Group Blog
All Blog
ทำไมคนที่สติไม่ดีที่เค้าเดินตามข้างถนน เห็นกี่ปีๆ ก็ไม่ป่วยซักที
สงสัยมั้ยครับ ว่าทำไมเค้าเหล่านี้คุ้ยหาอาหารตามถังขยะกินก็จริง แต่ก็ไม่เคยเห็นพวกเค้าเหล่านี้นอนซม เห็นเป็นปีๆ ยังไงก็อย่างงั้น ไม่เคยเห็นเค้าต้องสั่งน้ำมูกให้เห็นเลย แต่ผมก็เชื่ออยู่อย่างว่าพวกเค้าคงไม่เคยได้กินนมอย่างแน่นอน แต่ก่อนอื่นอย่างน้อยแล้วเค้าเหล่านี้ไม่เคยที่จะเครียด ไม่ต้องคิดอะไรซึ่งก็สะท้อนให้เราเห็นภาพอะไรต่างๆมากมายและทำให้ย้อนมาคิดถึงตัวเองว่าวันนี้คุณเครียดอะไรนักหนา ปล่อยวางบ้างนะครับ บางเรื่อง ปัญหามันแก้ไม่ได้ก็หยุดอยู่แค่นั้นก็อาจจะกลายเป็นวิธีแก้ที่ดีก็ได้นะครับ ทีนี้มาเรื่องนมวัวอีกที นี่ก็เหมือนกับเป็นปัญหาอยู่ทุกวัน ก็อยากจะแข็งแรง แต่ว่าทำไมยิ่งดื่มนมยิ่งอ่อนแอลงทุกที
มาดูตัวอย่างนิดๆหน่อยๆนะครับ นมเป็นสาเหตุของโรคร้ายมากกว่า 50 ชนิด เช่น ภูมิแพ้ เบาหวาน กระดูกผุ ฯลฯ
รัฐบาลมาเลเซียจัดทำโครงการลดการบริโภคนมตั้งแต่ปี 1996 แล้วของเราล่ะครับ สนับสนุนกันใหญ่
จากงานวิจัยของหมอ อลัน ฟรายด์แมนกับทีม ได้ตรวจพบเปปไทด์ในปัสสาวะของเด็กที่เป็นออทิสติกซึ่งเหมือนกับสารกระตุ้นประสาทหลอนที่พบในพิษของกบที่มีพิษในอเมซอน ถ้าระบบย่อยอาหารของเด็กย่อยไม่ดี นั่นก็หมายความว่าการดื่มนมก็เป็นสาเหตุให้เกิดโรคออทิสติกนั่นเอง
จากหนังสือ Alternative Magazine,The Definitive Guide มีข้อความว่า เด็กในช่วงอายุ 6 เดือนแรก ถ้าเด็กกินนมวัวเด็กอาจจะเกิดการแพ้โปรตีน lactalbumin ในนมวัวจะทำให้ภูมิต้านทานของเด็กมีการทำลายเซลล์ของตับอ่อนที่เป็นตัวสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้เมื่อเด็กโตขึ้นจะเป็นเบาหวานง่ายกว่าเด็กคนอื่น
จากหนังสือ Food Allergy & Nutrition Revolution โดยนายแพทย์เจมส์ เบรลี่ย์ สรุปว่านมวัวเป็นสาเหตุของโรคต่างๆดังนี้
- เด็กเล็กๆ ปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ (ปวดท้อง colic)
- หูน้ำหนวก ทั้งแบบแก้วหูทะลุและไม่ทะลุ
- หอบหืด
- ไซนัสอักเสบ
- เลือดกำเดา
- ปวดหัว
- ท้องผูก ถ่ายอุจาระเป็นเม็ดๆ
- ฉี่รดที่นอน
- ออทิสติก สมาธิสั้น
- ลมพิษ ผื่นคันผิวหนัง (eczema)
- ข้ออักเสบรูมาตอยด์
- ภูมิแพ้และระบบทางเดินหายใจอักเสบเรื้อรัง
- นมทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กลดลง
- นมมีกรด arachidonic สูง ทำให้เกิดปัญหาหลอดเลือดอุดตันในเด็ก
ทีนี้ก็จะมีจากหนังสือ The Cancer Prevention Diet โดยบอกว่า สาเหตุของการเกิดมะเร็งเต้านมสัมพันธ์กับการกินนมวัว เนยและผลิตภัณฑ์ต่างๆของนมวัว ไข่ น้ำมัน อาหารมันๆ เพราะว่าวัวตัวเมียเท่านั้นที่มีนมเพราะฉะนั้นน้ำนมวัวก็จะเต็มไปด้วยไขมันและฮอร์โมนเพศเมีย ผู้หญิงที่ดื่มนมประจำก็รับไปเต็มๆ
และเค้าเองก็ได้ทำเปรียบเทียบระหว่างลูกคนกับลูกวัวไว้ด้วย
ลูกวัว เมื่อคลอดออกมาได้ 6 สัปดาห์ น้ำหนักจะขึ้น 75 ปอนด์
ลูกคน เมื่อคลอดออกมาได้ 6 สัปดาห์ น้ำหนักจะขึ้น 3 ปอนด์
ลูกวัว เมื่อคลอดออกมา สมองและระบบประสาทสมบูรณ์ 100%
ลูกคน เมื่อคลอดออกมา สมองและระบบประสาทสมบูรณ์ 23%
สารอาหารในน้ำนมวัวเพิ่มน้ำหนักและขนาดแตกต่างระหว่างคนและวัวตั้ง 20 เท่า เพราะฉะนั้นลองคิดดูครับ สารอาหารที่กระตุ้นน้ำหนักและขนาดแบบนั้นเหมาะกับคนหรือไม่และสารอาหารที่จะช่วยให้สมองเจริญเติบโตนั้นมีหรือไม่เพราะสมองลูกวัวเติบโตเต็มที่แล้ว
ยังมีอีกมากมายเกี่ยวกับนมวัว... ฟังแล้วขนลุกใช่มั้ยครับ เอาไว้มาต่ออีกนะครับ



Create Date : 06 พฤษภาคม 2553
Last Update : 6 พฤษภาคม 2553 16:43:52 น.
Counter : 887 Pageviews.

6 comment
ประสบการณ์ตรงจากการกินหวาน
อันนี้ขอเล่าประสบการณ์ตรงที่ผ่านมาเพียงระยะเวลาไม่นาน เดิมทีผมเองป่วยบ่อยครับ เป็นภูมิแพ้เป็นเรื่องธรรมดา น้ำมูกไหลตอนเช้าเป็นเรื่องปกติ หูบล็อกแทบไม่ได้ยินอะไรเป็นเรื่องธรรมดา
ผมก็เลยชอบออกกำลังมาตั้งแต่เด็กเพราะมันช่วยบรรเทาอาการต่างๆได้ แต่ปัจจุบันอายุก็มากขึ้นและยังเป็นโรคหัวใจสั่นพริ้ว (หัวใจห้องบนซ้ายเต้น 2 ครั้ง ห้องอื่นเต้น 1 ครั้ง) ทำให้ไม่สามารถออกกำลังหนักๆได้เหมือนตอนเด็กๆ แต่ก็ไม่ได้กินยาอะไร และก็ยังออกกำลังเยอะ ซึ่งคนอื่นอาจจะบอกว่าหนักก็ได้ ทีนี้มาต่อเรื่องอาหารครับ เนื่องจากว่าปกติผมเล่นแบดและหลังจากที่บาดเจ็บที่ไหล่ก็เลยต้องหาทางเปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่น ก็เลยเลือกเล่นเวทและก็มาเน้นเรื่องอาหารมากขึ้นก็ตอนนี้เอง โดยในนั้นก็จะเน้นการกินไก่ (ที่ไม่รู้ว่ามีฮอร์โมนอะไรบ้างที่ใช้เร่งการเจริญเติบโตของไก่ แต่ก็ช่างมันกินไป แล้วก็ปลา และก็ไม่พ้นเวย์โปรตีน) โดยปกติผมจะแพ้นมอยู่แล้ว ทานนมทีไรก็จู๊ดๆตลอด พอกินเวย์ไม่มีอาการท้องเสียแต่อาการอื่นๆก็ยังมีอยู่บ้างคือภูมิแพ้ทั่วๆไป
มาตรงนี้เลยดีกว่าเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา การกินอาหารคือจะมีเช้าก็ไข่ 4 ฟองแต่กินไข่แดงแค่ 1 ฟองนอกนั้นกินแต่ไข่ขาวโดยกินกับข้าวสวยปกติ 1 จาน กลางวันก็จะกินพวกต้มๆผัดๆแล้วแต่อยาก บ่ายมาก็จะมีเวย์โปรตีนโดยจะผสมกับน้ำผลไม้กล่องเล็ก 1 กล่องก็พอดี 1 แก้ว ช่วงนี้ยังไม่เท่าไหร่ครับ อาการก็จะมีแค่ภูมิแพ้ น้ำมูกไหลตอนเช้า หูบล็อก
หลังจากทานลักษณะดังกล่าวได้เดือนนึงอีกเดือนถัดมาก็เปลี่ยนครับ จากข้าวสวย เปลี่ยนเป็นข้าวโพด เช้า 2 ฝักกินกับไข่ 4 ฟอง แล้วก็บ่ายอีก 2 ฝักก็กินแทนข้าวไปเลย โดยที่เวย์โปรตีนก็ยังกินเป็นปกติโดยผสมกับน้ำผลไม้ อาการภูมิแพ้มีอยู่ แต่ที่เพิ่มมาคือ เวลาที่ผมหิว ผมจะสั่น มือสั่น ปากสั่น แต่พอกินอะไรหวานๆเข้าไป หายเลย....
ทีนี้มาช่วงสงกรานต์ก็กลับบ้านที่เชียงใหม่ ก่อนหน้านี้ก็ไปทำบุญมา อธิฐานอยู่ครับ ว่าขอให้อาการป่วยต่างๆหายไปซักที ก็เหมือนกับมีอะไรดลใจให้ผมไปเจอหนังสือที่คุณแม่ผมได้ซื้อมา ก็หนังสือของนายแพทย์เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ หนังสือ "ทำไมคุณถึงป่วย" นั่นแหละครับ จากการที่ได้อ่านแล้ว ผมหยุดกินเวย์โปรตีนทันที หยุดกินข้าวโพด... สั่นก็ทนเอา ก็มีกินอย่างอื่นไปด้วยเช่นน้ำอัดลม น้ำผักผลไม้นิดหน่อย ตอนนี้อาการภูมิแพ้ผมดีขึ้นเยอะครับ แทบไม่มีอาการน้ำมูกไหลตอนเช้า อาการหูบล็อกยังเป็นอยู่แต่ก็ดีขึ้นครับ ตอนนี้มีความสุขมากครับ อยากให้ท่านใดที่กำลังทรมานอยู่ได้มาอ่านเจอและได้ลองแล้วก็ขอให้ทุกท่านหายจากอาการป่วยอาการทรมานต่างๆนะครับ



Create Date : 29 เมษายน 2553
Last Update : 29 เมษายน 2553 12:33:14 น.
Counter : 605 Pageviews.

0 comment
ต่ออีกเรื่อง ความหวานกดการทำงานของเม็ดเลือดขาว
ให้เข้าใจตรงๆ ก็คือความหวานกดการทำงานของภูมิต้านทาน โดยอ้างอิงจาก หนังสือของนายแพทย์ Jame Braly โดยแปลได้ว่า ในบางคนน้ำตาลกดการทำงานของเม็ดเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นตัวหลักของภูมิต้านทาน (เม็ดเลือดขาวมีหน้าที่สำคัญคือคอยทำลายเชื้อโรค และปกป้องร่ายกายจากสิ่งแปลกปลอม) ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคุณกินน้ำอัดลม 1 กระป๋อง หรือกาแฟใส่น้ำตาล 1 ถ้วย แล้วตามด้วยขนมหวานอีก 1 ชิ้น เม็ดเลือดขาวของคุณจะทำงานลดลง 75% และจะเป็นอยู่อย่างนี้นาน 6-8 ชั่วโมงกว่าจะกลับมาทำงานตามปกติ และจากหนังสือ Low Carb Energy โดยแพทย์หญิง Christine Horner โดยแปลได้ว่า นักวิจัยพบว่าการกินหวานกดภูมิต้านทานโดยไปกดการทำงานของเม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า T Lymphocyte ยกตัวอย่างถ้ากินขนมหวานชิ้นใหญ่ซัก 1 ชิ้น ความหวานจะกดการทำงานของเม็ดเลือดขาว ประมาณ 50-94% นาน 5 ชั่วโมง ทำให้ได้แนวทางที่จะคิดต่อได้ว่า ทำไมเด็กๆที่กินขนมหวานเป็นประจำถึงได้ป่วยบ่อยๆทั้งๆที่เด็กก็ดูแข็งแรงดี จริงๆแล้วใครก็ตามที่ชอบกินหวานๆ (ขนมหวาน ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม) ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็ป่วยง่ายอยู่แล้ว ถ้ากินหวานลดลงก็ป่วยลดลงเช่นกัน
ต่ออีกหน่อย จากหนังสือ Improving genetic expression in the prevention of the diseases of aging โดย Jeffrey S. Bland. Ph.D. จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า เมื่อมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ (free radicals) ได้ง่ายขึ้นและมากขึ้นภายในหลอดเลือด และอนุมูลอิสระเหล่านี้ก็จะทำลายผนังหลอดเลือดโดยทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งและหนาตัวถ้าคิดต่อไปถ้าอนุมูลอิสระไม่ได้ทำลายแค่ผนังหลอดเลือดแต่ทำลายทุกส่วนที่เลือดวิ่งไปถึง แค่นี้ก็ทำให้คิดได้ว่าทำไมถึงได้เกิดโรคอะไรต่างๆนานาสารพัดจากความหวาน
ยังไงเองต้องขอขอบคุณคุณแม่ผมเองที่ท่านได้ซื้อหนังสือของนายแพทย์เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ ชื่อหนังสือ "ทำไมคุณถึงป่วย" ซึ่งผมอยากจะหาซื้อเพื่อเอาไปมอบให้กับคนที่ผมรู้จัก ผมว่าคุณหมอได้ช่วยให้คนอีกหลายคนหลุดพ้นจากความเจ็บป่วยทรมาน ทำให้ผมนึกไปถึงว่าการแพทย์ปัจจุบันในบางสาขาก็รักษากันไปเหมือนรักษาที่ปลายเหตุ แต่หากมองย้อนกลับมาที่ต้นเหตุได้ก็อาจจะไม่ต้องไปรักษาเลยเพียงแค่หยุดการกินหวาน หยุดกินนมวัว และปรับพฤติกรรมใหม่ เน้นทานอาหารสด ผักสด (งดผลไม้โดยสิ้นเชิง) ผมไม่แน่ใจว่าวันนึงจะโดนเรื่องลิขสิทธิ์รึเปล่า แต่ถ้าเค้าติดต่อมา ผมอาจจะขอซื้อหนังสือเค้าจำนวนเยอะๆ



Create Date : 29 เมษายน 2553
Last Update : 29 เมษายน 2553 12:13:59 น.
Counter : 668 Pageviews.

0 comment
ความหวานเป็นสารเสพติด.... อูยยย... ฟังดูน่ากลัว
"ความหวานเป็นสารเสพติด" อ้างอิงจากหนังสือของนายแพทย์ James Braly เรื่อง Corn syrup ซึ่งน้ำตาลจากข้าวโพดเป็นสารให้ความหวานที่ผสมอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มสำเร็จรูปเกือบทุกชนิด ตั้งแต่ขนมถุง ลูกอม น้ำอัดลม เป็นสารเสพติดและก่อให้เกิดภูมิแพ้อย่างแรง นอกจากนี้ยังมีของหนังสือ Low carb energy ของแพทย์หญิง Christine Homer โดยอธิบายว่า คนอเมริกันกินน้ำตาลเฉลี่ย 60 kg/คน/ปี ที่น่ากลัวคือเด็กกินเป็นสองเท่าของผู้ใหญ่ น่ากลัวมาก และหนังสือ Lick the sugar habit คือความหวานทำให้เกิดโรคร้ายหลายชนิด เช่น ลำไส้ใหญ่เป็นแผลเรื้อรังอักเสบ หอบหืด ข้ออักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ ไมเกรน ซึมเศร้า โรคเหงือก ฟันผุ เบาหวาน อ้วน กระดูกผุ โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยมีรายละเอียดลึกลงไปคือ "ความหวานกระตุ้นสมองที่ตำแหน่งเดียวกับ มอร์ฟีน เฮโรอีน และโคเคน" และวารสาร Neuro image บอกว่า "เวลาเราอยากกินหวานๆ สมองจะมีปฏิกิริยาเหมือนเราอยากเสพมอร์ฟีน เฮโรอีน และโคเคน" โดยในนี้จะมีการทดลองในหนูทดลอง โดยให้หนูกินอาหารและน้ำหวาน เมื่อเวลาผ่านไปหนูกินน้ำหวานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและกินอาหารลดลงและเมื่อหยุดน้ำหวานหนูจะเกิดอาการลงแดงทันทีคือ ปากสั่น ตัวสั่น และเมื่อให้กินน้ำหวานอาการเหล่านี้ก็จะหายไป (ทำให้นึกถึงเวลาคนที่ติดเหล้า ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆถ้าไม่ได้กินเหล้ามือไม้จะสั่นพอได้กินเข้าไปซักเป๊ก อาการลงแดงก็จะหายไปทันที ความจริงแอลกอฮอล์ก็เป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งเหมือนกันเลย ทำให้เกิดอาการลงแดงได้เหมือนกัน และถ้านึกถึงคำพูด "เวลาได้กินหวานๆแล้วชื่นใจ" หมายความว่า ก็กำลังลงแดงอยู่หน่อยๆ พอได้กินหวานก็หายลงแดงมีเรี่ยวแรงขึ้นมา) ทีนี้มีเรื่องการทำวิจัยในหนูทดลองอีกแบบ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้น้ำหวาน กลุ่มที่สองให้มอร์ฟีน โดยเริ่มจากกลุ่มแรกให้หนูกินน้ำหวาน พอหยุดน้ำหวานหนูจะเกิดอาการลงแดงทันที คือ ปากสั่น ตัวสั่นอีก แต่คราวนี้ให้ยา naloxone พบว่า หนูหายจากอาการปากสั่น ตัวสั่น (naloxone เป็นยาที่ใช้ช่วยในการเลิกยาเสพติดพวกมอร์ฟีนและเฮโรอีน) หลังจากนั้นเริ่มให้มอร์ฟีนหนูอีกกลุ่ม จนหนูติดมอร์ฟีน แล้วหยุดให้มอร์ฟีน หนูเกิดอาการลงแดงทันที ก็ให้ naloxone กับหนูก็หายลงแดงทันที สรุปคือการกินหวานเป็นประจำทำให้เกิดอาการเสพติดได้ เกิดอาการลงแดงได้ และสามารถใช้ยาตัวเดียวกับการเสพติดมอร์ฟีนในการรักษา



Create Date : 29 เมษายน 2553
Last Update : 29 เมษายน 2553 11:43:02 น.
Counter : 1257 Pageviews.

1 comment
ผิวพรรณกับสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าสาวๆหรือหนุ่มๆเคยสงสัยบ้างไหม
เคยสงสัยบ้างมั้ยครับ ว่าเวลาใช้เครื่องสำอางค์หรือโลชั่นหรือครีมต่างๆเพื่อบำรุงผิวพรรณ ใช้ไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยดีขึ้น ไม่ว่าจะเปลี่ยนยี่ห้อก็ไม่ได้ช่วย พอใช้ไปก็ดีมาหน่อยแต่ไม่นานก็เป็นอีก
มีเรื่องของความหวานมาเล่าสู่กันฟังอีกเรื่องนึงแล้วครับ หนึ่งในนั้นคือความหวานทำให้ความยืดหยุ่นและการทำงานของเนื้อเยื่อต่างๆลดลง แพทย์ท่านได้เล่าถึงประสบการณ์จริงโดยมีผู้ป่วยรายนึงอายุ 30 ปี มีอาการผิวหนังแข็งและชั้นใต้ผิวหนังแข็ง (scleroderma) โดยเข้ารับการรักษามาหลายโรงพยาบาลแต่ไม่หายซักทีซ้ำยังได้รับการบอกว่าเป็นโรคที่ไม่หายขาดแต่เมื่อได้รับการรักษากับคุณหมอเปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ก็ได้รับการอธิบายเรื่องความหวานและงดกินหวานเป็นเวลา 1 เดือนอาการผิวหนังแข็งลดลงอย่างเห็นได้ชัด
เรื่องนี้ลองอ่านแล้วอย่าพึ่งเชื่อครับ ลองค้นหาข้อมูล แต่ก็อาจจะมีบางท่านที่อยากนำวิธีนี้ไปลองแล้วถ้าหายก็ขอบคุณตัวเองนะครับที่สามารถอดทนงดกินหวานได้



Create Date : 28 เมษายน 2553
Last Update : 28 เมษายน 2553 11:05:19 น.
Counter : 485 Pageviews.

0 comment
1  2  3  

dmi
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]