Group Blog
 
All Blogs
 
ทำไมฉันจึงเปลี่ยนไป

จะเป็นเพราะชีวิตที่ห่างวัดของผม
หรือเพราะชีวิตเป็นคนขี้เล่นตลกโปกฮาไปเรื่อยเปื่อย
ทำให้ชีวิตไม่เคยสนใจในศาสนา ทั้งที่โรงเรียนก็มีการจัดให้เป็นพุทธมามกะ
ชีวิตเคยนำศาสนามาล้อเล่น เช่น ธรรมะ เป็น ทำ-ม่ะ ตามนิสัย
ใครมาขอให้ร่วมทำบุญ,เป็นกรรมการผ้าป่า,กฐิน ก็ตกลงตามนั้น หรือเรียกว่าทำบุญตามวัฒนธรรม

หรือเพราะชีวิตมีข้อกังขาติดค้างอยู่ในใจเกี่ยวกับศาสนา เช่น
กฏแห่งกรรม, การเวียนว่ายตายเกิด ไม่น่าจะมีจริงตามหลักวิทยาศาสตร์ร่างกายตายก็จบสิ้น
ทำไมคนที่ทำบุญ ทำความดีมาตลอดชีวิต ผลบุญถึงไม่สนองในชาตินี้ต้องรอชาติหน้า
ในอดีตประชากรมีจำนวนน้อยกว่าปัจจุบัน แล้วถ้ามีการเวียนว่ายตายเกิดจะไปเอาวิญญาณมาจากไหนเพิ่มล่ะ
ถ้าไม่มีการเริ่มต้นของชีวิต เราก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงต้องกำเนิด และใครเป็นผู้ให้กำหนด คนให้กำหนดไม่ใช่คนผิดหรือ
เคยถกกับคนที่นั่งสมาธิถึงสิ่งที่คับข้องใจ เค้าก็อธิบายไม่ได้ ยิ่งทำให้คิดว่าอย่างนี้จะศึกษาศาสนาไปทำไม
ซึ่งทุกเรื่องมันขัดกับวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนในโรงเรียน

และแล้วชีวิตของผมก็เปลี่ยนเมื่อ
ผมได้บริจาคเงินในการพิมพ์หนังสือธรรมะเล่มหนึ่ง
ที่ทำบุญไม่ใช่เพราะศรัทธาหรอก
มันเกิดจากเพื่อนพูดถึงเรื่องทำบุญในการพิมพ์หนังสือธรรมะ
ชีวิตของเค้าดีขึ้น เช่น ได้รับเงินเข้ามา,ได้รับรางวัล 2 ครั้งติดต่อกัน
เราก็ทำมั่งเผื่อร่ำรวยแบบเพื่อนมั่งด้วยเงินจำนวน 500 บาท
เป็นครั้งแรกที่ทำบุญมากขนาดนี้ (เพราะอยากรวย)
หนังสือเล่มนั้นชื่อ วิธีสร้างบุญบารมี
โดยสมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก

ผมก็ได้รับหนังสือเล่มนี้กลับมาหลังจากพิมพ์เสร็จ
สมเด็จ ฯ บอกว่าการทำบุญมี 3 แบบ
ยิ่งบอกว่าทำบุญด้วยการภาวนาเป็นบุญสูงสุด
ยิ่งทำให้ความคะนองของผมเพิ่มขึ้น
อย่างงั้นก็แค่ภาวนาสิไม่ต้องเสียเงินไปทำบุญประหยัดเงินสุดสุด
แต่ข้อดีของผม(หรือข้อเสีย)คือผมไม่ค่อยหยุดในสิ่งที่คะนอง (ต่อยอด)
ผมนำความคิดนี้ไปถามในเว็บบอร์ดหนึ่ง
ก็ได้รับคำตอบแบบทั่ว ๆ ไป ซึ่งผมก็นึกเยาะในใจ
(เป็นเพราะเราไม่เข้าใจในสิ่งที่เค้าพูด)

ตามนิสัยอีกอย่างคือสำรวจ
ก็ลองเข้าไปดูเรื่องอื่นในเว็บบอร์ดนั้น
จนได้อ่านบทความเรื่อง แด่เธอผู้มาใหม่
//larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000373.htm
บทความนี้คือผู้จุดประกายความคิด
ผมไม่ทราบท่านอื่นอ่านแล้วจะมีประกายความคิดเหมือนกันทุกคนหรือเปล่า
แต่จากประสบการณ์ของผมในสมัยเด็ก
เคยมีความคิดว่าเรามาอาศัยร่างกาย ที่เปรียบเหมือนหุ่นยนต์ อาจจะเป็นเพราะการ์ตูนที่ดูหรืออย่างไรไม่ทราบ
แต่มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับการแยกระหว่างร่างกายกับจิตตามที่บอกไว้ในบทความ

เอาแล้วสิเริ่มเข้าทาง
การทดลองความจริงกับตนเอง หรือความคะนองที่อยากลองของได้เริ่มอีกแล้ว
ผมอ่านหนังสือหลายเล่ม (แต่ไม่จบสักเล่ม) ได้ข้อมูลวุ่นวายไปหมด
ผมมาเริ่มทดลองกับตัวเองตอนที่ปวดหัว
ซึ่งผมมักจะเป็นบ่อยครั้งในตอนเช้า หรือหลังเลิกงาน
(อาจจะเป็นเพราะดื่มเหล้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ อิอิ
แต่ผมดื่มไม่มากเช่นเบียร์ 1 ขวด หรือแค่โซดาหมด 1 ขวด)
เมื่อรู้สึกปวดผมจะบอกในใจกับตัวเองหรือพูดกับตัวเอง (เหมือนบ้าเลย พูดกับตัวเองในใจ)
ว่า ตู(ก)รู้แล้วปวด ไม่ต้องบอกอีก
ก็น่าแปลกนะความรู้สึกปวดหายเงียบเลย เหมือนกับไม่เคยปวดเลย
แต่ไม่เงียบไปทั้งวันนะ ความรู้สึกปวดก็จะกลับมาเป็นพัก ๆ
ผมก็ใช้คาถาเดิมบอกกับตัวเองแบบเดิม
ก็น่าแปลกแบบเดิมอีก อาการปวดหัวหายเงียบเหมือนเดิม
ผมทดลองหลายครั้งในหลายวัน ก็เป็นแบบเดิมทุกครั้ง

ผมบอกกับตัวเองว่าใช่แล้วจิตกับร่างกายมันแยกกันตามที่บทความหรือหนังสือบอกไว้
ผมนำข้อมูลในสมองมาวิเคราะห์ตามที่ได้เล่าเรียนในโรงเรียน
จิตเป็นของจริงคือของเรา เมื่อเราไม่นำจิตไปเกาะหรือไปยึดกับร่างกาย
เราก็จะไม่รู้สึกปวดหัว
ถ้าอย่างงั้นจิตมันถูกสร้างโดยธรรมชาตินะสิ
มันมีหน้าที่รับสิ่งที่กระทบเข้ามาแล้วปฏิบัติตามประสบการณ์ที่สั่งสม
เก็บสะสมสิ่งที่กระทบเข้ามาเป็นฐานข้อมูลชีวิต
มันก็ตอบคำถามที่ค้างคาในใจได้หลาย ๆ เรื่อง

ไชโยในที่สุดผมก็ลดสิ่งที่ค้างคาในใจจำนวนมากออกไปได้
และเข้าใจในหลักของศาสนามากขึ้น

ดีใจที่ได้รู้
ดีใจที่ได้ฝึกฝนตาม
ดีใจที่เข้าใจสิ่งที่อ่านในหนังสือธรรมะ
ดีใจที่ลดความคะนองและลดอารมณ์ที่ร้อนแรงลง
ดีใจที่ชีวิตมีบุญเก่าที่สร้างให้ตัวเองได้กลับมาสู่วิธีที่เป็นชาวพุทธ
ดีใจมากมายที่ไม่สามารถบอกได้ ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ และทรงชี้แนะทางให้เราได้หลุดพ้นทุกข์

ทุกวันนี้ถึงผมจะไม่สามารถฝึกตนให้จิตให้นิ่ง แต่ผมทราบเป้าหมายที่อยู่ข้างหน้าแล้ว

::
วัตถุประสงค์: บอกเล่าถึงประสบการณ์ เผื่อจะมีประโยชน์กับท่านอื่นบ้าง
ข้อควรระวัง: สิ่งที่บอกกล่าวเป็นความคิดเห็นส่วนตัวนำข้อมูลต่าง ๆ มาวิเคราะห์ด้วยตนเอง บางอย่างอาจไม่ถูกต้องหรือผิดพลาดไปบ้าง จงอย่าเชื่อในสิ่งที่อ่านแต่ให้ทดลองด้วยตัวเอง

ขอบคุณครับ




Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2549
Last Update : 23 เมษายน 2551 19:28:49 น. 1 comments
Counter : 216 Pageviews.

 
พุทธมามกะ


โดย: zero IP: 203.209.121.78 วันที่: 8 มีนาคม 2549 เวลา:2:09:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

3 งง
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add 3 งง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.