Group Blog
 
All blogs
 

เด็กหญิงความรัก..กับ..นายรองเท้า











::: จาก forward mail

Last Update : 11 ธันวาคม 2549 14:34:34 น.




 

Create Date : 02 เมษายน 2550    
Last Update : 2 เมษายน 2550 23:58:21 น.
Counter : 573 Pageviews.  

นั่นแหละ เรียกว่า...ความใส่ใจ









จาก ::: foeward mail

Last Update : 2 มกราคม 2550 19:50:30 น. (ย้ายมา)




 

Create Date : 02 เมษายน 2550    
Last Update : 2 เมษายน 2550 23:49:37 น.
Counter : 646 Pageviews.  

อย่ารีบร้อนแต่งงานด้วยเหตุผล 9 ประการ

นักจิตวิทยาได้กล่าวถึงสาเหตุของการแต่งงานที่ผู้หญิงไม่ควรใช้เอาไว้หลายข้อ

โปรดตรวจดูว่า คุณมีข้อใดข้อหนึ่งในนี้บ้างหรือไม่
ถ้าเผอิญคุณมีข้อใดข้อหนึ่งใน 9ข้อ นี้ มันก็อาจจะเป็นเครื่องสะกิดใจคุณบ้างไม่มากก็น้อย ก่อนการตัดสินใจกระโดดลงไปสู่ประตูวิวาห์ก็ได้ ข้อเตือนใจเหล่านี้ได้แก่

(1) อย่าแต่งงานเพราะคุณกลัวว่าจะไม่ได้แต่ง
ผู้หญิงหลายคนพอชักเริ่มมีอายุสูงขึ้น ก็เกิดอาการวิตกจริตว่า ถ้าเราไม่รีบ"คว้า" ใครไว้สักคนในขณะนี้พอเราแก่ตัวลงไปจริงๆ คงไม่มีใครมา "คว้า" เราเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลยเจอใครที่พอดูได้ก็รีบด่วนตัดสินใจ ไปลงเอยกับเขา เพียงเพราะกลัวว่าจะต้องเข้าไปเป็นสมาชิกหมู่บ้านสาวโสดนั่นเอง

การตัดสินใจแต่งงานด้วยเหตุผลทำนองนี้ น่าจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เพราะคุณไม่ได้ไตร่ตรองให้รอบคอบคล้ายกับลอยคออยู่ในน้ำ อะไรลอยผ่านมา ก็คว้าเอาไว้ก่อน ไม่ทันได้พิจารณาให้รอบคอบ และดูว่า สิ่งที่คุณคว้าไว้นั้นเป็นสิ่งมีพิษมีภัยหรือ เป็นที่พึ่งได้จริงบางทีสิ่งที่คิดว่าเป็นทุ่นให้เกาะได้ กลับกลายเป็นเพียงฟางหญ้า หรือปลิงที่คอยดูดเลือดคุณเสียอีก สุดแสนจะชอกช้ำยิ่งเสียกว่าอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ

นอกจากนี้ ถ้าคุณอยู่ในวงสังคมคุณอาจจะถูกแรงกดดันทั้งภายในและภายนอกครอบครัวของคุณ ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องพ่อแม่เพื่อนฝูงที่คอยผลัดเปลี่ยนมาแสดงความเป็นห่วงเป็นใย คุณด้วยคำถามประเภท"ทำไมจึงยังไม่แต่งงานเสียที?" "มีอะไรหรือ?" (หรืออีกนัยหนึ่งก็ คือ"คุณมีปัญหาอะไรหรือจึงยังเป็นโสดอยู่ได้ปูนนี้!") สิ่งต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังเหล่านี้อาจทำให้คุณรู้สึกอึดอัดใจ

และในที่สุดคุณก็ตกลงใจที่จะลดมาตรฐานของชายในฝันของคุณลงอย่างฮวบฮาบ น่าใจหายหรือต่ำกว่า50%ก็ยอม ขอให้ได้ชื่อว่า"ได้แต่ง"ก็เป็นพอ ถ้าคุณทำเช่นนี้ย่อมเป็นของแน่นอนว่าคุณกำลัง"ลนลาน" หาคู่และย่อมเป็นของแน่อีกเช่นเดียวกันว่า คู่ที่หามาได้จากการไม่พิจารณาให้รอบคอบนั้น จะมีผลร้ายกับชีวิตของคุณเช่นไร

(2) อย่าแต่งงานเพราะคุณอยากจะออกจากบ้านจากครอบครัวเดิมของคุณ
นี่เป็นเหตุผลที่ฤดีมาศตัดสินใจแต่งงานกับสาธิต เพราะเธอเบื่อพ่อแม่ที่ทะเลาะกันทุกวี่ทุกวัน เธอเบื่อสภาพแวดล้อมของบ้านและความไม่ปรองดองของพี่ๆ น้องๆ เธอคิดว่า การออกไปอยู่กับสาธิตจะเป็นคำตอบของเธอ แต่เมื่อเธอไปอยู่บ้านกับสาธิตจริงๆ เธอกลับต้องไปเผชิญกับปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้ที่เธอนึกว่า น่าจะหมดไปตั้งแต่สมัย"บ้านทรายทอง"นั่นแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาพี่ๆ น้องๆ ของเขา ที่ไม่ได้ยอมรับเธออย่างสนิทใจ ฤดีมาศรู้สึกว่า ตัวเธอเหมือนคนแปลกหน้าที่หลุดเข้าไปอยู่ในโลกที่เธอไม่รู้จัก

(3) อย่าแต่งงานเมื่อคุณกำลังอกหัก หรือเมื่อต้องการประชดแฟนเก่า
ผู้หญิงหลายคนอกหักจากแฟนเก่า และด้วยความเจ็บใจก็จะรีบแต่งงานกับผู้ชายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างปุบปับ เป็นทีประชดแฟนเก่าว่า"ฉันก็มีเสน่ห์เมื่อเธอจากฉันไปได้ ฉันก็สามารถหาผู้ชายคนอื่นมาแทนเธอได้เหมือนกัน" ความจริงเรื่องการอกหักนี้เป็นเรื่องที่เกิดกับคนเป็นจำนวนมาก คุณย่อมเจ็บปวดเป็นธรรมดาแต่เมื่อคุณอกหัก คุณยังไม่ควรรีบ"คว้า" ใครก็ได้ และแต่งๆไป เพราะผู้หญิงอกหักทุกคนจะมีสภาพจิตใจที่ตกต่ำ ความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองจะลดลงไป และช่วงนั้นคุณมักจะขาดวิจารณญาณในการเลือกผู้ชายที่ดีๆ

คุณมักจะไปเลือกเอาผู้ชายที่ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติมาแต่งด้วย เพราะจิตใจคุณบอบช้ำ คุณต้องการคนมาเยียวยาและเขาเสนอตัวเข้ามาพอดี ซึ่งคุณก็จะตกลงเพราะคุณ คิดว่าคนนี้แหละที่จะมาสมานแผลใจให้คุณได้ แต่เมื่อแต่งไปแล้วจิตใจคุณเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ คุณอาจนั่งมองสามีพร้อมกับตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า"ฉันเลือกเขามาได้อย่างไร"

(4) อย่าแต่งงานเพราะคุณสงสารเขา
อลิสาตกลงใจแต่งงานกับพินิจเพราะเขาดูน่าสงสาร เฝ้ารักเฝ้าติดตามเธออยู่เสมอ ท่าทางเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเธอเลย ดูเขาเป็นผู้ชายที่แล้วแต่เธอจะกรุณา อลิสารู้ว่าเธอไม่ได้รักเขาเลย แต่ดูเขาก็ไม่มีอะไรเสียหาย น่าจะเป็นผู้นำครอบครัวได้ แต่หลังจากแต่งงานกันได้ระยะหนึ่ง เขากลับแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเธออย่างน่าเกลียด แม้กระทั่งเพื่อนฝูงของเธอเขาก็ไม่ต้องการให้เธอไปคบค้าสมาคมด้วย อลิสาแทบเป็นบ้าเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่อิสระ เป็นตัวของเธอเอง และคิดไม่ถึงว่า ผู้ชายที่ดูขรึมๆ เรียบๆ จะสามารถแสดง "ฤทธิ์เดช" และวางอำนาจกับชีวิตเธอได้ถึงเพียงนี้

(5) อย่าแต่งงานเพราะหลงใหลในรูปสมบัติของเขาเพียงอย่างเดียว
รูปสมบัติหรือความหล่อล่ำอาจเป็นสิ่งที่ถูกตาถูกใจในเบื้องต้น แต่ถ้าคุณมัวไปหลงใหลในรูปที่เห็นเพียงอย่างเดียว คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า ภายใต้รูปที่ดูหรูเริดของเขานั้นซ่อนอะไรไว้ภายใน เขาอาจจะเป็นพยัคฆ์ร้ายที่ซ่อนอยู่ภายใต้หนังราชสีห์ก็ได้ คุณควรจะหัดมองคนให้ถึงแก่นแท้ของบุคลิกมากกว่า เพียงแค่รถสปอร์ตราคาเป็นล้านของเขาและยิ่งกว่านั้น คนสวยๆ หล่อๆ มักจะใช้เวลาตกแต่งแต่รูปภายนอกของเขามากกว่ารูปภายใน และจะมีประโยชน์อะไรที่จะได้แต่เปลือกซึ่งไม่มีแก่นของเขา หรือไม่ก็เป็นแก่นที่เน่า หรือกลวงข้างใน ยิ่งกว่านั้น ภายใต้ความหล่อและกลิ่นอาฟเตอร์เชฟของเขาก็คือ กลิ่นเหงื่อกลิ่นตัว เจาะลึกลงไปก็เจอแต่น้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนองเหมือนๆ กัน แล้วคุณจะไปหลงใหลได้ปลื้มอะไรกันนักหนากับรูปที่ไม่กี่วันก็เ่หี่ยวเฉาลงไป

(6) อย่าแต่งงานเพราะทรัพย์สมบัติและเงินในบัญชีของเขา
ผู้หญิงหลายคนแต่งงานกับผู้ชายที่ร่ำรวย เพราะขี้เกียจไปกัดก้อนเกลือกินกับใคร ความจริงเรื่องความรวยนั้นใครๆ ก็ชอบ เป็นคุณสมบัติในทางที่น่าพิสมัยของผู้ชายด้วยซ้ำไป แต่ถ้าผู้ชายที่มีแต่ความรวยให้คุณเพียงอย่างเดียว แต่เขาไม่มีเวลาให้คุณ หรือเขาให้คุณเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองของเขา แต่เขาไม่ซื่อสัตย์กับคุณ แอบไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยให้คุณช้ำใจอยู่เสมอ คุณจะทนได้หรือ ต่อให้เขามีเงินล้นฟ้าคุณก็จะน้ำตาเช็ดหัวเข่าและคิดว่า สู้เขาไม่ร่ำไม่รวย แต่มีเวลาและความรักให้คุณจะดีกว่าเป็นไหนๆ

ดังนั้น เมื่อรู้จักผู้ชายที่ร่ำรวยควรศึกษาเขาให้ดีว่า เขาทำมาหากินอะไร อย่าให้ความรวยมาทำให้คุณตามืดมัวไปกับวัตถุสำเร็จรูปที่เขาสรรหามาให้ มากกว่าความรักและความจริงใจของเขา

(7) อย่าแต่งงานเพราะอยากหนีตนเอง
คนบางคนแต่งงานเพราะไม่ต้องการเผชิญกับความรู้สึกสับสนว้าวุ่นและขาดเป้าหมายของชีวิตตนเอง ใช้การแต่งงานเป็นการแสวงหาความหมายให้ชีวิต อยากให้คู่สมรสมาเติมความ"ขาด"ในชีวิตที่เขาควรจะเติมให้ตนเอง ผู้หญิงบางคนไม่ใคร่ชอบตนเอง ไม่ใคร่เชื่อหรือไว้วางใจว่า จะมีใครที่รักเธอจริง เมื่อมีความสัมพันธ์กับใคร ก็มักจะต้องการให้ผู้ชายนั้นมาเติมให้ชีวิตของเธอเต็มขึ้นมา ซึ่งเธอก็มักจะพบกับความผิดหวัง เพราะเธอไม่ได้รักผู้ชายคนนั้น เธอต้องการแต่งงานเพื่อหลีกหนีบางสิ่งบางอย่างของชีวิตที่เธอไม่อยากเผชิญกับมันเท่านั้น

(8) อย่าแต่งงานเพราะคิดว่าจะเปลี่ยนนิสัยเขาได้
นิสัยคนเรานั้นจะเปลี่ยนได้หรือไม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณ แต่ขึ้นอยู่ที่ตัวของเขาเอง อย่าคิดว่า คนเราจะเปลี่ยนนิสัยกันได้ง่ายๆ เพราะเรามักจะมีความเคยชินดั้งเดิมที่ได้รับการปลูกฝังมาเป็นสิบๆ ปี การเปลี่ยนความเคยชิน ต้องใช้ความพยายามและความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยว อย่าแต่งงานเพราะคิดจะเปลี่ยนนิสัยใคร เพราะถ้าเขาไม่อยากเปลี่ยนตัวของเขาเอง คนที่เสียใจที่สุดก็คือคุณ

(9) อย่าแต่งงานเพราะความเหงา
ถ้าคุณเป็นคนขี้เหงามองหน้าตัวเองในกระจกก็เบื่อมองไปรอบๆ ห้องก็เจอแต่สิ่งเก่าๆเฟอร์นิเจอร์เดิมๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นในชีวิต และคุณก็คิดอยากจะได้ใครสักคนมาแก้เหงา คุณก็เลยแต่งงานไปกับคนที่คุณรู้ทั้งรู้ว่า เขาไม่เหมาะกับคุณ แต่คุณคิดว่า"ดีกว่าอยู่เปล่าๆคนเดียว" เขาคงมาช่วยบำบัดความหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวในจิตวิญญาณคุณได้ละก็ขอบอกว่า คุณคิดผิด เพราะเมื่อความเหงาเข้าจู่โจมจิตใจนั้น คนเรามักขาดการกลั่นกรองเห็นผิดเป็นชอบ คุณอาจจะไปคว้าใครก็ไม่รู้มาบำบัดความเหงาของคุณ และคนคนนั้นอาจจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ในชีวิตภายภาคหน้าของคุณก็ได้

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มิได้หมายความว่าคุณไม่ควรแต่งงานหรือถ้าคุณแต่งงาน โดยไม่มีข้ออ้างทั้ง 9 ข้อนี้ ชีวิตคู่คุณจะปลอดโปร่งโล่งใจตลอดไป การแต่งงานจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ขึ้นอยู่กับตัวแปรมากมาย 9 ข้อนี้ เป็นเพียงข้อควรระวังว่า

ถ้าคุณแต่งงานด้วยเหตุผลเหล่านี้โอกาสที่คุณจะผิดหวังกับชีวิตคู่นั้นอาจจะมีสูงกว่าคนอื่น การแต่งงานที่ประสบความสำเร็จ มักจะเริ่มจากความรัก ความเข้าใจเป็นพื้นฐาน แต่ก่อนที่ความสัมพันธ์ของคุณจะพัฒนาไปสู่การแต่งงานนั้น คุณอาจจะใช้วิจารณญาณใคร่ครวญสักนิดว่า
คุณรักเขาหรือไม่
คุณอยากแต่งงานกับเขาเพราะเหตุใด

อย่าเพิ่งให้อารมณ์โรแมนติกเข้ามาเกาะกุมหัวใจของคุณก่อนการใช้สมอง ถ้าคุณเข้าไปสู่ความสัมพันธ์อย่างมีสติและวิจารณาญาณที่ดี คุณอาจจะป้องกันตัวเองจากการผิดหวังและเจ็บปวดที่ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย

สาวๆทั้งหลายอย่าไปเชื่อทั้งหมด ฟังหูไว้หู ดูไว้ประดับความรู้ในการอ่านผู้ชาย
ถ้าระวังเกินไป ชีวิตก็ไม่สนุก แต่ถ้าไม่ระวังชีวิตอาจจะหมดสนุก โลกต้องการความพอดีและสมดุลย์ ชายเป็นของคู่หญิง และผู้หญิงเกิดมาเพื่อผู้ชาย ต้องมีสุขมีทุกข์บ้างคละกันไป จึงเป็นชีวิตมนุษย์ที่เกิดมามีเวรและกรรมซึ่งกันและกัน มึงหลอกกูบ้าง กูก็หลอกมึงบ้าง ชีวิตสมรสจึงจะมีรสชาดสีสัน ใช่หรือเปล่า ชายกระล่อนย่อมเจอหญิงจริต สนุกดีแท้


จาก Forward Mail




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2550 22:22:06 น.
Counter : 737 Pageviews.  

เรื่องราวเก่าๆ เล่าขาน มานะ มานี ชูใจ..ฯลฯ

นั่ง copy งานจากโฟลเดอร์ เจอไฟล์นึงที่ save จากหน้าเมล yahoo เก็บไว้
เป็นเมลที่ได้ fwd มาจากพี่ที่ทำงานคนนึง เมื่อ Mon, 17 Nov 2003
(นานเหมือนกันนะเนี่ย 3 ปีที่แล้วแน่ะ)

เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนังสือเรียน ตอนเด็กๆ ที่หลายๆ คนน่าจะยังจำได้
แต่สมัยนี้คงไม่มีให้เห็นแล้ว ตอนนั้นอ่านดูก็ อืม เรื่องนี้มันมีภาคต่อด้วยหรือนี่
จำได้ว่าตอนนั้นที่ได้ Forward mail มา รู้สึกประทับใจเลย save เก็บไว้
ดูแล้วก็นึกถึงที่เคยเรียนสมัยประถม ปิติ มานี มานะ ชูใจ เจ้าโต สีเทา ฯลฯ



เชื่อว่าหลายๆ คนอ่านแล้วคงนึกถึง สมัยที่ยังเรียนประถมแน่นอน
เลยเก็บมาใส่ไว้ใน Blog นี้เลย



จะมีใครสักกี่คนที่ทราบว่าตัวละครหลายๆตัว
แท้ที่จริงแล้วมีนามสกุลปรากฎในเรื่องด้วย
เช่น มานี มีนามสกุลว่า รักเผ่าไทย, ปิติ พิทักษ์ถิ่น, วีระ ประสงค์สุข, ดวงแก้ว
ใจหวัง และชูใจ เลิศล้ำ

ภาพประกอบในเรื่องมีคนวาดทั้งหมด 3 ท่าน หนึ่งในนั้น คือ คุณเตรียม ชาชุมพร
นักวาดการ์ตูนและนิยายภาพชื่อดังแห่งชัยพฤษ์การ์ตูน
ซึ่งได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว
ครูประจำชั้นที่ปรากฎในเรื่องมี 2 คน คือ คุณครูไพลิน
เป็นครูประจำชั้นตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง ปีที่ 3 อีกคนคือ
คุณครูกมล เป็นครูประจำชั้นตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงปีที่ 6
แบบเรียนนี้ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องราวของเด็กๆเท่านั้นแต่ยังมีพระเอกกับนางเอกด้วย
ซึ่งก็คือ เกษตรอำเภอที่ชื่อว่า "ทวีป" และคุณครู "ไพลิน"
สองหนุ่มสาวพบกันครั้งแรกเมื่อคราวไฟไหม้ตลาด
เด็กๆเป็นตัวเชื่อมให้ได้รู้จักและแต่งงาน ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน
โดยปกติแล้วหมากับแมวมักจะเป็นคู่อริกันเสมอ แต่ในแบบเรียนเล่มนี้ "เจ้าโต" กับ
"สีเทา" หยอกเล่นกันด้วยความเป็นกันเองเหมือนไม่มีพรหมแดนแห่งความเป็นศัตรู



ครั้งหนึ่ง "ปิติ" เคยถูกสลากออมสินเป็นเงินจำนวน 1 หมื่นบาท
ซึ่งเงินส่วนนี้เขาได้นำไปซื้อลูกม้าตัวใหม่และตั้งชื่อให้ว่า "เจ้านิล"
ซึ่งทดแทนเจ้าแก่ที่ตายไป
นอกจากเนื้อเรื่องที่สนุกน่าติดตามแล้ว ในส่วนท้ายของแบบเรียนยังมีประมวลคำศัพท์
ที่อธิบายที่เข้าใจง่ายและเหมาะสมสำหรับเด็ก ยกตัวอย่างเช่น
ภรรยา (พัน-ระ-ยา) หมายถึง ผู้หญิงที่อยู่กินกับผู้ชาย
ผัว หมายถึง ชายที่มีผู้หญิงอยู่กินด้วย
"เจ้าจ๋อ" ลิงของวีระเป็นลิงแสม ชอบถอนขนลูกไก่ และยังเกลียดกลิ่นกะปิ
วีระจัดเป็นเด็กที่ค่อนข้างอาภัพ
พ่อของเขาเป็นทหารและตายในสนามรบตั้งแต่วีระยังอยู่ในท้อง
ส่วนแม่ของเขาก็ตรอมใจตายตามพ่อเขาไปหลังจากที่คลอดวีระได้ 15 วัน
ชีวิตทั้งหมดของวีระจึงอยู่กับลุงตั้งแต่เกิด
"เพชร" มีบ้านเกิดอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี ส่วนบ้านเกิดของ "ดวงแก้ว"
อยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี

บทบาทของ "จันทร" ที่คนส่วนใหญ่จำได้คือ เด็กหญิงที่มีขาพิการ แต่มีใครทราบบ้างว่า
ในตอนท้ายของเรื่อง เธได้รับคัดเลือกให้ร้องเพลง
"ความฝันอันสูงสุด" และยังอ่านทำนองเสนาะเฉพาะพระพักตร์พระบาทสมเด็!
จพระเจ้าอยู่หัว จนได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าให้แพทย์หลวง!
รับตัวไปรับการผ่าตัดขาที่กรุงเทพฯ จนหายเป็นปกติ
ในงานกาชาดของจังหวัด ห้องของครูกมลนำขนมออกขายเพื่อเอากำไร โดยตั้งชื่อขนมเสียใหม่
ซึ่งแสดงถึงความช่างคิดของผู้ประพันธ์ดังนี้
กล้วยฉาบ ตั้งชื่อว่า เหรียญทองชวนลิ้ม
ข้าวเม่าหมี่ ตั้งชื่อว่า สาวน้อยเลือกคู่
ทองม้วน ตั้งชื่อว่า ม้วนเสื่อนางพญา
ทองหยอด ตั้งชื่อว่า น้ำค้างทอง
ถั่วอบเนย ตั้งชื่อว่า ถั่วอบโอชา
ขนมกง ตั้งชื่อว่า ล้อรถพระอาทิตย์
"ชูใจ" อยู่กับย่าและอามาตั้งแต่เล็ก

โดยที่เธอไม่รู้ราบละเอียดใดๆเกี่ยวกับพ่อและแม่แท้ๆของเธอเลย ความจริงก็คือ
พ่อของเธอเสียชีวิตตั้งแต่ชูใจอายุ 1 ขวบ ส่วนแม่ก็อาศัยอยู่ต่างประเทศ
ในตอนท้ายของแบบเรียน แม่ของชูใจบินกลับมารับให้ชูใจไปอยู่ด้วยกัน
แต่ชูใจเลือกที่จะอยู่กับย่าซึ่งเลี้ยงตนมาตลอดตั้งเด็ก
นอกจากเรื่องที่ "เจ้าแก่" ตายจะเป็นตอนที่เรียกน้ำตาของเด็กๆแล้ว
ยังมีตอนหนึ่งซึ่งเศร้าไม่แพ้กัน นั่นคือ "แม่จ๋า" เป็นตอนที่แม่ของเพชร "เพชร"
ตายเพราะถูกงูกัด ขณะไปเก็บหน่อไม้
"มานะ" เป็นเด็กเรียนดี
และเป็นคนเดียวในเรื่องที่ได้ไปเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาที่กรุงเทพฯ ส่วน "มานี" ตอ!
นที่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ได้รับคัดเลือกให้เป็นรองประธานนักเรียนของโรงเรียน

แล้ว...เราก็ได้พบกัน

(มานะ มานี พ.ศ. 2544)

รัชนี ศรีไพวรรณ



แพทย์หญิงมานี รักเผ่าไทย ออกจากห้องคนไข้คนสุดท้ายเมื่อเวลา 16.55 น.
พยาบาลที่รออยู่หน้าห้องรายงานว่า
มีสุภาพสตรีคนหนึ่งมาคอยพบอยู่ที่ห้องพักร่วมสองชั่วโมงแล้ว
มานีรู้สึกตื่นแต้นจนแทบระงับไม่ไหว
เธอขอบใจนางพยาบาลคนนั้นพลางถอดเสื้อคลุมและส่งเครื่องมือแพทย์ให้
แล้วรีบเข้าไปล้างมือในห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด
มานีรู้ดีว่าสุภาพสตรีคนนั้นคือชูใจ ชูใจเพื่อนรักที่ไม่ได้พบกันเลยตลอดเวลา 17 ปี
แม้จะได้ส่งข่าวคราวโทรศัพท์ถึงกันและได้เห็นภาพถ่ายอยู่เสมอ
ก็ไม่ดีใจเท่าจะได้พบกันในวันนี้
เมื่อเรียนจบชั้นประถมปีที่ 6 แล้ว
พ่อของมานีก็ส่งเธอไปเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาที่กรุงเทพมหานครเช่นเดียวกับมานะ
ส่วนชูใจเรียนต่อที่โรงเรียนประจำอำเภอ
แล้วทั้งสองก็ไม่ได้พบกันอีกเลยเพราะย่าของชูใจเสียชีวิต
แม่ของชูใจมารับเธอไปอยู่ด้วยที่เพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย
พ่อเลี้ยงของชูใจเป็นประธานบริษัทเครื่องหนังที่ร่ำรวย
เขาเป็นหมันจึงรักชูใจเหมือนลูกแท้ๆของเขา
ชูใจมีชีวิตที่สุขสมบูรณ์
เธอเรียนต่อด้านการออกแบบเครื่องหนังและท! ำงานในบริษัทของพ่อเลี้ยงนั่นเอง
และแต่งงานกับลูกชายรอ! งประธานบริษัทซึ่งทำงานอยู่ด้วยกัน
วันนี้ชูใจมีโอกาสได้กลับมาประเทศไทย
เพื่อไปร่วมฉลองพิธีการแต่งงานของปิติที่จังหวัดลำปางในอีกสองวันที่จะถึงนี้
ปิติเรียนสำเร็จจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ได้พบกับเจ้าสาวของเขาระหว่างเรียนด้วยกัน
เจ้าสาวของปิติเป็นลูกสาวชาวสวนผู้มั่งคั่งของจังหวัดลำปาง
เมื่อมานีผลักบังตาเข้าไป สุภาพสตรีที่นั่งกระวนกระวายอยู่โผเข้ามากอด
ทั้งสองกอดกันแน่นหัวเราะพลางร้องไห้พลางด้วยความดีใจสุดขีด
"มานีจ๋า ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน"

"ฉันก็เหมือนกันจ้ะ ชูใจ เธอน่าจะชวนปีเตอร์มาด้วย" มานีพูดถึงสามีของชูใจ
ชูใจคลายวงแขนออก จ้องมองเพื่อนรักทั้งๆที่น้ำตายังนองหน้า
"ปีเตอร์เหรอจ๊ะ เขาอยากมาจะแย่ แต่ตอนนี้ไม่ว่าง คราวหน้ามานีแต่งงาน
ฉันพาเขามาด้วยแน่ๆ"
มานีหัวเราะ ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้ชูใจและตนเอง จูงเพื่อนไปนั่งที่เก้าอี้
"ฉันคงไม่มีวันนั้นหรอกจ๊ะ"
"อะไรกัน? เธอน่ะทั้งสวย ทั้งดี จันทรเขาเล่าให้ฟังหมดแล้วล่ะ"
"อ้าว ไปพบจันทรกับเพชรมาแล้วเหรอ นี่เธอมานานแล้วซี ไหนว่าจะนอนพักซักงีบ
เครื่องลงเมื่อตีสี่ไม่ใช่เหรอ"
"ใครจะไปงีบลงล่ะจ๊ะ หัวใจมั! นร่ำร้องอยากพบเพื่อนๆ
อากับอาสะใภ้ไปหาฉันที่โรงแรมเมื่อแปดโมง! ฉันก็เลยมากับอา
ไปบ้านอา ไปกราบคุณแม่ของเธอ คุณพ่อยังไม่กลับจากทำงาน
ไปบ้านปิติเจอแต่แม่ของปิติเหมือนกัน แล้วก็ไปบ้านจันทรกับเพชร
ร้านของเขาใหญ่โตดีนะ น้าของเขาก็มอบให้จันทรกับเพชรดูแลร้าน
ลูกคนเล็กของเขาน่ารักนะ อีกสองคนไปโรงเรียนเลยยังไม่ได้พบ
ถ้าฉันไม่มีทางจะมีลูกได้ ฉันจะขอลูกของจันทรไปเลี้ยง ไม่รู้เขาจะให้หรือเปล่า! "
ชูใจคุยจ้ออย่างมีความสุข

"คงให้นะ เพราะจันทรกับเพชรก็รักและไว้ใจชูใจมาก
เออ....เสียดายครูไพลินกับคุณอาทวีปย้ายไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว เธอเลยไม่ได้พบ"
"นึกถึงความหลังแล้วมีความสุขจัง ถ้าย่ายังอยู่ก็ดีนะ ยายของปิติก็เสียแล้ว
พี่มานะอกหักแล้วยังหาใหม่ไม่ได้เหรอจ๊ะ
ติดยศพันตรีแล้วไม่ใช่หรือ กลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยไหม
แล้วพี่เขาจะกลับลำปางกับเราไหมจ๊ะ"
มานีหัวเราะเบาๆ "พี่มานะเขามีคนรักใหม่แล้ว แต่ไม่รู้จะแต่งงานกันเมื่อไหร่
อาจจะได้พาปีเตอร์มาเร็วๆนี้ก็ได้นะ
วันนี้วันศุกร์พี่มานะมาไม่ได้ พรุ่งนี้เขาจะมาแต่เช้า ไปกับเราด้วย"
"พี่วีระซินะ น่าสงสาร คนดีๆไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย" ชูใจรำพึงอย่างสลดใจ
"เขามีภรรยาไม่ดีจ๊ะ เลยกลายเป็นคนขี้เมาหยำเป เสียสติ! เลอะเลือน
เพชรต้องดูแลลุงกับป้าแทน เพชรเป็นคนดีมาก ฐานะของเขาดีทีเดียว
น้องๆได้เรียนสูงๆทุกคน"

"ตอนเขากับจันทรแต่งงานกัน ไม่มีใครบอกฉันเลย" ชูใจตัดพ้อ
"เขาไม่ยอมให้บอกจ๊ะ มีสตังค์แล้วจะพาลูกๆไปเยี่ยมเธอเอง"
"ขอให้จริงเถอะ เธอก็เหมือนกัน บอกว่าจะไป จะไป ไม่เห็นไปสักที" ชูใจควักค้อน
"เพิร์ธน่ะน่าอยู่น่าเที่ยวนะ ฉันไปเที่ยวมาหลายแห่งแล้ว ไม่ชอบใจเท่าเพิร์ธเลย
ฉันชอบไปที่บุญที่วัดโพธิญาณกับแม่บ่อยๆ
บางทีพ่อก็ไปด้วย พ่อเลี้ยงของฉันเป็นพุทธศาสนิกชนไปแล้วรู้ไหม"
มานีหัวเราะชอบใจ "ชูใจยังใช้ภาษาไทยได้ดีอยู่นะ จากไปตั้งสิบกว่าปีแล้ว"
"ฉันพูดภาษาไทยกับแม่เสมอ แต่เรื่องเขียนนี่สิ
ต้องขอบใจมานีที่เขียนจดหมายถึงฉันอยู่เรื่อยๆ ทำให้ฉันได้อ่านและเขียนภาษาไทย
ไม่ลืมภาษาไทย พจนานุกรมที่เธอส่งไปให้น่ะ ฉันใช้อยู่เสมอเวลาเขียนจดหมายถึงเธอ
ม่ายงั้นคงเหมือนกับโคลงโลกนิติที่ว่า อักขระห้าวันหนี เลยจ๊ะ"
"ชูใจหิวไหมจ๊ะ" มานีถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่หรอกจ๊ะ ก่อนมาหาเธอ จันทรเขาทำก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ให้ทาน อร่อยจังเลย
ไม่ได้ทานนานแล้ว"
"เย็นนี้เราก็จะไปทานข้าวที่บ้านจัน! ทร เธอจะกลับไปค้างที่โรงแรมหรือเปล่าจ๊ะ""เรื่องอะไร? " ช! ูใจค้อน "ฉันเตรียมกระเป๋ามาแล้ว นอนกับเธอ
พรุ่งนี้เราก็ไปลำปางกันเลย เพชรเขาจะขับรถพาไป แต่ทางโรงแรมเขาบริการเอง"
"ปิติคงตื่นเต้นดีใจมากนะ นี่คงจะอยากมาหาพวกเราเต็มแก่
ถ้าไม่ติดว่าจะต้องเป็นเจ้าบ่าว"
"ฉันโทรไปหาเขาแล้ว" ชูใจพูดยิ้มๆ
"ดีใจมากเลย เสียงเอะอะโล้งเล้งตามเคย นี่เดี๋ยวคงโทรมาหาพวกเรา"
"ถ้าเช่นนั้น เราไปบ้านจันทรกันดีกว่านะ" มานีพูดพลางลุกขึ้นหยิบกระเป๋าถือ
"เดี๋ยวจะวานให้รถโรงพยาบาลไปส่ง ฉันไม่มีรถ ใช้แต่จักรยาน"
"ไม่ต้องหรอกค่ะ ท่านรองผู้อำนวยการผู้แสนมัธยัสถ์
ฉันมีรถตู้ของโรงแรมมาส่งและคอยรับใช้อยู่ตลอดเวลา
ตามคำสั่งของแด๊ด..เอ๊ย...ของพ่อ พ่อจองโรงแรมให้และสั่งให้โรงแรมบริการทุกอย่าง
ของฝากเธอก็อยู่ในรถ ฉันมีกระเป๋าถือเก๋ๆ ที่ฉันออกแบบเองมาฝากเธอด้วยล่ะ"

"เฮ้อ...คนมีสตังค์ล่ะก็ เนรมิตอะไรได้ทุกอย่างนะ" มานีพูดยิ้มๆ
"ชดเชยกับที่ฉันเคยลำบากเมื่อเล็ก ๆ ไงล่ะ แหม คิดถึงย่าจังเลย"
ทั้งสองเดินเกี่ยวก้อยคุยกันไปยังที่จอดรถ ซึ่งมีรถคันหรูของโรงแรมมีชื่อจอดอยู่
"เธอสั่งงานไว้เรียบร้อยแล้วหรือ จะพักร้อนตั้งอาทิตย์เชียวนะ เห็นจันทรบอก!
ว่าเธอเป็นหมอที่เอาใจใส่ห่วงงานมาก
แม้จะมีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้อำนวยการแล้วก็ตาม คนทั้งอำเภอรักเธอ ชอบเธอมากนี่
เมื่อตอนโรคฉี่หนูระบาดเขาว่าเธอไม่ได้หลับได้นอนเลยนี่ใช่ไหมจ๊ะ"
"จ๊ะ ตอนนั้นแย่หน่อย หมอ พยาบาล เหน็ดเหนื่อยกันทุกคน ตอนนี้ค่อยยังชั่ว
ถ้าเธอมาตอนนั้น
หรือปิติแต่งงานตอนนั้น ฉันคงลำบากใจเหมือนกัน" เมื่อทั้งสองขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว
รถคันงามก็ออกจากโรงพยาบาลมุ่งไปสู่ตัวเมือง มานีกับชูใจนั่งคุยไปตลอดทาง
สมกับความรักความคิดถึงที่มีต่อกัน
มิตรภาพอันอบอุ่นเมื่อเยาว์วัยหวนกลับมาสู่หัวใจของคนทั้งสอง ชูใจมองเพื่อนรัก
แล้วพูดเบาๆว่า "แล้วเราก็ได้พบกันนะ มานี
แต่อีกไม่กี่วันเราก็ต้องจากกัน"
"แล้วเราก็จะได้พบกันอีกไม่ใช! ่หรือชูใจ ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่
เราก็จะได้พบกันแน่นอน"
"แน่นอนจ๊ะ มานี เราจะได้พบกัน"
ชูใจตอบพร้อมยิ้มอย่างเป็นสุขเมื่อนึกถึงเวลาแห่งความเบิกบานที่จะได้อยู่กับเพื่อนรักตลอดสัปดาห์นี้...

แล้ว....เราก็ได้พบกัน




 

Create Date : 03 มกราคม 2550    
Last Update : 3 มกราคม 2550 13:48:11 น.
Counter : 1371 Pageviews.  

Zoom Out แค่จุดเล็กๆ จุดนึงบนโลกนี้


ได้จาก fwd mail ดูแล้วเท่ดี
บางทีสิ่งที่เราเห็นอยู่ อาจเป็นเพียงจุดเล็กๆ จุดนึงบนโลกนี้เท่านั้น





























































 

Create Date : 22 ธันวาคม 2549    
Last Update : 22 ธันวาคม 2549 11:00:41 น.
Counter : 631 Pageviews.  

1  2  

bombik
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add bombik's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.