wwangkanon is Behind the Lens. His blog is for sharing experience also your sharing space.
 
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
31 พฤษภาคม 2553

9 days in Myanmar, 3rd Chapter(3/3) "First Step to Myanmar-First day in Yangon"

9 days in Myanmar, 3rd Chapter(3/3) "First Step to Myanmar-First day in Yangon"
3/3 ครับ

ได้ตั๋วรถแล้วเราก็เที่ยวกันต่อครับ
มีเวลาอีกสักพัก ก่อนที่ไปชเวดากอง เพราะเราตั้งใจจะไปที่ชเวดากองเย็นๆหน่อยครับ
เราก็เลยเดินย้อนกลับมาที่ตลาดโบกโฉกอองซาน ซึ่งไม่ไกลจากที่ที่เราซื้อตั๋วเท่าไหร่
เราเดินย้อนกลับทางเก่าแล้วเลี้ยวซ้าย เดินต่อไปอีกนิกก็ถึงเป้นหมายต่อไปของเรา
ตลาดโบกโฉก ก็เป็นอาคารสองชั้นครับ ด้านในก็กว้างใช่เล่น
มีของขายคล้ายๆกับ ไนท์บาซ่าร์ที่เชียงใหม่ ตั้วแต่ ภาพวาดสีน้ำมัน ไม้แกะสลัก เสื้อผ้า อัญมณี
ใครๆที่จะช๊อปของฝากก็แนะนำที่นี่ครับ พื้นถนนบริเวณตลาดจะเป็นพื้นอิฐครับ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ
อีกอย่างที่เราเจอแล้วว่าแปลกก็คือ ชาวบ้านเขาเลี้ยงนกโดยการเอาไม้มาตอกเป็นบ้านหลังเล็กๆ แขวนไว้กะผนักด้านนอกอาคาร แล้วก็เอารวงข้าวมาแขวนไว้ให้นกกินด้วยครับ

บรรยากาศตลาดโบกโฉกครับ




เราเดินเข้าออกซอกซอยต่างๆสักพัก เริ่มหิวอีกแล้ว
ในตลาดก็มีของกินขายหลายจุดเหมือนกันครับ แต่ส่วนใหญ่คนเยอะ บางร้านก็ไม่มีคนเลย ก็ไม่กล้าเข้าไปกิน
ข้ามมาฝั่งตรงข้ามมีตลาดประมาณว่าตลาดสดขอยของกินอยู่ด้วย
มีอาหารพื้นบ้านของพม่าหลายร้าน เราเลือกร้านที่อยู่ข้างถนน แต่มีโต๊ะเก๊าอี๊ให้นั่งและลูกค้าก็เยอะเหมือนกัน อยู่ตรงข้ามกับตลาดโบกโฉกเลย
เป็นก๋วยเตี๋ยวครับสไตล์แห้งครับ เราไม่ได้ถามว่าเรียกว่าอะไร แต่น่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวฉานครับ เสริฟพร้อมกับผักดองคล้ายๆกับกิมจิเกาหลี และน้ำซุปอีกถ้วยหนึง
แล้วเราก็สัง cola มาอีกขวด ร้านนี้ไม่มี star cola ครับ ได้ยี่ห้ออื่นมา
โดยรวมอร่อยครับ จะว่าพวกผมเป็นคนกินง่ายก็คงต้องบอกว่าใช่
เรื่องความสะอาดล่ะครับ ก็คงต้องบอกว่าอันนี้ก็ต้องดูๆหน่อยนะครับ
ผมก็ไม่ทานไปเรื่อยครับ ร้านไหนพอดูดีหน่อย คนเยอะหน่อย สะอาดหน่อยก็ค่อยเข้าไป
ผมเป็นคนที่ท้องเสียง่ายอยู่แล้ว ปกติไปทานไก่ทอดที่ร้านดังระดับโลก(คงรู้ว่าร้านไหน) ถ้าสาขาไหนจัดการทำความสะอาดขวดซ๊อสมะเขือเทศกะ๙อสพริกไม่ได้นี่
ผมสามารถบอกได้เลยครับ ทานเสร็จจะเดินเข้าห้องน้ำทันทีเลย แต่ที่ทานอาหารที่พม่านี่ ไม่เจอนะครับ
แต่ย้ำกันอีกทีว่าต้องเลือกร้านหน่อยนะครับ เอาที่ไม่แย่เกินไปนะครับ

มื้อนี้ของเราครับ




อันนี้คนให้ผสมกันแล้วจ้า น่ากินไหม


อันนี้น่าจะเป็นโบสถ์คริสต์มองจากสะพานลอยหน้าตลาดโบกโฉกครับ


ที่นี้อิ่มแล้วครับ แต่ว่าหมดแรงเดินแล้ว ก็ต้องพึ่งแท๊กซี่กันหล่ะครับ
เราโบกแท็กซี่คันหนึ่งบอกว่าชเวดากอง เป็นอันว่าเข้าใจกันก็ขึ้นรถไปได้เลยครับ
รถพาเราลัดเลาะมาไม่ไกล แต่ถ้าเดินคงจะแย่เหมือนกัน
แท๊กซี่ไปจอดที่ทางเข้านักท่องเที่ยวต่างชาติ ในห้องของสำนักงานมีชาวตะวันตกเยอะเลยครับ
ส่วนใหญ่จะมากับทัวร์ เข้าไปแล้วต้องถอดรองเท้าฝากไว้ แล้วเสียค่าบำรุงนิดหน่อยครับ 5 $
ได้บัตรเข้าชมเป็นที่ระทึกมาคนล่ะใบ แล้วขึ้นลิฟไปได้เลยครับ
อ้อใครอยากจะเข้าห้องน้ำห้องท่า ก็เข้าที่นี่นะครับ ห้องน้ำสะอาดครับ แล้วด้านบนไม่แน่ใจว่าจะมีหรือเปล่านะครับ
ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีห้องน้ำในวัดครับ
เราขึ้นลิฟท์ไปกลับฝรั่งกลุ่มหนึงฟังไม่รู้ว่าพูดภาษาดกัน แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ภาษาอังกฤษครับ
พอลิฟท์เปิดออกเผยให้เห็นทางเดินตรงยาวเข้าสู่บริเวณองค์เจดีย์ เราเดินไปตามทางเข้าสู่องค์เจดีย์
ตอนนี้ต้องเตือนกันไว้สักนิดหนึงว่า ให้จำไว้เลยนะครับว่า เข้าสู่องค์เจดีย์ด้านไหนเดินผ่านอะไรไปบ้าง
ที่ต้องเตือนเพราะว่า ที่นั่นไม่ใช่เล็กๆ ครับ กว้างใหญ่มาก แล้วก็มีศาลา วิหารมากมาย หน้าตาก็คล้ายๆกัน
พอเวลาจะกลับ จะหาทางออกเอาไม่เจอครับ ทางขึ้นลงปกติก็มีสี่ทาง แล้วก็ ลิฟท์ก็ไม่ได้มีแค่ตัวเดียวครับ
ที่สำคัญเราต้องกลับไปเอาโรงเท้าเราที่ที่เราขึ้นลิพท์มาครับ

สิ่งที่เราเจอสิ่งแรกก็คือ ต้นศรีมหาโพธิ์ครับ ใต้ต้นก็มีพระพุทธรูปประทับอยู่ครับ องค์พระเป็นสีทองได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างดีจริงๆครับ
องค์ดูสีทองใสสว่างมากๆ เราก็นั่งลงกราบกันก่อนเลยครับ ก้เราชาวพุทธนี่ครับ
แต่ที่บริเวณนั้นเราก็จะเห็นชาวพม่ามานั่งสมาธิกันบ้างครับ
จากที่ได้มีโอกาศคุยกับชาวพม่า เขาบอกว่าในวันหนึ่งๆเขาจะหาเวลานั่งสมาธิกัน เพราะเป็นมงคลกับชีวิต
อืมดูดีจริงๆเลยครับ มันจึงไม่แปลกเลยที่เวลาเราไปเที่ยวที่วัดต่างๆแล้วจะเจอคนนั่งสมาธิอยู่ในมุมต่างๆ ทั่วบริเวณ







ออกจากบริเวณต้นศรีมหาโพธิ์แล้วเดินเข้าไป ก็จะเจอวิหารเรามองเข้าไปถึงกับอึ้งครับ
ในวิหารมีประพุทธรูปวางอยู่มากมาย ใช้คำว่า มากมายจริงๆ ครับ
ผมว่าเป็นอีกจุดที่น่าจะเป้ฯจุดขายได้เลย เราก็เข้าไปถ่ายรูปกันครับ
ด้านข้างวิหารมีกล้องส่องทางไกลไว้ให้ส่องดูเพชรประดับบนยอดพระเจดีย์กันด้วยครับ
ผมลองดู อืม เพชรที่อยู่บนยอดเจดีย์ชเวดากอง ไม่ใช่เม็ดเล็กๆครับ ที่สำคัญไม่ได้มีแค่เม็ดเดียวด้วยครับ
ใครมีโอกาศไปอย่าลืมแวะไปส่องดูกันนะครับ







แล้วเราก็เดินเข้าสู่บริเวณองค์พระเจดีย์ ทั้งๆที่เราเห็นองค์พระเจดีย์แต่ไกลหลายครั้งแล้ว
แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตลึง อึ้งไปกลับความยิ่งใหญ่อลังการ จนไม่สามารถมาบรรยายที่นี่ได้หมด
และผมก็มั่นใจว่าภาพที่ถ่ายมาก็ไม่สามารถบันทึกเป็นรูปภาพมาให้ดูกันได้หมดหรอกครับ
บอกได้คำเดียวว่า สวยมากๆ อลังมากๆ
แต่แอบเสียดายนิดที่ตอนนั้น พระเจดีย์กำลังบูรณะอยู่ เขาใช้เสื่อไม้ไผ่คลุมองค์เจดีย์ด้านล่างไว้ครับ
แต่ก็คงบดบังความสวยงามได้แค่บางส่วนเท่านั้นแหล่ะครับ





Shwedagon Paya ที่คนบ้านเราเรียก เจดีย์ชเวดากอง
ปัจจุบันความสูง 109 เมตร อยู่บนม่อนดอย"เชียงกุตระ" พระเจดีย์มีอายุกว่า 2,500 กว่าปี
อายุพอๆกับพระพุทธศาสนา เป็นศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศพม่า
อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 5 สถานศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของพม่า เป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุ 8 เส้นของพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและยังมีสมบัติล้ำค่ามากมายที่บรรจุในองค์พระเจดีย์
องค์สันนิษฐานว่าสร้างตั้งแต่สมัยพุกาม และมีการบูรณะปฎิสังขรกันมาต่อเรื่อยๆ
โดยทุกๆครั้งจะมีการเพิ่มเติมขนาดและความสูงมาเรื่อยๆ
ปัจจุบันมีทองคำหุ้มพระเจดีย์ 53,000 กิโลกรัม ประดับเพชร 5548 เม็ด พลอย 2317 เม็ด ฉัตรสูง 10 เมตร
กระดิ่งทองคำ 3154 ใบ กระดิ่งเงิน 420 ลูก ที่ยอดสูงสุดมี มรกตเท่าไข่ไก่ ประดับอยู่

ตามตำนานเล่าว่า พ่อค้าวาณิชสองพี่น้อง ชื่อ ตปุสสะ และบาลิกะ เป็นชาวมอญมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ด้เดินทางไปเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ถวายตัวเป็นพุทธมามกะ ก่อนลากลับองค์พระบรมครูทรงพระประธาน พระเกศา 8 เส้น
เพื่อนำกลับไปบูชาในดินแดนบ้านเกิด เมื่อเดินทางกลับถึงเมืองมอญ พระเจ้าแผ่นดิน นามว่าพระเจ้าโอคาลาปะ ทรงสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุพระเกศาทั้งแปดเส้น
เป็นที่เคารพสักการะของชนชาวมอญพม่านับแต่นั้นมา ต่อมาองค์พระเจดีย์ได้รับการดูแลรักษาบูรณะปฎิสังขรโดยกษัตริย์ชาวมอญพม่า มาตลอดจนถึงปัจจุบัน





ยังมีอีกตำนานหนึงครับ ผมได้ยินมานานแล้วครับ
ตำนานเล่าว่าสมัยที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งทรงพระนามว่าพระพุทธสมณโคดม
ท่านยังเป็นโค ได้มีโอกาศรับธรรมะจากพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งสมัยนั้น พร้อมกับสัตว์อีกสี่ชนิด คือ ไก่ นาค เต่า และราชสีห์
เมื่อได้รับฟังธรรมมะก็เกิดศรัทธาในพระศาสนาและคำสอน จึงปราถนาจะบรรลุมมรรคผลตรัสรู้เป็นพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และสัญญากันไว้ว่าเมื่อได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จะเอาของประจำพระองค์มาบรรจุไว้ที่แห่งนี้ที่ได้สดับรับฟังธรรมและปวรณาตัวร่วมกัน
ต่อมาทั้งห้าก็ได้บำเพ็ญเพียรบารมี ต่อๆกันมาหลายชาติหลายกัปกรรณ์ จนได้บรรลุมรรคผลตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในมหาภัทรกัปปัจจุบัน
องค์แรกพระนามว่า พระกกุสันธพุทธเจ้า(อดีตชาติเป็นไก่) องค์ที่สองพระนามว่า พระโกนาคมพุทธเจ้า(อดีตชาติเป็นนาค) องค์ที่สามพระนามว่า พระกัสสปพุทธเจ้า(อดีตชาติเป็นเต่า)
องค์ที่สี่คือองค์ปัจจบันมีพระนามว่า พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า(อดีตชาติเป็นโค) และองค์สุดท้ายที่จะเสด็จมาตรัสรู้เมื่อศาสนาของพระสมณโคดมอายุผ่านไปแล้ว 5000 ปี คือ พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า(อดีตชาติเป็นราชสีห์)
โดยที่แต่ละองค์ได้นำของแทนพระองค์มาไว้ที่ดังกล่าวคือ ไม้เท้า(ของพระกกุสันธะพุทธะ) กระบอกกรองน้ำ(ของพระโกนาคมพุทธะ)และผ้าอาบน้ำ(ของพระกัสสปพุทธะ)
เมื่อพระสมณโคดมได้ทรงพระตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วทรงเสวยพระวิมุติสุขอยู่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลานาน 49 วัน เมื่อครบกำหนดเวลามีพ่อค้าพี่น้องสองคนชาวพม่ามีนามว่า ตปุสสะกับภัลลิกะเป็นชาวมอญ เดินทางผ่านมา ทั้งสองเกิดความเลื่อมใส

พระพุทธเจ้าได้ถวายข้าวสัตตูให้พระพุทธเจ้าทรงเสวย หลังจากพระพุทธเจ้าได้ทรงเสวยเสร็จแล้วได้ทรงลูบพระเศียรได้พระเกศาจำนวนแปดเส้นติดพระหัตถ์มาทรงพระราชทานให้พ่อค้าทั้งสองคนไปถวายแก่พระเจ้าแผ่นดินเมืองมอญ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์เคย

ปวรณาตัวไว้กับพระพุทธเจ้าอีกสี่องค์ในอดีตเพื่อจะไปบรรจุรวมกันไว้ ในระหว่างเดินทางกลับบ้านพ่อค้าทั้งสองคนต้องประสบปัญหายุ่งยากนานัปการนับตั้งแต่พระราชาแห่งนครอเชฏฏะทรงลอบขโมยพระเกศาธาตุไปสองเส้นและในขณะที่แล่นเรือข้ามอ่าวเบงก

อลอยู่นั้นได้ปรากฏพญานาคราชตนหนึ่งผุดขึ้นมาจากท้องมหาสมุทรช่วงชิงเอาพระเกศาธาตุไปอีกสองเส้น ถึงกระนั้นก็ตามเมื่อพ่อค้าทั้งสองเดินทางกลับมาถึงบ้านเมืองแล้วพระเจ้าพระโอกกลาปะก็ทรงจัดพิธีต้อนรับมีงานเฉลิมฉลองพระเกศาธาตุอย่างมโหฬาร

เหล่าทวยเทพเทวดาทั้งหลายได้เสด็จลงมาร่วมงานและได้ทำการเลือกเฟ้นสถานที่ที่จะสร้งพระมหาเจดีย์ขึ้นเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ยังฝากข้อความมาสู่พระเจ้าโอกกลาปะด้วย
" ข้าฯแต่พระเจ้าแผ่นดินผู้ยิ่งใหญ่ พระพุทธองค์ได้ตรัสสั่งว่าให้ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระองค์ ร่วมกับพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ก่อนโน้น ในสถานที่แห่งเดียวกันด้วยพระเจ้าข้า ณ เจดีย์ ที่ภูเขาสิงฆุตตระ"
แต่พระเจ้าโอกกลาปะ ก็ส่งทหารออกค้นหากลางป่าดงพงไพรนานเป็นปีก็ไม่พบ จึงร้อนถึงท้าวสักกะ (หรือที่เราเรียกว่า "ท้าวสหัสนัยน์ไตรตรึงษา") ต้องเสด็จลงมาเลือกช่วยเลือกสถานที่ให้ ในการนี้ท้าวสักกะได้ตรัสสั่งเทวดา ๔ องค์ คือ สุเล อมะยิสะ ยอฮานีและ

ทักษิน ให้ช่วยเหลือด้วย ดังนั้นด้วยอำนาจแห่งเทวฤทธิ์ของเทวดาเหล่านั้น จึงนำเอาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าในอดีตอีก ๓ พระองค์ คือ พระกกุสันธพุทธะ พระโกนาคมพุทธะ และพระกัสสปพุทธะ พร้อมทั้งไม้เท้า(ของพระกกุสันธะพุทธะ) กระบอก

กรองน้ำ(ของพระโกนาคมพุทธะ)และผ้าอาบน้ำ(ของพระกัสสปพุทธะ) มาสมทบบรรจุเข้าในพระเจดีย์ที่จะสร้างใหม่นี้ด้วย หลังจากนั้นก็ให้พระวิษณุกรรมลงมาถางที่ให้กว้างขวาง และพระเจ้าโอกกลาปะจึงทรงให้ช่างสร้างพระเจดีย์ชเวดากองขึ้นมา
เชื่อกันว่าในอนาคตกาล พระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัปนี้ คือพระศรีอริยเมตไตรย" ในอนาคตเบื้องหน้า จะทรงประทาน " สร้อยพระศกและพระมหามงกุฏ" เป็นพระบรมธาตุประดิษฐาน ณ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง
จากนั้นตำนานเล่าสืบต่อว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงปฏิหารย์เสด็จมาประกฏพระวรกายต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า โอกกลาปะและให้พรพรว่าพระประสงค์ของพระเจ้าโอกกลาปะจะสัมฤทธิ์ผลเป็นแน่แท้

และนี่ก็เป็นอีกตำนานหนึงของการกำเนิดองค์พระธาตุชเวดากอง
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมชาวพม่าถึงยกให้ศาสนสถานแห่งนี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดหนึ่งในห้า











เราเดินถ่ายรูปพระเจดีย์รอบๆวัด แล้วก็ชมวิถีชาวพม่าในวัดไปด้วย
มีโอกาศได้พบขบวนแห่บวชลูกแก้ว เหมือนกับบางจังหวัดทางเหนือของบ้านเราด้วยครับ
ถ้าผมเดาไม่ผิดเขาพานาคองค์น้อยหรือลูกแก้ว มาไหว้พระประจำวันเกิดกันนี่แหล่ะครับ
เพราะเห็นญาติๆ หากันใหญ๋ นักท่องเที่ยวก็รุมถ่ายรูปเลยครับ ผมก็ด้วย ได้มีโอกาศมาเห็น original เลยนี่นา





เราได้เจอกับนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายภาษา ที่สำคัญก็คนไทยด้วยกันนี่แหล่ะครับ เจอหลายท่านเลย
แต่ก็ไม่ได้ทักทายกันแต่อย่างไรครับ เพราะเชื่อว่าท่านนั้นๆ
ก็คงไม่แน่ใจว่าไอ้สองคนนี้มันเป็นคนไทยหรือพม่า 5555 อ้อเจอคุณว่าน AF ด้วยครับ แต่ไม่ได้ไปทักแต่อย่างใด
คุณเขาคงอยากจะพักผ่อนเป็นการส่วนตัว เหมือนจะมากับคณะทัวร์ด้วยครับ

ที่นี่จะมีความเชื่ออีกอย่างครับ ใครเกินวันไหนก็ต้องขึ้นมาช่วยกันทำความสะอาดวัดครับ
เราเจอหนุ่มสาวชาวพม่าหลายคนเดินถือไม่กวาดคนล่ะสองอันช่วยกันกวาดวัดครับ
เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมนะครับ ทำให้รู้สึกว่าวัดยังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตพวกเขาอยู่ ต่างกับประเทศข้างๆ โดยสิ้นเชิง
บางคนไม่เข้าวัดเลย กว่าจะเข้าวัดกันสักที ก็ต้องมีคนหามกันเข้าไปแล้ว (หวังว่าคงเข้าใจนะครับ อิอิ)



อีกอย่างที่เห็นแล้วแปลก ที่บ้านเราไม่มี ก็คือที่พม่านี่มีนักบวชหญิงด้วยครับ
น่าจะเรียกว่าภิกษุณีครับ บางองค์นุ่งขาว บางองค์นุ่งสีชมภูก็มีตามรูปน่ะครับ
ส่วนใหญ่ที่เจอจะยังเป็นเด็กๆอยู่ครับ



เราเดินกันจนเหนื่อยแล้วก็มานั่งพัก ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วครัย ถึงเวลาที่จะต้องถ่ายภาพโดยใช้ขาตั้งกล้องแล้ว
ผมก็ควักขาตั้งกล้องออกมา ที่จริงอันนี้ก็ซื้อจากพม่านี่แหล่ะครับ ที่แม่สาย ราคาไม่แพง เบาด้วยครับ
ผมก็ตั้งกล้องที่ขาแล้วปรับก้องอยู่สักพัก ก็มีลุงชาวพม่าเข้ามาคุยด้วย บอกว่าเกิดและโตที่ย่างกุ้งเลย
รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับย่างกุ้ง ถ้าชอบถ่ายรูปจะพาไปถ่ายมุมที่มีแสงสะท้อนจากเพชร เห็นเป็นเจ็ดสีเลยนะ
ตอนแรกก็คุยๆครับ คุยไปคุยมา ชักเริ่มเห็นแววไกด์ท้องถิ่นออก ก็เลยรีบตัดบทแกว่าเราชอบเที่ยวกันแบบเงียบๆ
ต้องขอโทษด้วย ที่ไม่สามารถรับไมตรีจากแกได้ ตอนนี้ขอถ่ายรูปดีกว่านะ ในที่สุดแกก็ยอมผละออกไป
จริงๆก็ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ ถ้าใครอยากได้ใครสักคนแนะนำและคุยด้วยก็แนะนำครับ พอดีตอนนั้นเราอยากจะถ่ายรูปเงียบๆ จริงๆ







พักได้สักเดี๋ยว ผมก็เริ่มอยากจะเก็บภาพมุมอื่นๆบ้างก็เลยให้คุณนายนั่งรอที่ลานภาวนา
อ้อลืมเล่าให้ฟัง ลานภาวนานี่เป็นลานโล่งๆ ที่เขาจะมานั่งอธิษฐาน บางคนก็มานั่งสมาธิกันครับ เป็นอีกที่ที่คนเยอะมากๆครับ
ที่นี้ผมก็เดินไปทั่วเลยครับ ทั้งๆที่ตอนนี้เท้าล้าไปหมดแล้ว แต่ชีวิตคนเราคงได้มาที่นี่กันไม่กี่ครั้ง
ก็เลย เอาวะ วันนี้ต้องถ่ายรูปให้ได้เยอะที่สุด ทางด้านเหนือขององค์เจดีย์ชเวดากอง มีเจอีย์ชเวดากององค์เล็กอีกองค์นะครับ จริงๆก็ไม่เล็กหรอกครับ ใหญ่เหมือนกัน แต่แค่เล็กกว่าองค์จริง
องค์นี้ถูกสร้างมาเพื่อเก็บพระบรมสาลีสิกธาตุ ชั่วคราวก่อนที่องค์จริงจะสร้างเสร็จน่ะครับ

หน้าลานภาวนาครับ


เห็นองค์จำลองด้วย


ณ วิหารหนึ่งในบริเวร และมีอีกหลายวิหารที่สวยๆครับ


เดินถ่ายรูปกันจนหมดเรี่ยวแรงแล้ว กลับมาเรียกคุณนายเพื่อจะกลับแล้ว
เราก็เดินๆ หาทางออกกันครับ แต่ไม่เจอ อ้าวเอาล่ะสิ จำได้ว่าทางเข้ามีต้นศรีมหาโพธิ์ แต่ ต้องเจอวิหารที่พระเยอะๆก่อน อ้าว แล้ววิหารทำไมเยอะอย่างนี้หล่ะ
เราเดิยนหาทางออกที่เราเข้ามา เดินวนจนครบรอบองค์เจดีย์เลยครับ
ก็ยังไม่เจอทำไงดีล่ะ เลยตัดสินใจไปเดินรอบนอกของวิหาร กว่าจะเจอ ขาแทบลากแล้วครับ
ตอนนั้นลงมาได้จับแท๊กซี่กลับโรงแรมแล้วครับ ม่ายไหวแล้ว ยกเท้าแทบจะไม่ไหวแล้ว
กลับมาถึงโรงแรม ซื้อน้ำและ star cola ขึ้นไปกินกัน อาบน้ำแล้วก็สลบเหมือดครับ



เจอกันใหม่ตอนหน้านะครับ ชอบไม่ชอบก็บอกกันนะ
อีกอย่างจะได้เป็นกำลังใจให้ทำต่อไปด้วยครับผม


Create Date : 31 พฤษภาคม 2553
Last Update : 6 มิถุนายน 2553 19:44:56 น. 4 comments
Counter : 4499 Pageviews.  

 
อ่านครบทุกตอนแล้ว เขียนสนุกดีค่ะ คอนเฟิร์ม
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ


โดย: redpink วันที่: 1 มิถุนายน 2553 เวลา:22:30:28 น.  

 
ขอทราบรายละเอียดค่าใช้จ่ายด้วยครับ

จะเดินทางปีหน้า ตามนี้เลยครับ

ood_4024@yahoo.co.th

ขอบคุณครับ


โดย: ood IP: 192.168.1.122, 192.168.1.122, 127.0.0.1, 118.172.110.228 วันที่: 2 มิถุนายน 2553 เวลา:9:08:42 น.  

 
ขอบคุณคุณ redpink ครับสำหรับกำลังใจครับ เห็นว่ามีคนติดตามและชอบสิ่งที่เราทำแล้วก็อยากทำต่อครับ ขอบคุณมากๆครับ
ส่วนคุณ Oad ที่ถามเรื่องค่าใช้จ่าย อาจจะทำละเอียดให้เลยไม่ได้นะครับ พอดีว่าเราลืมบันทึกรายละเอียดน่ะครับ
เช่นค่าอาหาร น้ำ ขนม ไม่ได้จดจำกันมาเลย แต่แนะนำว่า ถ้าเตรียมค่าใช้จ่ายก็เตรียมประมาณว่าอยู่บ้านเราน่ะแหล่ะครับ แล้วบวกเพิ่มเป็น spare นิดหน่อยเพราะว่าค่าใช้จ่ายที่บ้านเขาไม่แพงกว่าบ้านเราแน่นอน
ส่วนค่าโรงแรม ค่ารถ ค่าเข้าชม จะพยายามเขียนใน review แต่ล่ะวันไปนะครับผม ต้องขออภัยอย่างแรงครับ


โดย: Behind the lens (Behind the lens ) วันที่: 2 มิถุนายน 2553 เวลา:20:21:08 น.  

 
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=wwangkanon-chiangmai&month=06-2010&date=06&group=1&gblog=10
ตอนต่อไปจ้า


โดย: ฺBehind the Lens (Behind the lens ) วันที่: 24 พฤศจิกายน 2554 เวลา:15:49:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Behind the lens
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นาฬิกา
[Add Behind the lens's blog to your web]