All Blog
ความอร่อยที่กลิ้งไปมาอยู่ในปาก ..... "คั่วกลิ้งเรนดัง"
"คั่วกลิ้ง" ถือเป็นอาหารพื้นเมืองของทางภาคใต้ หลักๆคือเป็นการผัดเนื้อสับกับพริกแกงจนแห้งสามารถกลิ้งไปกลิ้งมาในกระทะ ตบท้ายด้วยข่าใบมะกรูดและเม็ดพริกไทยสด กินแกล้มกับผักแนมและข้าวสวย ใช้เป็นอาหารเสบียงเวลาเดินทางใกล้ เพราะสามารถเก็บไว้ได้นาน 

แต่คั่วกลิ้งนั้นมีหลากหลายสูตรประจำบ้าน บางบ้านก็แค่คั่วกับน้ำเปล่า บางบ้านเติมน้ำซุป บางบ้านก็เติมกะทิลงไปเพื่อให้มีกลิ่นหอมอวลๆของมะพร้าว โดยทางแถบประเทศเพื่อนบ้านทางฝั่งมลายูอย่างชาวมาเลย์และอินโด ก็มีเมนูการคั่วเนื้อสับกับพริกแกงที่เรียกว่า "เรนดัง" โดยจะมีการใส่กะทิลงไปคั่วจนแห้ง เกิดกลิ่นหอมมะพร้าวอันเป็นเอกลักษณ์

จากสูตรคั่วกลิ้งโบราณของท่านย่าเขียนภริยาเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ระบุว่าจะต้องผัดพริกแกงคั่วกลิ้งกับหัวกะทิก่อน แล้วจึงค่อยใส่เนื้อสัตว์ลงคั่วทีหลัง แล้วจึงตบท้ายด้วยหัวกะทิอีกทีหนึ่งก่อนปิดไฟ แล้วซอยข่าอ่อนลงไปทั่วๆ ซึ่งสูตรดังกล่าวก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับการทำเรนดังของประเทศเพื่อนบ้านทางแถบมลายูเหมือนกัน


เริ่มต้นจากหมักเนื้อสับประมาณ 3 ขีด ด้วย ผงฟู 1/2 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ฟอง น้ำลายแป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ ประมาณ 3 ชั่วโมง แล้วเอามารวนน้ำมันไฟอ่อนๆในกระทะจนสุก


ตั้งกระทะไฟปานกลาง ใส่หัวกะทิผัดให้แตกมัน แล้วจึงใส่พริกแกงคั่วกลิ้งลงไปผัดให้เข้ากันจนหอม


ใส่เนื้อสับที่เตรียมไว้ลงผัด


เติมน้ำเปล่าให้พอท่วมเนื้อ แล้วเคี่ยวไฟกลางไปเรื่อยๆจนน้ำเริ่มแห้ง


พอน้ำแห้งได้ที่จนเนื้อเริ่มกลิ้งไปกลิ้งมาในกระทะ ก็ใส่ข่าอ่อนหั่นบาง ตะไคร้ซอย เม็ดพริกไทยอ่อน(พอดีหาไม่ได้ก็เลยใช้พริกขี้หนูหั่นแทน) ปรุงรสด้วยน้ำปลาตามชอบ ผัดให้เข้ากัน ปิดท้ายด้วยใบมะกรูดซอยแล้วจึงปิดไฟ


จัดใส่จานตกแต่งให้สวยงามตามชอบ กินแนมกับผัดสด ข้าวสวยร้อนๆ เนื้อวัวถูกคั่วจนหอมเครื่องแกงและกะทิแต่ก็ยังคงความมันฉ่ำและนุ่มอยู่ กินไปได้เนื้อสัมผัสที่หลากหลายทั้งจากเนื้อวัว ข่าอ่อน ตะไคร้ เม็ดพริก และใบมะกรูดรสชาติต่างๆพรั่งพรูอยู่ในปาก อร่อยเข้มข้นจัดจ้านเคี้ยวเพลิน ก็คือเมนูคั่วกลิ้งเรนดัง จานนี้นี่เอง


facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "
 



Create Date : 25 สิงหาคม 2564
Last Update : 25 สิงหาคม 2564 8:00:22 น.
Counter : 1005 Pageviews.

1 comment
อาหารญี่ปุ่นหลังยุคสงคราม ท่ามกลางความขาดแคลนยังมีของอร่อย ...... พิซซ่าญี่ปุ่น (โอโคโนมิยากิ)
โอโคโนมิยากิ หรือ พิซซ่าญี่ปุ่น เป็นอาหารที่เกิดขึ้นหลังช่วงยุคสงครามโลก โดยภายหลังจากที่จักรวรรดิญี่ปุ่นแพ้สงคราม สภาพเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นก็ทรุดลงอย่างหนัก เกิดสภาวะขาดแคลนอาหารและสิ่งอุปโภคบริโภค ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ 

การช่วยเหลือในเบื้องต้นคือการช่วยเหลือด้านอาหาร มีการนำเข้าแป้งสาลีจำนวนมากเข้ามาภายในประเทศ ชาวญี่ปุ่นในยุคนั้นยังไม่มีความรู้เรื่องขนมปัง จึงได้นำแป้งสาลีมาผสมกะหล่ำปลีซอยแล้วย่างกินคล้ายๆแพนเค้ก โดยชาวญี่ปุ่นในสมัยนั้นอาจจะได้แรงบันดาลใจจากขนมโบราณของญี่ปุ่นอย่าง fudoyaki ที่เป็นการย่างแป้งแผ่นบางๆแล้วราดน้ำซอสหวานๆ จึงได้ประยุกต์สูตรดังกล่าวแล้วกลายเป็นโอโคโนมิยากิในเวลาต่อมา

โอโคโนมิยากิในยุคแรกๆจะเป็นการผสมแป้งสาลีกับไข่และกะหล่ำปลีซอยเท่านั้น โดยอาจจะมีการใส่ผักดองลงไปผสมด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ แต่จะยังไม่มีการใส่เนื้อสัตว์ลงไปเพราะขาดแคลนแถมยังมีราคาสูง ส่วนตัวน้ำซอสในยุคนั้นจะเป็นการใช้ซอสเปรี้ยวแบบฝรั่งที่เรียกว่า worcestershire ซึ่งจะให้รสเปรี้ยวเพียงอย่างเดียวและมีความเหลวที่ไม่ข้น ภายหลังจึงมีการประยุกต์ใช้ถั่วหมักหวานมาผสม จนกลายเป็นซอสโอโคโนมิยากิแบบในปัจจุบัน

โอโคโนมิยากิจะแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ คือแบบโอซาก้าและแบบฮิโรชิม่า แบบโอซาก้าจะเป็นโอโคโนมิยากิแบบที่เห็นได้ทั่วๆไป เป็นการผสมแป้งกับส่วนผสมทุกอย่างแล้วนำลงย่างในคราวเดียว ราดด้วยซอสและมายองเนส โรยสาหร่ายกับปลาแห้ง ส่วนอีกแบบฮิโรชิม่า จะเป็นการผัดเส้นคล้ายยากิโซบะ แล้วโปะหน้าด้วยแป้งเครปบางๆกับกะหล่ำปลีฝอยเป็นกำๆ ปิดท้ายด้วยไข่ แล้วค่อยราดซอส แต่จะไม่มีการใส่มายองเนส


วันนี้เราจะทำโอโคโนมิยากิสไตล์โอซาก้า 
เริ่มต้นจากการซอยกะหล่ำปลีก่อน เน้นเอาเฉพาะส่วนใบ ไม่เอาส่วนแกนแข็งๆ


ผสมแป้งง่ายๆ ใช้แป้งชุบทอดสำเร็จ 100 กรัม น้ำซุป(อุณหภูมิห้อง) 100 กรัม ไข่ไก่ 2 ฟอง กะหล่ำปลีซอยประมาณครึ่งลูก ต้นหอมซอยเล็กน้อย ขิงซอยเล็กน้อย 
ถ้าใครจะใส่หมึกใส่กุ้งหรือส่วนผสมอื่นๆก็ใส่ลงไปตามชอบได้เลย
น้ำซุปสามารถใช้น้ำซุปหมู ซุปสาหร่าย หรือซุปเห็ดได้ตามชอบ ถ้าหากรู้สึกว่าแป้งข้นเกินไปก็สามารถเติมน้ำซุปเพิ่มได้ตามชอบ


ตั้งกระทะไฟกลางน้ำมันเล็กน้อย เทส่วนผสมลงย่างในกระทะ ปิดท้ายด้วยสามชั้นสไลด์ เอาน้ำแป้งเหลือๆมาเกลี่ยฉาบสามชั้นอีกสักหน่อย จากนั้นก็หาฝามาปิดแล้วย่างประมาณด้านละ 3-5 นาที


ซอสโอโคโนมิยากิ ผสมเองเลยง่ายๆแค่
ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว ซอสมะเขือเทศ อย่างละช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วดำหวาน น้ำตาล น้ำส้มสายชู อย่างละช้อนชา
ผสมให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกันไปเลย 
จะเพิ่มหรือลดส่วนผสมอันไหนก็ลองชิมดู


มาแต่งหน้ากันเลย เอาด้านที่มีเนื้อหมูหันขึ้น ฉาบซอสโอโคโนมิยากิให้ทั่วๆ บีบมายองเนสหรือน้ำสลัดครีมอีกชั้น โรยด้วยปลาทาโร่ทอดกรอบป่นละเอียด ปิดท้ายด้วยสาหร่ายเถ้าแก่น้อยซอยบางๆ ก็เป็นอันเสร็จพิธี กับโอโคโนมิยากิแบบบ้านๆ หาส่วนผสมได้ง่ายๆ แต่รสชาติระดับอลังการ

โอโคโยมิยากิผิวเกรียมๆเนื้อในฉ่ำๆมันๆ หนักด้วยเครื่องกะหล่ำปลีฝอยหวานๆ ขิงดองและต้นหอมซอยตัดรส อีกทั้งเนื้อสามชั้นนุ่มๆ ราดด้วยซอสรสเปรี้ยวหวานมันเค็มกลมกล่อม ตบท้ายด้วยปลาทาโร่ป่นและสาหร่ายเถ้าแก่รสชาติแสนอูมามิ 
นี่แหละโอโคโนมิยากิแบบบ้านๆ ที่สามารถหาส่วนผสมได้ง่ายๆ แต่รสชาติกลับอร่อยเหลือหลาย 
ความอร่อยที่เกิดมาท่ามกลางความอดอยาก ภายใต้สถานการณ์ที่ย่ำแย่ แม้จะยากลำบาก แต่ก็อาจจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นมาก็เป็นได้


facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "
 



Create Date : 17 สิงหาคม 2564
Last Update : 17 สิงหาคม 2564 8:50:20 น.
Counter : 1956 Pageviews.

1 comment
อาหารอเมริกัน แต่หากินไม่ได้ที่อเมริกา ...... "ข้าวผัดอเมริกัน"
ตอนสมัยยังเป็นเด็กเวลาไปนั่งตามร้านอาหารในโรงแรม หรือตามร้านอาหารฝรั่ง พ่อแม่ก็มักจะตัดรำคาญสั่งข้าวผัดอเมริกันให้ทานอยู่ร่ำไป เพราะมีทั้งข้าวผัดหวานๆ ไส้กรอก แฮม ไข่ดาว และไก่ทอด ทั้งหมดรวมกันอยู่ในจานเดียว เด็กคนไหนล่ะจะกล้าปฏิเสธ ยิ่งบางร้านแต่งจานออกมาซะน่ารักน่ากิน ทั้งข้าวผัดหน้าคุณหมี ไส้กรอกหัวคุณปลาหมึก ไข่ดาวห้าแฉกแหลมๆ ไก่ทอดหนังกรอบน่องโตๆ รู้สึกตัวอีกที เหล่าบรรดาสรรพสัตว์ก็พากันลงไปเที่ยวในท้องเสียแล้ว 55555

ทีนี้พอเห็นว่าชื่อ ข้าวผัดอเมริกัน(american fried rice) ก็เลยทึกทักว่ามันคืออาหารสัญชาติอเมริกันแน่ๆ อยู่มาวันหนึ่งได้มีโอกาสไปเที่ยวแดนตะวันตก นึกอยากกินก็เลยลองสั่งดู พนักงานรับออร์เดอร์ก็ทำหน้าเหว่อๆ กลับเข้าไปในครัวสั่งพักแล้วออกมาพร้อมกับข้าวผัดไข่ธรรมดาจานหนึ่ง กลายเป็นว่างงกันทั้งสนามทั้งพ่อครัวทั้งพนักงานเสิร์ฟทั้งลูกค้า กลับมาเมืองไทยจึงลองหาข้อมูลดูแล้วก็ถึงบางอ้อว่าที่แท้มันเป็นอาหารไทยประยุกต์นี่หว่า 55555

ความเป็นมาของข้าวผัดอเมริกามีกันอยู่หลายแหล่ง บางแหล่งเชื่อว่าเกิดมาจากภัตตาคารสนามบินดอนเมืองโดยผู้จัดการร้านในสมัยนั้นคุณหญิงสุรีพันธุ์ วันหนึ่งมีสายการบินจองอาหารเช้าไว้แต่เกิดยกเลิกเที่ยวบินกระทันหัน อาหารจึงเหลือทิ้งจำนานมาก เลยประยุกต์เอาอาหารเหลือเหล่านั้นมาเสิร์ฟคู่กับข้าวผัดแล้วตั้งชื่อว่า "ข้าวผัดอเมริกัน" ผลตอบรับกลับดีเกินคาดจนกลายเป็นหนึ่งในเมนูขายดีของภัตตาคารไปโดยปริยาย

อีกที่มาหนึ่งก็เชื่อว่า ในช่วงสมัยสงครามเย็นที่กองทัพอเมริกันมาตั้งฐานทัพแถวชายแดนไทย มีกุ๊กจีนประจำกองทัพได้เอาอาหารจีนกับอาหารอเมริกันมาประยุกต์รวมกัน คือมีทั้งข้าวผัดของจีนที่ใส่ซอสมะเขือเทศ และเหล่าบรรดาอาหารเช้าของอเมริกันอย่างไข่ดาว แฮม ไส้กรอก รวมถึงยังมีการใส่ไก่ทอดลงไปด้วย ผลตอบรับของทหารอเมริกันในกองทัพเป็นไปในแง่บวก เพราะเมนูนี้มีทั้งความคุ้นเคยและความแปลกใหม่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ครั้นแล้วจึงแพร่หลายและเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา


เตรียมเครื่องกันก่อนง่ายๆเลย ทอดไข่ดาวสวยๆสักฟอง แฮมกับไส้กรอกผ่าสวยๆเอาไปลวกน้ำเดือดๆให้พอสะดุ้งแล้วจึงเอามาย่างเนยในกระทะอีกรอบ ไก่ทอดวันนี้เอาแบบง่ายๆใช้สะโพกไก่เลาะกระดูกหั่นชิ้นหนาๆ หมักด้วยแป้งมันกับไข่ไก่สักพัก แล้วคลุกแป้งมันอีกรอบจึงเอาลงทอดให้พอเหลืองกรอบ


ตั้งกระทะไฟกลางใส่เนยพอประมาณ ผัดหอมใหญ่ กระเทียม ก้านขึ้นฉ่าย แครอท และพริกไทยให้ส่งกลิ่นหอม


ใส่ข้าวสวยลงไปผัด แนะนำให้ใช้ข้าวเก่าหุงทิ้งไว้ค้างคืน


ใส่ซอสมะเขือเทศ ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ ผัดให้เข้ากันแล้วปิดท้ายด้วยลูกเกดจึงปิดไฟพร้อมเสิร์ฟ


จัดใส่จานทานคู่กับเครื่องเคียงให้สวยงามตามชอบ ข้าวผัดเนื้อร่วนๆมันๆหอมๆ รสเปรี้ยวเค็มหวานสามรสลงตัว ทานคู่กับไข่ดาวไข่ขาววุ้นไข่แดงเยิ้ม ไส้กรอกผ่าแฉกเนื้อเด้งๆ แฮมหมูเนื้อนุ่มๆ และไก่ทอดผิวกรอบเนื้อฉ่ำ ถ้ากลัวจะเลี่ยนก็หาผักสลัดมาทานคู่กัน หรือจะเป็นผักสดหรือผักย่างอื่นๆก็ได้ รับรองว่าอิ่ม อร่อย หลากหลาย หวลรำลึกถึงวัยเด็กอย่างแน่นอน
การผสมผสานระหว่างวัฒนธรรม นำมาซึ่งอาหารอร่อย เหล่าเพื่อนร่วมโลกสมควรอยู่ด้วยกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แล้วสิ่งดีๆก็จะตามมาเอง


facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "
 



Create Date : 10 สิงหาคม 2564
Last Update : 10 สิงหาคม 2564 7:57:46 น.
Counter : 1309 Pageviews.

0 comment
จิ๋วแต่แจ๋ว "ต้มจิ๋วซี่โครงหมู"
"ต้มจิ๋ว" หรือ "แกงต้มจิ๋ว" เป็นอาหารชาววังที่เชื่อว่าถูกคิดค้นขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีตำนานเล่าว่า ครั้นในหลวงรัชกาลทรงพระประชวรและเบื่อพระกระยาหาร บรรดาเหล่าหมอหลวงและพ่อครัวจึงร่วมกันคิดค้นเมนูที่จะทำให้พระองค์เสวยได้คล่องคอ สุดท้ายจึงได้มาลงเอยที่เมนูต้มจิ๋วชามนี้นี่เอง 

เมนูต้มจิ๋ว หลักๆจะเป็นการต้มพวกสมุนไพรไทยแลคล้ายพวกเครื่องต้มยำต้มโคล้ง กับเนื้อสัตว์บกอย่างเนื้อวัว เนื้อหมู หรือเนื้อไก่ โดยจะมีการใส่พืชตระกูลหัวมันอย่างมันเทศ มันฝรั่ง หรือมันหวานลงไปด้วย จะเป็นเมนูคล้ายน้ำซุปรสไม่จัดนัก มีสรรพคุณทางยาและคุณค่าทางอาหาร เน้นซดให้คล่องคอ ไม่ต้องทานคู่กับข้าวเพราะมีการใส่หัวมันลงไปให้พอเคี้ยวได้เพลินๆ

แล้วทำไมถึงต้องชื่อว่า "ต้มจิ๋ว" มีนักภาษาศาสตร์เชื่อกันว่า คำว่า "จิ๋ว" อาจจะเพี้ยนมาจากคำว่า "จู่" "จู้" "จิ่ว" และสุดท้ายก็ลงเอยมาเป็นคำว่า "จิ๋ว" ในที่สุด เพราะในสมัยก่อน ชาวจีนที่อพยพมาอยู่ในแผ่นดินสยาม มักจะเรียกพวกต้มซุปต่างๆว่า "จู้" ดังเช่นในเมนู "จู้ขิง" หรือต้มซุปขิงนั่นเอง ดังนั้นในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีชาวจีนอพยพมาแผ่นดินสยามเป็นอันมาก การเรียกต้มซุปต่างๆว่า "จู้" หรือ "จิ๋ว" จึงกลายเป็นเรื่องปกติในสมัยนั้น และกลายมาเป็นชื่อเมนู "ต้มจิ๋ว" ไปโดยปริยาย


วันนี้จะทำต้มจิ๋วซี่โครง จึงเริ่มด้วยเอาซี่โครงมาต้มกับน้ำซุปจนเปื่อยนุ่มเสียก่อน ประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วจึงใส่มันเทศลงต้มอีกประมาณ 20 -30 นาทีจนสุกนิ่ม


ตั้งกระทะไฟกลางผัดกะปิ หอมแดงสับ ตะไคร้สับ ข่าสับ พริกไทย จนส่งกลิ่นหอม


เติมน้ำซุป ซี่โครงหมู และมันเทศ ที่เตรียมไว้ตอนแรกไปเคี่ยวให้เข้ากัน ปรุงรสด้วย น้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำตาล ให้ออกรสเปรี้ยวเค็มอ่อนๆมีหวานตบเล็กน้อย ทุบพริกขี้หนูกับซอยหอมแดงใส่ลงไปให้พอแสบลิ้นเล็กๆ


โรยใบกะเพรากับใบโหระพาลงไปอย่างละกำ แล้วปิดไฟ บีบมะนาวตบอีกเล็กน้อยก็เป็นอันเสร็จ


ต้มจิ๋วซี่โครงหมู น้ำซุปรสเปรี้ยวเค็มอ่อนๆอมหวานเล็กๆ ซดคล่องคอ มีรสเผ็ดร้อนตีลิ้นให้พอสะดุ้งลิ้นนิดๆ หอมกลิ่นสมุนไพรไทยนานาชนิดฟุ้งจมูก ซี่โครงหมูเปื่อยยุ่ยกับมันเทศเปื่อยนิ่ม เคี้ยวคู่กันเพลินๆสลับกับซดน้ำซุปแสนคล่องคอ 
มากสรรพคุณทางยาและคุณค่าทางอาหาร หนึ่งในเมนูอาหารชาววังที่สามัญชนก็เข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นชาววังหรือชาวบ้าน สุขภาพที่ดีและอาหารที่อร่อยก็ถือเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตไม่ต่างกัน เพราะเราต่างก็ยืนอยู่บนแผ่นดินแผ่นเดียวกันนั่นเอง


facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "
 



Create Date : 03 สิงหาคม 2564
Last Update : 3 สิงหาคม 2564 8:34:10 น.
Counter : 1656 Pageviews.

0 comment
ก็บอกมาเลยว่าจะเอากี่ถ้วย "ไก่สามถ้วย (ซานเปยจี)"
วันนี้จะมากล่าวถึงหนึ่งในอาหารที่มีชื่อเสียงของไต้หวัน "ซานเปยจี" หรือที่คนไทยมักเรียกกันติดปากว่า "ไก่สามถ้วย" แต่อย่าพึ่งไปจำสลับกับ "ไก่สามอย่าง" เมนูยอดฮิตของเหล่าคอสุรา เพราะมันเป็นคนละเมนูกันและทำมาจากไก่จริงๆ 55555

ประวัติศาสตร์ของเมนู ซานเปยจี มีตำนานจีนเล่าว่า แม่ทัพเหวินเทียนเสียงแห่งราชวงศ์ซ่ง ถูกกองทัพชาวมองโกลจับตัวไปประหาร มีหญิงแก่ผู้หนึ่งรู้สึกสงสารจึงได้นำเนื้อไก่ไปผัดกับซีอิ๊วมาให้ท่านแม่ทัพกินเพื่อเป็นอาหารมื้อสุดท้าย จากนั้นมาเมื่อถึงวันรำลึกถึงแม่ทัพเหวินเทียนเสียง ชาวจีนจึงกินไก่ผัดซีอิ๊ว หรือ ซานเปยจีเพื่อเป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของท่านแม่ทัพนั่นเอง

เมนูซานเปยจีถือเป็นเมนูที่มีชื่อเสียงของแถบมณฑลเจียงซี ทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง แต่โด่งดังข้ามประเทศไปถึงไต้หวัน โดยสูตรของทางไต้หวันจะมีการใส่ส่วนผสมอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นไปคือ "จินปู๋ห้วน" หรือที่คนไทยเรียกกันอย่างคุ้นหูว่า "ใบโหระพา" ทำให้มีกลิ่นและรสชาติที่โดดเด่นขึ้น ดังนั้นถ้าใครมีโอกาสไปไต้หวันก็อย่าลืมหาลิ้มลอง

แล้วคำถามอีกคำถามหนึ่งคือ ทำไมต้อง "สามถ้วย" โดยคำว่าสามถ้วยจะหมายถึง เหล้าหนึ่ง ซีอิ๊วดำหนึ่ง และซีอิ๊วขาวหนึ่ง รวมกันเป็นสามพอดี หรือสามารถหมายถึงเครื่องสมุนไพรหลักๆที่จะต้องใส่ลงไปคือ กระเทียมหนึ่ง ขิงหนึ่ง พริกไทยหนึ่ง ก็ได้เช่นกัน เพราะสูตรของจีนจะไม่ใส่ใบโหระพาลงไป


หั่นไก่ส่วนสะโพกประมาณ 3 ขีดเป็นชิ้นเล็กๆพอดีคำ เลาะกระดูก หมักง่ายๆด้วย ไข่ขาว น้ำละลายแป้งมัน น้ำมันพืช อย่างละหนึ่งช้อนโต๊ะ หมักทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง แล้วค่อยเอามาคลุกกับแป้งมันแล้วเอาลงทอดจนเหลืองกรอบ


ตั้งกระทะไฟกลาง ผัดพริกไทยเม็ด ขิงสับ และกระเทียมสับจนส่งกลิ่นหอม


เติมน้ำเปล่าแค่พอขลุกขลิก ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ เหล้าจีน อย่างละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ถ้าชอบหวานก็เดาะน้ำตาลเพิ่มลงไปอีกสักนิด เติมน้ำละลายแป้งมันลงไปเคี่ยวให้พอข้นนิดๆ


ใส่ไก่ที่เตรียมไว้ลงไปผัดพร้อมกับพริกชี้ฟ้าหั่นตามชอบ ผัดเร็วๆให้เข้ากันสักนาทีสองนาที


โรยใบโหระพาตบท้าย แล้วปิดไฟคลุกเคล้าให้เข้ากัน นับเป็นอันเสร็จพิธี
เนื้อสะโพกไก่ที่ถูกหมักจนนุ่มแล้วนำไปทอดจนผิวกรอบ ผัดคลุกเคล้ากับซอสซีอิ๊วหอมๆมันๆเค็มๆกลมกล่อม ตบท้ายด้วยใบโหระพาหอมๆ 
หนึ่งในเมนูในตำนานของประเทศจีนและไต้หวัน หวนรำลึกถึงแม่ทัพผู้มีบุญคุณกับแผ่นดิน สืบทอดความอร่อยมาสู่ชนรุ่นหลัง อาหารอร่อยย่อมไม่มีวันตายไปจากแผ่นดิน


facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "
 



Create Date : 27 กรกฎาคม 2564
Last Update : 27 กรกฎาคม 2564 8:30:25 น.
Counter : 1252 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  

เสือตะหลิว
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ผู้ชายธรรมดาๆที่รสชาติไม่ธรรมดา
just a man with a nice taste
New Comments