กระท้อน ลดระดับคอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดน้ำหนัก


กระท้อน


กระท้อน ผลไม้รสชาติอร่อยตามฤดูกาล ที่ไม่เพียงโดดเด่นในเรื่องของรสชาติ แต่สรรพคุณของกระท้อนยังโดดเด่นจนน่าลอง

ถ้าพูดถึงผลไม้ที่ได้รับความนิยมในเรื่องรสชาติที่อร่อย แถมยังสามารถนำไปรับประทานได้หลากหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นต้องเป็นกระท้อนอย่างแน่นอน เพราะกระท้อนเป็นผลไม้ที่ถูกปากถูกใจใครต่อใครมากมาย วันนี้เราก็เลยขอนำความรู้ดี ๆ ที่เกี่ยวกับผลไม้ชนิดนี้มาฝากกัน บอกได้เลยว่ากระท้อนไม่ได้มีดีแค่รสชาติอร่อย แต่ยังช่วยบำรุงสุขภาพ และป้องกันภัยสุขภาพได้อีกหลายอย่างเลยล่ะค่ะ

สรรพคุณของกระท้อน อร่อยและดีกับสุขภาพ

1. สร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

          กระท้อน 100 กรัมมีไฟเบอร์ถึง 1.26 กรัม เทียบเป็น 8.4% ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน ซึ่งไฟเบอร์จะช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างโปรไบโอติกส์ได้มากขึ้น และเจ้าแบคทีเรียชนิดนี้มีส่วนสำคัญในการสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกัน อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกระท้อนยังช่วยป้องกันและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

2. ป้องกันฟันผุ

สรรพคุณอีกอย่างหนึ่งที่เรียกได้ว่าน่าสนใจสุด ๆ ของกระท้อน นั่นก็คือกระท้อนช่วยป้องกันฟันผุได้ เพราะการรับประทานกระท้อนจะช่วยเพิ่มการหลั่งของน้ำลาย ซึ่งเจ้าน้ำลายนี่ล่ะค่ะมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปาก และขจัดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดฟันผุได้เป็นอย่างดี

3. ลดระดับคอเลสเตอรอล

          กระท้อนเป็นแหล่งที่อุดมด้วยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง เนื่องจากไฟเบอร์ชนิดนี้จะเข้าไปลดระดับไขมันในเส้นเลือด อีกทั้งเพคตินที่อยู่ในกระท้อนก็ยังคอยช่วยดักจับคอเลสเตอรอล ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลลดลง และสามารถป้องกันโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจได้อีกด้วย

4. แก้ท้องเสีย

แม้ว่าการรับประทานไฟเบอร์มากไปจะกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานหนักจนอาจกลายเป็นอาการท้องเสีย แต่สำหรับคนที่ท้องเสียแล้ว กระท้อนช่วยได้ค่ะ โดยเฉพาะรากของกระท้อน หากนำมาต้มน้ำดื่มจะช่วยแก้อาการท้องเสีย และบิด ไม่เพียงเท่านั้นเพราะไฟเบอร์ที่อยู่ในกระท้อน เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วก็ยังสามารถช่วยปรับระบบการทำงานของลำไส้ให้กลับมาเป็นปกติได้อีกด้วย

กระท้อน


5. อุดมด้วยวิตามิน


          กระท้อนเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินบีและซี ซึ่งจะช่วยรักษาป้องกันอาการเลือดออกตามไรฟันได้ รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกระท้อนยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้วิตามินบีในกระท้อนก็ยังมีส่วนในการกระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น และป้องกันความเสี่ยงโรคพิการแต่กำเนิดของทารกในครรภ์ได้

6. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน กระท้อนคือผลไม้ยอดคุณที่ไม่ควรพลาด เพราะไฟเบอร์ในกระท้อนยังเข้าไปช่วยชะลอการทำงานของระบบย่อยอาหาร ทำให้น้ำตาลที่มาจากอาหารถูกย่อยเป็นกลูโคสช้าลง และยับยั้งไม่ให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น อีกทั้งกระท้อนยังมีน้ำตาลต่ำ กินเข้าไปแล้วไม่กระทบกันระดับน้ำตาลของผู้ป่วยแน่นอน

7. ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้

          ด้วยปริมาณไฟเบอร์ที่สูงของกระท้อน จึงทำให้กระท้อนกลายเป็นอาหารอีกหนึ่งชนิดที่สามารถช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ได้ เพราะไฟเบอร์ในกระท้อนนั้นจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย ทำให้ลำไส้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องห่วงว่าจะท้องผูก หรือเกิดภาวะลำไส้แปรปรวนจนเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้เลยล่ะ

8. ตัวช่วยลดน้ำหนัก

หวานน้อยและไฟเบอร์มาก เป็นคุณสมบัติที่ดีของอาหารที่ควรรับประทานในช่วงลดน้ำหนัก และกระท้อนก็คือหนึ่งในนั้นค่ะ การรับประทานกระท้อนจะช่วยให้ได้รับไฟเบอร์มากขึ้น ทำให้อิ่มนาน และไม่หิวบ่อย ส่วนน้ำตาลที่อยู่ในกระท้อนก็ยังเป็นน้ำตาลจากธรรมชาติที่ร่างกายนำไปใช้ได้ทันทีอีกด้วย

9. รักษาโรคผิวหนัง 

          นอกจากเป็นอาหารที่ถูกปากแล้ว กระท้อนก็ยังถือเป็นสมุนไพรอีกด้วย โดยใบของกระท้อนสามารถนำมาบดเพื่อรักษาโรคผิวหนังได้หลายชนิดไม่ว่าจะเป็นโรคสะเก็ดเงิน ผื่น กลาก และโรคผิวหนังอื่น ๆ ได้

กระท้อน

คุณค่าทางโภชนาการของกระท้อนต่อ 100 กรัม (สีเหลือง)

  • โปรตีน 0.118 กรัม
  • ไขมัน 0.1 กรัม
  • ใยอาหาร 0.1 กรัม
  • ธาตุแคลเซียม 4.3 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 17.4 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 0.42 มิลลิกรัม
  • แคโรทีน 0.003 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี1 0.045 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี3 0.741 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 86.0 มิลลิกรัม

เมนูกระท้อน อาหารคาวก็ดี เป็นของหวานก็อร่อย
กระท้อนเป็นผลไม้ที่สามารถนำมาทำได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะนำมารับประทานแบบสด ๆ หรือจะนำมาปรุงอาหารทั้งคาวและหวานก็ได้ทั้งนั้น ถ้าหากยังนึกไม่ออกว่ากระท้อนสามารถทำอะไรได้บ้าง ลองมาดูนี่เลยค่ะ

กระท้อนลอยแก้ว สูตรน้ำมะตูม หวานเย็นชื่นใจคลายร้อน


ส้มตำกระท้อนกุ้งสด เมนูลดน้ำหนักสุดแซ่บแบบอีสาน

2 เมนูอร่อยจากกระท้อนปุยฝ้าย เปรี้ยวแซ่บอมหวาน

ข้อควรระวังในการรับประทานกระท้อน 

ควรรับประทานผลกระท้อนในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะถ้าหากกินเยอะมากไป อาจจะทำให้เกิดท้องเสียได้ค่ะ

เรียกได้ว่าเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่โดดเด่นทั้งรสชาติและคุณค่าเลย แต่นอกจากสรรพคุณทางด้านสุขภาพแล้ว

ขอบอกว่าเจ้ากระท้อนเนี่ยก็ยังสามารถนำไปบำรุงผลผลิตทางการเกษตรต่อได้ด้วยนะ

ด้วยการนำกระท้อนไปทำน้ำหมักกระท้อนเพื่อใส่ต้นไม้ได้อีก

ของดีมีประโยชน์แบบนี้ต้องยกให้เป็นสุดยอดผลไม้ที่ควรหารับประทานเลยจริง ๆ ค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง
paulhaider.wordpress.com 
prohealthlaw.com
fruitsinfo.com 

EYE CARE TIPs

โรคตาแห้ง ตาขี้เกียจ ตาบอดกลางคืน ตาแดง

พฤติกรรมทำร้ายดวงตา l ปรสิตจากคอนแทคเลนส์ l ดวงตา...บอกโรค l ขนตาปลอม

สายตายาว l สายตาสั้นมากๆ  l ทดสอบสายตาง๊ายง่าย l โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม

เบาหวานขึ้นตา  l ต้อกระจก l ต้อหินเฉียบพลัน l ตาเสื่อมก่อนวัย

ประโยชน์ของผักอื่นๆ 

เกรปฟรุต  l  หน่อไม้ฝรั่ง  l  ฟักทอง  l  ลูกพรุน  l แครอทสุก  l  ผลโกจิเบอร์รี่  

มะเขือเทศสีเหลือง  l  ผักกาดเขียว มะละกอ l มัลเบอร์รี่  l ถั่วลันเตา l มะรุม 




Create Date : 25 มิถุนายน 2559
Last Update : 25 มิถุนายน 2559 14:43:47 น.
Counter : 1065 Pageviews.

1 comment
12 สมุนไพรเพื่อผู้สูงอายุ ยืดอายุยืนยาวด้วยของดีจากธรรมชาติ


ขึ้นชื่อว่าสมุนไพรแล้ว ทุกคนก็ย่อมต้องนึกถึงข้อดีของสมุนไพรที่ช่วยบำรุงสุขภาพ

และนี่คือสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพผู้สูงอายุ บรรเทาโรคภัย ช่วยให้ผู้สูงอายุมีชีวิตที่ยืนยาว

เมื่อคนเราอายุมากขึ้น สุขภาพร่างกายที่เคยฟิต ก็ค่อย ๆ ร่วงโรยลงตามวัย ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ก็เริ่มเข้ามา 

อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจจึงกลายเป็นสมุนไพร โดยเฉพาะสมุนไพรไทยที่มากด้วยสรรพคุณต่อสุขภาพ

อย่างที่นิตยสารชีวจิตคัดสรรมาแล้วว่าเป็นสมุนไพรไทยใกล้ตัว ที่เหมาะกับผู้สูงอายุ อีกทั้งยังมีสรรพคุณดี ๆ ที่

นอกจากจะช่วยรักษาโรคในผู้สูงอายุแล้ว ยังใช้บำรุงร่างกายก็ได้เหมือนกัน แถมด้วยวิธีใช้แบบง่าย ๆ

ลดความดันโลหิตสูง

12 สมุนไพรเพื่อผู้สูงอายุ

//wm.thaibuffer.com/o/image/icon/48be2683.gif บัวบก 

ใช้ต้นบัวบกสด มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตได้ นอกจากนี้ยังใช้บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้าได้

ดีใช้ต้นสด 30-40 กรัม ผสมกับน้ำ 1 แก้ว (ประมาณ 250 ซี.ซี.) คั้นและกรองเอาแต่น้ำดื่มติดต่อกัน 5-7 วัน

12 สมุนไพรเพื่อผู้สูงอายุ


//wm.thaibuffer.com/o/image/icon/48be2683.gif กระเทียม

          นำกระเทียมสดขนาดกลาง 1-2 กลีบ (5 กรัม) มาสับหรือบด และตวงให้ได้ราว 1 ช้อนชา กินพร้อมอาหารวันละ 3 เวลา มีข้อควรระวังคือ ไม่ควรกินตอนท้องว่าง เพราะจะระคายเคืองกระเพาะได้

ลดระดับน้ำตาลในเลือด

12 สมุนไพรเพื่อผู้สูงอายุ


//wm.thaibuffer.com/o/image/icon/48be2683.gif มะระขี้นก 

          ใช้ผลสด 8-10 ผล ผ่าและเอาเมล็ดออก สับละเอียดแล้วเติมน้ำลงไปเล็กน้อย กรองน้ำมาดื่ม กินทุกวันแบ่งกินวันละ 3 เวลาหลังอาหาร ติดต่อกันอย่างน้อย 1 เดือนจนกว่าระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลง หากพบว่าน้ำคั้นมีรสขมเกินไป ให้นำมาลวกน้ำร้อนและกินกับน้ำพริกแทน

12 สมุนไพรเพื่อผู้สูงอายุ


//wm.thaibuffer.com/o/image/icon/48be2683.gif ตำลึง 
นำยอดตำลึงสดประมาณ 1 กำมือ ลวกพอสุก ใช้เป็นผักจิ้มน้ำพริกหรือนำไปปรุงอาหารอื่น ๆ กินติดต่อกัน

เป็นเวลา 1-3 เดือน หรือจนกว่าระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลง

ลดไขมันในเส้นเลือด

12 สมุนไพรเพื่อผู้สูงอายุ


//wm.thaibuffer.com/o/image/icon/48be2683.gif กระเจี๊ยบแดง 

นำกลีบรองดอกสีม่วงไปตากแห้งและบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา ชงกับน้ำเดือด 1 แก้ว (ราว 250 ซี.ซี.)

ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการจะดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ

บำรุงโลหิต ลดอุณหภูมิในร่างกายได้

12 สมุนไพรเพื่อผู้สูงอายุ


//wm.thaibuffer.com/o/image/icon/48be2683.gif เสาวรส 

เลือกผลที่แก่จัด ล้างสะอาด และผ่าครึ่ง ตักเนื้อมาคั้นเอาแต่น้ำ ดื่มสด ๆ หรือปรุงรสโดยเติมเกลือ

และน้ำตาลเล็กน้อย ดื่มเป็นน้ำผลไม้ และมีสรรพคุณอื่น ๆ เช่น บำรุงผิวพรรณได้เปล่งปลั่งสดใส

มีสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย



สยบเบาหวาน

12 สมุนไพรเพื่อผู้สูงอายุ


//wm.thaibuffer.com/o/image/icon/48be2683.gif เตยหอม

          นำใบแก่จัดสัก 10 ใบ มาหั่นตากแดดแล้วชงดื่มแบบชาหรือใส่หม้อดินต้ม ดื่มต่างน้ำทุกวัน

ควรดื่มอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไปจึงจะเห็นผล นอกจากช่วยบรรเทาโรคเบาหวานแล้ว

ยังเป็นยาบำรุงหัวใจ ขับปัสสาวะ และแก้กระษัยได้อีกด้วย

12 สมุนไพรเพื่อผู้สูงอายุ
//wm.thaibuffer.com/o/image/icon/48be2683.gif กะเพรา 

 นำใบสดสัก ½ กำมือ หรือแบบตากแห้งมาบดเป็นผงราว 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว (ราว 250 ซีซี)

ชงเป็นชาดื่มหลังมื้ออาหาร ผลวิจัยพบว่าใบกะเพราทำให้เซลล์ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ดีขึ้น

เหมาะกับผู้ที่เป็นเบาหวานชั้นต้น

ต้านสมองเสื่อม

12 สมุนไพรเพื่อผู้สูงอายุ

//wm.thaibuffer.com/o/image/icon/48be2683.gif ขมิ้นชัน

นำเหง้าแก่สดยาวประมาณ 2 นิ้วมาขูดเปลือก ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด เติมน้ำ คั้นเอาแต่น้ำ

กินครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-4 ครั้ง หรือกินแบบแคปซูล วันละ 1,000 มิลลิกรัม มีการศึกษาพบว่า

ในกลุ่มคนเอเชียที่กินขมิ้นชันเป็นประจำทุกวัน จะมีอัตราการเป็นอัลไซเมอร์น้อยกว่าคนในแถบยุโรป

ที่ไม่ได้กินขมิ้นชันเกือบ 5 เท่า นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณต้านมะเร็ง ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด


//wm.thaibuffer.com/o/image/icon/48be2683.gif พริกไทย

          ใช้ผงป่นมาปรุงอาหารที่กินเป็นประจำ หรือกินเป็นแคปซูลวันละ 1,000 มิลลิกรัม พร้อมกับอาหารทุกมื้อ

ไม่ควรกินขณะท้องว่าง เพราะอาจเกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร นักวิจัยพบว่า

สารพิเพอรีนในพริกไทยมีสรรพคุณต้านสมองเสื่อม ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ และต้านมะเร็งได้บำรุงธาตุ

12 สมุนไพรเพื่อผู้สูงอายุ


//wm.thaibuffer.com/o/image/icon/48be2683.gif มะพร้าว 

          ดื่มน้ำจากผลอ่อนวันละ 1 ผล ผ่าแล้วควรดื่มทันทีไม่ต้องเติมน้ำตาล นอกจากช่วยบำรุงธาตุแล้ว

ยังแก้กระหาย แก้พิษ อาเจียนเป็นเลือด ท้องเสีย บวมน้ำ ขับปัสสาวะ และขับนิ่วก้อนเล็ก ๆ ได้อีกด้วย

ที่สำคัญ ใช้ดื่มเพื่อบรรเทาอาการท้องเสียในกรณีที่ขาดแคลนน้ำเกลือแร่ได้เลย

12 สมุนไพรเพื่อผู้สูงอายุ


//wm.thaibuffer.com/o/image/icon/48be2683.gif มะตูม 

นำผลโตเต็มที่มาฝานเป็นแว่น ๆ แล้วตากแห้ง คั่วให้เหลืองหอม นำไปชงน้ำดื่ม โดยใช้มะตูม 2-3 ชิ้น ต่อน้ำ 1 กา

ชงในน้ำเดือด จิบตลอดวัน นอกจากมีสรรพคุณช่วยบำรุงธาตุแล้ว ยังช่วยขับลม แก้ท้องเดินหรือท้องเสียได้อีกด้วย

ผู้สูงอายุเป็นวัยที่ต้องได้รับการดูแลและใส่ใจสุขภาพมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ

ไม่ว่าทั้งทางด้านสุขภาพและทางอารมณ์ ดังนั้นบรรดาลูกหลานหรือคนใกล้ชิดไม่ควรละเลย

หรือเบื่อหน่ายที่ต้องดูแลผู้สูงอายุ เพื่อที่ท่านจะได้มีความสุขและมีสุขภาพที่ดี อายุยืนยาวค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

EYE CARE TIPs

โรคตาแห้ง ตาขี้เกียจ ตาบอดกลางคืน ตาแดง

พฤติกรรมทำร้ายดวงตา l ปรสิตจากคอนแทคเลนส์ l ดวงตา...บอกโรค l ขนตาปลอม

สายตายาว l สายตาสั้นมากๆ  l ทดสอบสายตาง๊ายง่าย l โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม

เบาหวานขึ้นตา  l ต้อกระจก l ต้อหินเฉียบพลัน l ตาเสื่อมก่อนวัย

ประโยชน์ของผักอื่นๆ 

เกรปฟรุต  l  หน่อไม้ฝรั่ง  l  ฟักทอง  l  ลูกพรุน  l แครอทสุก  l  ผลโกจิเบอร์รี่  

มะเขือเทศสีเหลือง  l  ผักกาดเขียว มะละกอ l มัลเบอร์รี่  l ถั่วลันเตา l มะรุม 




Create Date : 10 มิถุนายน 2559
Last Update : 10 มิถุนายน 2559 11:03:09 น.
Counter : 813 Pageviews.

2 comment
ทำความรู้จัก กลุ่มของโรคตา ต้อ มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร



"ตาต้อ" เป็นกลุ่มของโรคตา "ต้อ" ที่มีลักษณะแตกต่างกัน วันนี้มาทำความรู้จัก "ตาต้อ"

 โรคต้อของตามีกี่โรค และมีความแตกต่างกันอย่างไร

 ตอบ คำว่าต้อเป็นคำทั่วไปหมายถึงตา ดังนั้น เมื่อบอกว่าเป็นโรคต้อ ต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นโรคต้อชนิดใด ที่พบบ่อย ๆ และควรทราบ เรียงลำดับตามความรุนแรงจากน้อยไปมาก ดังนี้

         มีลักษณะเป็นเยื่อสีขาวหรือขาวเหลืองบริเวณตาขาวข้าง ๆ ตาดำ เกิดจากการถูกสิ่งระคายเคืองต่อเยื่อบุตา (เช่น ลม ฝุ่น แสงแดด) มาเป็นเวลานาน มักทำให้มีอาการเคืองตาง่าย ไม่ทำให้ตามัวหรือบอด


         โรคต้อเนื้อเป็นโรคที่ต่อเนื่องมาจากโรคต้อลม แต่เยื่อบุตาลามเข้ามาถึงบริเวณกระจกตาดำ (cornea) เป็นลักษณะคล้ายเนื้อเยื่อสีขาวออกแดงบริเวณกระจกตาด้านหัวตาหรือหางตา เกิดจากการถูกสิ่งระคายเคืองมาเป็นเวลานานหลายปี ทำให้มีอาการเคืองตาและตาแดงบริเวณต้อเนื้อ เมื่อถูกสิ่งระคายเคือง ไม่ทำให้ตามัวหรือบอด

            โรคต้อกระจกเป็นโรคที่เกิดจากการขุ่นของเลนส์แก้วตา (lens) ในลูกตา ทำให้การมองเห็นภาพมีลักษณะคล้ายเป็นหมอกหรือควันขาว ๆ บัง มักเป็นจากการเสื่อมสภาพของเลนส์ตาตามอายุ แต่อาจเป็นตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดหลังอุบัติเหตุต่อดวงตาก็ได้ มักทำให้ตามัวมากขึ้นเรื่อยจนอาจมองไม่เห็นในที่สุดถ้าไม่ได้รับการรักษา

4) โรคต้อหิน (Glaucoma) ต้อหินเป็นโรคที่มีความดันในลูกตาสูงจากการระบายออกของน้ำเลี้ยงในลูกตา (aqueous) น้อยผิดปกติ ทำให้ลูกตาแข็งขึ้น จนกระทั่งกดขั้วประสาทตา (optic disc) ทำให้มีการเสียของลานสายตาการมองเห็น จนกระทั่งตาบอดสนิทได้ในที่สุดอันตรายที่สุด 


ส่วนโรคต้ออื่น ๆ ที่เป็นภาษาเฉพาะถิ่น เช่น ต้อลิ้นหมา คือต้อเนื้อ หรือโรคต้อลำไย คือต้อหินแต่กำเนิด เป็นต้น


โรคต้อลม สาเหตุเกิดจากลม การใส่แว่นจะป้องกันโรคได้หรือไม่

 ตอบ สิ่งระคายเคืองที่เป็นสาเหตุของโรคต้อลม เป็นไปได้ทั้งจากลม ฝุ่น หรือแสงแดดจ้า ๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นสาเหตุของโรคต้อลมแล้ว ยังทำให้ผู้ที่เป็นต้อลมอยู่แล้ว มีอาการเคืองตามากขึ้น ซึ่งต้อลมจะลุกลามมากขึ้นเมื่อสัมผัสกับสิ่งระคายเคืองดังกล่าว แว่นตามักช่วยกันลมเฉพาะจากทางด้านหน้า จึงไม่เพียงพอต่อการป้องกันทั้งลม ฝุ่น และแสงแดด ดังนั้น คำแนะนำที่ดีที่สุดจึงควรให้ผู้ป่วยพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลม ฝุ่น หรือแสงแดดจ้า ๆ จะเป็นประโยชน์มากกว่า


โรคต้อกระจก จำเป็นต้องเป็นทุกคนหรือไม่

 ตอบ โรคต้อกระจกเกิดจากการเสื่อมสภาพของเลนส์แก้วตา ทำให้เลนส์แก้วตาซึ่งควรมีลักษณะใส กลับมีสีขาวหรือขาวอมน้ำตาลมากขึ้น

          เมื่อมนุษย์ทุกคนมีอายุมากขึ้นจะต้องเกิดการเสื่อมของเลนส์ตาทุกคน เมื่อการขุ่นของเลนส์ตามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดปัญหาตามัวจะเรียกว่าเป็นโรคต้อกระจก ดังนั้น มนุษย์ทุกคนจะต้องเป็นต้อกระจกแน่นอน แต่อาจเป็นตั้งแต่อายุมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละบุคคล

โรคต้อกระจก สามารถใช้ยาหยอดรักษาให้หายได้หรือไม่

 ตอบ ปัจจุบันยังไม่มียาหยอดตา หรือยากินที่สามารถให้การรักษาโรคต้อกระจกให้หายขาดได้ การรักษาที่ได้ผลคือการผ่าตัด (หรืออาจเรียกว่าลอกต้อ) เอาเลนส์ตาธรรมชาติที่ขุ่นเป็นต้อกระจกออก และใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ โดยวิธีการเอาเลนส์ตาที่เป็นต้อกระจกออกอาจใช้วิธีดันออก หรือใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound) สลายออกก็ได้ แต่ยังไม่มีการใช้แสงเลเซอร์ในการผ่าตัดโรคต้อกระจก

โรคต้อหิน ต้องรักษาโดยการผ่าตัดเสมอไปหรือไม่ และการผ่าตัดทำเพื่อวัตถุประสงค์ใด

 ตอบ โรคต้อหินมีหลายชนิด ดังนั้นการรักษาจึงมีหลากหลายวิธี เช่น การใช้ยาหยลอดตาลดความดันตา ยากินลดความดันตา การใช้แสงเลเซอร์ และการผ่าตัดโดยในกรณีที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ไม่ใช่การผ่าเอาหินหรือของแข็งใด ๆ ออกจากตา แต่เป็นการผ่าตัดเพื่อเปิดทางระบายน้ำเลี้ยงในลูกตา (aqueous) ออกจากลูกตา ทำให้ความดันตาลดลงและไม่เป็นอันตรายต่อขั้วประสาทตา

 โรคต้อต่าง ๆ เป็นโรคกรรมพันธุ์หรือไม่

 ตอบ

โรคต้อลม  และ โรคต้อเนื้อ เป็นโรคที่เกิดจากการสัมผัสสิ่งระคายเคืองจึงไม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม

โรคต้อกระจก ในผู้สูงอายุเกิดจากการเสื่อมของเลนส์แก้วตาตามสภาพ ไม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่โรคต้อกระจกที่เกิดในเด็ก หรือเป็นแต่กำเนิดในบางรายอาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม

โรคต้อหิน อาจเป็นได้ทั้งเป็นและไม่เป็นโรคพันธุกรรม แต่ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคต้อหิน เมื่ออายุเกิน 40 ปี ควรได้รับการตรวจวัดความดันตากับจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเฝ้าระวังโรคต้อหินที่อาจเกิดขึ้นได้

Cradit

ปัญหาสุขภาพตากับราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ที่เว็บไซต์www.rcopt.org

EYE CARE TIPs

โรคตาแห้ง ตาขี้เกียจ ตาบอดกลางคืน ตาแดง

พฤติกรรมทำร้ายดวงตา l ปรสิตจากคอนแทคเลนส์ l ดวงตา...บอกโรค l ขนตาปลอม

สายตายาว l สายตาสั้นมากๆ  l ทดสอบสายตาง๊ายง่าย l โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม

เบาหวานขึ้นตา  l ต้อกระจก l ต้อหินเฉียบพลัน l ตาเสื่อมก่อนวัย




Create Date : 26 พฤษภาคม 2559
Last Update : 3 มิถุนายน 2559 14:51:23 น.
Counter : 1784 Pageviews.

2 comment
มัลเบอร์รี่ ลดน้ำหนัก ต้านมะเร็ง ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันความดันโลหิตสูง


มัลเบอร์รี่


มัลเบอร์รี (Mulberry) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Morus nigra. L. เป็นหนึ่งในพืชตระกูลเบอร์รี โดยคนไทยมักจะรู้จักกันในชื่อของลูกหม่อน เนื่องจากเป็นผลของต้นหม่อนที่ใช้ในการ เลี้ยงหนอนไหม  เป็นพืชยืนต้นประเภทไม้พุ่มขนาดกลาง เนื้อไม้อ่อน เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่เขตร้อน ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบ ไม่มีหนาม แต่มียางสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม ใบมีลักษณะขอบหยัก ปลายใบแหลม ฐานใบกลมหรือเป็นรูปหัวใจ ผิวใบสาก ก้านใบเรียวเล็ก ดอกเป็นรูปทรงกระบอก โดยจะออกตามซอกใบและปลายยอด ผลของหม่อน หรือลูกมัลเบอร์รี มีลักษณะเป็นผลรวมทรงกระบอก สีของผลเป็นสีเขียวอ่อน แต่เมื่อแก่เต็มที่จะมีสีแดงเข้ม ไปจนเกือบดำ มีรสหวานอมเปรี้ยว ทั้งนี้ มัลเบอร์รีมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ ได้แก่ มัลเบอร์รีสีขาว มัลเบอร์รีสีแดง และมัลเบอร์รีสีดำ มัลเบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ

คุณค่าทางโภชนาการของมัลเบอร์รีต่อ 100 กรัม

พลังงาน 43 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรต 9.80 กรัม  โปรตีน 1.44 กรัม ไขมัน 0.39 กรัม ไฟเบอร์ 1.7 กรัม โฟเลต 6 ไมโครกรัม วิตามินบี 3 0.620 มิลลิกรัม  วิตามินบี 6 0.050 มิลลิกรัม วิตามินบี 2 0.101 มิลลิกรัม  วิตามินเอ 25 ยูนิต วิตามินซี 36.4 มิลลิกรัม วิตามินอี 0.87 มิลลิกรัม วิตามินเค 7.8 ไมโครกรัม โซเดียม 10 มิลลิกรัม  โพแทสเซียม 194 มิลลิกรัมแคลเซียม 39 มิลลิกรัม  ทองแดง 60 ไมโครกรัม  ธาตุเหล็ก 1.85 มิลลิกรัม  แมกนีเซียม 18 มิลลิกรัม สังกะสี 0.12 มิลลิกรัม  เบต้แคโรทีน 9 ไมโครกรัม ลูทีน-ซีแซนทีน 136 ไมโครกรัม

มัลเบอร์รี มีซีแซนทีนที่เป็นสารสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพดวงตา ซึ่งจะเข้าไปลดภาวะออกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นในดวงตา ป้องกันการเกิดจอประสาทตาเสื่อม อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รีก็ยังช่วยให้ดวงตาสดใส  รวมถึงวิตามินบี 1 วิตามินเอช่วยบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดต้อกระจก  ป้องกันแสงสีน้ำเงินเข้าทำลายเลนส์ตา  บำรุงเหงือและฟัน สร้างภูมิให้ระบบหายใจ บำรุงผิว ลดการอักเสบของสิว


มัลเบอร์รี่อาจลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่อไปนี้

1. มัลเบอร์รี่ มีสาร Anthocyanins ในปริมาณมาก โดยสารชนิดนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ต่อต้านอาการขาดเลือดในสมอง ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง เป็นต้น

2. มัลเบอร์รี่ มีสาร Deoxynojirimycin ที่เป็นตัวช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

3. มัลเบอร์รี่ มีกาบา (GABA) ที่เป็นตัวช่วยลดความโลหิต

4. มัลเบอร์รี่ มีสาร Phytosterol ที่สามารถช่วยลระดับคอเลสเตอรอลได้

5. มัลเบอร์รี่ มีสาร Polyphenols ซึ่งเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประโยชน์กับร่างกาย

6. สารประกอบฟีนอลในมีอยู่ในผลมัลเบอร์รี่ สามารถช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านอาการอักเสบ อาการเส้นเลือดโป่งพอง และยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้

7. สาร Quercetin และสาร Kaempferol ที่มีอยู่ในผลมัลเบอร์รี่เป็นสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ โรคความดันโลหิต ช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรง เลือดหมุนเวียนดี ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด ป้องกันการดูดซึมของน้ำตาลในลำไส้เล็ก ยับยั้งการเกิดสารก่อมะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยยืดอายุเม็ดเลือดขาว และลดอาการแพ้ต่างๆ

ข้อมูลอ้างอิง :

มัลเบอร์รี่ ผลไม้ลูกเล็กเปี่ยมประโยชน์ | เดลินิวส์

Mulberries 101: Nutrition Facts and Health Benefits




Create Date : 08 เมษายน 2559
Last Update : 3 มิถุนายน 2559 14:51:38 น.
Counter : 1498 Pageviews.

0 comment
โรคตาแห้ง ดูแลไม่ถูกวิธี อาจอันตรายต่อกระจกตาโดยตรง



มารู้จักกับโรคตาแห้ง

น้ำตา มีความสำคัญในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ช่วยให้เรามองเห็นภาพชัดเจนโดยทำให้แสงผ่านกระจกตาได้ดี และนำออกซิเจนมาเลี้ยงกระจกตา รวมทั้งช่วยป้องกันการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอม  โดยอาการเหล่านี้อาจเริ่มเป็นเพียงข้างเดียวก่อนแล้วจึงลุกลามไปอีกข้างหนึ่ง

ตาแห้ง พบได้บ่อย เกิดจากความผิดปกติของน้ำตา อาจมีปริมาณน้ำตาไม่เพียงพอหรือมีการระเหยของน้ำตาที่มากเกินไป ก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่ผิวกระจกตาและเกิดอาการไม่สบายตา

อาการที่บอกว่า ตาเราเริ่มแห้ง อาจมีตั้งแต่แสบตา ระคายเคืองตา เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา ตาแดง เจ็บ พร่ามัวลงแต่ดีขึ้นเมื่อกระพริบตา หรือรู้สึกฝืดๆ หนักๆตา ลืมตาลำบาก ล้าหรือมีอาการน้ำตาไหลมากก็เป็นได้

สาเหตุของการเกิดตาแห้งนั้นมีหลากหลาย ได้แก่ อายุที่เพิ่มมากขึ้น เพศหญิงพบได้บ่อยกว่า ยาบางชนิด เช่น ยารักษาภูมิแพ้ การเพ่งหรือใช้สายตาติดต่อกันนานๆ เช่นใช้คอมพิวเตอร์ การอยู่ในที่ๆมีฝุ่นละอองและควัน ลมแรงและแสงจ้า ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ หรือหลังทำเลสิกระยะแรก หรือจากโรคบางชนิด เช่น เบาหวาน ผิวตาเสื่อมจากสารเคมีหรือหลังการแพ้ยาแบบรุนแรง

วิธีการรักษาตาแห้งมีหลากหลาย ดังนี้

1.หลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้เกิดอาการ เช่น เลี่ยงการโดนลมแรง ฝุ่นควัน แสงจ้า ด้วยการใส่แว่นกันแดด กันลม หลีกเลี่ยงการใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานานๆ

2.พักสายตาหรือกระพริบตาบ่อยๆ หรือหลับตาพักเป็นระยะๆ อย่างน้อย 1 นาที ทุก ½ - 1 ชั่วโมง หากต้องใช้สายตาติดต่อกันนานๆ

3.ใช้น้ำตาเทียมซึ่งมีหลายชนิด มีทั้งชนิดน้ำและชนิดขี้ผึ้งหรือเจล 
น้ำตาเทียมจะแยกเป็นชนิดที่มีสารกันเสีย (รูปแบบขวด) ไม่ควรหยอดเกิน 4-5 ครั้งต่อวัน
หรือชนิดที่ไม่มีสารกันเสีย (แบบกระเปาะ) ซึ่งสามารถใช้ได้บ่อยๆ
โดยการเลือกน้ำตาเทียมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ เนื่องจากแต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกัน

4.การใช้ยาหยอดบางชนิดเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำตา เช่น cyclosporine หรือการใช้ยารักษาภาวะเปลือกตาอักเสบที่พบเป็นสาเหตุของน้ำตาระเหยเร็ว ร่วมกับการให้ประคบอุ่นทำความสะอาดขอบตา

5. การอุดท่อระบายน้ำตาที่บริเวณหัวตา ทำให้น้ำตาอยู่ในดวงตาเพิ่มขึ้น มีทั้งแบบชั่วคราวและถาวร ใช้ในรายที่มีอาการตาแห้งรุนแรงหรือเรื้อรัง

ภาวะตาแห้ง นอกจากก่อให้เกิดอาการไม่สบายตา แสบตา เคืองตา ตาสู้แสงไม่ได้ ทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่แล้ว อาจก่อให้เกิดโรคตาตามมาได้อย่างอื่น เช่น

  • กระจกตาถลอก ผิวกระจกตาอาจหลุดลอกออกมา ยิ่งก่อให้เกิดความเจ็บ ปวดมากขึ้น อีกทั้งมีโอกาสติดเชื้อต่างๆได้ง่ายขึ้นด้วย เช่น เชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น
  • เนื้อเยื่อชั้นเนื้อเยื่อบุผิว (Epithelium) ของเยื่อตา และของกระจกตามีการเปลี่ยนแปลง ผิวลูกตาจะดูไม่สดใส
  • กระจกตาเป็นแผล เกิดเป็นจุดๆทั่วไป ซึ่งทำให้เจ็บตา ตาสู้แสงไม่ได้
  • กระจกตาเป็นแผล ติดเชื้อต่างๆได้ง่าย 
  • มีหลอดเลือดเกิดใหม่เข้ามายังกระจกตา ทำให้กระจกตาขุ่นขาว ไม่ใส ทำให้ตาแดง และตาพร่ามัวลง
  • เมื่อเป็นตาแห้งนานๆเข้า กระจกตาจะเกิดเป็นแผลเป็น บางลง และบางรายถึงขั้นกระจกตาทะลุได้

อย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพตาให้ชุ่มชื้นด้วยนะคะ ถ้าสงสัยว่าตาเราแห้งหรือไม่ สามารถมาพบจักษุแพทย์เพื่อวินิจฉัยและให้การรักษาต่อไป

ข้อมูลจาก :: โรคตาแห้ง

ตาขี้เกียจ รักษาก่อนหมดโอกาส l สายตายาวก็ทำเลสิคได้นะ l ตาบอดกลางคืน เป็นแบบไม่รู้ตัว

ตาแดงร้ายแรงถึงขั้นตาบอดได้ l ขนตาปลอม ทำตาบอดได้ l พฤติกรรมทำร้ายดวงตา

ปรสิต จากคอนแทคเลนส์ หวิดบอด l ดวงตา...บอกโรค l เบาหวานขึ้นตา กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็บอดซะแล้ว

ทดสอบสายตาง๊ายง่าย l ตาเสื่อมก่อนวัยอันควร




Create Date : 06 เมษายน 2559
Last Update : 3 มิถุนายน 2559 14:52:01 น.
Counter : 1100 Pageviews.

3 comment
1  2  3  4  5  

salinta
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



หมีชอบกินปลาแซลม่อนที่ว่ายทวนน้ำ...
All Blog