ความดีไม่จีรัง
มีกะตังค์ ซิยั่งยืน
Group Blog
 
All Blogs
 

ทำไม.. ไม่เข้าใจ

ทำไม เมื่อเกิดความขัดแย้ง 2 ฝ่าย พูดไม่ตรงกันเลย พูดแบบตรงกันข้าม
เขาไม่ละอายในการโกหกเลยเหรอ พูดโกหกต่อสาธารณชนได้เต็มปาก เขาไม่รู้เหรอว่าความจริงมันพิสูจน์ได้
ใครยิงก่อน มีภาพการตั้งฐานกำลังที่ปราสาท มีบ้านเรือนประชาชนเสียหายเพราะโดนยิงโดยอาวุธสงคราม

ทำไม ทั้งที่อีกฝ่ายแสดงออกโดยก้าวร้าว ทั้งที่เขาแสดงออกโดยชัดเจนว่าไม่อยากเจรจากับเรา ต้องการให้มีฝ่ายที่ 3 เข้ามา แต่ทำไมเราถึงยังอยากเจรจากับเขาแค่ 2 ฝ่าย

ทำไมเรายังอยากเจรจากับเขา ทั้งที่เขาแสดงให้เห็นว่าไม่อยากเจรจากับเรา เท่านั้นยังไม่พอ เราก็เห็นชัดเจนว่าสิ่งที่เขาพูดกับการกระทำไม่ตรงกันมาตั้งแต่อดีต เรายังหวังจะเจรจากับเขาอีกเหรอ
ถ้าเจรจาได้ ตกลงกัน 2 คน แน่ใจยังไง ว่าต่อไปเขาจะยึดถือคำพูดของตัวเอง

ให้ฝ่ายที่ 3 เข้ามาก็ดีนะ เขาจะได้รู้ว่าใครพูดกลับกลอก ความจริงเป็นอย่างไร

แต่เราก็กลัวเหมือนกัน เพราะเขาหวังให้คนนอกเข้ามายุ่งมาก เขาคิดว่าคนนอกจะเข้าข้างเขาเหรอ

ทั้งที่เราแสดงออกต่อสังคมโดยรอบด้วยความดี มีน้ำใจ สิ่งที่เราทำก็ถูกต้อง คนทั่วไปก็ต้องเห็นด้วยกับเราซิ

แต่...

แต่... จากประสบการณ์ส่วนตัวของเรา พบว่า ความดีที่มีโดยธรรมชาติและทั่วถึง ไม่ซึ้งใจ เท่า ผลประโยชน์แอบแฝงที่หย่อนลงเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย

จริงๆ นะ เวลาเราทำดีโดยทั่วไป ใครได้น้ำใจจากเรา ก็เฉยๆ แถมยังคอยดูและอาจแอบเคืองเรา ถ้ามีคนอื่นได้รับามีน้ำใจจากเรามากกว่าเขา แต่ใครร้าย ใครเค็ม แล้วเขาได้ประโยชน์จากคนนั้น แม่ง... โค ต ร ภูมิใจเลย เป็นต้นว่า...ขนาดไอ้นั่นงกจะตาย เราขอยืมมันยังให้

เฮ้อ....

หรือบางที เราอาจต้องยอมให้ผู้อ่อนแอกว่า เพื่อมนุษยธรรมเหรอ
อย่างเวลาโดนเด็กเกเกแกล้ง เขาก็ว่าเราเป็นผู้ใหญ่ให้ยอมๆ ไป อย่าเอาเรื่องราวกับเด็ก
เด็กงกอยากได้ของผู้ใหญ่ก็บอกให้ยอมให้มันไป มันเป็นเด็กเหรอ
อยากรู้จัง...ว่าพวกปากดีนั่น ถ้าเด็กอยากได้ของๆ เขาบ้าง เขาจะยอมทำใจดีมั้ยนะ

แล้วตอนนี้ ไอ้เฟรนฟาย ทำท่าจะเข้ามายุ่งใหญ่ ยังไง มันก็ไม่เป็นกลาง เฮ้อ... ๆๆๆๆ

ทำไม เราต้องยึดถือกติกาอยู่คนเดียว

แล้วทำไม เรายังมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันอีก เพราะเราบางคนมีผลประโยชน์ร่วมกับอีกฝ่าย บ้างก็ตรง บ้างก็แฝง บ้างมาก บ้างน้อย ต่างกัน

เฮ้อ... ทำไม ทำไม ทำไม

ทำไม ไม่สบายใจเลยยย

อยากให้โลกสงบสุข... ไม่ใช่ ไม่ใช่

ชาวโลกจะเป็นยังไงช่าง แต่อยากให้บ้านฉันสงบสุข




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2554 9:29:56 น.
Counter : 395 Pageviews.  

อยากระบาย


เฮ้อ...


เมื่อคืนดูน้องฟิลม์ก็รู้สึกอึมครึม ไม่รู้เรื่องจะจบยังไง... แต่ที่แน่ๆ ทุกคนเริ่มตั้งหลักกันได้


แอนนี่น่ะ..ตั้งได้นานแล้ว มีงานเข้าตรึม


ส่วนน้องฟิลม์พลาดงานใหญ่ไปหลายงาน แต่ก็ยังพอตั้งหลักได้ และถือเป็นโอกาสดีที่จะได้บวช...สาธุ


แต่คุณลืมคนสำคัญไปคน


น้องทีฆายุ ที่แอนนี่รักนักหนาและตั้งใจมั่นว่าจะเลี้ยงลูกคนเดียว จะเป็นแม่ส่วนเรื่องที่ผ่านมาถือเป็นอดีต


อดีตหนู...ถือว่าทุกคนเคยผิดพลาด แต่ต่อไปหนูจะเป็นแม่ที่ดี


รักลูกมาก ไปไหน ไปสัมภาษณ์ ถ่ายแบบ ก็เอาไปด้วย


และกลัวเหลือเกินว่าถ้าตรวจ DNA แล้วทางพ่อจะมาเอาลูกไป


ทุกคนลืมแล้วหรือ ว่าต่อไป น้องเขาจะต้องโตขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีแต่แม่คนเดียว


ต้องเข้าโรงเรียน มีเพื่อน มีสังคม


แล้วเรื่องของน้องเป็นข่าว ครึกโครมขนาดนี้ ถึงแอนนี่จะทำเก่ง ทำตัวเป็น single mom


แต่เธอคงจะบอกว่าลูกไม่มีพ่อไม่ได้ จะบอกว่าพ่อไปสวรรค์ก็คงไม่ได้


และจะบอกว่า พ่อหนูเป็น ซุป-ตาร์ ก็คงไม่ได้


ในเมื่อเรื่องมันคลุมเครือแบบนี้ น้องแอนนี่ช่างกล้าที่คิดจะปล่อยในลูกสับสน ทั้งที่มันมีหนทางพิสูจน์


ให้ทุกอย่างกระจ่าง แล้วถ้าเธอจะไม่อยากให้พ่อทำหน้าที่พ่อ ก็ไม่เป็นไร


เลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยิ่งโต ยิ่งยุ่งยาก วันนี้เธอคิดว่าเลี้ยงลูกคนเดียวได้ก็ปล่อยไป


ถ้าเป็น พ่อลูกกันจริง อีก 10 ปีก็ยังเป็น พ่อลูกกัน น้องฟิลม์จะทำหน้าที่พ่อตอนนั้นก็ยังไม่สาย


เพียงแต่เสียดายแทนเด็กไร้เดียงสา ที่ขาดโอกาสที่จะได้รับจากพ่อ...เท่านั้นเอง


พ่อที่เขาพร้อมจะทำหน้าที่พ่อ ขนาดไม่พร้อม ไม่แน่ใจ... น้องฟิมล์ยังดูแลแม่เด็กขนาดนี้


แปลกใจ...ที่อะไรหนอ บังตา บังใจ แอนนี่



อ่านต่อ : //my.dek-d.com/atommu/blog/?blog_id=10115257#ixzz12ro4UQsf





 

Create Date : 20 ตุลาคม 2553    
Last Update : 20 ตุลาคม 2553 10:46:29 น.
Counter : 307 Pageviews.  

เมืองกังวล










เมืองกังวล



เมืองใดไร้สิ่งอันพึงมี                             ย่อมเสื่อมศักดิ์ศรีไร้คุณค่า

พระมหาธีระราชเจ้าจอมปรัชญา        ทรงนิพนธ์ไว้ว่าน่ากังวล

เมืองใด ไม่มีทหาร                                เมืองนั้น ไม่นานเป็นข้า

เมืองใด ไร้จอมพารา                             เมืองนั้น ไม่ช้าอับจน

เมืองใด ไม่มีพาณิชเลิศ                        เมืองนั้น ย่อมเกิดขัดสน

เมืองใด ไร้ศิลปโสภณ                           เมืองนั้น ไม่พ้นเสื่อมทราม

เมืองใด ไม่มีกวีแก้ว                              เมืองนั้น ไม่แคล้วคนหยาม

เมืองใด ไร้นารีงาม                                เมืองนั้น สิ้นความภูมิใจ

เมืองใด ไม่มีดนตรีเลิศ                          เมืองนั้น ไม่เพริศพิศมัย

เมืองใด ไร้ธรรมอำไพ                            เมืองนั้น บรรลัยแน่เอย !..






 





















กลอนบทดังกล่าวแต่งโดยคุณถนอม อัครเศรณี ชื่อว่า ?กลอนหัวใจเมือง? โดยใช้นามปากกาว่า ?อัครรักษ์? พิมพ์ครั้งแรกในหนังสือของโรงเรียนประจำอำเภอบ้านโป่ง และหนังสือเจ้าพระยาเมื่อ ปี 2492 ต่อมามีผู้สำคัญผิดคิดว่าเป็นบทพระราชนิพนธ์จึงนำไปแปลงเป็นเพลง และเริ่มได้ยินเพลง ?เมืองกังวล? เมื่อปี 2519-2520 ทำให้ผู้แต่งพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดพลาดดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีผู้เข้าใจผิดอยู่ครับ หาอ่านได้ที่ สยามรัฐ 24 พย.2527 และที่สำคัญบุคคลที่เกิดความสงสัยจนต้องมาตรวจสอบและพบว่าไม่ใช่บทพระราชนิพนธ์ ก็คือ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุลครับ ท่านสืบหาจนพบผู้แต่งบทกลอนดังกล่าวซึ่งก็คือ คุณถนอม อัครเศรณี นั่นเอง



นี่เป็นความรู้สึกของคุณถนอม อัครเศรณี ต่อเรื่องดังกล่าวนะครับ



?เพื่อนฝูงคิดดูเถิด บทกลอนของผมนั้นเปรียบเทียบได้เพียงเศษธุลีเป็นละอองธุลีพระบาทของบทพระราชนิพนธ์ในองค์ท่าน เมื่อมีเหตุการณ์ทำให้ประชาชนเกิดความสำคัญผิดพลาดเช่นนี้ ขืนเพิกเฉยต่อไปมิเท่ากับว่าผมปล่อยให้ราคีเกิดแปดเปื้อนแก่บทพระราชนิพนธ์ในพระองค์ท่านด้วยความมิบังควรเช่นนั้นละหรือ ช่วยชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจความเป็นจริงโดยถูกต้องด้วยเถิด ?อิงอร? เพื่อนรัก และเป็นบุญคุณหาที่เปรียบมิได้?



ถนอม อัครเศรณี



คัดลอกมาจากหนังวังพญาไท ที่คัดลอกบทความของคุณบัว ศจิเสวี จากหนังสือ 80 ปี แห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉบับมีนาคม 2540


ขออภัยต่อความผิดพลาดครั้งนี้ด้วยครับ ที่ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลก่อน






โดยคุณ : แมวบิน       วันที่ : 2007-07-20 21:25:51  




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2553 12:38:51 น.
Counter : 3832 Pageviews.  

ไพร่ฟ้าหน้าใส

คำว่า ไพร่ เมื่อก่อนใครๆ ก็ล้วนเป็น ไพร่ฟ้าหน้าใส ในแผ่นดินทั้งนั้น

จนเมื่อไม่มีระบบไพร่แล้วนั้นแหละ คำว่า ไพร่และผู้ดีจึงกลายมาเป็นคำว่า โดย ผู้ดี คือ ผู้ประพฤติดี พูดดี คิดดี ทำดี ส่วนไพร่ก็คือผู้มีความประพฤติตรงข้ามกับผู้ดี

แต่ต่อมากลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้ได้ยินในนิยาย ก่อนจะมีการตบตีกันระหว่างพวกสมองกลวงที่เรียกตัวว่าผู้ดี กับไพร่ ซึ่งกลายเป็นว่า ผู้ดี คือ คนที่มีเงินมากๆ และถือว่าตัวมีอำนาจเหนือคนอื่น และคนที่มีเงินน้อยกว่าตัว คือ ไพร่

ทั้งที่ความเป็นจริง ผู้ดี ยังคงหมายถึง คนที่คิดดี พูดดี ทำดี จิตใจดี ดังเดิม แต่คนคงลืมเลือนกันไป เพราะคนมีเงินเสียงดัง ทำให้หลงเข้าใจไปว่า สิ่งที่ตัวคิด ทำ และพูดคือสิ่งที่ถูกต้อง แต่ไม่ใช่...ความดี

ค้าขาย มุ่งหวังกำไร ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี นั่นคือ ความถูกต้อง แต่ไม่ใช่ความดี ... การกระทำทุกอย่างต้องมีจริยธรรมควบคู่

คนทำดี ทำได้ไม่เด่น และไม่ดังเท่า เพราะเป็นสมัยที่เงินเป็นใหญ่ ใครมีเงินจะเรียกผีมาโม้แป้งยังได้เลย

และเมื่อไม่นานได้เห็นคำว่า "เลือดไพร่" เราก็งง ต้องตั้งสติ ตอนนี้เป็นระบบประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นไพร่ฟ้าของใคร

เขามาเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งเขาได้รับพระราชทานมาโดยถูกต้องจากพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว

ดังนั้น เลือดไพร่ของเขาในที่นี้น่าจะหมายถึง ผู้ประพฤติตน ตรงข้ามกับผู้ดี ที่เขาพูดดี ทำดี คิดดี

เหมือนคำว่า อำมาตย์ ซึ่งเมื่อก่อนที่เราเป็น ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน เรามีพระเจ้าแผ่นดินปกครอง ขุนนางผู้ช่วยบริหารแผ่นดินของพระองค์ก็เป็นอำมาตย์ ซึ่งก็มีดีบ้างเลวบ้างตามธรรมชาติคน แต่มีเจ้านายท่านปกครองดูแล ก็คงไม่มีเลวมากซักเท่าไร

ตอนนี้เราเป็นประชาธิปไตย โดยมีในหลวงเป็นองค์ประมุข ท่านมิได้ยุ่งเกียวกับการบริหารบ้านเมืองใดใดเลย

แต่ท่านก็พยายามช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินผ่านทางโครงการพระราชดำริต่างๆ ด้วยทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ และมีผู้ร่วมถวาย

แต่หากมีคนอยากพูดถึง อำมาตย์ ก็น่าจะหมายถึง ขุนข้ำขุนนางทั้งหลายที่บริหารบ้านเมือง ซึ่งตอนนี้ก็คือ รัฐมนตรี ทั้งหลายที่หมุนเวียนเปลี่ยนกันไปมา จนหาคนรับผิดชอบเรื่องใดๆ ไม่ได้เลย บางคนเข้ามา ก็ทำสัญญาขายชาติขายแผ่นดินหน้าตาเฉย ด่ากันไปมาจนลืมว่า ตัวเองก็เคยอยู่ตรงนั้น

อนิจจัง อนิจจา พูดมาก พูดไปมา จนลืมคิด ลืมแก่น ลืมประเด็น แต่ก็ยังเก่งที่ต่างพาคนอื่นๆ หลงประเด็นตามตัวเองไปได้

แม้จะเกรงกลัวอันธพาล ที่ออกมาสำแดงตัวทั่วบ้านเมือง จนเราไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง

เห็นคนทำไม่ดี คิดไม่ดี พูดไม่ดี ก็ได้แต่เงียบ (น่าละอายไม่น้อย)

อย่างไรก็ดี ได้ค้นความหมายของคำว่า "ไพร่" มาให้อ่านทบทวน เพื่อคุณๆ ทั้งหลายจะได้ไม่หลงประเด็น

เพราะเรายังอยากเป็น "ไพร่ฟ้าของแผ่นดิน"

ไพร่

คือ ราษฎรทั่วไปที่ไม่ได้เป็นเจ้านาย ขุนนาง และทาส บุคคลกลุ่มนี้มีมากที่สุดในสังคม ชายฉกรรจ์ทุกคนเมื่อมีอายุถึงกำหนดเริ่มตั้งแต่ 18 หรือ 20 ปี ต้องไปขั้นทะเบียนสังกัดมูลนาย มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมา ทั้งในภาวะที่สังคมสงบหรือมีสงคราม โดยที่ไม่มีการให้ค่าตอบแทนแต่อย่างใด ไพร่แบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่ ไพร่หลวง ไพร่ส่วย ไพร่สม

ไพร่หลวง

หมายถึง ไพร่ที่ขึ้นต่อพระมหากษัตริย์โดยตรง ถูกเกณฑ์แรงงานมาทำงานตามที่ราชการกำหนด ซึ่งพระมหากษัตริย์จะแบ่งให้ไปทำงานในกรมหรือกองต่างๆ เข้าเวรทำงานตามเวลาที่ถูกกำหนด คือ 6 เดือนต่อปี (เข้าเดือนออกเดือน)

ไพร่ส่วย

หมายถึง ไพร่ที่ส่งเงินหรือสิ่งของมาแทนตัวของไพร่แทนการทำงานเพื่อชดเชย อาจเนื่องจากอยู่ไกลจากเมืองหลวง เข้ามารับราชการไม่สะดวก ตั้งแต่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีการส่งเงินมาแทนแรงงานมากขึ้น เงินที่ส่งมานี่เรียกว่า เงินค่าราชการ เก็บในอัตราเดือนละ 2 บาท หรือปีละ 12 บาท

ไพร่สม

หมายถึง ไพร่ที่ขึ้นต่อขุนนางและข้าราชการต่างๆ เพื่อทำงานรับใช้โดยตรง ไพร่นี้จะตกเป็นของมูลนายนั้นจนกว่ามูลนายจะถึงแก่กรรม ไพร่สมจะถูกโอนมาเป็นไพร่หลวง แต่บุตรของมูลนายเดิมมีสิทธิยื่นคำร้องของควบคุมไพร่สมนี้ต่อจากบิดาก็ได้
สิทธิทั่วไปของไพร่ เช่น ไพร่จะอยู่ภายใต้สังกัดของมูลนายคนใดคนหนึ่ง ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ไพร่ไม่สามารถย้ายสังกัดได้นอกจากมูลนายของตนจะยินยอม ที่ดินของไพร่สามารถสืบทอดไปยังรุ่นต่อไป แต่ถูกจำกัดสิทธิในการย้ายที่อยู่ และต้องขึ้นทะเบียนตามภูมิลำเนาของตน เป็นต้น หลังจากที่เข้าเวรทำงานครบ 6 เดือนแล้ว สามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวเพื่อประกอบอาชีพในครอบครัวได้อิสระ เว้นแต่ในยามสงคราม




 

Create Date : 22 มีนาคม 2553    
Last Update : 22 มีนาคม 2553 13:16:15 น.
Counter : 8119 Pageviews.  

บทเรียนจาก สตอเบอรี่ สาลี่ และแอปเปิ้ล

พอเทศกาลปีใหม่กระเช้าผลไม้ก็กระจายไปทั่ว
หัวหน้าของเราได้เลื่อนตำแหน่งใหม่ ก็ได้กระเช้าเยอะเป็นพิเศษ
พวกเราก็สุมหัวกันมองดูด้วยความปลาบปลื้มแทน
จนพี่เขาต้องเดินออกมาดูว่าสุมหัวทำอะไร เราก็เลยแก้เกี้ยวไปว่าอยากกินสตอเบอรี่
พออีกวัน พี่เค้าก็เลยเอาสตอเบอรี่ แอบเปิ้ล และสาลี่ ใส่ถุงมาให้
เราอยากกินสตอเบอรี่อย่างเดียว แต่ก็ไม่กล้ากิน
เพราะมันเป็นวันสิ้นปี เราจะต้องกลับต่างจังหวัด และจะขอกลับก่อนเวลาเพื่อหลบรถติด
ก็เลยต้องเร่งทำงานหน่อย ไม่มีเวลาเอาล้างสตอเบอรี่ ปอกแอบเปิ้ล สาลี่
คนอื่นก็ไม่เอาไปทำมาให้กิน เราก็เลยได้แต่มองมันอยู่ในถุงพลาสติกวางอยู่บนโต๊ะเสบียงอย่างนั้น
จนน้องคนหนึ่งเขามาดูแล้วก็ร้องว่า
"อยากกินสตอเบอรี่จังเลย" แล้วเขาก็หยิบสตอเบอรี่ลูกใหญ่ๆ จากถุงไป 3-4 ลูก ล้างแล้วก็กินโดยไม่ใส่ใจกับผลไม้อื่นในถุง


แค่นี้เอง


เราก็เลยหยิบสตอเบอรี่ไป 2 ลูก ล้างแล้วก็กินเอง แล้วก็กลับมานั่งทำงาน
ของที่เหลือใครอยากกินก็จัดการกันเอง


เฮ้อ... เกิดมา 30 กว่าปี เพิ่งเรียนรู้ในการจัดการแต่ธุระของตนเอง
ตั้งแต่เกิด ไม่รู้ใครสั่งสอนไว้... ในกรณีนี้หากจะจัดการก็ต้องนำผลไม้ทั้งถุงไปจัดการล้างปอกให้เรียบร้อย ถึงแม้ว่าตัวเองจะอยากกินแต่สตอเบอรรี่ก็ตาม


วันนี้... จึงได้ความรู้ใหม่ 


ทำให้เป็นเรื่องง่ายๆ แค่คิดถึงแต่เรื่องของตนเอง ฮูเร ฮูเร .... ฮูเร ฮา ฮา




 

Create Date : 06 มกราคม 2553    
Last Update : 6 มกราคม 2553 15:21:31 น.
Counter : 352 Pageviews.  

1  2  3  

ทำดีต่อไปนะคะ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทำดีต่อไปนะคะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.