Group Blog
 
All Blogs
 

*+*+*+*+* ฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง *+*+*+*+*

I


11 พฤษภาคม 2003


เด็กสาวผู้หนึ่ง ยืนอยู่บนระเบียงของบ้านทรงสเปนที่ยื่นออกไปรับแสงแดดในยามเช้า แสงอ่อนๆในตอนเช้ากระทบจมูก และแก้มสีชมพูของเธอ สายลมอ่อนๆ พัดพาผมยักศกเล็กน้อยของเธอ เปิดให้เห็นใบหน้าที่ดูแน่นิ่งอย่างชัดเจน บ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก เบื้องหลังคือภูเขาเตี้ยๆ สายตาของเด็กสาวกำลังกวาดตามองไปยังเมืองเล็กๆเบื้องหน้าที่เธออาศัยอยู่ ตรงขอบฟ้าเธอเห็นสีเขียมครึ้มของต้นไม้ทีเป็นเสมือนเส้นกั้นระหว่างสีขาวของอาคารในเมืองและสีเหลืองอมส้มของท้องฟ้าในยามเช้า

หกเดือนแล้วซินะ ที่เธอรอคอยวันนี้ เสียงเพลงบรรเลง ค่อยดังขึ้นจากเครื่องเสียงที่เธอตั้งเวลาไว้ให้เปิดในยามเช้าเพื่อปลุกเธอให้ตื่นจากการหลับใหลในยามค่ำคืน เพลง The Four Seasons ของ Vivaldi ที่บรรเลงโดย St.Paul Chamber Orchestra ช่างเหมาะเสียจริงกับยามเช้าในวันนี้ ดวงอาทิตย์ค่อยเลื่อนสูงขึ้นพร้อมกับแสงที่ดูแข็งกร้าวขึ้น จากแสงแดดอ่อนๆ ค่อยๆเข้มขึ้น เด็กสาวเดินหลบแดดเข้ามาในบ้านที่ดูเรียบง่าย เธอเดินไปยังตู้ไม้สีน้ำตาลเข้มที่อยู่ตรงทางลงบันได ดึงลิ้นชักออกมาแล้วหยิบ ซองจดหมายสีขาวซองหนึ่ง เดินตรงมายังเก้าอี้บุนวมสีแดง


II



สวัสดี นาเดียร์ลูกรัก


นี่คงเป็นจดหมายฉบับแรกที่พ่อได้เขียนถึงลูก ก่อนหน้านี้ความคิดของพ่อค่อนข้างจะฟุ้งซ่าน และรวบรวมสติเอามิได้เสียเลย เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น เพื่อนของพ่อ รวมทั้งเพื่อนของลูกหลายคนต่างไม่เชื่อในเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่พ่อก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้คนส่วนใหญ่เห็นได้ว่ามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะทำอย่างไรได้ล่ะลูกรัก ในเมื่อสังคมปัจจุบัน ความถูกผิดได้ถูกความยุติธรรม แย่งชิงไปในนามของกฎหมาย ศีลธรรมได้ถูกศาสนาครอบงำในรูปแบบของความเชื่ออย่างงมงาย ความจริงบางอย่างถูกปิดกั้นโดยการพิสูจน์เชิงประจักษ์ในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ พ่อรู้ว่าลูกและเพื่อนๆของลูก ต่างรู้ว่าพ่อมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ในเมื่อกระบวนการทางยุติธรรม ความถูกต้องขึ้นอยู่กับหลักฐาน และบางทีก็อาจรวมถึงการชี้นำจากสังคม หลายคนรู้ว่าพ่อเป็นคนดีพ่อซึ้งน้ำใจในตรงนี้ แต่ก็เป็นการยากที่จะพิสูจน์ให้เห็นชัด ความดีและความจริงของพ่ออาจไม่มีน้ำหนักเลยถ้าปราศจากหลักฐาน คลื่นของกระแสสังคมที่พัดโถมเข้าใส่ตัวพ่อทำให้พ่อกลายเป็นสีดำทั้งๆทีมันอาจเป็นแค่คราบสกปรกที่ติดอยู่เพียงข้ามคืน

นาเดียร์ พ่อหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกคงจะเข้มแข็งในเวลาเช่นนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พ่อมองเห็นการเติบโตของลูก จากเมล็ดเล็กๆ ได้เติบโตขึ้นเป็นดอกไม้ที่แสนงาม ที่พร้อมจะสู้ลม แดด และฝน ถึงแม้ว่าในบางครั้งต้องอับเฉาไปบ้าง แต่ก็ฟื้นขึ้นมาใหม่เมื่อยามเช้ามาเยือน คลื่นกระแสสังคมที่ถาโถมใส่ตัวพ่อได้สะเทือนสู่ลูก จากดอกไม้ที่อยู่กลางทุ้งหญ้าสีเขียวต้องเปรอะไปด้วยเขม่าสีดำ พ่อรู้ดีนาเดียร์และพ่อรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกต้องรับสิ่งที่ลูกไม่เกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่นานลูกรัก เม็ดฝนที่ตกลงมาจะชำระตัวของลูกให้กลับมาฟื้นคืนชีวิต และเพิ่มกำลังในการสู้แดด ลม และฝนต่อไป

พ่อจะให้ขอสัญญาอีกครั้งต่อลูกว่า พ่อมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย พ่อรักและเป็นห่วงลูกเสมอ และหวังว่าเหตุการณ์ร้ายๆ คราวนี้จะผ่านไปได้ ถึงแม้ว่าเราต้องต่อสู้กับสิ่งที่โถมเข้ามามากมาย แต่มันก็เป็นเครื่องฝึกความอดทนในตัวเราทั้งสอง


รักและคิดถึงลูกเสมอ
พ่อ





นาเดียร์ ปิดจดหมายลงอย่างช้าๆ เธออ่านจดหมายนี้มาเป็นรอบที่ห้า แล้วหลังจากเธอได้รับมันมาจากตู้จดหมายหน้าบ้านเมื่อสามเดือนก่อน พ่อของเธอได้ตกเป็นผู้ต้องหาในคดี ที่หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรม

ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ติดตามข่าวนี้อย่างกระชั้นชิด รวมทั้งเธอและพ่อด้วย แต่แล้วในเย็นวันหนึ่งสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น พ่อของเธอถูกระบุว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ เจ้าหน้าที่ได้เชิญพ่อของเธอไปให้ปากคำในเย็นวันนั้น เธอและพ่อให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเพราะรู้ดีว่าไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพรรณนี้ แต่แล้วหลังจากนั้นสองวัน พ่อของเธอก็ถูกตั้งข้อกล่าวหา สมองของเธอเหมือนจะดับวูบไม่รับรู้อะไรในทันที จากผู้ต้องสงสัยกลายเป็นผู้ต้องหา และจำเลยของสังคมในทันที เมืองเล็กๆ ของเธอที่เคยสงบ ก็วุ่นวายขึ้นในทันที เสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางลบต่อครอบครัวเธอ จากครอบครัวที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสันโดษ ได้กลายเป็นของสาธารณะ ที่ถูกพูดถึงไปต่างๆนาๆ ความสงบสุขได้หายไปแล้ว

กระแสสังคมที่เฝ้าจับตามองในคดีนี้ ทำให้เกิดแรงบีบคั้นต่อเจ้าหน้าที่ และ พวกเขาก็มิให้ “สิทธิการประกันตัวแก่พ่อของเธอ” ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเสียนี่กระไร เพียงเวลาไม่ถึง72 ชั่วโมง ชีวิตของเธอและครอบครัวได้เปลี่ยนไปโดยพลัน เป็นแรงเหวี่ยงที่รุนแรงทำให้บอบช้ำอย่างหนัก


III



นาเดียร์ มองลอดหน้าต่างกระจกใส ออกไปข้างนอก เธอเห็นอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนอย่างช้าๆ มาทางบ้าน เธอลุกจากเก้าอี้บุนวมสีแดงออกไปยังระเบียงอีกครั้ง รถคันสีขาวกำลังแล่นมาอย่างช้าๆ เข้ามาใกล้ทีละนิดๆ


พ่ออยู่ในรถคันนั้นเธอรู้ดี อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีที่พ่อเธอถูกกล่าวหาว่าไปเกี่ยวข้อง โดยให้เหตุผลว่า “หลักฐานของผู้เสียหายไม่เพียงพอ และให้การสับสน“ เบื้องล่างพ่อของเธอค่อยๆก้าวเท้าลงจากรถ พร้อมสูดอากาศหายใจอย่างเต็มที่ ในขณะที่คนขับรถนำรถไปเก็บ เธอวิ่งลงบันไดไปหาพ่อ


ทั้งคู่สวมกอดกันอย่างแนบแน่น น้ำตาแห่งความปิติของเด็กสาวค่อยรินไหลออกมาเปรอะแก้มสีชมพูของเธอ หกเดือนที่ผ่านมาทั้งสองมิเคยเลยที่จะได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้

เมฆฝนเบื้องบนที่เริ่มตั้งเค้า ค่อยๆโปรยเม็ดฝนลงมา ดอกไม้ในกระถางตรงระเบียงค่อยๆฟื้นจากความเหี่ยวเฉาแห่งรัตติกาลอันยาวนาน




 

Create Date : 25 เมษายน 2548    
Last Update : 25 เมษายน 2548 6:52:20 น.
Counter : 361 Pageviews.  

ยอดเขาเปลี่ยนสี

หลังจากเข้าทำการปล้นฆ่า กระท่อมหลังหนึ่งบริเวณชายป่า โจรวัยกลางคน ที่มือเปื้อนกลิ่นคาวเลือด ได้หนีและพลัดหลงเข้ามาในป่าใหญ่อย่างไม่รู้ตัว ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ความมืดกำลังเข้ามาเยือน ท้องฟ้าปิดลงอย่างช้าๆ นกทั้งหลายกำลังกลับเข้ารังของตน และค้างคาวฝูงใหญ่สีดำทะมึนกำลังบินออกจากปล่องถ้ำ



ค่ำคืนที่ปราศจากแสงดาว และแสงจันทร์ ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆหลากหลายก้อน โจรผู้นี้ทำอะไรได้ไม่มากนักในความมืดกลางป่าใหญ่ เขาพบกับขอนไม้ท่อนหนึ่งที่พอเป็นที่หนุนหัว พักผ่อนได้ เขาล้มตัวนอนด้วยความเหนื่อยล้า ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดที่มือและในใจของเขา


ยามเช้าเข้ามาเยือนฝูงนกกำลังออกจากรัง และค้างคาวฝูงใหญ่กำลังกลับเข้าปล่องถ้ำ แสงแดดได้ค่อยๆสาดส่องเข้าไปทุกอณูของผืนป่า โจรวัยกลางคนลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาของเขามองไปรอบๆ บริเวณ “ที่นี่ไม่ใช่ที่เดิม!!”



“แล้วที่นี่คือที่ไหนละ?” เขาลุกขึ้นพร้อมกลับเดินสำรวจบริเวณที่มีพื้นที่พอๆกับสนามบาส รอบบริเวณที่มีแต่หน้าผาสูงชัน เขากำลังยืนอยู่บนยอดเขาสูงชัน และถูกกังขังด้วยหน้าผา



โจรผู้นี้ได้ใช้ผลไม้ที่พอหาได้บนบริเวณเล็กๆ ในการปะทังชีวิต กาลเวลาล่วงเลยไปจนครบปีจากใบหน้าที่ดูเกลี้ยงเกลาถูกปกครุมไปด้วยหนวดเครา ผมที่ตัดสั้นเกรียนก็ยาวมาถึงไหล่ เสื้อที่ดูไม่เป็นเสื้อ กางเกงที่ดูไม่เป็นกางเกง เขาอาศัยเศษผ้าที่ยังหลงเหลืออยู่ห่อหุ้มร่างกายเท่าที่ทำได้ อาศัยน้ำจากท้องฟ้าที่โปรยลงมาถึงแปดเดือนในแต่ละปี ในการปะทังความกระหายและชะล้างร่างกาย



ยอดเขาที่ตั้งสูงตระหง่านท่ามกลางป่ารกทึบ ดูโดดเดี่ยว และโดดเด่น โจรผู้นี้ไม่คิดว่าเขาจะสามารถลงไปได้ด้วยตัวคนเดียว แต่แล้ววันหนึ่ง นักปีนเขาผู้ที่ชอบเสี่ยงอันตราย และท้าทายธรรมชาติ ได้พิชิตยอดเขาแห่งนี้สำเร็จ นักปีนเขาหนุ่มเดินสำรวจไปรอบๆ ยอดเขา และพลันต้องตกใจเมื่อพบกับสิ่งที่เขาเรียกในใจว่า “มหาฤาษี” เขาทั้งกลัวและตื้นเต้น ที่ได้พบกับสิ่งที่ไม่น่าจะพบได้บนยอดเขาสูงใหญ่ ทั้งสองมิได้กล่าวคำอะไรเลย โจรหนุ่มได้ยื่นผลไม้มาให้เขา เขารับด้วยความปิติและศรัทธา



ชายหนุ่มได้ปีนเขากลับลงไปเบื้องล่างแล้ว แต่ “มหาฤาษี” ยังคงอยู่บนยอดเขาต่อไป หลังจากวันที่เขาทั้งสองได้พบกันไม่นาน ผู้คนจำนวนมากก็ทราบข่าวการพบ “มหาฤาษี” หรือ “เทพแห่งภูผา”บนยอดเขานี้ จากหน้าผาที่สูงชันถูกกะเทาะออกเป็นทางเดินเล็กๆ แห่งความเชื่อและศรัทธา ผู้คนมากมายเดินทางตามแสงแห่งความเชื่อไปยังยอดเขา “มหาฤาษี” รับการเคารพจากผู้คนมากมาย แต่เขาก็มิกล่าวอะไรออกมา ความเชื่อและความศรัทธาได้เพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลา



วันเวลาผ่านไป “มหาฤาษี” กลายเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติและสัญลักษณ์แห่งความเชื่อ แต่เขาก็มิอาจที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ ไข้มาลาเรียได้ค่อยๆ กลืนกินชีวิตของ “มหาฤาษี” ไปทีละน้อย จนถึงวันที่ลมหายใจของเขาได้ดับลง ผู้คนที่ศรัทธาได้สร้างสถูปสีขาวนวลเก็บกระดูกของเขาขึ้นที่ยอดเขา

ผู้คนยังคงมายังสถูปแห่งนี้ เพื่อกราบไหว้ บนบาน ขอพร ในจำนวนคนมากมายที่เดินทางตามศรัทธาและความเชื่อ มายังยอดเขานี้ หนึ่งในนั้นคือหญิงสาวคนหนึ่งที่รอดพ้นจากการปล้นฆ่าของโจรหนุ่ม เมื่อเกือบสิบปีก่อน




 

Create Date : 21 เมษายน 2548    
Last Update : 21 เมษายน 2548 14:12:43 น.
Counter : 206 Pageviews.  

HUMAN NATURE

“คน” คือสิ่งมีชีวิตที่เดินด้วยเท้า 2 เท้า มีแขน 2 แขน มีตา 2 ตา และ มีการสร้างอารยธรรมและระบบความคิดที่เป็นระบบ

“ธรรมชาติ” คือ สิ่งที่มันเป็นอย่างที่มันเป็น และไม่เป็นอย่างที่มันไม่เป็น


ดังนั้น "ธรรมชาติของคน" คือ สิ่งที่คนเป็นอย่างที่คนเป็นและไม่เป็นอย่างที่คนไม่เป็น


ธรรมชาติของคนที่เห็นได้เด่นชัดที่สุด คือ การที่คนพยายามจะแสวงหาและดิ้นรนเพื่อความสุข ไม่ว่าจะในระยะสั้น หรือ ระยะยาว แต่ความสุขที่เกิดจากวัตถุ ย่อมไม่เป็นความสุขที่แท้จริงและจิรังยั่งยืน เนื่องมาจากว่าธรรมชาติของวัตถุนั้น ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงสภาพ และเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เมื่อวัตถุสลายไปคนที่ไปยึดมั่นถือมั่นกับวัตถุ และคนที่ไม่เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของวัตถุ ย่อมเกิดความทุกข์ใจต่อสิ่งที่เปลี่ยนไป


แต่เมื่อเราเข้าใจว่า ทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเรานั้นย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้เสมอ ก็ย่อมทำให้เราเข้าใจถึงธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งชีวิตของเราด้วย เนื่องมาจากว่า ชีวิตของคนเรานี้ คือ การเปลี่ยนแปลง ชีวิตของคนเราจะเปลี่ยนแปลงไปทางไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเรา ไม่มีผู้ลิขิตชีวิตเรา เพราะ สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา มันเกิดจากตัวเราทั้งสิ้น


ในปัจจุบัน อำนาจพลังของวัตถุนิยมได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในสังคม จนบางครั้งอำนาจนี้ ก็บทบังความดีงาม และสิ่งที่ดีงามไป ทำให้เราไม่เข้าใจคุณค่าของความดีงามที่แท้จริงได้ บางทีเราอาจจะมองคนแค่เพียงภายนอก คนๆนั้นอาจจะตัวดำ ฐานะยากจน ใส่เสื้อผ้าไม่มีราคา แต่เขาคนนั้นอาจจะเปี่ยมไปด้วยความดีงามในจิตใจของเขาก็เป็นได้ ดังนั้น ก็มองคนแค่เพียงภายนอกก็เหมือนกับการมองก้อนดินก้อนหนึ่งที่ไม่มีราคาอะไร แต่ภายในนั้นอาจจะมีอัญมณีล้ำค่าอยู่ในก้อนดินนั้นก็ได้


ดังนั้นการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันเราไม่อาจรู้ได้จากภายนอกเลยว่า เขาเป็นคนดี หรือคนเลว ธรรมชาติของคนต่างขึ้นอยุ่กับการกระทำของคน เพราะ เราคือเรา ไม่อาจเป็นคนอื่น และคนอื่นก็ไม่อาจเป็นเราได้ เพราะฉะนั้น สภาพจิตใจทุกอย่าง การกระทำทุกอย่าง และการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ย่อมเกิดจากตัวเรา




 

Create Date : 24 มีนาคม 2548    
Last Update : 24 มีนาคม 2548 0:08:26 น.
Counter : 392 Pageviews.  

ความยุติธรรม?

ความยุติธรรม?




หากเราพิจารณาความยุติธรรม และความถูกต้อง เราจะสามารถกล่าวได้เต็มปากหรือไม่ว่าความยุติธรรมนั้นคือความถูกต้องที่สมบูรณ์ หลายคนอาจเชื่อว่าความยุติธรรมคือความถูกต้อง บางทีเราอาจที่จะต้องพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างความยุติธรรมและความถูกต้องต่างออกไปจากความสัมพันธ์ข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว ในที่นี่ขอยกตัวอย่าง เช่น นายแดงเป็นคนที่มิเคยไปข้องเกี่ยวกับการค้าผู้หญิงหรือการทำผิดกฏหมายใดๆ แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งนายแดง ก็ถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ร่วมในขบวนการค้าผู้หญิง และถูกกระบวนการทางยุติธรรมพิพากษาว่านายแดงได้กระทำความผิดจริง ทั้งที่นายแดงมิเคยกระทำเลย…. จากตัวอย่างข้างต้นเราจะเห็นได้ว่านายแดงไม่เคยที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับการกระทำผิดกฏหมายและการค้าผู้หญิง แต่ด้วยกระบวนการทางยุติธรรมที่ใช้อุดมการณ์ทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวชี้วัดว่าถูกหรือผิด ผ่านการรับรู้เชิงประจักษ์ คือ พยาน และหลักฐานต่างๆ ทำให้นายแดงถูกเป็นผู้ต้องโทษและเป็นผู้กระทำผิด เราจะพิจารณาได้หรือว่าความยุติธรรมคือความถูกต้อง?



ในกระบวนการหรืออุดมการณ์ทางวิทยาศาสตร์ ความรู้ที่พิสูจน์ได้ด้วยการรับรู้เชิงประจักษ์อันได้แก่การได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส ได้พิสูจน์ เท่านั้นคือความจริงและความถูกต้อง แต่ในบางกรณีอุดมการณ์ทางวิทยาศาสตร์มิอาจที่จะหาความจริงและความถูกต้องได้ ทั้งที่สิ่งนั้นมีอยู่ แต่ไม่สามารถผ่านความรับรู้เชิงประจักษ์ได้ ดังนั้นการพิสูจน์ความถูกต้อง โดยใช้อุดมการณ์ทางวิทยาศาสตร์ ผ่านกระบวนการยุติธรรมก็มิอาจที่จะบอกเราได้ว่าสิ่งที่ผ่านการพิสูจน์แล้วนั้นคือความถูกต้องที่จริงแท้ กระบวนการทางยุติธรรมเอื้อให้แก่ผู้ที่มีพยาน หลักฐาน ที่มากกว่า น่าเชื่อถือกว่า ดังนั้นโอกาสจึงเป็นไปได้ที่ ผู้ที่กระทำผิดจะมิได้รับโทษ แต่ผู้ที่ได้รับโทษกลับเป็นผู้ที่มิได้กระทำผิด เราจะเชื่อถือกระบวนการทางยุติธรรมได้มากขนาดไหนในเมื่อกระบวนการทางยุติธรรมมิได้นำมาสู่ความถูกต้องที่แท้จริง ในทางกลับกันเราก็มิอาจที่จะปฏิเสธได้ว่าความยุติธรรมมิใช่ความถูกต้องเลย เพราะในบางกรณีความยุติธรรมก็ได้แสดงให้เห็นถึงความถูกต้องและถ้าหากกระบวนการยุติธรรมปราศจากความถูกต้องใดๆเลย ก็คงมิอาจที่จะสืบเนื่องมาถึงปัจจุบันได้ ดังนั้นเราจึงมิอาจจะกล่าวได้ว่า ความยุติธรรมคือความถูกต้องสูงสุด บางทีความยุติธรรมอาจเป็นแค่เพียงการแสดงออกถึงความถูกต้องในรูปแบบที่หยาบที่สุด และมิได้แสดงถึงความถูกต้องในทุกกรณีไป





 

Create Date : 16 มีนาคม 2548    
Last Update : 16 มีนาคม 2548 21:17:50 น.
Counter : 289 Pageviews.  

บทเพลงจากซอกตึก




ในวันนั้นฉันเดินอยู่บนบาทวิถี ใจกลางเมืองใหญ่ที่มีผู้คนนับล้าน ท่ามกลางแสงของหลอดไฟ ที่เจิดจ้าจรัสแสงอยู่เกือบทุกหนแห่งในเมืองแห่งนี้ ท่ามกลางแสงไฟเหล่านั้น ฉันเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ฉันเห็นมุมมืดของท้องฟ้า ที่มีดวงดาวลอยอยู่นับหมื่น นับแสน นับล้าน ฉันรู้แล้วว่าเวลานี้เป็นเวลาพลบค่ำ ซึ่งผู้คนควรที่จะกลับบ้าน แต่ทว่าฉันสังเกตเห็นความวุ่นวายของหลากหลายชีวิตท่ามกลางเมืองใหญ่แห่งนี้ พวกเขาเหล่านั้นกำลังทำอะไรกัน ฉันพยายามที่จะคิดเพื่อพบกับสาเหตุของความวุ่นวายนั้น ค่ำคืนนี้ไม่เงียบ ไม่เหงา เหมือนคืนก่อนๆ มา




ฉันยังไม่เข้าใจเช่นกันว่าภายใต้แสงของดวงดาว และหลอดไฟใจกลางเมืองใหญ่เช่นนี้ ผู้คนมากมายนับพัน นับหมื่น นับแสน มาทำอะไรกันที่นี่ ทำไมพวกเขายังไม่กลับไปยังเคหะสถานที่สมควรของตน พวกเขาออกมาเดินขวักไขว่กันเหมือนมดที่กำลังเดินออกจากรัง ต่างแต่เพียงว่ามดมีระเบียบกว่าพวกเขา สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนแลดูมีความสุข แต่ละคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สวยงาม และเครื่องประดับที่จรัสแสง พวกเขาดื่ม กิน และเต้นรำ กันอย่างมีความสุข เหมือนดั่งภาพเขียนสี Rehearsal on stage ของ Edgar Degas ไม่มีผิด




ค่ำคืนนี้ ช่างดูแปลกประหลาดกว่าค่ำคืนอื่นมาก ค่ำคืนนี้ พวกเขา ยิ้มแย้ม หัวเราะ สนุกสนาน ผิดกับค่ำคืนที่ผ่านๆมา พวกเขาต่างมีสีหน้าที่เคร่งตึง บ่งบอกถึงความทุกข์มากมายที่แฝงอยู่ภายใต้จิตใจที่เหนื่อยล้าของพวกเขา “ทำไมค่ำคืนของวันนี้จึงแปลกและแตกต่างจากค่ำคืนอื่น” ฉันคิด





เท้าทั้งสองของฉันยังคงก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างช้าๆ สายตาของฉันยังคงสาดส่องมองสิ่งที่ผ่านมาและผ่านไปอย่างช้าๆ สายตาของฉันสอดส่องเข้าไปยังซอกตึกมืดทึบแห่งหนึ่ง ที่เหม็นชื้น และไม่น่าอภิรมย์เท่าไร แต่สายตาของฉันก็ยังคงมองเข้าไปภายใต้ความมืดที่อยู่ท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจ้าของเมืองใหญ่





ฉันเห็นลังไม้ใบใหญ่สีออกน้ำตาล มีตะไคร่น้ำหรือเชื้อรา ติดอยู่บ้างบางส่วนของลัง สายตาของฉันพยายามที่จะมองเข้าไปยังลังไม้นั้น ทันใดนั้นสายตาของฉันก็ไปกระทบกับภาพของเด็กชายคู่หนึ่ง ซึ่งกำลังนอนหลับสนิท เด็กทั้งสองคนดูสกปรกมอมแมม เด็กทั้งสองไร้ซึ่งผ้าห่ม และเครื่องนอนอย่างที่คนสามัญจะมีกัน สีหน้าของเด็กทั้งสองบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า ผิวหน้าที่เต็มไปด้วยความมัน และคราบของบางสิ่งติดอยู่ พวกเขาดูนอนหลับกันอย่างมีความสุข เด็กสองคนนี้ไปทำอะไรกันมา และทำไมทั้งสองจึงได้มานอนในลังไม้ใบนี้ ในซอกตึกซึ่งไม่มีใครสนใจ ซอกตึกที่มืดทึบ เหม็นชื้น ท่ามกลางแสงสว่างและความวุ่นวายของเมืองใหญ่





ฉันเดินจากซอกตึกและเด็กทั้งสองนั้นมา ปล่อยให้พวกเขาได้พักผ่อนและฝันถึงความงามอันบริสุทธิ์ เท้าทั้งสองของฉันค่อยๆ พาฉันไปตามถนนที่ดูกว้างใหญ่ แต่แน่นขนัดไปด้วยรถยนต์มากมาย หลากหลายสี หลากหลายยี่ห้อ แต่สิ่งที่เหมือนกันของบรรดารถเหล่านั้นคือ รถเหล่านั้นกำลังปล่อยควันที่มีสร้างมลพิษออกมาจากปล่องที่อยู่ด้านหลังของรถ ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ของทรัพยากรที่ทรงคุณค่าที่สุดในโลกในขณะนี้ ค่ำคืนนี้รถเหล่านี้ถูกเจ้านายของพวกมันพาขับออกมากันทำไม ภายใต้ค่ำคืนที่ดูวุ่นวาย ความวุ่นวายดูจะไม่ใช่มีแค่ลานเต้นรำ ความวุ่นวายยังคงแผ่เข้าไปยังท้องถนน รถเหล่านี้สร้างความวุ่นวายให้กับเมืองใหญ่แห่งนี้ได้ไม่น้อยเลยที่เดียว





ฉันยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ฉันเดินไป สายตาของฉันก็ยังคงมองภาพต่างๆที่ผ่านเข้ามาอย่างพินิจ ภาพต่างๆที่ผ่านเข้ามาก็ยังคงดูวุ่นวายและสับสนเช่นเดิม ฉันเดินย้อนกลับทางเดิมที่ฉันได้เดินมาเมื่อตอนหัวค่ำ พวกเขายังคงเต้นรำ และดื่ม กิน ไม่เลิก ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาสมทบทำให้ดูมากกว่าเดิมหลายเท่านัก ถึงแม้จะแออัด แต่พวกเขายังคงเต้นรำกันต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ฉันต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่จะเดินแหวกผ่านฝูงชนมหาศาลเหล่านั้น บนสะพานลอย ผู้คนดูน้อยอย่างมากเมื่อเทียบกับลานเต้นรำ เท้าทั้งสองของฉันค่อยๆ ก้าวขึ้นบันได อย่างช้าๆ ที่ละก้าว ตอนนี้ฉันยืนอยู่บนสะพานลอยที่สูงพอที่จะเห็นฝูงชนนับหมื่นที่เต้นรำกันอยู่เบื้องล่างได้ถนัด พวกเขายังดูมีความสุขไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงสนุกสนาน ฉันละสายตาจากฝูงชนมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ท้องฟ้ายังดูเงียบเหงา ดวงดาวยังคงจ้องมองอย่างเงียบสงบ พวกเขาจะรู้ตัวไหมหนอ ว่าบนฟากฟ้าอันแสนไกล ดวงดาวนับล้านยังคงทอดสายตาจากที่ห่างไกลมายังพวกเขา พวกเขาจะรู้ตัวไหมว่าพวกเขาเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ความคิดของฉันหลุดลอยไปไกลโพ้น ท่ามกลางความสับสน วุ่นวายของฝูงชนข้างล่าง และความเงียบเหงาของท้องฟ้าเบื้องบน แต่ความคิดของฉันก็ต้องกลับมาสู่ที่เดิมของมัน เมื่อมีเสียงดังคล้ายระเบิดดังขึ้น พร้อมเสียงเพลง Clarinet Concerto อันยิ่งใหญ่ของ Mozart เสียงระเบิดนั่นคือเสียงพลุที่จุดขึ้นไปบนท้องฟ้า บดบังแสงของดวงดาวนับล้านตรงหน้าฉัน เสียงเพลงทำให้ฝูงคนเบื้องล่างดูมีความสุข ยิ่งกว่าเดิมนัก สายตาของฉันเริ่มทำงานและเหลือบไปเห็นคำว่า “HAPPY NEW YEAR” ที่ดูโดดเด่นท่ามกลางแสงไฟหลากสีที่สาดส่องไป “วันนี้คือวันปีใหม่” ฉันนึกขึ้นได้ แต่ความคิดของฉันก็ดึงฉันหวนกลับไปยังเด็กน้อยทั้งสองที่นอนอยู่ในลังไม้ในซอกตึกนั้น




 

Create Date : 11 มีนาคม 2548    
Last Update : 11 มีนาคม 2548 22:53:43 น.
Counter : 452 Pageviews.  

1  2  

Mr.ปู
Location :
อุทัยธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.ปู's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.