สายธรรมะ รีวิวไหว้พระ 9 วัด จ.พระนครศรีอยุธยา

เคยเที่ยวป่าเขา ทะเลหาความสุขมาก็เยอะแล้ว วันนี้จะมารีวิวทริปทำบุญกันบ้างซึ่งครั้งนี้จะไปทำบุญกันที่ จ.พระนครศรีอยุธยา กัน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยและเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยก่อน และเป็นจังหวัดที่วัดเยอะมาก รวมทั้งยังมีโบราณสถานเก่าแก่หลงเหลือให้เราได้นึกถึงในสมัยก่อน ว่า "ก่อนที่จะถูกพม่าข้าศึกรุกรานเข้ามาเผาวัด และพระ จะต้องสวยงามมากๆ แน่ๆ" งั้นเราไปทำบุญไหว้พระทั้ง 9 วัดกันเลยดีกว่าค่ะ มีวัดอะไรบ้าง

1. วัดใหญ่ชัยมงคล

2. วัดพนัญเชิงวรวิหาร

3. วัดเกาะแก้ว

4. วัดมเหยงคณ์

5. วิหารพระมงคลบพิตร

6. วัดธรรมิกราช

7. วัดหน้าพระเมรุ

8. วัดท่าการ้อง

9. วัดกษัตริย์ตราธิราช

การไปเที่ยวครั้งนี้เกิดจากการรวมตัวของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยเห็นหน้ากัน ต่างคนต่างอยู่กันคนละที่ คนละจังหวัด แต่ด้วยความที่เราทั้ง 7 คนชอบอะไรเหมือนกัน จึงทำให้เรามาเจอกัน งั้นเราเริ่มไปกันที่วัดแรกกันเลยจ้า

1. วัดใหญ่ชัยมงคล เป็นวัดที่สวยมากคงไว้ซึ่งความโบราณที่ยังคงอนุรักษ์เอาไว้









2. วัดพนัญเชิงวรวิหาร พาลงรถปุ๊ปพี่ที่เค้าเคยไปบอกว่า วันนี้คนน้อยนะ ทุกทีแน่นมากรถนี่จอดเต็ม เรานี่ยิ้มเลยโชคดีจริงๆ ก็ไหว้พระด้านหน้าเสร็จแล้วก็เดินเข้าไปไหว้หลวงพ่อโตด้านใน แต่ยังไม่เข้าไปเลย โอ้โห คนยืนกันเต็มเลยหน้าประตู เยอะยังไงมาดูกัน เราจึงไหว้ตรงทางประตูเข้าไปไม่ไหวจริงๆ เพราะเรามีภารกิจต้องไปต่ออีก 7 วัด จึงเดินออกมาไปศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก และเทพเจ้ากวนอู เทพเจ้าจีน ซึ่งมีอยู่มากมาย








3. วัดเกาะแก้ว พระตำหนัก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หลังจากไหว้พระเสร็จ ที่นี่ยังมีโรงทานให้แวะพักดื่มน้ำ ทานอาหารฟรีอีกด้วย เพียงแค่หยอดตู้ทำบุญให้กับทานวัด พอหายเหนื่อยเราก็ไปลุยกันต่อเลย วัดต่อไป

4. วัดมเหยงคณ์ เป็นทั้งวัดและเป็นสภานที่ปฏิบัติธรรม ร่มรื่นมาก เมื่อมองไปรอบๆ จะเห็นคนมาบวชชีพราหมณ์และนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมกันอยู่ เงียบสงบมาก และยังมีถ้ำที่สร้างขึ้นมีพระพุทธรูปอยู่ ตกแต่งสวยงามให้ความรู้สึกสงบเย็นกายสบายใจ ใครหาที่ปฏิบัติธรรมแนะนำวัดนี้เลยค่ะ








เรายังอยู่กันที่วัดมเหยงคณ์นะคะ อีกด้านนึงจะเป็นพระอุโบสถ อัตราค่าเข้าชมคนละ 10 บาทเท่านั้น เมื่อเข้าไปแล้วรู้สึกแบบ สมัยก่อนที่นี่ต้องสวยงามมากๆ แน่ๆ ซึ่งในพระอุโบสถนี้จะหลวงพ่อหินทรายประดิษฐานอยู่ และจะมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำให้ข้อมูลด้วย เมื่อเราจุดธูปจุดเทียนเรียบร้อยแล้วเราต้องหยิบหมากพลูมาด้วย วันนี้เราไปโชคดีมาก เจ้าหน้าที่ได้ทำการนำสวดสักการะหลวงพ่อหินทราย บอกเลย ขนลุกเลยอ่ะ เสียงดังกังวาน ต่อมาเจ้าหน้าที่บอกว่า วัดนี้เคยมีละครหลายเรื่องมาถ่ายทำกันที่นี่ เช่น เรื่องผีอีแพง ฉากที่ไหว้พระตรงทางเดิน เรื่องขุนศึก เป็นต้น









5. วิหารพระมงคลบพิตร ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่บนซากวิหารเดิม หลวงพ่อมงคลบพิตร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพระนครศรีอยุธยา เช่นเดียวกันกับหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง




6. วัดธรรมิกราช  ที่วัดนี้ได้พบ เศียรพระพุทธรูป "ธรรมิกราช" เศียรพระพุทธรูปสำริด มีเอกลักษณ์ศิลปะอู่ทอง และมีพระนอนอายุกว่า 300 ปีอยู่ด้วย ซึ่งได้รับผลกระทบโดนน้ำท่วมเมื่อปี 54 ด้วย ยังไงไปทำบุญกันเยอะๆ นะคะ ทางวัดจะได้นำเงินไปซ่อมแซมพระ










7. วัดหน้าพระเมรุ ภายในพระอุโบสถมีพระประธานเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสำริด ภายนอกฉาบด้วยปูน ลงรักปิดทองปางมารวิชัยทรงเครื่องพระมหากษัตริย์ ปางมารวิชัย คือเป็นตอนที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสำเร็จพระอรหันต์ นิ้วจรดลงไปที่พื้น พระพุทธรูปองค์นี้มีหน้าตักกว้าง 9 ศอกเศษ สูง 6 เมตรเศษ พระนามว่า "พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ" พระอุโบสถมีส่วนยาวและกว้างมาก ไม่มีหน้าต่างอย่างพระอุโบสถทั่วไป






8. วัดท่าการ้อง เป็นอีวัดหนึ่งที่ใหญกว้างขวางมาก แถมมีหุ่นรูปปั้นต่างๆ ตั้งอยู่ รวมไปถึง กัปตันอเมริกา ไอรอนแมน ตกแต่งไว้สวยงามนักท่องเที่ยวต้องรอคิวถ่ายภาพกัน รวมทั้งมีห้องน้ำติดแอร์ ตกแต่งสวยงามที่โด่งดังไปทั่วประเทศ ภายในพระอุโบสถมี  "พระพุทธรัตนมงคล" หรือที่เรียกกันว่า "หลวงพ่อยิ้ม" ที่งดงามและพระพักตร์ที่มีความเมตตา และศักดิ์สิทธิ์ ที่เล่าลือกันว่า ขอสิ่งใดก็จะสมความปรารถนา (ขอได้ 3 ข้อ)  ภายในวิหารซึ่งมีพระบรมสารีริกธาตุ อยู่ข้างอุโบสถประชาชนสามารถเดินเข้าไปกราบไหว้ได้

วัดนี้เป็นวัดที่เรานั่งพักนานที่สุด เพราะว่าฝนตกหนักมากไปต่อไม่ได้ เลยนั่งตากแอร์รอให้ฝนหยุดตกแล้วต่อไปต่อกันที่วัดสุดท้ายแล้ว







หลวงพ่อยิ้ม ขอพรได้ 3 ข้อ



9. วัดกษัตริย์ตราธิราช วัดนี้เป็นวัดสุดท้าย พระอาทิตย์ก็กำลังจะตกดิน ไปถึงพระท่านได้ปิดโบสถ์ไปแล้วเราเลยไหว้พระกันที่ด้านนอก แต่ก็โอเค ครบ 9 วัดตามที่ตั้งใจไว้






จบแล้วค่ะ ตอนแรกคิดมาตลอดทำบุญ 9 วัดภายในวันเดียวจะทำได้มั้ยเนี่ย เคยทำมากสุด 3-4 วัด ภายใน 1 วัด แต่นี่เราทำได้แล้วซึ่งไม่ได้ยากเลย ทำแล้วสบายใจอีกต่างหาก ต้องขอบคุณผู้ร่วมเดินทางทุกคน

ป้าเป็ด ผู้ใจดี ขับรถพาพวกเราไปไหว้พระตลอดทั้งทริปนี้

พี่จิ๊น พี่สาวคนสวย สดใส จิตใจดี เรียกเสียงฮาจากทุกคน

พี่บุ๋ม พี่สาว ที่ทำไม่ให้รถเราเงียบ หาเรื่องคุยได้เยอะแยะมาก

พี่หนึ่ง พี่สาวร่างตุ้ยนุ้ย จิตใจงาม ที่คอยเป็นห่วงน้อง

พี่ยุ ตากล้องเลนส์เทพ ถ่ายรูปมาสวยมาก และเป็นไกด์พาไปเที่ยวตามวัดต่างๆ

พี่สาว ผู้เรียบร้อย แสนน่ารัก ที่คุยกันได้ทุกเรื่อง

ขอบคุณทุกคนจริงๆ ค่ะ ไว้ไปเที่ยวกันใหม่นะคะ





Create Date : 26 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2558 17:10:40 น.
Counter : 1229 Pageviews.

2 comment
รีวิว ยกก๊วนแบกเป้ พิชิตภูกระดึง

สวัสดีค่ะ ช่วงนี้ก็เป็นปลายฝนต้นหนาวแล้วเนอะช่วงปลายปีแบบนี้ หลายคนคงจะมาหาสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อไปท้าลมหนาว ก่อกองไฟกางเต้นท์เพื่อชมบรรยากาศทะเลหมอกกันส่วนใหญ่สถานที่ท่องเที่ยวสมัยนี้สามารถขับรถไปจอดได้ ซึ่งสะดวกสบายมาก แต่ถ้าใครชอบท่องเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์คือเดินขึ้นเขา ชมบรรยากาศป่าไม้ไปเรื่อยๆ ขอแนะนำ "อุทยานแห่งชาติภูกระดึง" หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า "ภูกระดึง" สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้อยู่ใน จ.เลย เพราะว่าที่นี่จะต้องเดินขึ้นไปเอง ส่วนกระเป๋าสัมภาระอื่นๆ จะแบกเอง หรือไม่แบกเองก็ได้ คือใช้บริการของ "ลูกหาบ" ก็ได้ (ลูกหาบ คือ ชาวบ้านที่มาทำอาชีพแบกกระเป๋านักท่องเที่ยวขึ้นไปยังที่พักด้านบนนู้น) ภูกระดึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อว่าชีวิตนี้ต้องไปสักครั้ง!!!


ไหว้พระก่อนขึ้นภูกระดึง


เส้นทางพิชิตฝัน (พูดให้อลังการ)

เมื่อมาถึงอุทยานแห่งชาติภูกระดึงแล้ว จะต้องซื้อบัตรเพื่อขึ้นภู ดูจากป้ายแล้วจะต้องเดินประมาณ 5.5 กิโลเมตร และตรงส่วนนี้จะมีจุดให้ลงทะเบียนเพื่อใช้บริการลูกหาบ ซึ่งจะคิดน้ำหนักเป็นกิโลกรัม กิโลกรัมละ 30 บาท แต่สำหรับพวกเราเองด้วยความที่เป็นผู้ชายและผู้หญิงที่แข็งแกร่ง จึงตกลงกันว่าเราจะแบกกระเป๋าขึ้นไป ก่อนเดินพวกเราก็ได้ไหว้พระกันก่อนแล้วลุย เริ่มเดินขึ้นตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้า เดินไปคุยไปผ่านซำต่างๆ พอมาถึงซำแฮก ซำนี้ต้องหยุดพัก แวะถ่ายรูป เพราะพระอาทิตย์กำลังขึ้นแสงสาดส่องมาพอดี ไม่ใช่อะไรหรอก เหนื่อย! ระหว่างทางเดินไปไม่ต้องกลัวว่าจะหิว ไม่มีอะไรกิน เพราะแต่ละซำจะมีร้านอาหารขายตลอด ทั้งน้ำแข็งใส ไอติม ลูกชิ้น เดินไปกิน พวกเราจะพักทุกซำเลยก็ว่าได้ เดินไปบ่นไปแต่สนุกดี เพราะยิ่งเดินทางก็จะเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางเดินไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดว่า เดินป่าจะมีสัวต์อะไรมางาบไปมั้ย เพราะไม่ได้มีเฉพาะกลุ่มเราเดินเพียงกลุ่มเดียว แต่ยังมีอีกหลายกลุ่มที่เดินขึ้นภูกระดึงกัน 


เดินไปกินไป


กินเสร็จเดินต่อ


ในช่วงที่ทางชันอาจจะต้องมีการจับมือช่วยกันดึงขึ้น ปีนก้อนหินบ้าง ตอนนี้เราจะได้เห็นความมีน้ำใจของเพื่อนร่วมทางที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่เค้าช่วยเหลือเราพร้อมรอยยิ้มของคนไทย ซึ้งจริงๆ


ลูกหาบมีทั้งผู้ชายผู้หญิง แข็งแรงมาก


เดินไปทางนู้นๆ

เมื่อมาถึงด้านบนจะต้องเดินไปอีกประมาณ 3-4 กิโลเมตร เพื่อไปยังเต้นท์ที่จองไว้ เต้นท์นึงจะนอนได้ถึง 3 คน เรียงกันเต็มลานกว้าง พวกเราก็เก็บกระเป๋าเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ หาข้าวกินและออกเดินเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ บนภูกระดึง ใครจะรู้เชื่อว่าบนภูกระดึงมีน้ำตกด้วย แต่จะต้องเดินจากที่พักไปน้ำตกไม่ต้องกลัวหลงทางเพราะมีคนเดินผ่านไปผ่านมาตลอดหรือดูป้ายก็ได้ ตลอดทางเดินจะผ่านป่าสนและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ บรรยากาศสดชื่น


ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว


ลานกางเต้นท์



บริเวณร้านขายอาหาร



ต้นไม้เขียวชอุ่ม

เมื่อมาถึงภูกระดึงแล้ว สิ่งที่ไม่เดินไปไม่ได้เลยคือ "ผาหล่มสัก" คือว่าเป็นแลนด์มาร์คของที่นี่เลยก็ว่าได้ ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดดูพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุด พวกเราออกเดินทางตั้งแต่ช่วง 10 โมงเช้า กางแผนที่ดูเดินไปยังน้ำตกก่อนเพื่อดูใบเมเปิ้ลสีแดงที่หล่นมาในน้ำตกและไหนมาตามกระแสน้ำ และออกเดินไปยังผาหล่มสัก ระยะทางจากที่พักตรงจุดกางเต้นท์ไปยังผาหล่มสักก็ประมาณ 9 กิโลเมตร เดินไป-เดินกลับ ระยะทางรวม 18 กิโลเมตร ไกลมว๊ากก พอไปถึงจะเห็นว่าคนเยอะมาก มากันก่อนพวกเรา ตั้งกล้องเพื่อถ่ายรูปเวลาพระอาทิตย์ตกดินกันเพียบ พวกเราเดินไปถึง 5 โมงเย็นกว่าๆ ยืนต่อคิวถ่ายรูปกับป้ายแปปนึงแล้วพระอาทิตย์ก็ค่อยๆ ตกลง แค่นี้แหละแล้วพวกเราก็เดินกลับกันอีก 9 กิโลเมตร คราวนี้ความมืดเข้ามาครอบงำจำเป็นต้องใช้ไฟฉายและอาศัยการเดินจับมือกับเพื่อนไปตลอดทาง เพราะไม่สามารถมองเห็นข้างทางได้เลยเดินไปสักพักก็แวะพักเหนื่อยเพราะมีเพิงพักของชาวบ้านที่มาขายของเปิดไฟส่องสว่างไว้ พักพอหายเหนื่อยก็เดินทางไปต่อเรื่อยๆ เดินมาถึงเต้นท์ก็เวลา 2 ทุ่มจึงไปหาอะไรกินกัน บนภูกระดึงมี "หมูกระทะ" บริการด้วยนะ ชุดเล็กชุดใหญ่แล้วแต่จะสั่ง ตอนนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเพราะความหิวเข้าสิงเรียบร้อยแล้ว กินเสร็จอิ่มเดินกลับเต้นท์แยกย้ายกันไปอาบน้ำเตรียมตัวนอนเพราะวันนี้เหนื่อยเดินมาทั้งวัน 



ป้ายบอกทางต่างๆ


ผาหล่มสัก คนเยอะจริงๆ แต่สวย

ก่อนนอน ทางอุทยานได้ประกาศว่า ตอนตี 4 จะมีการเรียกรวมกลุ่มเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน ใครจะไปให้มายืนรวมกันที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว พวกเราก็นัดแนะว่าจะไปกันทั้งหมด พอถึงเวลาจริง โอ๊ยไม่ไหวขอนอนก่อน งอแงกันขึ้นมา ตื่นมาตอนเช้ารอบๆ เต้นท์จะมีน้ำค้างเกาะ หมอกเต็มเลย ตืนมาแปรงฟันหาของกินกันเลยดีกว่า บนภูกระดึงจะมีร้านค้าขายอาหาร ทั้งโจ๊ก ข้าวราดแกง ไข่กระทะ ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ เยอะแยะเลย ขอแค่มีเงินไปเท่านั้น แต่ราคาก็เปลี่ยนแปลงตามความสูงเนอะ ราคาคูณ 2 เท่า แต่อาหารบนภูกระดึงอร่อยทุกอย่างจริง เพราะเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แหะๆ

ช่วงสายๆ พวกเราก็เก็บของเตรียมเดินลงกันแล้ว เพราะกลัวถึงข้างล่างมืดค่ำเดี๋ยวจะมองไม่เห็นทาง สำหรับทริปนี้จะเหนื่อยเดินจนปวดทางกัน แต่สำหรับเราถือว่าสนุกมากได้ใกล้ชิดธรรมชาติ ประเทศไทยสวยจริงๆ




โจ๊กหมู



ปาท่องโก๋ กาแฟ มาม่า


หมอกในช่วงสาย



หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว



ลูกหาบเตรียมบริการหาบกระเป๋าลงไปด้านล่าง


CR. //www.khanpak.com/content/28115/




Create Date : 17 กรกฎาคม 2558
Last Update : 17 กรกฎาคม 2558 16:57:07 น.
Counter : 1090 Pageviews.

1 comment
รีวิว เค้าหลอกหนูไปเที่ยวกระบี่ 3 วัน 2 คืน แต่สนุกมาก



เขียนเรื่องกินมาก็เยอะแหละ (2-3 รีวิว นี่เรียกเยอะ 555) วันนี้ว่างๆ ที่จริงก็ไม่ว่างหรอก แต่อยากอวดจ้า วันนี้รีวิวเที่ยวกระบี่จ้า เริ่มเลยเพื่อนตัวดีไปหาทริปเที่ยวทะเลในงานไทยเที่ยวไทย แล้วไปเจอบูธเที่ยวกระบี่นางรีบโทรมาเลยจ้า "โหลๆ ไปเที่ยวทะเลกระบี่มั้ยเนี่ย เห้ยถูกมากอ่ะ 2 พันกว่าบาทเอง 3 วัน 2 คืน ราคารวมที่พักแล้ว เอาไงๆ จะซื้อแล้ว" โห่ ไม่ให้คิดเลยวุ้ย เอาไงดีๆ 2,000 เหรอ ใช้เวลาคิดแปปนึง เราใช้เวลาคิด 10 วินาที โอเคตกลง ซื้อมาเลย เดี๋ยวโอนเงินให้ 555 ตัดสินใจรวดเร็วมาก


พอมาเจอกันคุยเลย รายละเอียดยังไง เพราะตอนตกลงไม่รู้เลย ไปไหนบ้าง ไปยังไง นางเล่าเลย ดำน้ำ 4 เกาะเลยนะ ดำน้ำให้ตัวเปื่อยกันเลย ที่พักมีแอร์ นอนสบายอ่ะ แต่เราซื้อทริปเพิ่มไปนะ เที่ยววัดถ้ำเสือ น้ำตกร้อน แล้วก็สระมรกต โห อันนี้ Unseen Thailand ของจังหวัดกระบี่เลยนะ ถ้าไม่ไปนี่ไม่ถึงกระบี่ (แกลาออกจากโปรแกรมเมอร์ ไปทำงานท่องเที่ยวเหอะนะ ข้อมูลแน่นมาก) เพิ่มเงินอีก 500 บาท ก็โอเคนะ ไม่งั้นนั่งอยู่ในห้องพักก็เบื่อแย่สิ


ฮู้เล่ มาถึงวันเดินทาง วันนั้นวันศุกร์ ชีวิตสาวออฟฟิศอย่างเราต้องแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่มาทำงานด้วย เพื่อที่เลิกงานปุ๊ปได้โบกรถไปขนส่งสายใต้เลย อาบน้ำ แปรงฟันคืออะไร ไม่ยู้ววว รถออกประมาณ 2 ทุ่ม คิดว่าจะได้หลับ ตื่นมาได้เจอกับบรรยากาศทะเล น้ำใส หึหึ นอนไม่หลับเลยค่ะ ย้ำ นอนไม่หลับเลย สงสัยต้องนั่งหลับด้วย ผิดที่ด้วย ตื่นเต้นด้วย อะไรหลายๆ อย่างแหละ ฟังเพลงไปเรื่อยๆ และแล้วเราก็มาถึงขนส่งกระบี่แล้วค่ะ ประมาณ 6 โมงเช้า ทางโรงแรมก็ส่งรถตู้มารับพวกเราไปเก็บของที่โรงแรมก่อน


พอถึงปุ๊ป ไม่ต้องพักทั้งนั้น เสียเวลา เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมชุดไปเล่นน้ำแล้วลุยเลย สำหรับวันแรกไปวัดถ้ำเสือกันก่อนเลย ไปไหว้พระเหมือนอยู่ในถ้ำจริงๆ อากาศเย็นๆ ที่ชื่อวันถ้ำเสือ เพราะเคยเป็นที่อยู่ของเสือมาก่อน ประมาณนี้ เราฟังไกด์ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไกด์พูดเร็วมากเลยค่ะ ไกด์ให้เวลาไหว้พระ เดินเที่ยว ถ่ายรูปลิง เวลา 40 นาที แล้วมาเจอกันที่รถตู้






















 

พอครบ 40 นาที แล้วเราก็ขึ้นรถไปกันต่อที่ น้ำตกร้อน จอดรถไว้ที่ลานจอดรถแล้วเดินเท้าเข้าไปประมาณ 400 เมตร ก็จะเจอน้ำตกร้อน ที่นี่เป็นอ่างอาบน้ำธรรมชาติกลางป่ารองรับสายน้ำตก ที่ไหลลง มาจากเนินเขาเป็นน้ำตกที่มีไออุ่นมาด้วย สามารถลงไปแช่ตัว แช่เท้า เพื่อผ่อนคลายได้ด้วย ลืมบอกที่นี่มีค่าเข้าด้วยนะคนละ 20 บาท ไกด์ก็จะให้เวลา 40 นาทีเหมือนเดิม แล้วมาเจอกันที่รถตู้








ไปต่อกันที่สุดท้ายสำหรับวันแรก นั่นคือสระมรกต นั่งรถออกจากน้ำตกร้อน แปปเดียวก็ถึงแล้วเพราะอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ มาถึงแล้วรถตู้จะจอดที่ลานจอดรถแล้วเราต้องเดินเข้าไปประมาณ 800 เมตร เดินไปคุยไป ชื่นชมธรรมชาติไป แปปเดียวถึงแล้ว 



ระหว่างทางเดินไปสระมรกต เห็นแค่นี้ก็ตื่นเต้นแล้ว น้ำใสอ่ะ




ทางเดินไปสระมรกต


แต่น แต้น แต๊น ถึงแล้วสระมรกต พร้อมมาก พร้อมกระโดดลงไปเลย แต่ตอนลงเล่นน้ำระวังหน่อยนะคะ เพราะหินค่อนข้างลื่นค่ะ จากที่เดินมาเจอแดดร้อนๆ พอลงน้ำปุ๊บ เย็นเลยค่ะ น้ำเย็นมาก สนุกดี แต่ตอนไปน้ำขุ่นนิดๆ สงสัยคนมาเล่นเยอะ








วันแรกเที่ยวแบบสบายๆ ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ กลับถึงที่พักประมาณ 5 โมงเย็น ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปทานอาหารเย็นกัน โดยทางโรงแรมจะพาขึ้นรถตู้ไปส่งที่ร้านเลย แต่จากการที่อ่านรีวิวมา ร้านวังทราย เป็นอีกร้านหนึ่งที่ขึ้นชื่อของกระบี่ เมนูแนะนำที่คนส่วนใหญ่จะสั่งกันคือ หอยชักตีน และอีกหลายเมนูที่สั่งมา แต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้หรอกนะคะ เพราะหน้ามืด หิวมาก ลืมถ่ายรูปไปเลย 555


กินอิ่มแล้ว เรามาเดินย่อยที่ถนนคนเดินกันหน่อยดีกว่า บรรยากาศคึกครื้นเพราะมีทั้งร้านอาหาร และร้านขายเหล้า เบียร์ เยอะมาก



บรรยากาศข้างทางจะมีร้านขายของที่ระลึก ทั้งพวงกุญแจ กรอบรูป ที่คั่นหนังสือ เสื้อ แว่นตา ชุดว่ายน้ำ ส่วนเงินในกระเป๋าตังเรานี่สั่นดิกๆ พร้อมที่กระโจนออกไปจ่ายเงินซื้อของฝากให้เพื่อนคนอื่นเลย แต่สำหรับพี่ที่ทำงาน บอกเรามาล่วงหน้าแล้ว "น้องของฝากพวงกุญจง กุญแจ ไม่ต้องนะ เอาของกินมาดีกว่า" 5555











พอ 2 ทุ่ม เราก็โทรเรียกรถตู้จากที่โรงแรมมารับ แต่โรงแรมมารับเรา 3 ทุ่มอ่า แง หนูง่วงแล้ว พอถึงที่พักพร้อมล้มตัวลงนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์ ฝันดี


วันที่ 2 วันนี้เราจะไปเที่ยวทะเลดำน้ำกัน ตื่นมาพร้อมความสดชื่น ตื่นเต้นจะไปทะเลแล้ว รีบกินอาหารเช้าที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้เรียบร้อย แล้วรอรถมารับเพื่อไปขึ้นเรือ รถมารับ 9 โมง พอไปขึ้นเรือที่ท่าเรือ กว่าเรือจะออกก็ 10 โมงค่ะ เพราะเหมือนต้องรอนักท่องเที่ยวจากโรงแรมอื่นๆ ด้วย ไปพร้อมกัน




พอขึ้นเรือแล้วก็ใส่เสื้อชูชีพให้เรียบร้อย เรือก็จะแล่น แต๊ก แต๊ก แต๊ก ไปเรื่อยๆ ใช้เวลาสักพักใหญ่ๆ เลยค่ะ มาถึงทะเลแหวก แต่ก่อนที่เราจะไปทะเลแหวกเราต้องเปลี่ยนเป็นลงเรือลำเล็กก่อน ก็ทยอยกันไป



ทะเลแหวก เกิดจากสันทรายจากเกาะสามเกะคือเกาะไก่ เกาะหม้อ และ เกาะทับ ทั้งสามเกาะนี้ตั้งอยู่ใกล้ๆ เมื่อคลื่นพัดทรายมาพบกันที่จุดนี้จึงทำให้เกิดเป็นแนวสันทรายเชื่อมเกาะทั้งสามเกาะนี้ให้ถึงกัน สันทรายนี้จะจมหายไปเมื่อน้ำขึ้นสูง  เมื่อน้ำลดแนวสันทรายก็จะค่อยๆ โผล่ขึ้นมา ทำให้เดินไปถึงกันได้




กระโดดนิดหน่อย




หาดทรายขาว







ไปต่อที่กันที่เกาะอื่นๆ ส่วนใหญ่นั่งเรือผ่านอ่ะค่ะ จำได้เลยทริปนี้ได้ดำน้ำอยู่แค่เกาะเดียว เกาะอะไรนี่จำชื่อไม่ได้ด้วยสิ แต่ผ่านเกาะไก่นะ เกาะไก่เนี่ยมีรูปร่างเหมือนไก่เลย ไกด์ก็จะบอกชื่อเกาะนี้นะ อันนี้เกาะนี้ เราจำชื่อไม่ได้จริงๆ (เค้าขอโต๊ด) แล้วไกด์ก็จะแจกอุปกรณ์ให้ตกหมึกตอนกลางวันด้วยตกเสร็จแล้วไกด์ก็บอกว่า ที่ๆ จะไปนี่เป็นที่สุดท้ายแล้วนะ!!! (ตอนนั้นนั่งคิดในใจเลย ไหนฟะ ดำน้ำ 4 เกาะ ดำน้ำไปเกาะเดียวเอง เพื่อนตัวดีมันหลอกเรามาป่ะเนี่ย หรือ มันก็จะไม่รู้เหมือนกัน อาจเป็นเทคนิคการขายทริปเค้า) นั่งคิดในใจไปมา ไกด์ก็บอกเราจะไปหาดไร่เลย์กัน อีกแปปเดียวก็ถึงหาดไร่เลย์ 


หาดไร่เลย์ สวยจริงๆ ค่ะ นักท่องเที่ยวเพียบ นอนอาบแดดเรียงรายเลย หาดนี้น้ำใสมาก ทรายละเอียด ชอบหาดนี้มากเพราะแดดไม่ร้อนมาก มีต้นไม้คอยบังแดดให้ เราได้เดินเข้าไปในถ้ำด้วย ถ้ำนี้ชื่อว่า ถ้ำพระนาง เป็นศาลของเทพธิดา ล้อมรอบสิ่งของที่ชาวบ้านนำมาแก้บน นั่นคือไม้แกะสลักที่เรียกว่า ปลัดขิก มีขนาดและ สีสันที่แตกต่างกันเยอะมากกกกกก





ไกด์จะให้เวลาประมาณ 40 นาที แล้วเรียกขึ้นเรือกลับกัน พอถึงโรงแรมก็เพลียเหมือนกัน วันที่สองเลยไม่ได้ออกไปกินข้าวข้างนอก สั่งที่โรงแรมกิน แต่สำหรับวันที่สาม วันกลับได้วางแผนไว้แล้วว่าจะไปกิน ร้านครัวธารา ให้ได้ คุยกันเสร็จปั๊ป แยกย้ายนอน คร๊อก!


วันที่สามก็แต่งตัว กินอาหารเช้าที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ และรีบกลับมาเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อย เพราะเดี๋ยวจะไปกินข้าวที่ครัวธารา สำหรับรีวิวครัวธาราเดี๋ยวจะมาเขียนต่อในครั้งหน้านะคะ


ขึ้นรถที่ขนส่ง ขึ้นรถประมาณ 5 โมงเย็นค่ะ มาถึงกรุงเทพ 6 โมงเช้าพอดีเป๊ะ สำหรับการไปเที่ยวครั้งนี้เราชอบมากนะ ถึงจะไม่ได้ดำน้ำครบทุกเกาะก็ตาม แต่ทะเลสวยมากแค่นั่งเรือก็โอเคแล้วเราว่า จบแว้ววว


ปล. หลังจากเรากลับมา มีข่าวหลอกขายทัวร์กระบี่เยอะมาก คือจ่ายเงินไปแล้ว แต่ไม่มารับ ปล่อยลอยแพเลย ยังไงก็เช็คกันดีๆ ก่อนนะคะ






Create Date : 26 มิถุนายน 2558
Last Update : 26 มิถุนายน 2558 17:20:32 น.
Counter : 2501 Pageviews.

1 comment

สาวน้อยบนดาวอังคาร
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



สวัสดีค่ะ เราเป็นคนที่ชอบกิน ชอบเที่ยวทะเล ภูเขา ป่าไม้ ดำน้ำ ปลูกป่า ชอบเยอะมาก เน้นเขียนรีวิวอวด เอ้ย แนะนำที่กิน ที่เที่ยวค่ะ