เรื่องของการเชนเกียร์ (change gear)
เรื่องของการเชนเกียร์ (change gear) เชนเกียร์หลายๆคนคงเข้าใจและรู้ความหมายดีอยู่แล้วว่าหมายถึงการลดเกียร์จากเกียร์สูงลงสู่เกียร์ต่ำ การเชนเกียร์สำหรับมือใหม่หรือบุคคลทั่วไปก็คงมายถึงการลดเกียร์ลงให้เหมาะสมกับความเร็วของรถเท่านั้น แต่สำหรับคนที่มีประสบการณ์การการเชนเกียร์นั้นหมายถึงการลดเกียร์เพื่อให้เหมาะสมกับความเร็วและ....เพื่อใช้งานเอนจิ้นเบรก (engine break ซึ่งเดี่ยวจะพูดถึงในบทความถัดไปวันพรุ่งนี้ละกันครับ) แต่ทีนี้การเชนเกียร์ลงหรือการลดเกียร์ลงเพื่อเรียกใช้งานเอนจิ้นเบรกสำหรับมือใหม่มันมีปัญหาหลักอยู่อย่างหนึ่งคือ เชนหรือลดเกียร์แล้วรถเกิดอาการล้อล๊อก หรือตูดปัด หรือล้อหลังลีอกเป็นจังหวะ(คร๊อกๆๆๆๆๆ)ทำให้รถเกิดการเสียหลัก หรือไม่สามารถควบคุมรถได้ในขณะที่เกิดอาการล้อล๊อกนั้น หรือถ้าอยู่ในโค้งก็จะทำให้รถตั้งขึ้นและบานออกไปหรือที่บ้านๆเรียกว่าแหกโค้งนั่นแหละครับ ซึ่งวิธีแก้อาการล้อล๊อกเนื่องมาจากการเชนเกียร์สามารถทำได้โดยการเบิ้ลคันเร่งแรงๆก่อนจะปล่อยคลัชท์ จากปกติที่เราเคยกำคลัชท์และลดเกียร์และปล่อยคลัชท์ เราก็ทำเหมือนเดิมเพียงแต่เราเพิ่มการเบิ้ลเครื่องแรงๆก่อนจะปล่อยคลัชท์ออกไป ทั้งหมดนี้ใช้เวลาสั้นๆในระหว่างช่วงที่รอบที่เราเร่งทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้กำลังลดลงจากจุดสูงสุดถึงรอบก่อนที่จะลดเกียร์ลงเท่านั้นเช่นวิ่งมา 5000 แล้วกำคลัชท์แล้วเบิ้ลไปถึง 7000 และปิดคันเร่ง เราจะใช้ประโยชน์จากมันได้คือช่วงที่รอบกำลังตกระหว่าง 7000 ลงมาถึง 5500 เท่านั้น ถ้าต่ำจนถึง 5000 เท่าเดิมก็เท่ากับที่เราเบิ้ลไปก็ไม่มีความหมาย เราจะสังเกตได้จากนักแข่งที่ก่อนจะถึงโค้งแล้วต้องลดเกียร์ลง 2-3 เกียร์ เราจะได้ยินเสียงเค้าเบิ้ลเครื่องแรงๆเท่ากับจำนวนเกียร์ที่เค้าเชนลงในช่วงสุดทางตรงก่อนจะถึงโค้ง 2-3 ครั้ง ถ้านึกไม่ออกว่าเบิ้ลเครื่องเอาไว้แล้วมันจะช่วยได้ยังไงให้นึกถึงนักกีฬาวิ่งผลัด ก่อนที่นักกีฬาผลัดที่สองเค้าจะรับไม้ทำไมเค้าต้องวิ่งไปก่อนจนคนส่งไม้ผลัดแรกจะมาถึง ทำไมเค้าไม่หยุดอยู่ที่เดิมรอให้คนส่งไม้ผลัดแรกมาถึงแล้วค่อยวิ่งออกไป เหตุผลคล้ายๆกันครับก็คือการรักษาความเร็วของสองคนให้ใกล้ๆกันได้มากที่สุดจะได้ไม่เกิดความต่างของนักวิ่งคนแรกและนักวิ่งคนที่สองและไม่เกิดการกระชากไม้จนหลุดมือ ทีนี้มาดูสาเหตุของการเกิดล้อล๊อกกันบ้างว่ามันเกิดจากอะไร อาการล้อล๊อกหลังจากเชนเกียร์และปล่อยคลัชท์เกิดจาก ในขณะที่เราวิ่งมาด้วยความเร็วปกติของเกียร์ที่เราใช้อยู่ ความเร็วของล้อหลังและความเร็วของอัตราทดเกียร์ยังสัมพันธ์กันอยู่ แต่พอเรากำคลัชท์และลดเกียร์ลงล้อหลังก็ยังเร็วใกล้เคียงของเดิมแต่อัตราทดได้เปลี่ยนต่ำลงไปแล้วและรอบก็ตกลงด้วยเพราะเรากำคลัชท์เอาไว้ ทำให้เกิดความต่างของอัตราทดและความเร็วของล้อหลัง และเมื่อเกิดความต่างของอัตราทดซึ่งก็คือเกียร์และความเร็วล้อหลัง พอเราปล่อยคลัชท์ปุ๊บความเร็วของล้อก็ถูกฉุดจากอัตราทดของเกียร์ที่ต่ำลงซึ่งมีลูกสูบและกำลังอัดในกระบอกสูบฉุดเอาไว้ให้สูงขึ้นหรืออาจต่ำลงจนเกือบเท่าความเร็วล้อ หรือง่ายๆก็คือล้อจะฉุดให้ข้อเหวี่ยงหมุนเร็วขึ้นแต่ก็มีแรงต้านของกระบอกสูบต้านเอาไว้อยู่ ต่างคนต่างฉุดทำให้ความเร็วล้อช้าลง ทำให้เกิดการล๊อกล้อจนบางครั้งถึงกับทำให้ล้อหลังล๊อกและสะดุดทำให้รถเกิดเสียการทรงตัว นี่คือสาเหตุของการล้อล๊อก แล้วทำไมการเบิ้ลเครื่องก่อนปล่อยคลัชท์ถึงช่วยลดอาการล้อล๊อกลงได้ เพราะว่าการเบิ้ลรอบเครื่องให้สูงรอไว้และพอเราปล่อยคลัชท์ล้อหลังจะถูกเครื่องยนต์ที่เร่งรอบสูงฉุดเอาไว้ไม่ให้ให้ทั้งรอบเครื่องและรอบล้อช้าลงได้แบบทันทีทันได แต่จะค่อยๆฉุดลงแบบสมูทเพราะว่ารอบเครื่องที่เราเร่งทิ้งเอาไว้เมื่อกี้มันยังมีแรงเฉื่อยของข้อเหวี่ยงช่วยเอาไว้ไม่ให้ล้อหลังฉุดขึ้นไปได้แบบเต็มที่ ทำให้เราสมารถลดความเร็วลงได้แบบสมูทขึ้น ส่วนจะต้องเบิ้ลเครื่องขึ้นไปกี่รอบนั้นก็ต้องใช้ประสบการณ์และความรู้สึกค่อยๆเรียนรู้ไปเองครับ และในจังหวะที่เราปล่อยคลัชท์จะต้องปล่อยในขณะที่รอบกำลังตกจากรอบสูงสุดที่เราเร่งทิ้งเอาไว้เมื่อกี้เท่านั้น ไม่ใช่เบิ้ลเครื่องจนรอบกลับมาอยู่ที่เดิมเบาต่ำๆเพราะกำคลัชท์เอาไว้ แล้วมาปล่อยตอนรอบตกลงเหลือเท่าตอนเดินเบาแบบนี้เป็นผลเสียหนักกว่าเดิมครับ สมมุติว่าขี่มาที่เกียร์ 4 ที่ 5000 รอบ----กำคลัชท์----ลดเกียร์ลง 1 เกียร์----เบิ้ลเครื่องขึ้นไปเป็น 7000 รอบ 1 ครั้งและรีบปิดคันเร่งและปล่อยคลัชท์ในขณะที่รอบเครื่องกำลังลดลงอยู่ในช่วง 7000 5500 แบบนี้ถึงจะถูกต้องครับเพราะว่ารอบสูงกว่าตอนที่เราขี่มาปกติตั้ง 1000-2000 รอบ ซึ่ง 1000-2000 รอบตรงนี้แหละที่จะช่วยทำให้ความเร็วของล้อที่จะฉุดรอบเครื่องขึ้น สัมพันธ์กับความเร็วรอบที่เราได้เร่งรอเอาไว้แล้ว ทำให้ช่วยลดความต่างของรอบเครื่องและรอบล้อลงไปได้ ไม่ใช่เบิ้ลแล้วรอจนรอบตกลงมาเหลือ 1000 รอบเพราะเรากำคลัชท์เอาไว้รอบเลยลงมาต่ำเท่ารอบเดินเบาปกติ ทีนี้ล่ะจากที่เคยอยู่เฉยๆที่ 5000 ซึ่งก็มีปัญหาล้อล็อกอยู่แล้วมาเหลือ 1000 รอบ เลยกลายมาเป็นว่าต่ำกว่าเดิมตั้ง 4000 รอบ พอปล่อยคลัชท์ออกไปทีนี้ล้อหลังฉุดหนักกว่าเดิมอีกครับ ส่วนว่าใครจะเป็นฝ่ายฉุดใครอันนั้นผมก็ขึ้นอยู่กับจังหวะของแรงต้านในกระบอกสูบกับอัตราทดเกียร์ว่าใครจะมีมากกว่ากัน ถ้าล้อเอาชนะแรงต้านของกระบอกสูบได้ก็จะฉุดให้ข้อเหวี่ยงหมุนเร็วขึ้นกว่าเดิมและค่อยๆลดลง หรือถ้าเอนจิ้นเบรคมีมากกว่าแรงเฉื่อยของล้อก็จะถึงให้รอบตกลงกว่าที่วิ่งมาและทำให้ล้อช้าลง ซึ่งไม่ว่าใครจะฉุดได้มากกว่ากันผลสุดท้ายก็คือการลดความเร็วของทั้งสองแบบครับ แล้วทำไมการเบิ้ลเครื่องก่อนปล่อยคลัชท์ถึงช่วยลดอาการล้อล๊อกลงได้ เพราะว่าการเบิ้ลรอบเครื่องให้สูงรอไว้และพอเราปล่อยคลัชท์ล้อหลังจะถูกเครื่องยนต์ที่เร่งรอบสูงฉุดเอาไว้ไม่ให้ให้ทั้งรอบเครื่องและรอบล้อช้าลงได้แบบทันทีทันได แต่จะค่อยๆฉุดลงแบบสมูทเพราะว่ารอบเครื่องที่เราเร่งทิ้งเอาไว้เมื่อกี้มันยังมีแรงเฉื่อยของข้อเหวี่ยงช่วยเอาไว้ไม่ให้ล้อหลังฉุดขึ้นไปได้แบบเต็มที่ ทำให้เราสมารถลดความเร็วลงได้แบบสมูทขึ้น ส่วนจะต้องเบิ้ลเครื่องขึ้นไปกี่รอบนั้นก็ต้องใช้ประสบการณ์และความรู้สึกค่อยๆเรียนรู้ไปเองครับ และในจังหวะที่เราปล่อยคลัชท์จะต้องปล่อยในขณะที่รอบกำลังตกจากรอบสูงสุดที่เราเร่งทิ้งเอาไว้เมื่อกี้เท่านั้น ไม่ใช่เบิ้ลเครื่องจนรอบกลับมาอยู่ที่เดิมเบาต่ำๆเพราะกำคลัชท์เอาไว้ แล้วมาปล่อยตอนรอบตกลงเหลือเท่าตอนเดินเบาแบบนี้เป็นผลเสียหนักกว่าเดิมครับ สมมุติว่าขี่มาที่เกียร์ 4 ที่ 5000 รอบ----กำคลัชท์----ลดเกียร์ลง 1 เกียร์----เบิ้ลเครื่องขึ้นไปเป็น 7000 รอบ 1 ครั้งและรีบปิดคันเร่งและปล่อยคลัชท์ในขณะที่รอบเครื่องกำลังลดลงอยู่ในช่วง 7000 5500 แบบนี้ถึงจะถูกต้องครับเพราะว่ารอบสูงกว่าตอนที่เราขี่มาปกติตั้ง 1000-2000 รอบ ซึ่ง 1000-2000 รอบตรงนี้แหละที่จะช่วยทำให้ความเร็วของล้อที่จะฉุดรอบเครื่องขึ้น สัมพันธ์กับความเร็วรอบที่เราได้เร่งรอเอาไว้แล้ว ทำให้ช่วยลดความต่างของรอบเครื่องและรอบล้อลงไปได้ ไม่ใช่เบิ้ลแล้วรอจนรอบตกลงมาเหลือ 1000 รอบเพราะเรากำคลัชท์เอาไว้รอบเลยลงมาต่ำเท่ารอบเดินเบาปกติ ทีนี้ล่ะจากที่เคยอยู่เฉยๆที่ 5000 ซึ่งก็มีปัญหาล้อล็อกอยู่แล้วมาเหลือ 1000 รอบ เลยกลายมาเป็นว่าต่ำกว่าเดิมตั้ง 4000 รอบ พอปล่อยคลัชท์ออกไปทีนี้ล้อหลังฉุดหนักกว่าเดิมอีกครับ ส่วนว่าใครจะเป็นฝ่ายฉุดใครอันนั้นผมก็ขึ้นอยู่กับจังหวะของแรงต้านในกระบอกสูบกับอัตราทดเกียร์ว่าใครจะมีมากกว่ากัน ถ้าล้อเอาชนะแรงต้านของกระบอกสูบได้ก็จะฉุดให้ข้อเหวี่ยงหมุนเร็วขึ้นกว่าเดิมและค่อยๆลดลง หรือถ้าเอนจิ้นเบรคมีมากกว่าแรงเฉื่อยของล้อก็จะถึงให้รอบตกลงกว่าที่วิ่งมาและทำให้ล้อช้าลง ซึ่งไม่ว่าใครจะฉุดได้มากกว่ากันผลสุดท้ายก็คือการลดความเร็วของทั้งสองแบบครับ เพื่อความใกล้ชิดเพื่อนๆมากกว่าเดิม ผมได้เปิดเพจใหม่ในเฟสชื่อว่า www.facebook.com/ThaiSuperbike like กันเยอะๆนะครับ แล้วเจอกันในเพจใหม่คร๊าบ
Create Date : 30 มกราคม 2556 |
|
21 comments |
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2556 12:38:30 น. |
Counter : 46601 Pageviews. |
|
|
|