี้" เหมือนประเทศไทยล่ะค่ะ ที่สั่งๆกันก็มีเกี๊ยวน้ำ บะหมี่เป็ดย่าง ข้าวไก่โปรตุเกส ฯลฯ ดิชั้นกินบะหมี่เป็ดย่าง อร่อยดีนะคะ เหมือนของไทย แต่เพื่อนดิชั้นกินข้าวหน้าอะไรไม่รู้ มันบอกว่า จืดสนิทเลย ใส่น้ำส้มสายชูที่ให้มาหมดไป 3 ถ้วย ดูป้ายโฆษณาสุกี้ที่นี่ มีน้ำสุกี้แบบ"หยิน-หยาง" ก็คือ แบ่งหม้อเป็น 2 ส่วน ส่วนนึงเป็นน้ำแกงปกติ อีกส่วนนึงเป็นน้ำแกงต้มยำ อืมม...เห็นแล้วนึกถึงพิซซ่าที่มี 2 หน้าในถาดเดียวเลยแฮะ ที่เมืองไทยไม่รู้มีรึเปล่าน้า...



สมาชิกทัวร์ค่ะ At Coca Suki, LAOS







อิ่มท้องแล้วก็ออกเดินทางต่อค่ะ ที่แรกที่จะไป คือ "สวนประตูชัย" หรือ "Patuxay Park" ประตูชัย เป็นสิ่งก่อสร้างที่รัฐบาลฝรั่งเศสสร้างไว้ในในสมัยที่ยังปกครองดินแดนแห่งนี้ ตั้งใจว่าจะเป็นอนุสรณ์แห่งการครอบครอง แต่ทว่ายังไม่ทันก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ ประเทศลาวได้สถาปนาอิสรภาพขึ้นมาก่อน รัฐบาลลาวและประชาชนจึงพร้อมใจกันขนานนามสิ่งก่อสร้างนี้ว่า " อนุสาวรีย์แห่งชัยชนะ " เนื่องในโอกาสที่ได้รับอิสระภาพ และไม่ได้ทำการสร้างต่อให้เสร็จสมบูรณ์แต่อย่างใด คงปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นอนุสรณ์แห่งความพ่ายแพ้ของเจ้าอาณานิคมมาจนปัจจุบัน ลักษณะของสถาปัตยกรรมมีความคล้ายคลึงกับประตูชัยแห่งกรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศสเอง 


หน้าประตูชัย ขึ้นไปข้างบนได้ด้วย แต่สูงเท่ากับตึก 7 ชั้น ปีนไม่ไหวอ่ะค่ะ


ส่วนสระน้ำข้างหน้า อันนี้รัฐบาลจีนทำให้ค่ะ เปิดน้ำพุด้วย แต่ตอนที่ไปดูยังไม่ได้เปิด ลองดูป้ายนี้เล่นๆค่ะ ลองอ่านภาษาลาวดูนะ น่ารักดี








สถานที่ต่อไปที่เราเดินทางไปดูคือ "วัดธาตุหลวง" ค่ะ เป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองเวียงจันทน์ สัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเมืองนี้ เป็นที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศูนย์รวมจิตใจของชนชาวพุทธแถบลุ่มแม่น้ำโขง มีงานสมโภชน์ในเดือน 12 ของทุกปี บริเวณด้านหน้าของพระบรมธาตุจะมี พระบรมราชานุสาวรีย์ขององค์สมเด็จพระไชยเชฐษาธิราช กษัตริย์ผู้ทรงสถาปนา นครเวียงจันทน์ 



 บริเวณหน้าวัด        



พระบรมสารีริกธาตุ



ภายในวัด   



            พระบรมราชานุสาวรีย์พระไชยเชฐษาธิราช            







โปรแกรมถัดไปคือ"ตลาดเช้า" เปิดเวลา 06.00 น. - 17.00 น. เป็นศูนย์รวมสินค้าอินโดจีน จากประเทศไทย,จีน,พม่าและเวียดนาม เราใช้เวลาที่นี่นานมากกกกกกกกกกก สินค้าที่มี ไม่ค่อยมีอะไรค่ะ เหมือนตลาดนัดบ้านเรานั่นแหล่ะ แต่ที่เสียเวลาคือ เลือกซื้อ DVD ค่ะ มี DVD มากมาย ราคาบอก แผ่นละ 75 ค่ะ เลยโกยมาซะเยอะ โอ๊ต 14 แผ่น ต้น 11 แผ่น เค้าคิดราคาให้ แผ่นละ 65 บาท ที่เสียเวลาไม่ใช่อะไรหรอก คือให้เค้าลองให้ทุกแผ่นค่ะ เพราะถ้าใช้ไม่ได้ จะข้ามแดนมาเปลี่ยนคงลำบาก (ความจริงคือผิดหวังเล็กน้อย เพราะหนุ่มๆในกรุ๊ปเราอยากได้หนังโป๊ค่ะ แต่หาไม่มี เอาหนัง soundtrack ไปซะนะ) แต่ก็มีเรื่องให้เสียดายกว่านั้น คือพออกมาด้านนอก เจออีกร้านนึง ขายแผ่นละ 60 บาทเอง เสียดายนิโหน่ย


มัวแต่ช้อป ออกมาเลย 4 โมงเย็นแล้ว เลยต้องตัดโปรแกรมอื่นออกไป เพราะวัดปิดแล้ว อีกทั้งเหนื่อยกันด้วย รู้สึกเสียดาย เพราะยังเหลืออีก 2 โปรแกรม คือ วัด...ซึ่งจำไม่ได้แล้วว่าวัดอะไรค่ะ กับ หอคำ ซึ่งอันนี้อยากไปมากๆๆ ดูจากรูปแล้ว สวยมากเลย คล้ายสถาปัตยกรรมของฝรั่งเศส แบบพระราชวังแวร์ซายอย่างงั้นเลย ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้ามาใหม่







ในที่สุดก็มาถึงตม. แวะซื้อของเล็กน้อย Duty Free ที่นี่ส่วนใหญ่มีแต่เหล้าค่ะ อีกอันนึงที่เห็นเยอะมากคือ กระเป๋า Louis Vuiton ปลอมค่ะ ซึ่งอันนี้ดิชั้นก็ว่ามันเหมือนใช้ได้เลยนะ แต่ไม่ได้ซื้อมาค่ะ สรุปคือ โอ๊ตได้เหล้า Johnie Walker Gold label  ขวด ส่วนดิชั้นได้ "เบยลาว" มา pack นึงค่ะ ไว้จะเอาไปฝากทุกคนนะคะ เบียร์ลาว เป็นเบียร์ยี่ห้อเดียวที่ผลิตในลาวค่ะ ผูกขาด สำหรับรสชาติ ดิชั้นกินไม่เป็นหรอกค่ะ แต่เพื่อนที่กินบอกว่ามันอ่อนมากๆ


 


"เบยลาว"    



แถมรูปตม.ลาวค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : //www.readyholiday.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=51992&Ntype=3 ค่ะ ที่จริงน่าจะได้อ่านเวบนี้ก่อนไปเที่ยวอ่ะนะ จะได้ซึมซับข้อมูลดีขึ้น







ทิวทัศน์ยามเย็นจากสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 


เดินทางกลับหนองคาย เข้าที่พัก เหนื่อยมากๆ แทบสลบ อาบน้ำพักผ่อนสักครู่ก็ไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนที่อยู่ที่หนองคายเนี่ยล่ะ ชื่อ"เป้"ค่ะ เป้นี่ก็เป็นคนหนองคายโดยกำเนิด ไปเรียนมัธยมที่อุดร จากนั้นก็มาเรียนหมอด้วยกันเนี่ยล่ะ จบแล้วก็กลับมาใช้ทุนที่บ้านเกิด ซึ่งวันที่เจอกันเนี่ย มันบอกว่า เพิ่งหายป่วยจาก Chickenpox (อีสุกอีใส) เองนะเนี่ย เป้เป็นคนที่เรียนเก่งมั่กมาก สมองมันถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ คงมี Harddisk ไม่จำกัด นอกจากนี้ยังปากจัดมากด้วย เป้พาไปกินข้าว ที่ร้านอาหารริมแม่น้ำโขง ชื่อ"ครัวคูณเก้า" ห่างจากที่พักประมาณ 4-5 กม. ไปยากๆหน่อย ต้องให้คนพื้นที่พาไป อาหารอร่อยมาก(อีกแล้ว) คุณเป้เธอตลกมากๆๆๆๆๆๆ พูดไม่หยุดเลย ส่วนพวกอิชั้นก็หัวเราะไม่หยุดเหมือนกัน



"เป้" คือคนที่ 3 จากซ้ายค่ะ


กลับจากกินข้าว ก็มานั่งดู DVD ที่ซื้อมา เรื่อง "Secret Window" ซึ่งดิชั้นลงมาดูช้ากว่าเพื่อน เลยต้องถามเค้าเป็นส่วนใหญ่ ดูจบยังงงๆอยู่แฮะ อุตส่าห์เปิดดูพวก unseen version, director preview ดันไม่มี sub อีก ภาษาอังกฤษดิชั้นก็ไม่ค่อยแข็งแรงซะด้วย ช่างเหอะ ไว้ search ใน pantip ละกัน


วันนี้นอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้มาต่อค่ะ


 






 

Create Date : 25 มกราคม 2548    
Last Update : 27 มกราคม 2548 1:07:00 น.
Counter : 232 Pageviews.  


คอนยัคกี้
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add คอนยัคกี้'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.