Open my world : Last day; from Neuschwanstein to Thailand
วันสุดท้ายของทริปการมาดูงานที่ยุโรปมาถึง เป็นทริปที่ได้ประสบการณ์มากมายทั้งเรื่องงาน และประสบการณ์ชีวิต เรื่องประทับใจและไม่ประทับใจมีให้เจอได้ตลอดทั้ง 10 วัน โชคดีของเราที่ได้โอกาสดีๆแบบนี้ครั้งหนึ่งในชีวิต

วันนี้จะเป็นวันที่เราจะต้องเดินทางกลับกรุงเทพแล้ว แต่ ... แหม !!! ถ้ามาถึงเยอรมันแล้วไม่ได้ไปที่นี่ การมาเยอรมันคงไม่สมบูรณ์ ดังนั้นบริษัททัวร์ก็ต้องจัดโปรแกรมบังคับโปรแกรมสุดท้ายของการมาเยือนเยอรมัน นั่นก็คือการไปชมปราสาท Neuschwanstein

เราต้องรีบทำเวลาในช่วงเช้า check out กินข้าวเช้า ให้เสร็จโดยไว เพราะต้องออกจากโรงแรมประมาณ 8 โมง เมื่อคืนฝนตกหนัก เลยไม่ได้ถ่ายรูปโรงแรม Marriott hotel freising munich airport ก่อนออกเดินทางวันนี้ก็เลยเก็บรูปไว้เป็นหลักฐาน ไหนๆก็โรงแรมสุดท้ายแล้ว



เราเดินทางสู่ปราสาท Neuschwanstein โดยออกจากมิวนิกไปยังหมู่บ้าน Hohenschwangau ที่อยู่ใกล้กับเมือง Schwangau และเมือง Füssen ใช้เวลาเกือบ 2 ชม. ก็มาถึงหมู่บ้าน Hohenschwangau ระหว่างทางก็ได้เห็นวิวบรรยากาศแบบชนบทของเยอรมันอีกครั้ง ได้เห็นบ้านที่ไกด์บอกว่าเป็นแบบดั้งเดิมของชาวชนบทเป็นหลังคาแหลมสีดำ หน้าต่างแดง เราไม่มีความรู้เรื่องนี้ ก็เชื่อไกด์ไปก่อนละกัน 555

พอมาถึงหมู่บ้าน Hohenschwangau ก็ได้รู้สึกถึงการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของที่นี่ เพราะผู้คนคึกคักทีเดียว ได้เห็นปราสาทอยู่ไกลลิบๆ จากถนน



วันนี้เราพลาดที่ไม่รู้จักที่นี่ดีพอ ทุกวันเราจะใส่เสื้อหนาวที่ค่อนข้างหนา แล้วก็ต้องถอดเพราะอากาศไม่หนาวขนาดนั้น (ยกเว้นวันฝนตก) วันนี้ก็เลยลงจากรถมาด้วยการใส่เสื้อกันหนาวแบบบางๆเท่านั้น ส่วนเสื้อกันหนาวตัวหนาแพ็คใส่กระเป๋าไปแล้ว เมื่อลงจากรถมาก็รู้ตัวว่าพลาดแล้ว เพราะอากาศเย็นทีเดียว ยิ่งเห็นคนแถวนั้น ใส่เสื้อกันหนาวกันเต็มสตรีม แถมมีถือไม้สกีอีกต่างหาก โอ้วววว .... จิตตกเล็กน้อย จะไม่หนาวได้ไงก็ที่นี่อยู่ใกล้เทือกเขาเอลป์ ยิ่งขึ้นไปบนปราสาทจะยิ่งหนาวเพราะจะเข้าใกล้เทือกเขาขึ้นไปอีก โชคดีได้ถุงมือจากน้องในคณะ ช่วยให้อุ่นได้มากขึ้นทีเดียว

ปราสาท Neuschwanstein สร้างโดยพระเจ้า Ludwig II ซึ่งก็อยู่ใกล้กับปราสาท Hohenschwangau
ที่เป็นปราสาทเดิมที่พระเจ้า Ludwig II อยู่ตอนเด็กๆ ซึ่งปราสาท Hohenschwangau สร้างโดย พระเจ้า Maximilian II พระบิดาของพระเจ้า Ludwig II ซึ่งถ้ามีเวลาก็สามารถไปชมได้ทั้ง 2 ปราสาท ซึ่งปราสาท Hohenschwangau จะอยู่ใกล้กว่า ปราสาท Neuschwanstein



การเดินทางขึ้นไปยังปราสาท Neuschwanstein สามารถขึ้นไปได้ 3 ทางคือ
1. เดิน ที่เราเห็นคนถือไม้สกีก็คือคนที่เดินขึ้นไปยังปราสาท ไม้สกีเขาเอามาช่วยในการทรงตัวในการเดินขึ้นเขา
2. นั่งรถม้า ราคา uphill journey 5 euros / downhill journey 2.50 euros
3. นั่งรถบัส ราคา uphill journey 1.80 euros / downhill journey 1 euro / return ticket: 2.60 euros

วันนี้ไกด์จะพาขึ้นปราสาทด้วยการนั่งรถม้า พวกเราไปรอขึ้นรถม้าที่หน้าร้านขายของที่ระลึก ที่มี display เล็กๆ โชว์สินค้าน่ารักดี



รถม้าดูดี ม้าตัวโตมาก ขึ้นได้ครั้งละน่าจะไม่เกิน 10 คน แต่ละเที่ยวของการเดินทางใช้เวลาหลายสิบนาทีและคนที่รอจะขึ้นรถม้าก็คิวยาวทีเดียว



เนื่องจากเราต้องรีบทำเวลาเพราะต้องขึ้นเครื่องกลับวันนี้ ในที่สุดไกด์ก็ตัดสินใจไม่รอรถม้า พาพวกเราขึ้นรถเมล์แทน เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะตกเครื่องบินกันยกคณะ ซึ่งรถเมล์ก็คนเยอะใช่ย่อย ยืนเบียดกันยังกะรถเมล์บ้านเราแน่ะ



รถส่งคนที่จุดรับ-ส่ง แล้วก็ต้องเดินต่อไปอีกหน่อย ซึ่งจะมีจุดชมวิวให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปมุม bird’s eye-view มองลงมาเห็นปราสาท Hohenschwangau กับทะเลสาบ เป็นมุมที่สวยดี



เดินจากจุดลงรถไปตามทางเดินอีกหน่อยก็จะได้เห็นปราสาท Neuschwanstein ซึ่งทางเดินจะเป็นทางเดินเลาะเลียบกำแพงปราสาทไปยังประตูด้านหน้า ซึ่งก็เป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวหยุดถ่ายรูปกันเยอะ





เดินเข้าประตูปราสาทมาก็จะได้เจอลานด้านหน้าปราสาทซึ่งคนจะมารอเข้าปราสาทตามคิวบนตั๋ว



ที่นี่จะมี 3 ช่องเรียกคิว



ระหว่างรอคิว ผู้คนที่รอก็จะถ่ายรูปบริเวณลานด้านหน้า และจะมีบันไดให้ขึ้นไปถ่ายตัวปราสาทได้ แต่จะมีรั้วกั้นไม่ให้เข้าไปใกล้ปราสาท

ปราสาท Neuschwanstein ได้ชื่อว่าเป็นปราสาทต้นแบบของปราสาทแห่งเทพนิยาย เช่นปราสาทของซินเดอเรลล่า หรือปราสาทของดิสนีย์แลนด์ เนื่องจากพระเจ้า Ludwig II เป็นกษัตริย์ที่ช่างฝัน รักความสวยงาม มีจินตนาการมากมาย ปราสาท Neuschwanstein จึงไม่เหมือนกับปราสาทอื่นที่สร้างในสมัยนั้น และความแตกต่างนี้จึงเป็นจุดขายในปัจจุบันของ ปราสาท Neuschwanstein





การเข้าชมปราสาทจะแบ่งเป็นกลุ่มตามคิวตั๋วที่ซื้อ เมื่อเข้าไปข้างในก็จะแบ่งเป็น 2 ภาษาตามไกด์คือ ไกด์ภาษเยอรมัน กับ ภาษาอังกฤษ น่าเสียดายที่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปภายในปราสาท และคนที่เข้าชมทุกคนก็รักษากฎดีมากไม่มีใครแอบถ่ายรูปซักคน

ปราสาท Neuschwanstein จะมี4 ชั้น และมีมากมายหลายห้อง เมื่อเริ่มเข้าไปในปราสาทก็จะได้ชมห้องโถงแรกที่เขาเรียกว่า Lower hall เดินต่อไปก็จะเจอ Throne hall ซึ่งเป็นที่ออกว่าราชการ ซึ่งการตกแต่งสวยงามตระการตามาก

จาก Throne hall ก็จะเดินขึ้นบันไดผ่านห้องเสวย ห้องบรรทมของพระเจ้า Ludwig II ซึ่งวิวที่มองจากหน้าต่างห้องบรรทมจะเห็น The Marienbrücke ซึ่งเป็นสะพานเหล็กสร้างขึ้นเหนือ the Pöllat Gorge ซึ่งสามารถเดินไปชมวิวที่สะพานนี้ได้ ถ้าแข็งแรงพอ



จากห้องนอนก็จะผ่านห้องสวดมนต์ ห้องแต่งตัว ห้องทรงงาน ซึ่งแต่ละห้องก็จะตกแต่งหรูหรา อลังการมาก นอกจากนั้นก็จะมีมุมสำหรับนั่งชมวิวภายนอกของปราสาทเป็นจุดๆ

เมื่อเดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้น 4 ก็จะเป็นห้อง Singers’ hall ซึ่งพระเจ้า Ludwig II ตั้งใจสร้างไว้สำหรับชมการแสดงดนตรี เพราะพระองค์โปรดชมการแสดงโอเปร่ามาก แต่พระองค์ก็ไม่ได้ใช้ห้องนี้เพราะห้องนี้สร้างยังไม่เสร็จ พระเจ้า Ludwig II ก็สวรรคตก่อน ซึ่งแน่นอนห้องนี้ก็เป็นอีกห้องที่อลังการมาก และยังได้ใช้งานจริงในปัจจุบัน เพราะจะมีการแสดงดนตรีที่ห้องนี้ทุกปี

ห้อง Singers’ hallเป็นจุดสุดท้ายที่ให้เข้าชมของปราสาท Neuschwanstein จากนั้นก็จะเดินลงมายังชั้นล่างเพื่อออกจากตัวปราสาท แต่ก่อนออกก็จะได้ผ่านห้องครัว และโมเดลจำลองของ ปราสาท Neuschwanstein รวมถึงร้านขายของที่ระลึกของปราสาท Neuschwansteinด้วย ต้องยอมรับว่าที่ปราสาท Neuschwanstein สวยสมคำร่ำลือและทางเยอรมันก็มีการจัดการที่รักษาปราสาทไว้ได้ในสภาพที่ดีมาก ทั้งๆที่มีผู้คนมากมายขึ้นมาที่นี่ ขนาดวันที่เราไปไม่ใช่วันหยุด คนยังเยอะมากทีเดียว



เราใช้เวลาในปราสาทน่าจะประมาณเกือบชั่วโมงเอง ก็ออกจากตัวปราสาทและนั่งรถกลับลงมาเพื่อไปกินอาหารมื้อสุดท้ายที่เยอรมันของทริปนี้ ซึ่งก็เป็นร้านอาหารที่ข้างล่างนั่นแหละ



ร้านนี้น่าจะเป็นที่นิยมพอสมควร เพราะคนเยอะใช่เล่น อาหารวันนี้เป็นชุดอาหารฝรั่งเช่นเคย เริ่มด้วยสลัดผักสดจานนี้



โดยเสริฟพร้อมขนมปังตะกร้านี้ แต่ขนมปังนี้แบ่งกันกินทั้งโต๊ะนะ



จากนั้นตามด้วยไส้กรอกเยอรมันต้นตำรับที่มาพร้อมกับมันฝรั่งนึ่ง รสชาติดีทีเดียว



ปิดท้ายด้วยสิ่งที่คาดไว้แล้ว และก็เป็นจริง “พายแอ๊ปเปิ้ล”


สรุปทริปนี้กินพายแอ๊ปเปิ้ลแทบทุกวัน เพราะบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าของแต่ละโรงแรมก็มีพายแอ๊ปเปิ้ล กินจนเบื่อกันไปข้างนึง

หลังจากอิ่มแล้วก็ได้เวลาเคลื่อนพลสู่สนามบินมิวนิกเพื่อเดินทางกลับ ตอนก่อนมารู้สึกว่าน่าจะนาน แต่พอถึงวันสุดท้ายเวลามันผ่านไปเร็วเหมือนกัน แป๊บเดียว 10 วันละ ในที่สุดช่วงชีวิตที่เหมือนฝันกลับการได้ไปเหยียบแผ่นดินยุโรปก็จบลง กลับสู่โลกแห่งความจริงที่ต้องดิ้นรนกันต่อไปที่กรุงเทพ

บรรยากาศที่สนามบินมิวนิกก็ชวนให้ใจหายดีจริง เพราะฝนตกหนักมากจนเครื่องที่จะกลับดีเลย์ และฟ้าหลังฝนก็ทำให้เราได้มีโอกาสเห็นสิ่งๆนี้ ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น “รุ้งกินน้ำที่สนามบินมิวนิก”



เมื่อฝนหยุดเครื่องบินสามารถขึ้นได้ การดูงานครั้งนี้ก็ต้องสิ้นสุดลงจริงๆ และภาพสุดท้ายที่ได้เห็นบนแผ่นดินยุโรปก็คือ เทือกเขาแอลป์ที่ทอดตัวยาวขาวโพลนอยู่เบื้องล่างเมื่อมองลงไปจากเครื่องบิน เป็นอีกหนึ่งภาพประทับใจที่คงไม่มีวันลืม





Create Date : 17 ตุลาคม 2551
Last Update : 17 ตุลาคม 2551 17:57:51 น.
Counter : 1634 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

อื่นๆอีกมากมายที่ไม่รู้
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



อื่นๆอีกมากมาย....

มากมาย .... ที่ไม่รู้

อาจจะจริงเราเห็นอยู่

แต่เผื่อใจไว้ที่ยังไม่เห็น
Group Blog