ขอโม้ ขอเม้า ขอฝอยเรื่อง เซ็กส์ เพศวิถี สังคม การเมือง วัฒนธรรม การศึกษา วิวาทะ ว่าด้วยเรื่องมโนสาเร่
 
วาทกรรมเรื่อง "เพศ" กับแนวคิดเชิงโครงสร้างในบริบทสังคมไทย

ชลเทพ ปั้นบุญชู นักวิชาการอิสระด้านสังคม


วันนั้นกระผมได้มีโอกาสดูรายการของอาจารย์อ้อ ที่พูดเกี่ยวกับ ประเด็นทางเพศกับมุมมองหญิงชาย ที่มีคุณระเบียบรัตน์ คุณหมอ และนักคอลัมนิสต์ ผมชอบใจแนวคิดของนักคอลัมนิสต์ที่ได้หบิบยกแนวคิดของฟูโกต์ มายกตัวอย่างได้น่าฟัง เกี่ยวกับประเด็นวาทกรรมในการควบคุมวัฒนธรรมเรื่องเพศในสังคมไทย เช่น ห้ามช่วยเหลือตนเองมากในหมู่ผู้ชาย อาจทำให้ตาบอด หรือห้ามให้ผู้หญิงแสดงออกในเรื่องการคุย หรือพูดจาล่อแหลมส่อไปทางเพศ จะทำให้ถูกมองเป็นผู้หญิงไม่ไดี กรณีนี้ในแนวคิดฟูโกต์เรียกว่า การใช้อำนาจสร้าง "วาทกรรม" และก็ได้นำเสนอต่อไปว่าผลิตกรรมทางคำพูดเหล่านี้เกิดจากการสถาปนาจากผู้มีอำนาจ เช่นหมอสามารถกำหนดได้ว่าเราป่วยทางจิต คุณครูสามารถบอกว่าสุโขทัยเป็นอาณาจักรแห่งแรก เปรียบได้กับผู้นำทางสังคมบอกว่าอันนี้ดี อันนี้ผิด ความคิดเรื่องเพศแบบปิดกั้นผมคิดว่าคงได้รับมาจากวัฒนธรรมวิคตอเรียนสมัย ร 4 อันนี้ในฐานะนักเรียนที่พอมีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ(แบบงูๆปลาๆ) บอกได้เลยว่า จารีตในการวาดภาพจิตกรรมฝาผนังในอดีตก่อนร 4 จะมีภาพเชิงสังวาสหลบซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆส่วนของชิ้นงานที่ศิลปินพยายามถ่ายทอด เช่นภาพท่าร่วมเพศ การแสดงบบรักอันร่าวร้อนในศาสนสถาน กรอปกัปความมีอิlระในการเลือกคู่ครองและกฎหมายลักษณะผัวเมียที่ผู้หญิงมีอำนาจได้อย่างอิศระพอควร แต่ภาพเชิงสังวาสนี้ได้หายไปในการจัดระเบียบการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดวาอาราม เหล่านี้ล้วนเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่สร้างขึ้นจากการรับอิทธิพลตะวันตกในสมัยนั้น และได้ถ่ายทอดแนวคิดแบบวิคตอเรียนในอังกฤษนั่นเอง


จากที่ได้นำเสนอมาเราจะมองเห็นการควบคุม วาทกรรมเรื่องเพศ กับชนชั้นนำ ดังนั้นการแสดงความคิดเกี่ยวการการมีเพศสัมพันธ์จึงไม่บังควรในที่สาธารณะ เพราะอาจาถูกมองว่าไร้วัฒนธรรม หรือผู้หญิงส่วนใหญ่จะอายเมื่อพูดถึงเรื่องเพศ มากกว่าผู้ชาย จากหลักฐานทางวรรณกรรมในสมัยรัตนโกสินทร์ที่สำคัญ จะเห็นได้ว่าผู้ชายล้วนเป็นผู้สร้างและผู้กระทำต่อหญิงในเรื่องเพศ เช่นตกเป็นเมีย ตกเป็นอนุ หรือยอมต่อผู้ชาย หาได้มีผู้หญิงที่จะอาจหาญกระทำต่อผู้ชายแต่อย่างใด จึงทำให้โลกทัศน์กับการพูดเรื่องเพศจึงต่างกันระหว่างหญิงชาย และเป็นอุปสรรคต่อการสอนเพศศึกษาอย่างเข้าใจถ่องแท้ เพระามโนทัศน์แบบชี้นำได้ถูกผลิตขึ้นผ่านมิติที่เข้มแข็งในระบอบจารีตประเพณีทำให้ผู้หญิงตกอยู่ในโลกแห่งการยอมจำนนที่จะเป็นผู้ถูกกระทำ ดูจุดจบของนางวันทองที่ผัวทิ้งไปมีใหม่ แต่พอเลือกชายอื่นกับถูกกล่าวหาว่าหญิงสองผัว ความเข้าใจด้านเพศศึกษาของผู้หญิงจึงมีพื้นที่น้อยเมื่อเทียบกับผู้ชาย ขอยกตัวอย่างวรรณกรรมเป็นตัวอย่างประกอบการศึกษา

" ลูกสาวเหอโลกชาวเริ้นออก


หัวนมพึ่งงอกบอกว่าเป็นฝี

พ่อแม่พาหมอมารักษา

หมอบอกอ้ายยะเต็มที

บอกพ่อว่าเป็นฝี

ลูกสาวชาวเริ้นออก"


จากวรรณกรรมดังกล่าวทำให้ความเข้าเรื่องเพศอยู่ในวงจำกัด และมิให้พูดถึงในวงสาธารณะ เพราะดูจะหยาบคายและอนาจาร แต่เราคงลืมไปว่าเรื่องเพศเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกชาติพันธ์ เพียงแต่วิธีการแสดงออก และควบคุมจะแตกต่างกัน เพื่อควบคุมพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ ในคัมภีร์ฮินดูที่ผมเคยอ่านจากหนังสื่อภาษาอังกฤษชื่อclassic kama ก็ประกอบด้วยทาร่วมเพศ หรือคัมภีร์กามาสูตร ที่กล่าถึงลักษณะทางเพศที่ทำนายคู่ครอง ความสมบูรณ์และลักษณะของบุรุษสตรี เราจะถือสิ่งนี้ว่าเป็นวัฒนธรรมชั้นสูงได้หรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นคัมภีร์ทางศาสนา แต่คนบางกลุ่มกลับบอกว่าการพูดเรื่องเพศเป็นสิ่งที่ต่ำต้อยน่าละอาย เและเพื่อเพิ่มพลังให้กับวัฒนธรรม(จากเบื้องบน)จึงสร้างคำว่ากาละ เทสะขึ้นมากำหนดลำดับขั้น เพื่อสร้างพื้นที่สูงต่ำต่างกันตามบริบท เรื่องเพศไม่ควรพุดในวงสาธารณะ ผู้หญิงไม่ควรหมกมุ่น ทำให้ความเข้าใจเรื่องเพศจึงเป็นอวิชา ไปโดยปริยาย


ผู้หญิงที่มีชู้คงไม่ต่างอะไรกับผู้ชายที่มีเมียน้อย แต่ทำไมสังคมรุมด่าผู้หญิงว่า"กากี" แต่ผู้ชายที่มีเมียน้อยกับได้รับการยกย่องว่า"มีเสน่ห์" นี่หรือคือความเที่าเทียม? คงตอบว่าไม่ ในเชิงโครงสร้างทางวัฒนธรรม ผู้ชายพยายามที่จะดิ้นรนมีชู้ แต่ไม่ให้ภรรยาตนข้องเกี่ยวกับชายอื่น โดยบอกว่าผู้ชายบางทีก็ต้องหาเศษหาเลยบ้างตามประสา อ้าวแล้วอย่างนี้ผู้หญิงไม่อยากบ้างหรือครับ ผู้หญิงก็เบื่อได้นะครับถ้าอยู่บ้านนั่งเลี้ยงลูก และทำงานอย่าไม่เห็นแสงเดือแสงตะวัน ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้มาเรียกร้องสิทธิสตรีหรอกนะครับ แต่อยากให้ผู้ชายมองตนเองแบบไม่มีอคติทางวัฒนธรรม และเอาเปรียบเพศตรงข้าม ถ้าคุณอยากได้ทำไมภรรยาของคุณจะอยากไม่ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นเราต้องรักษาเกียรติซึ่งกันและกัน อย่างสร้างโลกทัศน์แบบยอมจำนนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แค่นี้สังคมไทยก็เอาเปรียและบกินแรงผู้หญิงมากพอแล้วครับ


ขอขอบคุณหนังสือเรื่องผูกนิพานโลกีย์ ที่ได้นำเสนอวรรณกรรมท้องถื่น เรื่องเพศในสังคมไทย และผู้อ่านเคยศึกษาวิชาgender อันมีค่า จากอาจารย์ผู้ที่เข้าใจคำว่าบทบาท ระหว่าเพศได้อย่างลุ่มลึก




Create Date : 09 สิงหาคม 2550
Last Update : 9 สิงหาคม 2550 16:30:27 น. 0 comments
Counter : 555 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

ส่องสร้างสังคม
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอโม้ ขอเม้าท์ ขอฝอย เรื่อง เซ็กส์ เพศวิถี การเมือง การศึกษา สังคม วัฒนธรรม วิวาทะภาคนโนสาเร่
[Add ส่องสร้างสังคม's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com