* ในคราวหนึ่งท่านพระอนุรุทธะผู้เป็นเลิศในด้านทิพยจักษุ พาภิกษุ ๕๐๐ รูปเดินทางไปเมืองกบิลพัสดุ์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านเอง หมู่ญาติของท่านต่างพากันมาถวายภัตตาหารคอยอุปัฏฐากรับใช้เป็นอย่างดี มีเพียงน้องสาวของท่านชื่อโรหิณีที่ไม่มา พระเถระจึงถามว่า โรหิณีอยู่ไหน ทำไมไม่มาร่วมทำบุญกับหมู่ญาติเล่า
พระประยูรญาติเรียนท่านว่า พระนางอยู่ในตำหนัก ที่ไม่เสด็จมา เพราะทรงละอายที่ตนเองเป็นโรคผิวหนัง มีตุ่มขึ้นเต็มตัว แม้จะหาหมอมารักษา สูญเสียเงินทองมากมายก็ไม่สามารถรักษาให้หาย ด้วยความกรุณาพระเถระจึงให้ไปเชิญพระนางมา และแนะนำให้ทำบุญใหญ่ โดยการสร้างโรงฉันสำหรับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป อีกทั้งให้ทำความสะอาดโรงฉันเป็นประจำ
พระนางโรหิณีได้ขายเครื่องประดับทั้งหมด แล้วนำทรัพย์มาสร้างโรงฉัน ทำเป็น ๒ ชั้นตามคำแนะนำของพระเถระ แม้ว่าโรงฉันยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี พระเถระก็เมตตานิมนต์พวกภิกษุมาฉันเป็นประจำ พระนางมีความผูกพันกับการสร้างโรงฉันมาก ได้ทำการกวาดถูให้สะอาดอยู่เป็นนิตย์ ด้วยอานุภาพบุญนั้นเอง โรคผิวหนังของนางค่อยๆ หายไป กลับมีผิวพรรณวรรณะเปล่งปลั่งดั่งทอง มีร่างกายที่ผ่องใส เป็นที่ดึงดูดตาดึงดูดใจของผู้พบเห็น เมื่อโรงฉันเสร็จสมบูรณ์ดีแล้ว พระนางได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุขมาเต็มโรงฉัน แล้วถวายภัตตาหารที่ประณีตแด่พระสงฆ์ทั้งหมด
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ตรัสถามว่า นี้เป็นทานของใคร พระอนุรุทธะกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ทานนี้เป็นทานของพระนางโรหิณีน้องสาวของข้าพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงรับสั่งให้เรียกพระนางมาเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนโรหิณี เธอรู้ไหมว่า ทำไมจึงเป็นโรคผิวหนัง
พระนางโรหิณีตอบว่า ไม่ทราบ เจ้าข้า
โรคนั้นเกิดขึ้น เพราะความโกรธของเธอนั่นเอง แล้วพระองค์จึงทรงเล่าถึงกรรมในอดีตของเธอว่า
ในอดีตชาติ พระนางเกิดเป็นอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงพาราณสี เมื่อรู้ว่าพระเจ้ากรุงพาราณสีหลงใหลหญิงนักฟ้อนคนหนึ่ง นางเกิดความริษยา จึงคิดหาทางกลั่นแกล้งหญิงนักฟ้อน วันหนึ่งพระนางออกอุบาย ให้เรียกหญิงนักฟ้อนมาพบตามลำพัง ในขณะที่หญิงนักฟ้อนนั้นมาเข้าเฝ้า พระนางส่งคนนำผงหมามุ่ยไปโปรยลงบนที่นอน ผ้าห่ม เครื่องใช้ต่างๆ และยังให้โปรยใส่ตัวของหญิงนักฟ้อนอีกด้วย
เมื่อหมามุ่ยถูกผิวกายหญิงนักฟ้อนก็เกิดอาการคัน ผิวหนังเกิดเป็นตุ่มเล็กตุ่มน้อยเป็นแผลพุพอง ครั้นกลับไปนอนบนเตียง ก็ยิ่งคันทุรนทุรายหนักขึ้นไปอีก นางได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ด้วยวิบากกรรมนั้น ทำให้พระนางตกนรกหลายชาติ และด้วยเศษกรรมนั้นจึงทำให้เป็นโรคผิวหนังในชาตินี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอดีตชาติของพระนางโรหิณีแล้ว จึงตรัสแก่พระนางว่า ดูก่อนโรหิณี ความโกรธก็ดี ความอิจฉาริษยาก็ดี แม้เพียงเล็กน้อย ไม่สมควรทำเลย
จากนั้นทรงสอนนางต่อไปว่า บุคคลพึงละความโกรธ สละความถือตัว ล่วงสังโยชน์ทั้งสิ้นได้ ทุกข์ทั้งหลายย่อมไม่ตกต้องบุคคลนี้ ผู้ไม่ข้องในนามรูป ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล
พระนางโรหิณีได้ปล่อยจิตไปตามกระแสพระธรรมเทศนาของพระองค์ ในที่สุดก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน นอกจากจะไม่เป็นโรคผิวหนังแล้ว ยังได้พบความสุขอันเป็นอริยะ ผิวพรรณวรรณะของนางยิ่งผ่องใสขึ้น เมื่อละโลกไปแล้ว นางไปเกิดเป็นเทพธิดา เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
จะเห็นได้ว่า ความโกรธ ความอิจฉาริษยาไม่มีผลดีสำหรับเราเลย มีแต่นำความเสื่อมเสียมาสู่ตนเอง ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความโกรธเข้ามาครอบงำจิตใจของเราได้ ควรมีเมตตาให้อภัยกันเสมอ วิธีการที่จะเอาชนะความโกรธ คือการหมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่งนี่แหละ เมื่อหยุดนิ่งแล้วก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ไม่มีประมาณ ถ้าทำทุกวันจนกระทั่งติดเป็นนิสัย ใจเราปลอดโปร่งเบาสบาย จิตใจสงบเยือกเย็น เลือดลมในตัวจะเดินได้สะดวก ส่งผลต่อเซลล์ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ผิวพรรณวรรณะผ่องใสเสมอ
นอกจากนี้การแผ่เมตตายังทำให้หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ตื่นแล้วก็มีความสดชื่น พร้อมที่จะทำงาน และเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ ทำให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงอายุยืนยาว ภัยต่างๆ ทำอันตรายไม่ได้ เราจะเป็นที่รักเคารพของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เมื่อปฏิบัติธรรมจิตจะหยั่งลงสู่ศูนย์กลางกายเป็นสมาธิ(Meditation)ได้รวดเร็ว ทำให้รู้แจ้งเห็นแจ้งในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยง่าย
อารมณ์ภายนอกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งไม่เป็นที่ปรารถนา เมื่อมากระทบจะไม่มีโอกาสกระเทือนถึงจิตใจ ใจของเราจะผ่องใสเยือกเย็นเป็นสุขอยู่ภายในราวกับผู้นิรทุกข์ เพราะฉะนั้น ให้หมั่นฝึกใจไม่ให้เป็นคนมักโกรธ ให้เป็นคนมีความปรารถนาดีต่อทุกคนตลอดเวลา