ยังไงก็ไม่ชิน
Group Blog
 
All Blogs
 
จากกระทู้ปิดบัญชี "ยังไงก็ไม่ชิน" โดย *bonny -- ตอนที่ ๒

สวัสดีครับ..

โอ้โฮ..
เอากันใหญ่ ละเลงกันจนเละเทะ พูดกันเป็นตุเป็นตะ โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่เกิดกับคนอื่น
เป็นธรรมดาของเว็บบอร์ด กล่าวหาได้ง่ายๆ ไม่เสียตังค์ หมิ่นประมาทคนไม่ติดคุก อย่างมากตายคาล็อกอิน จบแล้วเปลี่ยนชื่อใหม่ไปเรื่อยๆ ได้ ไม่รู้จบ

ลืมจิตสำนึกอันดีงามของการทำความดีกันไปหมด มุ่งหมายที่จะเอาชนะคะคานกัน ล้างแค้นในเรื่องส่วนตัวกันอย่างเดียว

แทนที่ผมจะมากล่าวปิดกระทู้หลังจากทำงานเสร็จด้วยคำขอบคุณทุกท่าน กลายเป็นต้องมาแก้ข้อกล่าวหาไปเสียฉิบ!!

ธรรมสูงสุดในพุทธศาสนา คือ อริยมรรค มี 8 ข้อ ข้อแรกสำคัญที่สุด คือ สัมมาทิฎฐิ คือ คิดชอบ เข้าใจอย่างถูกต้อง
ข้อแรกนี้สำคัญที่สุด เพราะถ้าเริ่มต้นก็คิดไม่ชอบ เข้าใจผิดแต่แรกแล้ว จะดำริชอบ ปฏิบัติชอบ เจรจาชอบ ในข้อต่อๆ มา ......จนถึง..จิตตั้งมั่นอยู่ในสมาธิอันชอบได้อย่างไร

เท่าที่อ่านๆ ดู เหตุแห่งการไม่เกิดสัมมาทิฎฐิในคนเหล่านี้ เป็นเพราะจิตใจที่ฟุ้งซ่านมาก่อน โดนสังโยชน์เกาะกุมจนไม่อาจขจัดนิวรณ์อันเป็นบ่อเกิดแห่งกิเลสได้

เมื่อจิตใจมืดมัวแล้ว ตาก็ย่อมมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งดีงามที่โครงการจัดทำหนังสือครบรอบหนึ่งปีกระทำไป การพยายามทำลายสิ่งดีงามที่คนทั้งหลายทั้งปวงในที่นี้ร่วมกันสร้างขึ้นมาถือเป็นบาปเป็นกรรมที่จะต้องติดตามเขาเหล่านั้นไปตลอดอยู่แล้ว แต่นี่ยังพยายามสร้างเรื่องราวทำร้ายผู้ที่เคยเป็นมิตรสหาย เพื่อนร่วมงานให้วอดวายไปกับมิจฉาทิฎฐิด้วยเนี่ย ถือเป็นบาปมหันต์ที่จะส่งผลต่อชีวิตและความสุขของคนเหล่านี้ในภายภาคหน้า

ลองมองดูตัวเองและคนรอบข้างในครอบครัวที่ต้องสัมผัสกับพวกคุณอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันสิครับ แล้วลองหาเหตุผลทางพุทธศาสตร์อธิบายว่า คุณมีความสุข ความเจริญในชีวิตดีอยู่หรือ พวกเขามีความสุข ความเจริญในการประกอบกิจกรรมร่วมกับคุณดีอยู่หรือ?

การหลุดพ้นจากบ่วงกรรมที่ตนเองก่อขึ้น มีทางเดียว คือ กลับไปที่มรรคข้อแรก เริ่มต้นด้วยการทำให้เป็น สัมมาทิฎฐิ ให้ได้ก่อน ถ้าทำได้ดี เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ก็จะมองเห็น (ในจิต ธรรมที่ผู้อื่นปฏิบัติสามารถมองได้ด้วยจิตตั้งมั่นของคุณเอง) สิ่งที่ผมได้ก่อร่างสร้างโครงการนี้ขึ้นมาจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของการเก็บเกี่ยว มันเป็นโครงการที่มิชอบ ล้มเหลว แสวงหาผลประโยชน์ จริงเช่นนั้นหรือ?

ฝากไปคิดและไตร่ตรองนะครับ ถ้าคิดว่า ไม่จำเป็น ไร้สาระก็ไม่เป็นไร

เอาล่ะครับ..
ถึงเวลาต้องชี้แจงทุกเรื่องราวแล้ว และให้ถือคำชี้แจงนี้ประกอบหลักฐานที่น้องเม่ยนำมาแปะด้วยนะครับ

20 คำถามกับ*bonny

1) ทำไมถึงไม่เข้ามาชี้แจงก่อนหน้านี้ ปล่อยให้กระทู้เละเป็นโจ๊กอย่างนี้ล่ะ?

ต้องถามกลับไปว่า ทำไมผมต้องมาไล่ชี้แจงทุกประเด็นที่พวกเขาสงสัยต่างหาก ปุจฉาที่เป็นมายาทิฎฐิ ไม่อาจวิสัชนาด้วยสัมมาวาจา ฉันใดก็ฉันนั้น..
กระทู้นี้ความจริงไม่ควรมีความยืดเยื้อเกิน 3 หน้าหรอก แต่ที่มันบานทะโร่เช่นนี้ ให้ท่านทั้งหลายคลิกกลับไปดูว่า เกิดจากการพยายามทำลายกระทู้ด้วยความเห็นที่โปรยมาครั้งละ 2 – 3 – 4 ความเห็น ทั้งๆ ที่สามารถรวมกันเป็นความเห็นเดียวได้ แต่ต้องการละเลงให้มันเปรอะ มันก็เลยกลายเป็น 8 หน้าโดยไม่จำเป็น

ผมมีกำหนดเวลาทำงานให้จบภายในเดือนกุมภาพันธ์ ต้องถามกลับไปว่า ถ้าพ้นกำหนดนัด ผมพลาดค่อยมาอัดกันดีกว่าไหม ระหว่างนั้น ผมได้เข้ามาตอบแล้วครั้งหนึ่ง แต่เห็นทีท่าของพวกที่ตั้งคำถามต้องการพาลเอาเรื่องมากกว่าถามอย่างสร้างสรรค์ ต่อให้ตอบจนปากฉีกถึงรูหู ก็คงไม่เป็นที่พอใจหรอกครับ เหมือนยืนพูดกับกำแพงเมืองจีนยังไงยังงั้น
เรามีหน้าที่สะสางงาน ต้องทำให้แล้วเสร็จ ใช้ผลของงานที่ทำแทนคำตอบน่าจะดีกว่า พยานหลักฐานที่นำมาแปะจะสามารถพูดแทนเราได้ดีที่สุดว่า เราทำอะไรไปแล้ว ได้ผลอย่างไร และผมก็ได้ห้ามน้องเม่ยไม่ให้เข้ามาชี้แจงใดๆ ในระหว่างที่งานยังไม่เสร็จด้วย ขอให้ใช้ขันติธรรมเข้าต่อสู้จะดีกว่า (แต่หลายครั้งที่น้องเขาขันแตกไปซะก่อน)

แล้วเมื่อผมและน้องเม่ยเอาหลักฐานต่างๆ มาแปะ ไอ้ที่กล่าวหากันเป็นตุเป็นตะ จะมีใครสำนึกไหมครับว่า ทำอะไรลงไป ความเห็นก่อนๆ หน้า (ถ้าหากไม่ลบหรือแก้ไข) ก็เท่ากับประจานตัวเองต่อสังคมที่นี่ไปแล้ว

2) คุณสร้างโครงการนี้มาเพื่ออะไร?

ประเด็นหลัก คือ ต้องการหาเงินทุนช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส รองลงมา คือ ให้สมาชิกของขบวนการฯ มีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน และเปิดตัวขบวนการต่อสาธารณชน

3) ทำไมกองบก.ต้องมี 8 คน แต่ละคนทำหน้าที่อะไรบ้าง?

ในการทำหนังสือ 1 เล่ม องค์ประกอบในการจัดการ มีดังนี้
1..นักเขียนบทความ
2..บรรณาธิการ
3..อาร์ตเวิร์ค
4..บัญชีและการเงืน
5. งานพิมพ์
ความจริงมีอีกส่วนคือ การตลาด แต่ผมขอตัดทิ้งไป เพราะหนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะกิจ เราจำหน่ายได้โดยไม่ต้องวางแผงหนังสืออยู่แล้ว

องค์ประกอบแรก คือส่วนของงานเขียน เราประกาศรับบทความของสมาชิกเสรีไทยผ่านหัวข้อต่างๆ ให้สมาชิกที่สนใจส่งบทความเข้ามาคัดเลือก

งานของคนในทีมบก. หน้าที่หลักและความรับผิดชอบเบื้องต้น คือ งานในองค์ประกอบที่สอง ใครไม่ถนัดทำอะไรเลยก็ไม่เป็นไร ขอให้เข้ามาแสดงความคิดเห็น เสนอแนะ หรือ คัดค้านก็ได้ เราต้องการมติของที่ประชุมเป็นสำคัญ

ส่วนงานเขียนบทความ งานอาร์ตเวิร์ค เป็นงานที่ต้องใช้ทักษะและความชำนาญ ถ้าคนในทีมงานจะทำ เราก็ไม่ห้าม พร้อมสนับสนุน แต่ผลงานจะต้องผ่านการพิจารณาของสมาชิกในทีมก่อนจึงจะผ่านไปสู่โรงพิมพ์ได้

ตอนหลังเราโยนงานอาร์ตเวิร์คให้บุคคลภายนอกไปทำโดยการว่าจ้าง ส่วนงานพิมพ์ เราต้องใช้โรงพิมพ์ภายนอกอยู่แล้ว

งานทำบัญชีและรับผิดชอบการเงิน เป็นงานเดียวที่ต้องมีคนดูแลเฉพาะ ต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้เท่านั้น

ผมมอบหมายหน้าที่การทำบัญชีการเงินให้คุณดอกฟ้า และน้องเม่ยดูแลร่วมกันเพราะตอนนั้นพวกเธอสนิทกันมากคิดว่า น่าจะทำงานร่วมกันได้ดี โดยขอให้ทั้งคู่เปิดบัญชีร่วมขึ้นมาเพื่อกันข้อครหา แต่คุณดอกฟ้าไม่สะดวก จึงเหลือเม่ยคนเดียว ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้จักมักจี่เม่ยเป็นพิเศษอะไร แต่เธอเป็นคนหนึ่งที่เข้ามาตอบเมล์ผมประจำไม่เคยขาด ผมจึงต้องยอมรับให้เม่ยดูแลบัญชีคนเดียว คิดอยู่ในใจเหมือนกันว่า ถ้าเธอเกิดหนีไปพร้อมเงินในบัญชี ผมจะทำอย่างไร
แต่ตอนนั้น ผมไม่คิดอะไรมากนัก อยากให้งานสำเร็จลุล่วงก็ต้องไว้วางใจกัน ถ้าผมเอางานการเงินมาดูแลเอง แม้จะโปร่งใสอย่างไรก็ไม่พ้นข้อครหาหรอกครับ
ส่วนงานจัดระเบียบ วางแผน และกำหนดสเต็ปของการทำงานในองค์ประกอบที่สอง ผมเป็นคนออกแบบและให้ที่ประชุมลงความเห็น ใครจะค้านก็ได้ เราใช้เสียงข้างมากตัดสิน ผมเป็นหัวหน้าก็จริง แต่ก็มีเสียงเดียวในที่ประชุมเท่านั้น

การรับสมัครทีมงานเข้ามาทำงาน 8 คน ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะต้องมีงานในมือทำหมด แค่เข้ามาแสดงความเห็นและลงมติก็ถือว่า ทำงานแล้ว เหตุที่กำหนดไว้ 8 คน เป็นเพราะ..

1..ผมต้องการเสียงโหวตจำนวนหนึ่งในที่ประชุม กันข้อครหาว่างุบงิบทำกันแค่คน-สองคน พูดง่ายๆ ว่า ต้องการพยานรู้เห็นการกระทำของทีมงานนั่นเอง
2..ผมมีประสบการณ์ในการทำงานกลุ่มแบบอาสาสมัครมาหลายครั้งตั้งแต่เป็นนักศึกษาจนถึงปัจจุบั รู้ดีว่า งานอาสาสมัครที่มีผู้ขันอาสามาจากหลายแหล่ง โดยไม่มีการผูกมัดเป็นค่าจ้าง ยากจะผูกมัดการทำงานด้วย
ถ้าหัวหน้างานไม่มีบารมี ลูกน้องไม่อดทนพอ จะลาออกกันไปเองโดยธรรมชาติวิสัยของคน แต่ผมในฐานะเจ้าของโครงการนี้ลาออกไม่ได้ ลาออกงานโครงการนี้ก็ต้องจบ

4) พอจะบอกได้ไหมว่า ทำไมคนในบก.ถึงลาออกกันเยอะ คุณเป็นตัวปัญหาหรือเปล่า?

มีทั้งที่เป็นเหตุผลส่วนบุคคลที่ไม่พร้อมจะทำงานเป็นทีม และที่เกิดจากการกำกับดูแลของผม เพราะทุกอย่างต้องเริ่มที่ผมจะมาจบลงที่ผมไม่ว่าดีหรือไม่ดี เวลาลูกทีมขัดแย้งกัน เขาหวังให้เราเลือกข้างเขา แม้เราจะยืนตรงกลาง เขาก็ว่าลำเอียงอยู่ดี ผลจบลง คือ มีคนหนึ่งต้องเดินจากไปและอีกคนอยู่
คุณไปดูรายชื่อตั้งแต่เริ่มแรกสิหากคุณอยู่บอร์ดนี้มานานพอก็จะรู้ว่า มีเค้าลางของความวุ่นวายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทันทีที่ประกาศชื่อ ก็มีคนส่งเมล์มาหาเตรียมลาออกแล้วเพราะเขม่นกันมาก่อนในเว็บ

ผมเป็นหัวหน้าทีม ไม่ใช่นายจ้าง พวกเขาเป็นเพื่อน ไม่ใช่เป็นลูกน้อง เราสั่งให้ใครเข้าใครออกไม่ได้ ทุกอย่างเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะตัว
ทุกคนที่ลาออกไปมีเหตุผลส่วนตัวที่ผมไม่ขอพูดถึงดีกว่า คือ โครงการนี้ ผมริเริ่มและต้องรับผิดชอบผลสำเร็จ ถ้าคุณทำงานกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นไม่ได้ จะมีหนึ่งคนลาออกไป แต่ถ้าคุณทำงานกับผมไม่ได้ จะให้ผมเป็นฝ่ายลาออกได้อย่างไรครับ ถ้าผมลาออกก็ต้องปิดโครงการ ใครจะทำอะไรต่อต้องไปขึ้นโครงการใหม่ของตัวเอง

เพราะเราทำงานกับบนเน็ต ไม่ได้พบหน้ากันเหมือนในกองบก.ของสำนักพิมพ์ เวลาผมนัดประชุมและส่งข้อความไป กว่าจะตอบคืนมาหมด ใช้เวลาหลายวัน ที่สำคัญ คือ คนที่ไม่ตอบว่า จะเอายังไง จะทำหรือไม่ทำไม่ส่งข่าวให้เราทราบ ทำให้ต้องกำหนดว่า หากไม่ตอบกลับมาภายใน 3วัน 5วัน เราขอตัดออก ต้องทำเช่นนี้ งานจึงเดิน อย่างนี้ไม่เรียกว่า ไล่ออก แต่ออกตามสภาพ ในจำนวนทั้งหมด มีลักษณะนี้ถึง 3 คน

5) ทำไมบทความของคุณจึงมีมากกว่าคนอื่นๆ คุณใช้อำนาจหน้าที่กำหนดให้เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า?

เราไม่มีนักเขียนส่งบทความมามากพอ เรามีบทความถึง 14 เรื่อง แต่นักเขียนไม่ถึง 5 คน จึงต้องมีคนเขียนมากกว่า 1 เรื่อง
แต่เดิมผมต้องการเขียนบทความดังนี้..
--บทนำเรื่องอนาคตของขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด ผมต้องเป็นคนเขียนอยู่แล้วให้คนอื่นเขียนแทนไม่ได้
--บทความทางการเมืองที่มีสาระหนักๆ แสดงจุดยืนของขบวนการในการต่อต้านระบอบทักษิณ 1 เรื่อง
--บทความทางการเมืองเรื่องสนุกๆ เพื่อลดความเครียด 1 เรื่อง
และสุดท้าย คือ บทความเพื่อสังคมของคนที่ด้อยโอกาส 1 เรื่อง โดยในที่นี้ผมเสนอเรื่องราวของการกดขี่ทารุณทางเพศของคนในครอบครัว ซึ่งผมต้องการแสดงจุดยืนตรงนี้ให้สังคมตะหนัก

แม้ผมจะไม่ใด้มีอาชีพนักเขียน แต่กลับเขียนหนังสือเป็นอาชีพ
ผมเป็นที่รู้จักแพร่หลายในสังคมเว็บบอร์ดการเมืองมานานนักสิบปี ก็จากงานเขียนบทความทางการเมืองภายใต้ชื่อ *bonny งานเขียนภายใต้ชื่อนี้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านระบอบทักษิณและความไม่เป็นธรรมในสังคมที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว หากใครแย้งก็ลอง search ใน Google ดูสิครับ ขนาดตัดๆ ไปบ้างแล้ว ยังมีงานเขียนของผมนับ 1000 ชิ้น ปรากฏอยู่ในเว็บบอร์ดต่างๆ โดยมีผู้ที่หวังดีและไม่หวังดีนำไปเผยแพร่อย่างกว้างขวาง
ก่อนหน้านี้ นามปากกา*bonny ก็ปรากฏอยู่ในเรื่องสั้นหลายเรื่องในท้องตลาด ทุกเล่มมาขอให้ผมเขียนให้นะครับ ไม่ใช่ผมเสนอหน้าไปเขียน
ถ้าจะทำหนังสือที่ผมริเริ่มสักเล่มหนึ่ง ชื่อ*bonny ในงานเขียนคงไม่ใช่จุดอ่อนของหนังสือหรอกครับ
และถ้าจะมีชื่อ*bonny ในหนังสือเล่มนี้มากกว่าคนอื่นก็คงไม่แปลก แต่จะแปลกมากหากผมไม่ทำหนังสือแต่ไปทำถ้วยกาแฟ หรือ เสื้อคอกลมแทน

ทำหนังสือเล่มนี้ยากตรงหานักเขียนนี่แหละ ใครๆ ก็อยากให้สมาชิกชั้นนำที่ร่วมต่อสู้กันมาโชกโชนอย่าง คุณปุถุชน คุณแคนแคน คุณพระพาย คุณsoco เขียนบทความให้เรา เราเรียกร้องผ่านกระทู้ได้ แต่ความสมัครใจย่อมสำคัญกว่า

เมื่อใกล้กำหนดปิดรับเรื่อง ผมก็พอจะทราบจากกล่องเมล์ว่า มีผู้ร่วมส่งบทความน้อยมาก เรียกว่า ไม่ต้องคัดออกกันเลย คนส่งบทความน้อยกว่าโควต้าที่เรามี และบทความที่ส่งมาแล้ว ผมได้อ่านแล้ว ก็เห็นว่า มีบางบทความเนื้อหาค่อนข้างอ่อน ถ้าเราไม่สร้างงานเขียนขึ้นมาเปรียบเทียบ แต่ให้ทุกบทความตีพิมพ์ได้หมด หนังสือจะไม่ได้ให้อะไรกับผู้อ่านสมกับราคาที่ตั้ง ผมอยากได้งานเขียนที่มีสาระหนักๆ อย่างน้อย 1 เรื่องในแต่ละหมวด

จนถึงสัปดาห์สุดท้าย ในบางหมวดก็ยังไม่มีบทความปรากฏเลย เท่ากับเราต้องตัดหมวดนั้นทิ้งไปโดยปริยาย ผมก็เลยลงมือปั่นต้นฉบับเพิ่มเข้าไปอีก เป็นที่มาของเรื่อง อาหารชาวม็อบ ซึ่งมีอยู่เรื่องเดียวในหมวดนั้น และเรื่องกวีนครที่แต่งร่วมกับดอกฟ้าและเม่ย
ความจริงไม่ใช่ผมคนเดียวนะครับที่มีบทความในหนังสือหลายบทความ นักเขียนอีกคนก็มีจำนวนใกล้เคียงกับผมแต่เขาใช้นามแฝงต่างกันในทุกบทความ แต่ผมใช้ชื่อเดียวตลอด นั่นทำให้มีบทความของผมเยอะ

ผมไม่มีอำนาจอะไรในการกำหนดให้งานเขียนของผมผ่านหรือไม่ผ่านหรอกครับ ทุกอย่างต้องเป็นมติของที่ประชุม
ผมตระหนักเสมอว่า จะต้องมีข้อครหาแน่นอนหากให้โหวตงานเขียนกันแบบซึ่งหน้าเพราะทีมงานจะกลัวขัดใจผมได้หากให้คะแนนบทความของผมน้อยกว่าคนอื่น ผมจึงออกแบบให้ใช้วิธีการโหวตลับโดยใช้ชื่อปลอมในการลงคแนน
ผมได้ให้ทุกคน (เหลือ 4 คน) โหวตให้คะแนนบทความ มีระดับ..A..B..C..D โดยเอ ได้ 4 บีได้ 3 และ ซีได้ 2 และดี ได้ 1 ตามลำดับ

ในแบบฟอร์มการโหวตที่ผมออกแบบนั้น ทุกคนจะใช้ชื่อปลอมและรหัสของตนเองเข้ามาโหวตจึงไม่มีใครรู้คะแนนของแต่ละคน เพื่อป้องกันการ BIAS

ผมได้ให้คะแนนบทความตัวเองไม่เกิน B ทุกบทความ ซึ่งเป็นระดับเส้นคั่นของบทความที่เป็นมาตรฐานกลางๆ โดยคาดหวังว่า ถ้าบทความผ่านออกมา ก็ขอให้ออกมาจากแรงโหวตของคนอื่น ไม่ใช่ของตัวเอง บทความใดของผมที่ผมอยากให้ลงมากที่สุดผมให้ B บทความไหนผมชอบน้อยลงมา ผมให้ตัวเอง C (หลักฐานยังเก็บอยู่ในไฟล์ครับ แต่แปะไม่ได้เพราะจะทำให้สมาชิกที่ส่งบทความคนอื่นเสียหายเรื่องจำนวนคะแนน ผมเชื่อว่า ที่เม่ยก็คงมีสำเนาเก็บเอาไว้เช่นกัน)

ผลปรากฏออกมาว่า บทความของผมผ่านทุกบทความ แต่ผมขอสละเสิทธิ์บทความของผมที่มีคะแนนน้อยที่สุดออก 1 บทความ แล้วเลื่อนของสมาชิกที่คะแนนน้อยกว่าเข้ามาแทน (บทความเรื่องนั้น คือ กรรมของประเทศไทย ซึ่งผมเพิ่งนำไปตั้งเป็นกระทู้ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหากยังจำกันได้)

ดังนั้น..ที่บอกว่า ผมใช้อำนาจยัดเอาบทความตัวเองลงเต็มไปหมด ก็ขอให้เข้าใจเสียใหม่นะครับ คนที่โหวตให้ผ่านเป็นกรรมการอีกสามท่านไม่ใช่ผมแน่นอน และก็ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกที่มีบทความมากกว่าหนึ่งบท สมาชิกท่านหนึ่งก็มีจำนวนพอๆ กับผม

ในฐานะที่เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ ที่ผมแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตามความสามารถที่ผมถนัด แต่ถ้าบทความมันด้อยค่าและรกเกินไป ก็ขอได้รับการขอโทษจากผมด้วยก็แล้วกัน

ในส่วนของบทกวี..
คุณดอกฟ้าและเม่ยเป็นผู้ประสานงานกับนักกวีที่คุ้นเคยกันให้ส่งงานเขียนเข้ามาทั้งหมด ไม่มีการโหวต ส่วนใหญ่แล้วเราให้ผ่านหมดครับ นักประพันธ์บางท่านจึงมีผลงานหลายชิ้น แม้ว่า งานประพันธ์บางชิ้นจะไม่ใช่งานใหม่ที่แต่งขึ้นเพื่อหนังสือเล่มนี้ตามกฎที่เรากำหนด แต่เคยปรากฏอยู่ในเว็บบอร์ดอื่น หรือบล็อกส่วนตัวก็ตาม แต่ผมเห็นว่า ควรอนุโลมได้เพราะผู้ประพันธ์มีน้อย

มาถึงส่วนของภาพประกอบที่เป็นหน้าสี
จำนวนของหน้าสีมีผลต่อราคาหนังสือนะครับ เพราะมูลค่าของการพิมพ์แพงขึ้นเท่าตัวเลยทีเดียว
ตั้งแต่แรก ผมไม่ได้มอบหมายใครดูแลส่วนนี้ เราต้องได้งานเขียนก่อนจึงสามารถกำหนดภาพประกอบได้ เราเหลือกันอยู่แค่ 3 คน ผมให้ทุกคนช่วยกันหารูปที่เกี่ยวข้องกับบทความมาเสนอในที่ประชุม

ในส่วนของผม รูปภาพที่ผมนำมาจากในเว็บต่างประเทศโดนทีมงานตัดทิ้งหมดนะครับ เขากลัวเรื่องลิขสิทธิ์ แต่ภาพที่ไม่เกี่ยวข้องกับลิขสิทธิ์ ก็ถูกตัดทิ้งเช่นกัน เรียกว่า เรื่องรูปภาพนี่ผมหามายังไงก็ไม่ถูกใจที่ประชุม
แต่ผมมีรูปที่ผมทำขึ้นเองอยู่ 3 รูป คือ รูปสองล้นเกล้าปกเกล้าชาวประชา ตั้งใจจะแปะบทกวีคุณอังศนา ..รูปรถถังย่ำประชาธิปไตยตัดหัวหน้าเหลี่ยม อันนี้วาดเอง และรูปเสรีไทยคนหนึ่งเหยียบจมูกหน้าเหลี่ยม ซึ่งวาดเองเช่นกัน

//forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=4436&st=0&sk=t&sd=a&start=350#p91153

//forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=4436&st=0&sk=t&sd=a&start=350#p91155

//forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=4436&st=0&sk=t&sd=a&start=350#p91157

//forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=4436&st=0&sk=t&sd=a&start=350#p91158

//forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=4436&st=0&sk=t&sd=a&start=350#p91159

ตอนแรกผมนำเสนอภาพหน้าเหลี่ยมขึ้นเป็นภาพปก เพราะผมเห็นว่า น่าจะสื่อสารกับคนอ่านได้ตรงจุดมากกว่า แต่สมาชิกนิยมชมชอบและโหวตของคุณSaopao ทางทีมงานบอกว่า ภาพของผมเหมาะกันประกอบเนื้อหาภายในมากกว่า ผมก็เลยขอทีมงานให้เอามาแปะในบทความทางการเมืองของผมก็แล้วกัน จะเป็นภาพขาวดำก็ได้ เพราะไม่ได้ทำให้ต้นทุนแพงขึ้น
ภาพสองล้นเกล้ากับประชาชน ตอนที่ส่งให้ดู คุณดอกฟ้าก็บอกว่า สวยดี เราก็คิดว่า จะได้ลงตีพิมพ์ สุดท้าย เธอไม่ได้ส่งให้คุณอ้อเลย ตัดทิ้งหมด

ส่วนคุณดอกฟ้าก็ส่งรูปที่ถ่ายขึ้นเองมานำเสนอเช่นกัน ก็มีสวยๆ หลายภาพที่ผมให้ผ่าน แต่ก็มีหลายภาพที่ผมให้ความเห็นว่า ยังไม่เหมาะสมกับบทความ ไม่ถึงกับปฏิเสธหรอกครับ คือ ถ้าไม่มีที่ดีกว่า ก็ให้เป็นดุลยพินิจของที่ประชุมก็แล้วกัน
โดยส่วนตัวแล้ว เห็นว่า ภาพถ่ายของเธอมีจุดอ่อนที่ถ่ายจากกล้องดิจิตอลที่ความคมชัดยังสู้มือกล้องอาชีพไม่ได้ ในเน็ตมีภาพสวยๆ ที่ถ่ายโดยมืออาชีพทางการข่าว และเราสามารถนำมาใช้ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นภาพที่สื่อสารมวลชนเผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว ถ้าเราไม่ยึดติดว่า “ภาพถ่ายของข้า ใครอย่าแตะ” เราจะมีภาพประกอบที่สวยงามและสอดคล้องกับบทความมากกว่านี้

สุดท้าย เธอไปโพนทะนาในกระทู้ว่า ผมไม่ได้ทำอะไร เธอทำคนเดียว โห..เธอเล่นตัดงานของคนอื่นทิ้งหมดโดยที่เขาไม่รู้ตัวเช่นนี้

ผมไม่โทษคุณอ้อที่จัดทำรูปเล่มนะครับ เป็นเพราะผมไว้วางใจทั้งคุณอ้อและคุณดอกฟ้าและเม่ยโดยให้ทั้งสองฝ่ายประสานงานกันเองได้เลย เพียงแต่สิ่งที่ผิดพลาดคือ คุณอ้อส่งงานให้คุณดอกฟ้า แล้วจบที่ดอกฟ้า โดยดอกฟ้าไม่ได้เอาเข้าที่ประชุมให้ผมพิจารณาด้วย แต่ส่งโรงพิมพ์เลย

มติที่ประชุมเราใช้เสียงข้างมากตัดสินปัญหา ลำพังผมเสียงเดียว แต่น้องเขามีกันสองคน ผมก็แพ้วันยังค่ำครับ แต่ถือว่า ผมต้องทำหน้าที่กำกับดูแลทุกส่วนเพราะเป็นหัวหน้าทีม
ในความเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ที่ผมจะต้องชอบทุกรูปที่เธอถ่ายมาให้ดู จะมีชอบมาก กลางๆ และไม่ชอบเลยปะปนกันอยู่ แต่เชื่อไหมครับว่า แค่นี้ทำให้เกิดความไม่พอใจในตัวผมโดยที่ผมคิดไม่ถึง แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ทำให้เกิดจุดระเบิดออกมา เป็นแค่ชนวนเหตุของความไม่พอใจที่ก่อตัวเท่านั้น

เรื่องภาพสีนี่ยังมีประเด็นที่ต้องพูดถึง คือถ้าใครมีหนังสือ และได้อ่านเรื่องม่านพรางตา ของ*bonny ซึ่งผมถือเป็นบทความธงนำของผมและเป็นบทความต่อต้านระบอบทักษิณในเชิงบทวิเคราะห์ทางวิชาการที่มีการนำเอาหลักฐานมาแสดงเพื่อหักล้างเพียงบทความเดียวในหนังสือ
ก็ลองเปิดดูนะครับ ในส่วนของรูปภาพกราฟแท่งและกราฟเส้น ที่แสดงให้เห็นว่า คุณทักษิณอำพรางความจริงเกี่ยวกับหนี้สาธารณะเอาไว้อย่างไร
น่าเสียดาย ภาพสองภาพนี้ควรจะเป็นภาพสี ตามต้นฉบับที่มีสามสี แดง เหลือง น้ำเงิน ทำให้เห็นแท่งกราฟในแต่ละช่วงเวลาแตกต่างกันชัดเจน แต่คุณอ้อบอกว่า ไม่มีโควต้าให้ ถ้าส่วนนี้เป็นภาพสีก็ต้องไปตัดในส่วนอื่นออก เพราะถูกจับจองไว้หมดแล้ว ทั้งๆ ที่ผมส่งบทความนี้และบอกกล่าวมาแต่ต้น แต่พอได้ฟังอย่างนั้น ผมก็ถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า
ภาพกราฟของผมจึงกลายเป็น เทา เทากลาง เทาแก่ แต่ภาพสีไปกระจุกอยู่ในหมวดของบทกวีเสียส่วนใหญ่ นี่แสดงให้เห็นว่า เราทำหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเนื้อหาและความจำเป็น แต่การใส่ภาพสี ทำตามอำเภอใจ

และก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า ผมไม่มีอำนาจอะไรไปสั่งการใครให้ทำอะไรเพื่อตัวเองได้หรอกนะครับ ถ้าเป็นหนังสือของผมคนเดียวอย่างที่ใส่ร้ายมา ผมจะยอมให้ออกมาอย่างนี้หรือ

6) มีคนตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมต้องรีบเร่งเรื่องส่งบทความ ในเมื่อบทความไม่พร้อม ทำไมไม่ขยายเวลาออกไป?

จริงๆ เรายืดหยุ่นให้นะครับ
เดิมเราให้เวลาหนึ่งเดือน หรือ 1 ใน 3 ของระยะเวลาโครงการ ไม่ถือว่า เร่งรัดหรอก ถ้ามีสมาชิกเริ่มต้นเขียนแต่ยังเขียนไม่เสร็จ เรายินดีขยายเวลาให้ จะอีกกี่วันก็ว่ามา แต่ครบหนึ่งเดือนแล้ว หากยังไม่ได้เริ่มจดปากกาเขียน แสดงว่า ไม่สนใจส่งบทความแล้ว
เรามีการกระตุ้นให้เริ่มเขียนบทความส่งตลอดทั้งเดือนนะครับ โน้วน้าวแล้วโน้มน้าวอีก กระทู้เก่าเป็นพยานได้
พอครบกำหนด 1 เดือน เราก็ขยายเวลาออกไปอีก 10 กว่าวัน จนแน่ใจจริงๆ ว่า ไม่มีผู้สนใจส่งบทความแน่แล้วเราจึงเดินหน้าต่อ ระยะเวลาที่ขยายออกไปนี้ก็ทำให้หนังสือออกช้ากว่ากำหนด จาก 3 เดือน เป็น 4 และเป็น 5 เดือนในที่สุด

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเหตุผลที่ผมต้องให้เป็นไปเช่นนั้น..คือ
--หนังสือที่มีสาระเกี่ยวกับการเมืองและเศรษฐกิจ ต้องสะท้อนภาพการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่หนังสือออกได้ใกล้เคียงที่สุด เรามีกำหนดการ 3 – 4 เดือนในการทำให้จบ ระหว่างนั้น เป็นรัฐบาล นายกสุรยุทธ์ ผมได้แต่ภาวนาทุกคืนวันว่า อย่าเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงขึ้นในฉับพลัน เช่น..ปฏิวัติซ้อนที่มีข่าว หรือ ทักษิณกลับเมืองไทย หรือ มีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้น เพราะจะทำให้บทความที่เรามีอยู่กลายเป็นเรื่องล้าสมัยในทันที เรียกว่า อาจต้องโละบทความบางบททิ้งก็ได้

--.ผมได้กำชับคุณดอกฟ้าและเม่ยอย่างเด็ดขาดว่า อย่าเพิ่งเปิดกระทู้รับจองหนังสือและเก็บเงินสมาชิกหากงานยังไปไม่ถึงบทสรุป 70-80% เพราะจะทำให้เราถูกบีบเรื่อง ราคาหนังสือ และกำหนดเวลาแล้วเสร็จ
แต่เธอทั้งสองก็ไปตั้งกันเองแล้ว และมีคนจองเข้ามาแล้ว ส่งเงินเข้าบัญชีกันแล้ว มีการคาดการณ์กำหนดวันที่หนังสือจะจัดส่งกันแล้ว
จะให้ผมทำยังไงครับ ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย เกมมันไม่ได้กำหนดที่ผมนะครับ ผมแค่เดินตามให้ทันและอย่าสะดุดล้ม

7) คุณดอกฟ้ากล่าวหาว่า คุณพยายามยัดเยียดบทความเก่าของคุณลงในหนังสือเล่มนี้แบบฉวยโอกาสที่มีคนถอนเรื่องออก ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?

ในสัปดาห์สุดท้ายก่อนส่งบทความและรูปภาพเข้าสู่โรงพิมพ์ จู่ๆ สมาชิกเจ้าของบทความท่านหนึ่งก็เมล์มาขอให้ถอนบทความออก มิเช่นนั้นจะฟ้องหากนำไปลง

ตอนนั้น ทำให้เราขาดบทความไปหนึ่งเรื่อง ไม่สามารถปิดหนังสือได้ตามจำนวนหน้าที่กำหนด และผมเองก็คงไม่เขียนเพิ่มแล้ว มันกระชั้นชิดเกินไปที่จะทำผลงานให้ดี จึงปรึกษาน้องทั้งสองว่า ผมมีบทความอยู่ในบล็อกส่วนตัว 2 เรื่องที่อยากแนะนำให้ไปอ่านดู หากอ่านแล้วชอบใจก็ไปเก็บมาได้ แต่ผมก็บอกก่อนแล้วว่า..เคยลงที่พันทิปมาแล้วนะ นานหลายปีแล้ว สมาชิกหลายท่านคงยังไม่ได้อ่าน (น้องทั้งสองเคยอยู่พันทิปมาก่อนก็คงยังไม่เคยอ่านเช่นกัน)

แต่ดอกฟ้าแย้งว่า ในเมื่อเป็นบทความเก่า ไม่ได้เขียนขึ้นใหม่ตามกติกา ถือว่า ผมทำผิดกฏซะเอง ซึ่งผมก็ไม่ได้โต้แย้งว่ากระไรสักคำเดียวนะครับ ไม่เอาก็คือไม่เอา กรณียัดเยียดนี่คงเป็นไปไม่ได้
ผมจะไปยัดเยียดเพื่ออะไรกันครับ เพราะเรื่องสั้นทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องสั้นที่ยังไม่ได้ส่งให้สำนักพิมพ์ นอกนั้นในบล็อกผมถูกนำไปตีพิมพ์เป็นหนังสือหมดแล้ว เรื่องสั้นทั้งสองเรื่องนี้ก็รอผมเติมให้ครบจำนวนหน้า ส่งให้โรงพิมพ์ขายรวมเล่ม ก็ได้เงินไปแจกเด็กๆ เหมือนกัน (เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งได้เงินประมาณ 5000 บาท ส่วนนิยายได้ 30000 – 50000 บาทต่อเรื่อง ผมจึงไปเขียนนิยายก่อน ใช้เวลาผลิตเท่ากัน)

ผมแค่เสนอทางแก้ในสถานการณ์เข้าตาจนและยังบอกด้วยว่า ถ้าเอือมชื่อ*bonny จะใช้นามปากกา ปริณดา ก็ได้ ไม่ได้บังคับว่าต้องนำไปลง และไม่เคยเถียงหรือคะยั้นคะยอสักคำเดียว แต่ยังบอกให้ตระหนักกันแต่แรกว่า เคยเป็นกระทู้เก่าในพันทิปมาแล้วนะ

ในเมื่อไม่เอาบทความเก่า แทนที่พวกเราจะต้องประชุมหาวิธีอื่นแก้ปัญหา ยังมีอีกตั้งหลายวิธีที่หาทางออกได้ เช่น เลื่อนงานพิมพ์ ..ลดจำนวนหน้าพร้อมลดราคา หรือ เอาบทความที่ได้คะแนนน้อยมาพิจารณาใหม่

แต่ปรากฏว่า น้องทั้งสองได้ใช้โอกาสนี้ ตัดผมออกจากทีมงาน ยึดอำนาจในการพิจารณาร่วมกันของผมไปหมด ไม่ยอมพูดคุย ไม่ติดต่อผมอีกเลย

ผมมารู้เอาภายหลังจากหนังสือออกขายแล้วว่า พวกเธอแอบไปติดต่อนักเขียนที่มีบทความอยูในหนังสือจำนวนหลายเรื่องแต่ใช้ชื่อต่างกันให้เขียนเรื่องเพิ่มเติม แล้วนำส่งให้โรงพิมพ์ไปเลยโดยไม่ต้องให้ผมร่วมรับรู้

ผมมาได้อ่านเรื่องนี้พร้อมกับเพื่อนสมาชิกท่านอื่นๆ ตอนหนังสือออกแล้วนั่นแหละครับ
นอกจากนี้ ภาพเขียนของผมทั้งหมดก็ถูกตัดออกด้วย แต่ภาพที่คุณดอกฟ้านำเสนอทั้งหมด ได้ปรากฏอยู่ในหนังสือทุกภาพ แม้บางภาพรับปากกันว่า จะหามาใหม่ก็นำมาบรรจุหมด
คุณดอกฟ้าจัดการหมด สั่งการเองหมด ไม่งั้นคุณอ้อจะจัดเรียงภาพเหล่านั้นได้อย่างไรถ้าไม่มีคนส่งภาพให้
จริงๆ แล้ว คุณอ้อ ทำรูปเล่มแล้วจะต้องส่งดราฟท์งานให้ทีมงานกองบก.ตรวจถึงจะถูก แต่ผมไม่เคยได้ตรวจดราฟท์งาน มีแต่งานให้ตรวจบรูฟ
คงกลัวผมจะคัดค้านเรื่องภาพสีที่แอบสอดไส้มั้ง ?
การข้ามขั้นตอนที่ผมจำเป็นต้องมีส่วนร่วมนี่แหละครับ ที่เธอเอาไปคุยในกระทู้ว่า หนังสือเล่มนี้เธอทำเองคนเดียว คุณบอนนี่ไม่เกี่ยว

อย่างนี้ คุณคิดว่า ใครกันแน่ที่ยัดเยียด และใครกันแน่ที่ใช้อำนาจอันมิชอบ

8) ทำไมกระทู้ที่แฉเบื้องหลังของคุณดอกฟ้า กับถ้อยแถลงของคุณจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแล้วจะให้เชื่อใครดี?

ผมตกใจพอสประมาณที่เธอกล้าทำกระทู้แฉเบื้องหลัง ที่สุดท้ายลงเอยด้วยการยกหางตัวเอง แสดงว่า เธอไม่ปกติแล้ว คนจิตปกติไม่ทำเรื่องเช่นนี้หรอกครับ

คุณดอกฟ้ากล้าประกาศในกระทู้เบื้องหลังการทำหนังสือของเธอว่า นี่คือ วีรกรรมที่เธอได้ทำลงไปและสมควรได้รับการยกย่อง ก็แสดงว่า เธอคิดว่า เป็นสิ่งดีงามแล้ว

แต่ผมกลับคิดว่า นี่เป็นความเลวร้ายที่สุดเท่าที่คนทำงานคนหนึ่งจะได้รับจากเพื่อนร่วมงาน..

ถ้านี่เป็นการทำธุรกิจ ผมก็ถูกหักหลังโดยหุ้นส่วน เพราะความไว้วางใจคนที่ผมแทบไม่รู้จักมาดูแลเรื่องเงินให้ผม ก็คงยกให้เป็นความผิดของผมเองด้วยก็แล้วกัน

ความจริงตอนนั้น.. ถ้าพวกเธอมีนักเขียนอยู่ในใจและต้องการเสนอทางออกนี้ ถ้านำเสนอในที่ประชุม คงคิดว่าผมจะคัดค้านหรือไงครับ?
ผมจะตอบรับข้อเสนอด้วยความยินดีด้วยซ้ำไป หรือหากผมไม่เห็นด้วยขึ้นมา ก็เป็นเพียงเสียงเดียวที่แพ้โหวตในที่ประชุมอยู่วันยังค่ำ ใยต้องใช้วิธีต่ำทรามเช่นนี้ ทั้งๆ ที่อ้างกฎระเบียบกับผม แต่คุณทำลายกฏทุกข้อ ยกเว้น กฏแห่งกรรม

เข้าใจว่า เธอคงเกลียดผมและอยากทำอะไรแก้แค้นให้ผมเจ็บใจมากกว่า

ผมจะทำอะไรได้ ในเมื่อไม่ใช่คนถือเงินของสมาชิก คุณคิดว่า คุณอ้อและโรงพิมพ์จะฟังผมหรือคนที่จะจ่ายเงินเขาล่ะครับ จะร้องแรกแหกกระเฌอประนามในกระทู้อย่างที่เธอทำอยู่นี้ บอกตามตรงว่า ไม่เคยคิดเลยครับ มันเป็นวิธีการที่อุบาทว์ชนเท่านั้นคิดเรื่องเช่นนี้ได้

ในสังคมของคุณดอกฟ้าอาจเรียกว่า นั่นเป็นวีรกรรม แต่ในสังคมที่ผมสังกัด เราเรียกว่า การทรยศครับ

วิธีการของผมในการตอบโต้ คือ ใช้ขันติธรรม..อดทน อดกลั้น นิ่งเฉย ใครอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ผมไม่เคยปริปากบอกเรื่องนี้กับใครนะครับ ยังยึดมั่นในทีมสปิริต ยึดมั่นในความถูกต้องที่ผมกระทำ แม้หนังสือออกแล้ว ก็เข้าไปแจมกระทู้ตลอด ทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างกัน
จนกระทั่งวันนี้ หากเธอไม่ทำกระทู้แฉเบื้องหลัง ผมก็คงไม่พูดถึงมันอีก เพราะคิดเสมอว่า มันผ่านไปแล้วๆ ๆ ให้อภัยและลืมมันซะ
ผมใช้เมตตาพรหมวิหารที่ผมภาวนาอยู่เป็นประจำแผ่เมตตาให้เธอเสมอๆ นะครับ

สรรพเพสัตตา อพยาปัชโช โหตุ..ขอให้สัตว์โลกอย่าผูกพยาบาทต่อสัตว์โลกที่ทำไม่ดีต่อเรา
สรรพเพสัตตา อนีโฆ โหตุ..ขอให้สัตว์โลกทั้งหลายหลุดพ้นจากทุกข์ที่ถือโทษโกรธเคืองรุมเร้าจิตใจด้วยเถิด

ส่วนสมาชิกที่ได้อ่านทั้งสองฝ่ายแล้ว ควรจะเชื่อใครดีนั้น ผมคงตอบแทนสมาชิกไม่ได้หรอก
คนเรามีวินิจฉัยต่อเรื่องราวที่ตนเองกระทำลงไปแตกต่างกันไป คุณดอกฟ้าบอกว่า นี่เป็นวีรกรรมที่งดงาม ก็เพราะเธอเชื่อเช่นนั้นจริงๆ ตามวิสัย และวิถีชีวิตที่เธอได้รับการอบรมมา

ผมขอยกตัวอย่างกรณีหนึ่ง..
นักเรียนช่างกลปทุมวันยิงนักเรียนอุเทนถวายเสียชีวิต ถ้าหากคนยิงไม่ถูกตำรวจจับ เขาก็จะบอกกับเพื่อนๆ ของเขาว่า ที่เขาทำน่ะ เป็นวีรกรรมี่ดีเลิศ น่ายกย่องที่สุดแล้ว “มันเสือกมองหน้าทำไม ถ้าหลบสายตาป่านนี้ก็ไม่ตายหรอก” คือยังไง นักเรียนคนนี้ก็ไม่คิดว่า สิ่งที่ตัวเองทำนั้นผิด เพราะได้รับการบ่มเพาะความเชื่อมาตลอดว่านี่คือ การกอบกู้ศักดิ์ศรีของโรงเรียนและของลูกผู้ชาย

คนที่จะตัดสินว่า เด็กคนนี้ผิดหรือไม่ มีเพียงผู้พิพากษาเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อนฝูง พ่อ-แม่ หรือ ครูอาจารย์

ทุกท่านในที่นี้ก็ต้องตัดสินกันเอาเองโดยใช้วิจารณญาณที่ดี และสติปัญญาที่พวกท่านมีอยู่แล้ว

9) การออกมาเปิดโปงคนในทีมเช่นนี้ ไม่คิดหรือครับว่า จะเป็นคนทำลายทีมสปิริตเสียเอง?

การยึดมั่นในทีมสปิริตของผมคงทนตลอดไปไม่ได้นะครับ เพราะมีผู้เสียหาย ทั้งผม ..เม่ย และสมาชิกที่จ่ายเงินค่าหนังสือมา รวมทั้งขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ดด้วย มีผมคนเดียวเท่านั้นที่จะเรียกคืนความเป็นธรรมให้กับคนเหล่านั้นได้

การพูดในครั้งนี้ จะเป็นบรรทัดฐานในการทำงานของคณะผู้จัดทำหนังสือชุดต่อไปด้วยว่า ต้องทำอย่างไร มีจุดอ่อนในการจัดการอย่างไร

10) ทำไมคุณดอกฟ้ากับเม่ยถึงแตกคอกันได้ล่ะ พวกเขาร่วมมือกันมาตลอดมิใช่หรือ?

หลังจากหนังสือออกแล้ว เธอกับเม่ยก็จัดงานเปิดตัวหนังสือ มีเลี้ยงสังสรรค์กัน โดยไม่มีการปรึกษากับผมใดๆ ทั้งสิ้น

การอดทนรอ และนิ่งเฉยของผมดำเนินไปตลอดไม่ได้นะครับ เพราะงานของโครงการยังไม่จบนี่ครับ

เงินที่รับจากสมาชิกต้องเคลียร์ที่มาที่ไป และส่งเงินบริจาคให้เด็กด้อยโอกาสเสียก่อน ผมจึงยังต้องเข้ามาสางงานต่อในส่วนนี้ ซึ่งพอจะตั้งลำเคลียร์ คุณดอกฟ้าก็เปิดหมวกลาออกในกระทู้ของผมทันที ไม่ลาออกเปล่าๆ ทราบภายหลังจากเม่ยว่า ชวนเม่ยให้สละเรือพร้อมกับเธอด้วย กะให้*bonny ตายซากอยู่คนเดียวพร้อมกับงานเก็บกวาดขยะที่ต้องทำให้จบ

อืมม์..สุดยอด

น้องเม่ยเอะใจ และเกิดภาวะ ตาสว่างขึ้นมาเมื่อไรไม่ทราบได้ ยินยอมทำงานร่วมกับผมต่อไปและระบายความในใจให้ผมฟังผ่านเมล์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และขอโทษที่ต้องทำเช่นนั้นลงไปเพราะเธอถูกครอบงำอย่างโงหัวไม่ขึ้น

และที่ผมกับเม่ยต้องทำงานกันสองคนตั้งแต่การส่งมอบหนังสือ การบริจาคเงินให้เด็กๆ จนถึงทุกวันนี้ ก็คือ งานเก็บกวาดที่เหลืออยู่ พูดง่ายๆ ก็คือ งานภารโรง ถ้าไม่ทำจะให้ใครทำล่ะครับ แต่ดอกฟ้ากลับบอกว่า ผมและเม่ยกำลังกอบโกยความดีใส่ตัวไปเสียฉิบ อ้าว..เวรกรรม

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในทุกกระทู้ของผมและเม่ยและมีคุณดอกฟ้ามาแจมด้วยการแขวะใส่และหยามน้ำหน้าเสมอมา แต่ก็ลองไปเปิดดูได้ทุกกระทู้นะครับว่า ผมไม่เคยตอบโต้ และไม่เคยนำเรื่องราวของเธอไปเปิดเผยในที่สาธารณะให้เสียหาย เพราะตอนนั้น ผมยังยึดมั่นในทีมสปิริตอยู่

(พักครึ่งนะครับ อีก 10 คำถามจะตามมา)

//forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=4436&st=0&sk=t&sd=a&start=350#p91161




Create Date : 30 มิถุนายน 2552
Last Update : 30 มิถุนายน 2552 4:06:18 น. 0 comments
Counter : 438 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

aiwen^mei
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add aiwen^mei's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.