indyFengshui โลกฮวงจุ้ยในมุมมันๆ กับคนคันๆ

“แสงไฟ” สร้างอารมณ์ร้านค้าและสินค้า(ฮวงจุ้ย)

“แสงไฟ” เป็นสิ่งที่สำคัญมากในศาสตร์ฮวงจุ้ย ต่อให้สีร้านค้าถูกฉโลกแค่ไหน การจัดวางถูกหลักฮวงจุ้ยแค่ไหน แต่ขาดแสงไฟที่ส่องสว่าง ร้านนั้นอาจดูหมดสง่าราศี

นอกแสงไฟไม่เพียงจะสร้างความสว่างไสวเท่านั้น ในการแสดงคอนเสริต ดนตรี หรือในภาพยนตร์ แสงไฟยังมีส่วนในการเพิ่ม “อารมณ์” ให้กับการแสดงนั้นๆ

อย่างเช่นในหนังที่มีความตื่นเต้น ประมาณว่าฆาตกรรมโรคจิตหรือหนังผี โทนของการจัดไฟก็จะเพิ่มแสงและเงาอย่างเด่นชัด เพื่อเพิ่มความตื่นเต้นและน่าสนใจ

หรือในคอนเสริต์ถ้าเป็นเพลงที่เศร้าต้องโชว์พลังเสียงนักร้อง แสงไฟที่สาดส่องมาจากหลังเวที ตามอารมณ์ดนตรีสามารถส่งเสริมให้เพลงนั้นมีอารมณ์เกิดขึ้นได้ อีกทั้งผู้ชมยังคล้อยตามบทเพลงนั้นๆด้วย

ถ้าเปรียบเทียบกับการตกแต่งร้านค้าหนึ่งร้าน แสงไฟสามารถสร้างอารมณ์ของร้าน และสร้างสินค้าให้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น เพิ่มมูลค่าแก่สินค้าได้ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการขายภายให้ร้านค้าได้ด้วย

การจัดไฟในร้านค้าจะแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ตามสินค้า

Clean and clear คือ การจัดไฟที่ใช้ไฟนีออน ส่องสว่างให้ทั่วในร้าน ไม่ให้เกิดเงาใดๆ ภายในร้าน การจัดไฟแบบนี้ใช้ในร้านค้าหรือสถานที่ๆมีความหลากหลายของสินค้า หรือ สินค้าที่ลูกค้าต้องมีการอ่านฉลากและเปรียบเทียบสินค้า เช่น ร้านขายของมินิมาร์ต ร้านขายยา

การใช้ไฟนีออนส่องสว่างทั่วร้าน ในลักษณะนี้จะบรรยากาศไฟภายในร้านเหมือนกับไฟธนาคาร ตรงนี้ถือว่าเป็นข้อดี คือกระตุ้นการใช้เงินของลูกค้าได้ง่าย เพราะลูกค้าจะคุ้นเคยเหมือนกับมาทำธุรกรรมการเงินในธนาคาร

Solf and smooth การจัดไฟชนิดนี้คือการใช้แสงไฟดาวไลท์ เพื่อสาดส่องบางมุมของร้าน เช่น สินค้า หรือ โซฟา สร้างความอบอุ่นให้แก่ร้านค้า และ สินค้า เหมาะกับร้านขายสินค้าที่ต้องใช้ “อารมณ์” ในการตัดสินใจ เช่น ร้านเสื้อผ้า ร้านสปา ร้านกาแฟ

ไฟ Solf and smooth จะสร้างความเป็นกันเองให้แก่ลูกค้าได้ง่าย ถ้ายิ่งอบรมพนักงานให้มีจิตวิทยาในการบริการแล้วละก็ สามารถสร้างความสำเร็จของร้านได้เป็นอย่างดี

ถ้านึกถึงเรื่อง “จิตวิทยาในการบริการ” ไม่ออก ให้ไปสังเกตร้านกาแฟสตาร์บัก เพราะเขาอบรบพนักงานค่อนข้างมีมาตรฐานสูง

Tunnel การจัดไฟแบบอุโมงค์ คือ การจัดไฟแบบภายนอกอาจจะมืดสลัวๆ แต่ข้างในสว่าง เหมือนกับเวลาที่เรามองไปในอุโมงค์แล้วเจอแสงจากทางออก การจัดไฟชนิดนี้เหมาะกับสินค้าที่มีความเฉพาะตัว เช่น ร้านขายเพชร ร้านขายเสื้อผ้าที่คอนเซปแรงๆ

ในทางจิตวิทยาการจัดไฟแบบอุโมงค์ จะทำให้ร้านสร้างความหวังสร้างทางเลือกที่เหมาะสมแก่ลูกค้าได้ เ

พราะว่าลูกค้าที่จะใช้บริการในร้านประเภทนี้ต้องมีลักษณะเฉพาะ หรือพยายามค้นหาสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการของตน

การจัดไฟภายในร้านควรจัดให้อยู่ในภาวะสมดุล ไม่เน้นหนักไปทางมุมใดมุมหนึ่งของร้านค้า

เพราะจะทำให้ร้านค้าขาดสมดุล เช่น ร้านมินิมาร์ตที่จัดไฟเฉพาะเคาร์เตอร์เก็บเงิน ทำให้ลูกค้ามีเข้ามาใช้บริการเห็นว่าเจ้าของเห็นแก่การขายมากกว่าการบริการ อาจจะไม่มาใช้บริการก็เป็นไปได้

และควรคำนึงถึงอุณหภูมิของแสงด้วย เพราะเมื่อเวลาจัดไฟมากเกินความจำเป็น อุณหภูมิภายในร้านจะเพิ่มขึ้น ต้องคำนึงถึงเครื่องปรับอากาศและการระบายความร้อน

มีคำพังเพยโบราณที่เหมาะสมการเปิดไฟในร้านค้า คือ “ฆ่าวัว อย่าเสียดายเกลือ” ใช่แล้วล่ะครับ เปิดไฟอย่าเสียดายค่าไฟ เพราะสิ่งที่ตอบแทนคืนมา มีค่ามากกว่าค่าไฟที่เราเสียไป




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 28 พฤษภาคม 2552 11:10:07 น.   
Counter : 3705 Pageviews.  

ฮวงจุ้ยคอนโด “ ซื้อเพื่อให้เช่า”

เศรษฐกิจในยุคนี้หาใช่ไม่มีอะไรน่าลงทุน ถ้ามีเงินอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ใช้อะไรแล้วไม่รู้จะลงทุนอะไร ฝากธนาคารก็ไม่คุ้มดอก ลงทุนต่างๆนาๆก็มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาอย่างละเอียด

ถ้าเป็นเช่นนั้น ลองมองหาที่อยู่อาศัยประเภท “คอนโดซื้อเพื่อให้เช่า” ดูสิครับ

จากดวงเมืองดาวเสาร์กำลังจะเข้าภพอริในปีนี้ นั่นหมายความว่าราคาของอสังหาริมทรัพย์จะ “ชะลอตัว” ถึง 2 ปีเป็นอย่างน้อย

สาเหตุที่ผมเชียร์คอนโดมากกว่าอสังหาริมทรัพย์ชนิดอื่น

เพราะว่าคอนโดเป็นที่อยู่อาศัยที่ “ถูกจริต” ของคนเมืองที่มีฐานะอยู่ในชนชั้นกลางมากที่สุด

การลงทุนไม่สูงมากนัก สามารถวางแผนการลงทุนระยะสั้นและระยะยาวได้ และยังสามารถลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงได้อีก

แต่การเลือกซื้อคอนโด ต้องควรจะรู้หลัก “ฮวงจุ้ย” ด้วย เพื่อเอาไว้เป็นหลักในการพิจารณา

ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าฮวงจุ้ยในการเลือกซื้อคอนโดให้เช่า ต่างกับการเลือกคอนโดเพื่ออยู่อาศัยเล็กน้อย

คืออยู่เองจะเอาที่ตัวเราเองชอบ แต่ถ้าเพื่อการลงทุนต้องเลือกในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ชอบ

กฎข้อแรก คือ พิจารณา “ชี่”

“ชี่” หมายถึงพลังแห่งการเคลื่อนไหว หมายถึงถนน รถไฟ รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน แม่น้ำ สนามบิน ในยุคสมัยนี้ต้องพิจารณาที่ “รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน”

เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีเงินลงทุนสักก้อนที่มากพอ คุณอาจจะเลือกคอนโดที่ๆใกล้รถไฟฟ้าก็ได้

ทั้งนี้ทั้งนั้นแต่ควรมองทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายที่กำลังจะเกิดในอนาคตไว้ด้วย

เพราะถ้าซื้อคอนโดโครงการดีๆในตอนนี้ ราคาจะถูกกว่าตอนที่คุณเริ่มเห็นเขาขุดถนนและเห็นตอหม้ออยู่มากพอสมควร

และไว้ใจได้เลย ว่ารถไฟฟ้าสายต่างๆในอนาคตต้องเกิดอย่างแน่นอนเพราะเป็นเรื่องทางการเมือง

ใครขึ้นเป็นรัฐบาลต้องเร่งโครงการรถไฟฟ้า เพื่อได้คะแนนเสียงจากคนกรุง และได้ค่าต๋งอีกต่างหาก อย่างนี้แหละรัฐบาลไทย

ไม่ใช่ว่ารถไฟฟ้ากลางเมืองเท่านั้นที่น่าซื้อไว้ให้เช่า คอนโดที่ไกลหน่อย อย่างเช่น แถวบางกะปิ ก็น่าสนใจ เพราะมี “ชี่” จากคลองแสนแสบ “อุปถัมภ์”

กฎข้อแรก คือ พิจารณา “ทิศ”

ทิศ ในที่นี้ไม่ใช่ทิศตามธาตุของเจ้าของ แต่เป็นทิศที่เป็นกลางสามารถเข้ากับทุกคนได้ ผมมักเจอคำถามทองเกี่ยวกับคอนโดว่า “เลือกห้องทิศไหนดี”

ทิศที่ดีสุดของคอนโดไร่ลำดับ คือ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้

ทิศตะวันออกจะได้แสงแดดธรรมชาติในตอนเช้า เพื่อใช้แสงสว่างและตากเสื้อผ้า และในช่วงบ่ายจะไม่ร้อนมาก มีแต่ลมเข้า

ทิศตะวันตกจะได้แสงธรรมชาติตอนบ่าย ในช่วงเช้าถึงก่อนเที่ยงไม่ร้อนนัก และจะร้อนมากตอนบ่ายๆ มีลมจากทางตะวันตกพัดเข้าเป็นบางฤดู

ส่วนทางทิศเหนือทิศใต้ แม้จะไม่มีปัญหาเรื่องความร้อน แต่มักมีปัญหาเรื่องแสงแดดที่ไม่ตกถึงห้อง ทำให้ห้องเกิดเชื้อราได้ง่าย ระบายอากาศได้ไม่ดีนัก

ส่วนเคล็ดลับอีกข้อที่ผมหวงมากที่สุดนั้น คือ ฤกษ์ยามในการนัดลูกค้ามาดูห้อง ไม่ใช่เรื่องของดวงดาว แต่เป็นหลักวิทยาศาสตร์ล้วนๆ

ห้องอยู่ในทิศตะวันออก ควรนัดลูกค้ามาดูห้อง ในช่วงบ่ายสองเป็นต้นไป เพราะว่าเป็นช่วงที่ห้องเริ่มจะเย็น ไม่ต้องเปิดแอร์อากาศก็สบายๆ และยังพอมีแสงสว่าง

ห้องอยู่ในทิศตะวันตก ควรนัดลูกค้ามาดูห้อง ในช่วงเช้าก่อนเที่ยง เป็นช่วงที่แสงแดดจากทิศตะวันตกยังไม่ตกกระทบมาที่ห้อง ห้องจะยังรักษาความเย็นสบาย

ส่วนทางทิศเหนือทิศใต้ ควรนัดลูกค้ามาดูห้องในเวลา 10.00-15.00น เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่มีแสงมาก ทำให้ห้องดูมีแสงแดดและระบายอากาศดี

ทั้งนี้ทั้งนั้นหากจะเลือกลงทุนคอนโดเพื่อการเช่า ควรเลือกลงทุนในโครงการที่ไว้ใจได้ ถ้าไม่มีใครให้ปรึกษาลองเข้าไปในเวปไซค์ //www.pantip.com ห้องชายคา คุณจะได้รู้ว่าโครงการที่คุณสนใจมีความเชื่อถือแค่ไหน ควรค่ากับการลงทุนหรือไม่




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 27 พฤษภาคม 2552 21:47:27 น.   
Counter : 329 Pageviews.  

เปลี่ยน dead zone ให้เป็น red Zone(ฮวงจุ้ย)

ทำเลการค้าขายทุกสถานที่จะมีจุดที่คนเข้ามาใช้บริการมาก(red zone) กับจุดที่มีคนมาใช้บริการน้อย(dead zone)

ก่อนอื่นเรามาขยายความหมายของ red Zone กับ dead zone กันก่อนดีกว่า

red zone คือ จุดที่ลูกค้าเข้าออกบ่อยๆ ใช้บริการบ่อย ส่วนมากจะอยู่ที่ทางเข้าออก ทางสามแพร่ง หัวมุม หรือ ทางโค้ง

dead zone คือ จุดที่ลูกค้าไม่ค่อยเข้ามาใช้บริการ อาจเป็นเพราะว่าอยู่มุมอับ อยู่ในที่ลึกเกินกว่าความจำเป็นของลูกค้าที่จะเข้าไปใช้บริการ

การรู้เรื่อง red Zone กับ dead zone มีความสำคัญมาก เพราะมีส่วนสร้างความเจริญกับธุรกิจไม่ใช่น้อย ถ้าเรามีห้างร้าน ห้างสรรพสินค้า มินิมาร์ท ตลาด

เราคงอยากให้ทำเลของเรามี red zone มากกว่า dead zone นั่นหมายถึง อยากให้ลูกค้าเดินเข้ามาทุกซอกทุกมุม แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่ยากมาก

ถ้าทำเลนั้นๆมี red zone มากกว่า ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าลูกค้าก็จะคึกคัก ผู้คนที่มองผ่านไปมาก็อยากเข้ามาใช้บริการ

แต่ถ้ามี dead zone มาก นั่นถือว่าข่าวร้ายกำลังจะมาเยือน เพราะลูกค้าคุณจะน้อย ผู้เช่าก็จะเกิดความไม่มั่นใจ และย้ายออกไปตามๆกัน

แล้วถ้ามี red zone กับ dead zone อย่างเท่าๆกันล่ะ นั่นก็ส่งผลลบให้แก่ทำเล เพราะร้านค้า หรือ สินค้าเองจะแย่งเข้ามาอยู่ใน red zone และทิ้ง dead zone ให้รกร้างย่อมส่งผลไม่ดีแน่

ทางที่ดีที่สุดควรทำให้ทำเลนั้นๆมี red zone มากกว่า dead zone โดยการใช้หลักฮวงจุ้ยบวกกับหลักจิตวิทยาจะสามารถช่วยแก้ไขได้

ทีนี้เราลองมาดูกันว่าธุรกิจใหญ่ๆเขามีวิธีจัดการเรื่อง red zone กับ dead zone ได้อย่างไร

ร้านสะดวกซื้อ 7-eleven มีวิธีการปรับ dead zone ให้กลายเป็น red zone ได้อย่างน่าสนใจ และเป็นรูปแบบที่มีคนนำไปใช้กันมาก

เป็นอันรู้กันว่าจุดที่เป็น dead zone ของร้านค้าคือ ข้างในสุด เพราะมีผู้มาใช้บริการน้อย

ในฮวงจุ้ยแต้องแก้ด้วยการเพิ่มพลังชี่ ด้วยเหตุนี้เอง 7-eleven เอาสินค้าที่มียอดขายดีที่สุด นั่นคือ เครื่องดื่ม ไปไว้ในจุด dead zone เท่านี้เอง

ทำให้ลูกค้าจำนวนมากที่จะมาซื้อเครื่องดื่มจำเป็นต้องเดินมาข้างในสุด นั่นหมายถึง ลูกค้าต้องผ่านชั้นวางของภายในร้าน

ระหว่างผ่านชั้นวางของ สมองก็จะสั่งทำการทบทวนว่ามีสินค้าอีกไหมที่เราจำเป็นจะต้องซื้อ ถ้ามีเราก็จะได้ตัดสินใจซื้อเลย

หรือถ้าที่สุดแล้วเรามาซื้อเครื่องดื่ม ฝั่งตรงกันข้ามก็จะเป็นชั้นวางของขนมขบเคี้ยวทำให้ยั่วกิเลส พร้อมที่จะให้เราซื้อไปทานเล่นกับเครื่องดื่ม

ถ้าในซุปเปอร์มาเก็ตต่างประเทศ เขาจะแบ่งสินค้าให้เป็น a b c d ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาใช้ “ยอดขาย” เป็นเกณฑ์ในการแบ่งเกรด

จุดทางเข้าที่ถือว่าเป็น red zone เขาจะวางสินค้าเกรด d เพื่อให้ผู้คนมีโอกาสตัดสินใจ

ส่วนสินค้าเกรด b และ c เขาจะนิยมวางไว้ที่หัวมุม เพราะว่าสินค้าทั้งสองเกรด เป็นสินค้าที่นิยมเล่นโปรโมชั่น เพื่อดึงยอดขายให้สู้กับ เกรด a ได้

ส่วนสินค้าเกรด a ที่มียอดขายสูงอยู่แล้ว เขาจะวางไว้ข้างใน เพราะเมื่อมียอดขายที่ดีอยู่แล้ว ควรให้ลูกค้าได้เปรียบเทียบบ้าง

เท่านี้เองจะเป็นการจัดสมดุลระหว่าง red zone กับ dead zone ได้

แต่ถ้าเขาคิดแบบวางสินค้าเกรด a ไว้อยู่ใน red zone เพียงอย่างเดียว

สินค้าเกรด b c c และ d ก็จะขายไม่ออก ลูกค้าจะกระจุกอยู่ที่ red zone โดยไม่ยอมเดินไปรอบซุปเปอร์มาเก็ต




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 28 พฤษภาคม 2552 11:10:59 น.   
Counter : 1416 Pageviews.  

วิธีทำการตลาดโดย “ภาพเคลื่อนไหว”(ฮวงจุ้ย)

ภาพเคลื่อนไหว(motion picture) เป็นวิธีทำการตลาดอีกรูปแบบหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างยิ่ง ภาพเคลื่อนไหวจะอยู่ในสื่อต่างๆ เช่น ทีวี ภาพยนตร์ โฆษณา หรือ อินเตอร์เน็ต เป็นต้น

มีการศึกษาและทดลองอยู่หลายชิ้นที่บ่งชี้ว่า ภาพเคลื่อนไหวมีผลต่อพฤติกรรมมนุษย์โดยตรง เช่น การเลียนแบบ ความก้าวร้าว ความต้องการทางเพศ

อารมณ์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อคุณได้รับรู้ “ภาพเคลื่อนไหว” ผ่าน “สื่อ” เช่น ทีวี โรงหนัง

โฆษณาเป็นเพียงก้าวแรกของการใช้ภาพเคลื่อนไหวในการทำตลาด

วิวัฒนาการต่อมา คือ การสอดแทรกภาพสินค้าลงในหนัง หรือ ละคร

หนังเรื่อง The Italian Job หนังเรื่องนี้เป็นหนังแอ๊คชั่น ไม่ได้มีเรื่องราวอะไรมากมาย เพราะเป้าหมายของหนังคือการขายภาพลักษณ์ความเป็น mini cooper ที่โดดเด่น เท่ห์ ไม่เหมือนใคร

The Italian Job เวอร์ชั่นแรกถูกผลิตในปี 1977 และถูกนำมาปัดฝุ่นทำใหม่ในปี 2003 พร้อมกับในช่วงที่รถ mini cooper ออกโฉมใหม่และกำลังทำตลาดทั่วโลก

ผลที่ได้รับเกินคาดตอนนี้ mini cooper มีความหมายมากเกินรถยนต์ธรรมดาไปซะแล้ว

การใช้ภาพเคลื่อนไหวให้สัมฤทธิ์ผลทางการตลาด มีทฤษฏีและหลักการอยู่มากมายที่น่าศึกษา

ภาพเคลื่อนไหวที่เราเห็นบนหน้าจอภาพยนตร์ เคลื่อนไหว 1 วินาทีต่อภาพ 24 เฟรม เป็นภาพปรกติที่สายตาคนเราเห็น

ถ้าจำนวนเฟรมใน 1 วินาทีมีภาพมากขึ้น เช่น 1:500 (วินาที/ภาพ) ภาพที่เห็นก็จะเป็นภาพสโลโมชั่น หรือถ้าน้อยลง เช่น 1:15 (วินาที/ภาพ) ภาพที่เห็นจะเร็วและกระตุกเหมือนกับภาพในหนังของ ชาลี แชปปลิ้น

หลายคนคงคิดเหมือนกันว่า ถ้าใส่ภาพสินค้าในหนังหรือละครบ่อยๆนานๆคงเป็นเรื่องที่ดี เพราะคนดูจะได้จดจำได้

แต่เรื่องนี้เป็นความคิดที่ผิดอยู่ไม่น้อย เพราะว่าเพียงคุณมีรูปสินค้าอยู่ในภาพประมาณ 7 เฟรมใน 24 เฟรมต่อวินาที หรือไม่ถึงหนึ่งวินาทีในหนัง เท่านี้ก็ได้ผลแล้ว

มีการทดลองชิ้นหนึ่งในลอนดอนประเทศอังกฤษ ทดลองนำคนประมาณ 100 คนเข้าโรงหนัง ดูหนังสั้นประมาณ 15 นาที เป็นหนังแอ๊กชั่น

ขณะที่หนังดำเนินอยู่ มีภาพกล้วยสีเหลือง แทรกขึ้นมาประมาณไม่ถึง 1 วินาที มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และไม่มีใครในโรงหนังสะดุดตาเลย

พอหนังจบ ผู้นำการทดลองได้นำผลไม้มาให้เลือก 2 ชนิด คือ กล้วย กับ ส้ม
ผลปรากฏว่าผู้ชมในโรงหนังเลือกกล้วยมากกว่าร้อยละ 80 เลยทีเดียว

เรื่องนี้อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ว่า สายตาของมนุษย์มีความสามารถในการมองเห็นภาพทุกภาพได้ แต่ถ้าภาพที่ผ่านเข้ามามีความเร็วมากกว่าที่สายตาคนปรกติเห็น

ภาพเหล่านั้นจะถูกเก็บเอาไว้ในสมองโดยที่สมองไม่ตีความหมายใดๆทั้งสิ้น

แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ภาพในสมองจะเป็นตัวตัดสินให้มนุษย์เลือกสิ่งนั้น

การทำการตลาดโดยใช้ภาพเคลื่อนไหวไม่ใช่มีแต่ผลดีเพียงด้านเดียว ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกทางอาจเป็นผลลบต่อแบรนส์สินค้าได้เช่นกัน

เมื่อเร็วๆนี้ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง ปักษ์ใต้บ้านเรา ของสองสาวคนทำหนัง คุณป๊อบ อารียา กับ คุณนก นิสา

ด้วยความประทับใจเดิมจากหนังเรื่องเด็กโต๋เป็นทุนเดิม ประกอบกับได้เห็นสองสาวไปออกรายการ 7 club ของคุณไตรภพ รู้สึกว่านานๆจะมีคนหาญกล้าไปทำหนังสารคดีกันที่ภาคใต้สักที

ส่วนตัวแล้วผมชื่นชมคุณป๊อป อารียาเป็นพิเศษ เพราะนอกจากเธอจะดูมีสมองกว่านางงามทั่วไปแล้ว ผมยังเห็นความอยากเป็นศิลปินในแววตาของเธอที่ฉายอยู่ตลอดเวลา

คุณนก นิสา กล่าวอย่างน่าประทับใจว่า หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับ “น้ำใจของคนใต้” ทำให้ตัดสินใจไม่ยากเลย ที่จะไปดูหนังเรื่องปักษ์ใต้บ้านเรา

หนังจบผมเดินออกจากโรงหนัง พร้อมด้วย “ความไม่ประทับใจ” ที่ติดอยู่ในสมอง

เพราะหนังเรื่องปักษ์ใต้บ้านเรา แท้ที่จริงแล้วคือหนังประชาสัมพันธ์บริษัทโค๊กหาดทิพย์ที่อยู่ในภาคใต้ ทุก 5 นาทีของหนังเต็มไปด้วยภาพของลังโค๊ก ขวดโค๊ก กล่องโค๊ก รถโค๊ก โปสเตอร์โค๊ก

ภาพโค๊กที่อยู่ในหนังยัดเยียดมากจนเกินไป หนังเรื่องนี้ทำให้ผมเกิดคำถามขึ้นมาว่า “เราเสียเงินไปดูทำไมเนี่ย” เพราะไม่ได้อยากดูโค๊กเลยสักนิดเดียว

สิ่งที่สองสาวคนทำหนังสัมภาษณ์ในรายการทีวี หรือในหนังสือพิมพ์ กลับเป็นความจริงในหนังเพียงบางส่วนเท่านั้น

หนังเรื่องนี้แสดงความไม่จริงใจอยู่ 2 อย่าง หนึ่งคือไม่จริงใจในงานที่ทำ สองคือไม่จริงใจกับคนดู อันตรายมากครับ

ว่าไปแล้วออกมาจากโรงหนังผมกระหายน้ำมาก แต่คงไม่เลือกดื่มโค๊กเพราะน้ำตาลมากไปเดี๋ยวจะอ้วน ขอเป็นน้ำเปล่าดีกว่าชื่นใจกว่า




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 28 พฤษภาคม 2552 11:11:27 น.   
Counter : 268 Pageviews.  

print ad สะกดจิต “Colgate Max Fresh”(ฮวงจุ้ย)

เมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน ผมได้มีโอกาสไปเปิดหูเปิดย่านสยาม ด้วยความที่ไม่ค่อยจะย่างกรายไปแถวนั้น ทุกอย่างดูผิดหูผิดตากว่าที่เคย

การตกแต่งร้านรวงต่างทันสมัยมากขึ้น แม้แต่ร้านที่ขายของกิฟท์ช้อปเล็กๆน้อยก็ตกแต่งอย่างทันสมัย มีรสสนิยม และมีการใช้ศาสตร์ฮวงจุ้ยมาผสมผสานอย่างลงตัว

ระหว่างเดินเล่นอยู่ผมไปสะดุดกับอะไรบางอย่าง จนเกือบจะล้ม และรู้สึกว่าไม่เอามาเล่าให้ฟังไม่ได้แล้ว

สิ่งที่ผมสะดุด คือ สะพานที่เชื่อมระหว่างห้างสรรพสินค้าดิสคัฟเวอร์รี่กับสยามเซ็นเตอร์

ที่ผ่านมาสะพานเชื่อมระหว่างทางแห่งนี้ถูกใช้เป็นทางเดินธรรมดาๆ แต่วันดีคืนดีมีคนเอา print ad ไปติดตั้ง ถ้าเป็นโฆษณาขายของธรรมดาก็คงไม่น่าตื่นเต้นอะไร

แต่ print ad ที่ว่าเป็นโฆษณา ที่สามารถ “สะกดจิต” คนที่เดินผ่านมาผ่านไปได้อย่างน่าทึ่ง

โฆษณาชิ้นนี้เป็นยาสีฟัน “Colgate Max Fresh”

ยาสีฟันน้องใหม่ล่าสุดจากคอลเกต จุดขายอยู่ที่ใช้นวตกรรมใหม่โดยมีแผ่นCooling Crystal ซึ่งเป็นสารที่สามารถระงับกลิ่นปากได้

มีลักษณะเป็นแผ่นล็กๆที่อยู่ในเจลเนื้อยาสีฟัน ที่สามารถละลายในปากแต่ไม่ละลายในเจลยาสีฟันเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน

ในเชิงฮวงจุ้ยแล้วการเลือกวาง print ad ย่านสยามจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะกลุ่มเป้าหมายผ่านจุดนี้เกิน 5000 คนต่อวันในวันธรรมดา

ถ้าเสาร์อาทิตย์อาจถึง 12000 คน นี่ไม่นับรวมเวลาดงบังชินกิมานะสะพานแทบจะหักเลย

สะพานทางเชื่อมได้ถูกคอลเกตตกแต่งให้มีลักษณะเป็นเหมือนเดินเข้าอุโมงค์ยาสีฟัน “Colgate Max Fresh” โดยมีแผ่น Cooling Crystal อยู่ตลอดระหว่างทางเดิน

แต่สิ่งที่เป็นไคลแม๊กที่ทำให้กลายเป็น print ad ที่สามารถสะกดจิตคนได้นั่นคือ การเพิ่มแอร์ที่เย็นมากเข้าไปในอุโมงค์ ทำให้อุณหภูมิเย็นถึงเย็นมาก ขนาดขนลุกได้อย่างน่าตกใจ

คนที่เดินผ่านสามารถเข้าใจตรีมของ “Colgate Max Fresh” ได้อย่างดี นั่นคือ “ความเย็นสุดขั้ว”

สิ่งเหนือชั้นกว่า คือ กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าใจตรีมของสินค้าจาก
“ความรู้สึก” โดยตรง

ต่างจาก print ad ทั่วไปที่เราเคยเห็นเป็นกระดาษธรรมดา ที่มีรูปภาพข้อความหรือก๊อปปี้ไร้ท์โดนๆ

เพราะ print ad ทั่วไป เราใช้ตาในการมองเห็น ผ่านสมองให้ตีความ

ถ้ากลุ่มเป้าหมายไม่เข้าใจแมสเสจถือว่าโชคร้ายเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะกลายเป็นกระดาษที่รกหูรกตาเหมือนป้ายหาเสียง เสียเวลาและเสียเงินเปล่าๆ ไม่เกิดผลใดๆต่อแบรนส์

แต่ถ้ากลุ่มเป้าหมายเข้าใจแมสเสจ จะทำให้เกิดการรับรู้และความรู้สึกร่วมต่อแบรนส์ และทดลองใช้สินค้าในที่สุด

แต่สิ่งที่ “Colgate Max Fresh” ทำ คือการปรับฮวงจุ้ยและสิ่งแวดล้อมโดยการเพิ่มแอร์เข้าไป สร้างความรู้สึก “เย็น” ทำให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้และความรู้สึกร่วมต่อแบรนส์ โดยไม่ต้องผ่านการตีความใดๆจากสมองเลย เป็นการเล่นกับความรู้สึกของมนุษย์โดยตรง

ทำให้ผมนึกถึงการปรับฮวงจุ้ยสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างการรับรู้ของช็อคโกแลต m&m ที่อเมริกา

เขาใช้หมอนที่เป็นรูปช็อคโกแลตต่างสี เขียว เหลือง แดง น้ำตาลขนาดเท่าโซฟา วางไว้ในห้างรอเด็กๆมาเล่น

ผลที่ได้คือ “ความรู้สึกสนุกสนาน” โดยไม่ต้องผ่านการตีความ ไม่ต้องรับรู้ว่า m&m รสชาติดีอย่างไร ทำไมต้องทาน m&m

เพราะกลุ่มเป้าหมายคือเด็ก โดยประสบการณ์แล้ว อาจจะไม่ค่อยเข้าใจแมสเสจเท่าผู้ใหญ่

แต่เอาเป็นว่าเมื่อเด็กๆเกิดความรู้สึกสนุกสนานเมื่อไหร่ เขาจะโดนสะกดจิต และอยากหยิบถุง m&m ฉีกแล้วซองหยิบเอาช็อดโกเลตกลมๆเข้าปากทันที

เหมือน “Colgate Max Fresh” เมื่อเราคิดถึงความเย็น ก็จะนึกถึงยาสีฟันโดยทันที

สองแบรนส์ที่ยกตัวอย่างมามีวิธีการใช้ print ad ผสมกับฮวงจุ้ย เพื่อสร้างความรู้สึกร่วมเหมือนถูกสะกดจิต

แต่ข้อเสียของวิธีการนี้คือต้องใช้กับความรู้สึกในเชิงบวกเท่านั้น

ถ้าใช้ในความรู้สึกที่เป็นเชิงลบหรือความไม่สะดวกสบายของมนุษย์ เช่น ความร้อน ที่แคบ

เหล่านี้จะสร้างความรู้สึกเป็นลบกับแบรนส์ชิ้นนั้นไปทันที




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 28 พฤษภาคม 2552 11:11:49 น.   
Counter : 487 Pageviews.  

1  2  3  4  

ฮวงจุ้ยแมน
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add ฮวงจุ้ยแมน's blog to your web]