Group Blog
 
All Blogs
 

แต่งหน้าบล๊อกครั้งแรก สำเร็จ เยสสส!

อ่า หลังจากใช้บล๊อกที่เป็น template ที่เค้ามีให้มาโดยตลอด
ในที่สุด ความคิดก็บังเกิดว่า แล้วชั้นจะเป็น designer ไปทำไม ถ้าแต่งหน้าบล๊อกตัวเองไม่ได้

และแล้ว ใช้เวลาทั้งวันวันนี้ ไปกับการทำความเข้าใจโค๊ดของ bloggang
(ซึ่งต่างจาก Blogger หรือ wordpress ที่เคยทำหน้าตาให้คนอื่นมากมาย)

เป้าหมายมีว่า

  • ไม่อยากได้ที่มันโหลดนาน เลยพยายามไม่ใส่อะไร นอกจากจัดการดีไซน์อย่างเดียว

  • แต่ก็ไม่อยากให้มันจืดชืด ใส่สีเข้าไปเยอะ ๆ วะ


  • ปลุกปล้ำอยู่ราว 5-6 ชม. รวมถึงการไปดูโค๊ดตามบล๊อกอื่น ๆ ได้ออกมาตามที่เห็น
    ถูกใจในระดับหนึ่ง แต่ยังหาทางจัดการกับเมนูทางขวามือทั้งแถบให้ดูดีกว่านี้ไม่ได้

    และที่สำคัญมาก

    .......................................

    ขี้เกียจทำละ





     

    Create Date : 13 สิงหาคม 2552    
    Last Update : 13 สิงหาคม 2552 22:48:19 น.
    Counter : 689 Pageviews.  

    เปิดใจแล้วเลิกเป็น snob ซะทีเถอะ

    สมัยก่อน เป็นคนจำพวกที่โดนเรียกว่า Snob
    แปลเป็นไทยว่าไงล่ะ พวกที่นึกว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น? พวกหัวสูง?

    ในตอนนั้น เพลงที่นิยมชมชอบ เป็นเพลงอินดี้หรือไม่ก็แจ๊สไปเลย
    และเกลียดเพลงที่เป็น mainstream หรือ กระแสหลักแบบเข้าไส้
    ใครบอกว่าฟังบริทนีย์ (แค่ยกตัวอย่าง) เราจะทำหน้าแบบ ยี้
    นี่ก็ Music snob หนึ่งอย่าง

    หนัง สมัยก่อนจะดูแค่หนังของผู้กำกับคนโปรดทั้งหลาย
    (Wong Kar Wai, Kitano, Chris Nolan, Fincher, Scorsese เป็นต้น)
    และหนังนอกกระแสอีกตามฟอร์ม
    แน่นอนว่า เวลาที่ใครบอกว่าชอบดู Rom Com ทั้งหลาย
    ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยดู ก็จะบอกว่า ไม่สนใจ ไม่อยากดู
    นี่ก็ Movie snob อีกอย่าง

    นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีก
    เพราะว่าชอบอ่านหนังสือ classic lit ทั้งหลาย
    Kafka, Dostoevsky, Orwell, Steinbeck, Homer เป็นต้น
    พอมีใครชวนให้อ่านหนังสือ Rom Com
    เราก็จะทำหน้าแบบว่า ไม่สนใจจริง ๆ ว่ะ ไม่แนว
    ในใจคิดด้วยซ้ำไปว่า ไม่ประเทืองอะไรเลย
    นี่ก็ Literary snob

    ด้วยควา่มเป็นเด็ก และเป็นเด็กโง่อวดฉลาด
    จึงคิดว่าสิ่งที่เป็นในตอนนั้น เท่ที่สุดแล้ว
    มีแนวทางเป็นของตัวเอง และไม่ยอมรับแนวทางอื่น
    มั่นใจแบบโง่ ๆ ว่า ไม่มีใครจะสามารถมาว่า รสนิยม ของชั้นได้หรอก
    ไม่ได้คิดเลยว่า คำว่ารสนิยม เป็น subjective ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
    และแน่นอนว่า ความเป็นจริงก็คือ
    บนโลกนี้ ไม่มีใครดีหรือแย่กว่าใคร

    ---------------------------------------

    เมื่อวุฒิภาวะมากขึ้น ความคิดก็เปลี่ยนไป
    เมื่อได้ลองฟังเพลงทุกประเภท
    เมื่อได้ลองดูหนังทุกแนว
    เมื่อได้ลองอ่านหนังสือประเภทอื่น
    พบว่า มันไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย

    เพลงป๊อปในกระแสหลักบางเพลง รื่นหู ฟังง่าย
    หนัง Rom Com บางเรื่อง ทำเอาเรานั่งหัวเราะเกือบตาย
    หนังสือทุกแนว ขยายกรอบความคิดให้กว้างขึ้น

    การจำกัดตัวเองให้ฟัง ดู อ่าน แค่บางอย่าง
    กลับกลายเป็นขอบเขตที่ทำให้โลกของเราแคบ

    ยิ่งเวลาผ่านไป เรายิ่งมองว่า
    คนที่มองตัวเองดีกว่าคนอื่น ๆ โดยใช้คำว่า รสนิยมเป็นบรรทัดฐาน เป็นพวกที่น่ารังเกียจ ไม่ก็น่าสงสาร

    ใจกว้าง คือ คุณสมบัติที่คนที่เสพย์ศิลปะทุกคนควรจะมี
    และหากศิลปะไม่ช่วยให้ใจของคุณกว้างขึ้น ไม่ช่วยให้คุณเปิดรับความแตกต่างหรือความแปลกใหม่ได้แล้ว
    ก็คงไ่ม่มีอะไรอีกแล้วล่ะ ที่จะช่วยได้

    อย่าใช้ความเป็น Culture Snob มาปกปิดความใจแคบของคุณเลย
    ให้โลกมีความแตกต่างบ้างเถอะ






     

    Create Date : 06 สิงหาคม 2552    
    Last Update : 13 สิงหาคม 2552 12:03:27 น.
    Counter : 1313 Pageviews.  

    ของฟรีมีอยู่จริง

    ใคร ๆ ก็คงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ของฟรีไม่มีในโลก
    เราก็อยากจะบอกว่า
    คนที่เชื่อเต็มร้อยกับคำพูดนี้ คือ คนที่ไม่เชื่อในคำว่า "น้ำใจ"

    หลายปีมาแล้ว กลางวันอากาศร้อนวันหนึ่ง
    เหตุเกิดที่รถไฟฟ้าจตุจักร ขณะกำลังจะขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน
    เราควานหาประเป๋าสตางค์ นับนานก็ไม่เจอ
    ควานไปควานมา ทำไมของในกระเป๋าหล่นมาที่พื้นฟะ
    ถึงได้รู้ตอนนั้นเองว่า กระเป๋าขาด
    มองโลกในแง่ดี? เดินซุ่มซ่ามไปเกี่ยวอะไรเข้า
    มองโลกในแง่ร้าย? โดนกรีดกระเป๋าชัวร์

    อย่างไรก็ดี กระเป๋าตังค์ไม่มีละ
    จะกลับบ้านยังไงละทีนี้ โทรศัพท์ก็ไม่มีอีก หายไปด้วยกัน
    จะโทรหาใครก็ไม่ได้ จะกลับบ้านก็ไม่มีตังค์
    มีวิธีการเดียวเท่านั้นในตอนนี้ คือ ต้องยืมตังค์ใครซักคน โทรบอกเพื่อนที่บ้านอยู่แถวนั้นให้เอาตังค์มาให้ยืมก่อน

    ปัญหาเกิด? จะยืมใครล่ะ

    สุดท้ายก็บากหน้าไปยืม น้องผู้หญิงคนนึง ซึ่งเพิ่งเดินลงมาจากรถไฟฟ้า
    ไม่เคยเห็นน้องเค้ามาก่อน แต่พอยิ้มไปแล้วเค้ายิ้มให้ เลยตกเป็นเหยื่อของเรา (ฮ่า ๆ)
    เล่าเหตุการณ์ให้เค้าฟัง ถามเค้าว่า พี่ขอยืมโทรศัพท์ครั้งนึงได้ไหม หรือขอเหรียญโทรศัพท์ก็ได้

    ระหว่างยืนเล่า แฟนน้องเค้ามา ชายร่างใหญ่มองหน้าเรา
    ใจเราน่ะคิดว่า คู่นี้ต้องคิดแน่นอนว่า ยัยผู้หญิงคนนี้มารีดไถอะไรเนี่ย

    แต่เราก็คิดผิด น้องผู้ชายถามว่า นี่พี่ตั้งใจจะไปไหนครับ
    เราบอกว่าจะกลับบ้าน
    น้องถามต่อว่า นั่งรถไฟฟ้าไปก็ถึงเลยใช่ไหมครับ
    เราบอกว่า ไม่ถึงอ่ะ ต้องนั่งแท๊กซี่หรือรถเมล์ต่อ ถ้าแท๊กซี่ก็ไม่ไกล ประมาณมิเตอร์ 50 บาท

    น้องผู้หญิงพูดอยู่ตลอดว่า พี่ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร หนูก็เคยเจอ
    น้องผู้ชายพูดขึ้นมาว่า ไม่ต้องเอาหรอกครับเหรียญ แล้วควักแบงก์ร้อยขึ้นมาให้ บอกว่า เอาไปเถอะครับพี่ ไม่เป็นไร
    เรารีับบอกว่าไม่เอา ไม่เป็นไร เอาซักสิบบาทโทรหาเพื่อนก็น่าจะพอแล้ว
    เค้าก็ยืนยันว่าไม่เป็นไร เอาไปเหอะ

    สุดท้ายเราก็รับมา ขอบคุณหลาย ๆ ครั้ง ขอเบอร์โทรศัพท์เค้าเอาไว้
    แต่เค้าบอกว่าไม่้เป็นไร ตั้งใจจะให้ว่างั้นเถอะ

    --------------------------------------------

    พอกลับถึงบ้านเรียบร้อยดี เราเพิ่งมาคิดได้ว่าจริง ๆ นั่งแท๊กซี่มาเอาตังค์ที่บ้านก็ได้ ตอนนั้นคิดไม่ออก
    แล้วนี่ เป็นหนี้คนไม่รู้จักหนึ่งร้อยบาท ไม่ค่อยสบายใจ

    หกเดือนผ่านไป ไม่เคยลืมเรื่องราวที่เกิด แต่ก็ไม่คิดถึงมันมากมาย
    จนกระทั่งวันหนึ่ง เดินอยู่ที่สยามแสควร์ เห็นน้องคู่นี้ เดินอยู่ด้วยกัน
    จำได้ จำได้ ใช่เค้าแน่่นอน

    วิ่งพุ่งตรงเข้าไปหา น้องค้าาา พี่เคยยืมตังค์น้องกลับบ้านอ่ะ
    ที่รถไฟฟ้าจตุจักรไง บลา ๆ
    น้องบอกว่าจำได้ครับ ถึงได้คืนเงินเค้า

    --------------------------------------------

    ในเหตุการณ์ตอนนั้น น้องทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องมาช่วยอะไร
    หรือเค้าจะช่วยแค่ห้าบาทสิบบาท ให้เราได้โทรศัพท์ก็น่าจะได้
    แต่เค้าก็เต็มใจช่วย ประกอบกับไม่ได้ให้เบอร์ติดต่อเรา
    หมายความว่า เค้าก็ไม่ได้คิดว่าจะเอาคืนหรืออะไร

    ใครบางคนอาจพูดได้ว่า น้องเค้ากลัวเราหรือเปล่าถึงได้ให้
    แต่เราก็ไม่คิดว่าใช่ เพราะน้องผู้ชายตัวใหญ่กว่าเราตั้งเยอะ
    แล้งตรงนั้นก็คือ บนสถานีรถไฟฟ้าตรงที่จะกดบัตรอ่ะ คนอยู่เยอะแยะ ยามก็มี

    มองเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากว่า เค้ามีน้ำใจ และตั้งใจจะช่วยเหลือ

    เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างงี้ เราเชื่อว่าเคยเกิดกับทุกคน
    การที่มีใครมาช่วยเหลืออะไร โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน
    อันนี้ คือ น้ำใจ ที่คนให้เต็มใจให้

    เป็นของฟรี ที่มีค่ามากกว่าของแพงใด ๆ ในโลกนี้




     

    Create Date : 03 สิงหาคม 2552    
    Last Update : 13 สิงหาคม 2552 12:14:00 น.
    Counter : 287 Pageviews.  


    half a person
    Location :


    [Profile ทั้งหมด]

    ฝากข้อความหลังไมค์
    Rss Feed

    ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


    ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




    Friends' blogs
    [Add half a person's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.