ให้รางวัลกับชีวิตบ้างครับ ชีวิตคือการเดินทาง เงินทองของนอกกายไม่ตายค่อย ๆ หากันไปครับ

ต้าลี่ ลี่เจียง เชียงกรีลา คุนหมิง เชียงรุ้ง (จอดรถหน้าด่านบ่เต็น)

เริ่มจากหาข้อมูล ก็รีวิวเก่าเพื่อน ๆ ใน BP TKT wutkate โดยเฉพาะทริปนี้ได้ความเอื้อเฟื้อจากเพื่อน TKT อย่างมากส่ง file มาให้แบบสำเร็จรูปเลยทีเดียว ขอแสดงความขอบคุณคุณ Trin อย่างยิ่ง

ของผมจะต่างจากเพื่อน ๆ หน่อยนึงในคราวนี้ที่ช่วงในลาวผมจะขับรถไปถึงด่านนะ แต่ว่าไปถ้าเจ้าหน้าที่ที่ด่าน Mohan เขาได้รับการยืนยัน GMS agreement ในส่วน CBTA ก็น่าจะให้ผมขับรถเข้าไปเที่ยวได้นะ

//www.adb.org/GMS/Cross-Border/default.asp

ในส่วนของเรื่องการเตรียมรถข้ามลาวมีรีวิวไว้แล้วนะครับจากของเดิม //www.unlimit-travel.com/board/viewtopic.php?t=95

ครอบครัวผมคราวนี้ไปกันผู้ใหญ่ 4 เด็ก 1 ครับ ออกตั้งแต่คืนวันพฤหัสบดี เพื่อไปถึงเชียงของเช้าครับ ต้องไปวันธรรมดานะเพราะการเอารถข้ามด่านวันหยุดอาจทำไม่ได้เพราะ ศุลกากรที่ด่านปิดครับ เอ่อ ถ้าให้ดีเพื่อน ๆ วันกลับก็ควรเป็นวันธรรมดาเพราะจะโดนเพิ่มค่าเรือแพขนานยนต์แบบผมได้ครับ ครั้งนี้การดำเนินการเอกสารเร็วกว่าปีที่ผ่านมาเพราะเคยข้ามที่นี่แล้วเมื่อปีที่แล้ว

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=ok3&date=31-12-2007&group=1&gblog=2

วันที่ไปโชคร้ายมีฝนตกทำให้เกิดรถติดหล่มเลยเสียเวลารอเรือข้ามฟากไปหลายชั่วโมงเลยไปถึงด่านบ่เต็นเย็นกว่า 16:30 เขาเลยไม่ให้เอารถผ่าน ก็เลยต้องนอนโรงแรมแถบที่ด่านต่อราคาได้สุด ๆ คืนละ 120 Y โรงแรมใหม่ดี แต่เสียที่น้ำไม่ร้อนเลย :-( แถบนี้มีโรงแรมอีกแห่งที่เห็นคือที่ casino เลยปีที่แล้วถามราคาแล้วประมาณ 200-400Y เลยไม่เอาเห็นพี่ที่เจอกันที่จงเตี้ยนว่ามีอีกที่แต่เข้าซอยแถบ ๆ นั้นคืนไม่เกิน 100 Y



อ้อด้านบนลืมเอ่ยชื่อผู้มากประสบการณ์ในการเที่ยวจีน คุณห้าสิบกะรัต //www.data4thai.com ซึ่งผมก็อาศัยรีวิวพี่เขาโชว์รูปที่เที่ยวให้รถตู้เล็กที่โน่นเหมาราคาพาเที่ยว มาเรื่องคชจ. ในการเอารถข้ามไปขับในลาวเทียบกับการนั่งรถทัวร์เลยจากกรุงเทพแล้วต่อรถที่ลาวไปด่าน Mohan นั้นถ้ามีสักสี่ห้าคนผมว่าคุ้มและถูกกว่านะ แล้วยังได้เรื่องของเวลาที่จะยืดหยุ่นกว่ามาก ๆ อีกทั้งสะดวกในการไปเที่ยวไหน ๆ ต่อก็ได้ ของผม คชจ. ช่วงนี้ก็มีดังนี้ น้ำมัน กทม.-mohan-กทม. ~ 2800, ค่าแพขนานยนต์ 3500 (ที่จริงต้อง 2000 ขาละพัน แต่โดนวันอาทิตย์วันหยุดขอค่า ot เราก็ต้องจำยอม) ค่าประกันรถยนต์ในลาว ค่าพาสีรถในลาว ฯ ~ 1000 อ้ออีกเรื่องที่ต้องเตือนคือเรื่องเอกสาร custom ในลาวของผมเกือบโดนกักรถเพราะในใบทางการว่าให้อยู่ได้ 7 วันแต่ผมไป 10 วัน ซึ่งตอนตรวจเอกสารก่อนออกผมก็ย้ำแล้วว่าให้แก้แต่เจ้าหน้าที่บอกไม่เป็นไรให้ไปเลย ยังไงเพื่อนที่คิดจะตามไปแบบนี้ก็ให้เขาแก้ดีกว่าสบายใจไม่งั้นต้องเสียวเหมือนผมนะ อิอิ

เอ่อดูเหมือนว่ายังไม่มีใครเคยอธิบายเรื่องการเอารถข้ามที่ด่านเชียงของก็ขออธิบายเพิ่มอีกนิดนะครับ

ขั้นตอนฝั่งไทย ให้ดีก็ไปถามเรื่องเรือข้ามก่อนว่ามีไหมราคาเท่าไร? ปกติมีคนข้ามประจำก็คันละ 1000 ถ้าไม่มีก็ต้องเหมา 2000 ไม่ปกติก็คงต้องแล้วแต่ตกลงครับ
1. ก็ต้องเอารถไปทำเรื่องรถออกชั่วคราวที่ ศุลกากรเชียงของ อันนี้ไม่ได้อยู่จุดเดียวกับ ตม. และที่เอารถลงเรือข้ามนะครับ ถ้าขับเข้าเชียงของในเมืองก็จะเห็นป้ายด้านขวามือ ถ้าไม่เจอถามเขาได้ไม่น่าหายาก เอกสารที่ได้ก็ตามด้านบนครับ
2. ไปแจ้งเรื่องที่ตม. ซึ่งไม่ใช่ที่ท่าเรืออีกเช่นกัน ก็ได้ฟอร์มมาอีกชุด
3. แจ้งเรื่อง passport stamp ออกที่ ตม ตรงท่าเรือ
4. แจ้งเรื่องรถออก ที่ ศุลการกร ที่ท่าเรือ เขาก็ stamp ลง passport รถ

ข้ามมาลาว
1. เสียค่าฉีดล้างล้อ 20 บาท
2. ไปแจ้งเรื่องรถเข้า ที่ตึกหลังคาแดง มีบันไดขึ้นไปบนเนินแรก ทำเรื่องศุลกากรลาว จ่ายพาสีรถในลาว ได้ใบ บ.53 (อย่าลืมดูระยะเวลา)
3. ไปซื้อประกันรถยนต์ในลาว แล้วก็ stamp passport รถเข้าลาว
4. ต้องขับรถไปด่านที่เรือข้ามขนคนข้ามฝาก (คนละที่กับรถยนต์ข้าม) คือขึ้นจากท่าเรือแพรถก็ขับไปเจอแยกเลี้ยวขวาครับ ขับไปเรื่อย สังเกตุ วัดทางซ้ายตามรูปด้านล่าง หรือถามคนแถวนั้นก็ได้ ไป stamp passport คนที่ตม. ลาว



ตามแผนและข้อมูลที่ผมได้มาก็น่าจะผ่านเอารถขับข้ามไปเที่ยวได้ แต่เช้าวันเสาร์ก็โชคร้ายครับผ่านไม่ได้ ก็ต้องตัดสินใจว่าจะจอดที่หน้าด่าน (ตม. ไทยเตือนไว้อย่างมากเรื่องรถหาย ล้อแม๊กถูกถอด) หรือวนรถกลับมาหาที่จอดฝากรถที่หลวงน้ำทา แต่ด้วยความที่ลุยและไม่ค่อยคิดมากเรื่องทรัพย์สิน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดก็เลยจอดไว้นั่นเลย ตอนแรก ตม.จีนก็บอกให้ไปจอดที่ลาวดีกว่า แต่พอเรายืนยันว่าจะจอดที่นั่นถามเรื่องที่ฝากเขาว่าไม่มี แล้วก็บอกเราว่าน่าจะสบายใจได้เพราะเขามีกล้องวงจรปิดที่หน้าด่านให้จอดใกล้ ๆ ด่านตรงมีกล้องไว้ ผมก็จ่อคันแรกเลย อิอิ เอ่อวันที่ไปเห็นรถกระบะเมืองไทยจอดออกไปด้านหลังอีกคันเหมือนกันครับ อีกเรืองที่ด่าน ตม. จีนมี จนท. พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก แถมหน้าตาหล่อด้วยนะครับ

แล้วคราวนี้ก็ต้องจัดแจงขนของลงจากรถแล้วข้ามด่านมาก็เจอ รถตู้เรียกไป mengla เพียบบอกราคามา 30 Y ก่อน เราก็รี ๆ รอ ๆ เพราะต้องเอาโพยมาดูตอนนั้นมึนครับหาไม่เจอก็พยายามตั้งหลัก แล้วก็ตกลงเหมาไป 100 Y แล้ว jackpot เจอคนเขี้ยวลากดินอีก อุตส่าห์จะให้เหมาไป jinghong เลย 550 (บอกราคาแรกมาก็ 800 Y) ดันมารับคนหาคนตลอดเลยทำให้เซ็งเสียอารมณ์มาก ๆ แล้วยังไม่ไปทางด่วน (มารู้ทีหลัวว่าตั้ง 17Y mohan-mengla) ก็เลยกะว่าจะลงที่ mengla ไม่ไปกับเขาละที่ jinghong (เชียงรุ้ง-สิบสองปันนา) ก็มาเจออีก shot ถ่ายกลุ่มผมไปรถตู้อีกคันไป jinghong ก็เลยโวยแล้วจ่ายไป 100 แล้วบอกจะไปหารถเอง สุดท้ายก็ตกลงกับรถตู้ที่จะไป jinghong ว่าจะจ่ายแค่ 200 Y นะ (มารู้ขากลับค่ารถคนละ 38 Y) ไปก็เจอต่ออีกทีเขาไม่ยอมไปส่งท่ารถจอดที่ปั๊มป์ก่อนถึงท่า แล้วเรียกอีกคนละ 5 Y สรุปก็ยอมจ่ายไป 225Y เจอเท่านี้ก็ซึ้งเลยกับการเดินทางในจีนวันแรกคุยก็ไม่รู้เรื่องเจอแบบนี้เข้าอยากกลับบ้านเลยครับ แล้วก็หาข้าวเที่ยงทานกันตอนบ่ายสาม เดินหารถจะไปต้าลี่ Dali ก็เต็ม มีแต่ของ คุนหมิง Kunming ตอนแรกบอกราคามา 170 พอมาซื้ออีกทีขึ้นเป็น 198Y ก็ยอมจ่ายไปแบบมึน ๆ เป็นการนอนรถนอนครั้งแรกในจีน เนื่องจากได้ยินกิติศัพท์มาก็หวั่นว่าจะรับกันได้ไหมแต่ใจผมอยากเที่ยวก็เลยบอกให้ลอง แล้วก็ไม่เท่าไหร่ครับ อิอิ อาจจะเคยลำบากมาก่อนแค่นี้เลยชิว ๆ ครับ เอ่อเรื่องราคารถ 198Y มาคิดอีกทีมองโลกแง่ดีก็อาจจะเขาคิดเอาราคา 5 ที่นั่งด้านหลังนั้นมาบอกเราเป็นราคา 4 ที่ก็ได้เพราะมีแต่เราอยู่ 5 คนรวมเด็ก แต่ที่จริง ๆ รับผู้ใหญ่ได้ 5 ที่



ตอนนี้ทางด่วนที่นั่นทำค่อนข้างดีเมื่อดูเทียบเวลาเดินทางกับข้อมูลที่ได้มาก็พอรู้ว่าเราเดินทางระหว่างเมืองด้วยเวลาน้อยกว่ามากเพราะทางด่วนพี่จีนทำอย่างดี เจาะอุโมงเมื่อเจอเขา ทำสะพานเมื่อผ่านเหว mohan-mengla 1 hr+ mengla-jinghong 2 hrs+ jinghong-kunming 8 hrs+ อ้อตอนนี้ที่คุนหมิงกำลังเร่งทำถนนทางด่วนก็เลยรถติดมาก ๆ ยังไงที่นี่เมืองใหญ่นะถ้าเลือกได้ผมว่าเที่ยวที่เมืองอื่น ๆ ดีกว่าเที่ยที่นี่สักวันถ้าไปนอกเมือง หรือครึ่งวันถ้าเที่ยวในเมืองก็พอ

พอได้ตั๋วรถนอนไปคุนหมิงก็เดินเล่นแถบ ๆ สถานี รวมถึงหาของกินบนรถด้วย นี่ถนนที่เน้นขายเครื่องประดับ



ฝั่งตรงข้ามนี้มีร้านอาหารเพียบ เราไปทานไอ้ติม ปลาหมึกย่าง แล้วที่ชอบรสชาติพอได้ก็คือร้านเกี้ยว (หุ่นตุ้น) บะหมี่น้ำร้านนี้



พวกผมรู้ศัพท์น้อยมากก็ใช้ภาษากาย ชี้นิ้วเป็นส่วนใหญ่ในการซื้อขาย ถามทางครับ สำหรับคนที่ไม่เคยลองดูครับ ผมว่าไม่รู้ภาษาก็ไม่ยากเย็นหรอกครับ คนที่ยูนนานใจดีใช้ได้เลย ยกเว้นพวกรถรับจ้างที่อาจเขี้ยวกับเราหน่อย รถออกสองทุ่ม ถึงคุนหมิงหกโมงเช้า พอลงรถก็มีนายหน้าเดินตามเลย ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปต้าลี่ ลี่เจียง หรือจงเตี้ยนเลย แต่ไม่ได้อาบน้ำเลยก็เปลี่ยนแผนนอนคุนหมิงก่อนคืนนึงปรับสภาพละกัน ก็เดินเที่ยวหารถ หาราคา ก็ต้องยึกยักดูแผนที่ แกล้งถามพวกนายหน้า ถ้าไม่รู้เรื่องก็โดนบวกราคาซะ 1-3 Y ต่อใบ หรืออาจมากกว่านั้น อิอิ แต่มีเวลาก็เลยหาโรงแรมก็ข้าง ๆ สถานีนี้แหละ 80 Y



พอได้ห้องพักก็ต่อรองเรื่องการเหมาเที่ยวในคุนหมิง ก็ไปสองที่วันนี้ ป่าหิน stone forest กับ จิ่วเซียง jiuxiang ก็ใช้ราคาคุณ50กะรัตเป็นแนวทางแต่เนื่องจากไม่ต้องการเสียเวลาก็เลยยอมเหมา 1500 Y สองที่ กว่าจะอาบน้ำพักได้ออกกันก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงแล้ว และดันเจอปัญหาเรื่องการสื่อสารที่เขาจะไม่รวมค่าข้าวเที่ยงอีก เฮ้อ ๆๆๆๆ

ภาพรถคันที่พาเราไป ซึ่งมาก ๆ ดีครับทำเวลาได้ดีแต่เสียวมาก ๆ ไม่เอาอีกแล้ว



แล้วเราก็เจอเรื่องตุกติกอีกจนได้พี่ท่านนี้ได้นัดเพื่อนเขาจะพาเราเข้าทางลัดที่ไม่ต้องจ่ายค่าเข้าป่าหินครับ เป็นทางเปลี่ยวมาก ๆ ถึงปั๊ปก็ไล่ลงให้หมด คราวนี้ผมก็ลงตามไปดูคนเดียว ส่วนคนอื่น ๆ ให้อยู่ในรถก่อน เดินไปนิดเดียวก็บอกไม่ไปทางนี้เด็ดขาดจะเข้าทางหลัก เขาก็ต้องจำใจไม่งั้นพวกเราไม่ลงรถ เอ้อเจออีกอย่างเรื่องการจ่ายตังค์ เขาจะเก็บทีเดียวเลย ก็ต่อรองกันเรื่อย จนในที่สุดก็มาสรุป จ่ายสี่งวด 500 ก่อน กินข้าว 300 จบป่าหิน 300 ถึงโรงแรมอีก 400 นี่มากันเยอะเลยต้องแข็ง ๆ นี่ในมือผมก็ถือโทรศัพท์เตรียมกดเบอร์ฉุกเฉินแล้ว เบอร์กงสุลไทยในยูนานก็มีนะ พร้อมครับ ไม่ไหวมาสองวันแรกเจอหนัก ๆ เลยเรา

ภาพนี้คือเขาต้องยอมไปซื้อตั๋วที่หน้าประตูหลักคนละ 140 Y ที่นี่เขาว่ากันว่าไม่คุ้มแต่มันก็นะขึ้นชื่อในโปรแกรมทัวร์ก็ไปซะหน่อย แล้วก็จริงดังว่าไม่คุ้มเลยกับ 140 Y แถมเรายังจ้างไกด์อีก 100 Y รถอีก 200 Y ก็เลยไม่แนะนำที่นี่อย่าแรงครับ



รถขับนำเที่ยวรอบนอก ถ้าเดินเองเหนื่อยครับ แต่ผมว่าก็งั้น ๆ พาเที่ยวได้ก็แค่นิดเดียวเสียดายตังค์อย่างแรง วิวก็เฉย ๆ ครับ มีเวลาที่นี่แค่ ชม.ครี่งเองครับ เลยเดินไม่ทั่วเท่าไหร่



รถวนไปได้ดูวิวอย่างนี้เป็นต้น



จุดขึ้นรถด้านหน้าที่เป็น landmark



หินอีกอันที่เขาจินตนาการไปว่าคบเพลิง olympic ในนั้นมีเยอะครับให้จินตนาการกันไป ดู ๆ ไปรู้สึกว่าหลาย ๆ เหมือนจงใจทำมากกว่าเป็นธรรมชาติแล้วนะ



อีกวิว ซึ่งตรงข้ามมีทัวร์พาไปเดินดูแต่เวลาน้อยเลยไม่ได้ไปดูครับ



แล้วแป๊ปเดียวประมาณครึ่งชั่วโมงก็วนมาจุดเดิมด้านหน้าที่มีสัญลักษณ์ unesco อ่ะ แล้วก็ต้องเดินไปส่วนที่คนต้องไปดูกันในส่วนป่าหินนี้ครับ



อันนี้เขาว่าห้องน้ำห้าดาวเลย เราเข้าไปก็สะอาดดี ที่ว่าห้าดาวผมว่าคงเนื่องมาจากมีทีวีเล็กส่วนตัวที่ห้องสุขามังครับ สถานที่เที่ยวที่เก็บตังค์นี่ห้องน้ำจะดูดีครับเข้าได้สบาย ๆ แต่ถ้าตามข้างทาง ปั๊มป์ สถานีรถ หละก็ทำใจอย่างเดียวครับ ท่านที่อยากลดน้ำหนักไปเที่ยวจีนแบบนี้แล้วลดได้แน่ ๆ ครับ พวกเรากลับมาผอมลงเยอะ ผมเอวหายไปสองสามนิ้วเลย 555 เพราะไม่กล้าทานมากรับห้องน้ำไม่ค่อยได้ นั่งถ่ายผ่านร่อง แถมไม่มีประตูปิดอีก กลิ่นก็สุดยอด



ถ่ายรูปได้ไม่มากเพราะกล้องโดนความเย็นทำให้แบตหมดเร็วมาก ๆ ต้องคอยซุกในตัวให้อุ่นแล้วนำออกมาถ่ายอีกที เสร็จแล้วก็ไปต่อที่จิ่วเซี่ยง ที่นี่แนะนำเลยครับสวยใช้ได้ แต่เดินตามถ้ำขั้นบันไดเยอะมาก ๆ เล่นเอาหอบ ลำพังตัวเราไม่เท่าไหร่แต่ต้องแบกเจ้าตัวเล็กด้วยนี่ซิ :-( ไม่มีรูปเพราะแบตหมดครับอยู่ที่กล้องในมือถือพี่สาว ค่าเข้ารวมกระเช้า 90+15 Y โดนอีกตอนแรกเจ้าคนขับบอกไม่รวมต้องจ่ายให้เขาเพิ่มเราก็ไม่ยอมในที่สุดก็ได้ เราก็ลงบันลิฟท์ไปนั่งเรือล่องแม่น้ำเล็ก ๆ ก่อน แล้วขึ้นมาเดินเลาะไปตามทางเขาดูหินงอก หินย้อย แสงสีหลากหลายตระการตาทีเดียว ผมว่าเหมารถมาที่นี่ที่เดียวก็พอครับ

กว่าถึงที่พักก็สามทุ่มเหนื่อยจากการลุ้นนั่งรถกลับ เลยไม่ได้ไปเดินตอนกลางคืนที่คุนหมิงเลย แล้ววันรุ่งขึ้นกะจะแวะไปหาซื้อตั๋วรถนอนไปจงเตี๋ยน หรือ ลี่เจียง ครับ แล้วก็เจอพวกนายหน้าอีก รถจงเตี๋ยนที่เจอเป็นรถเล็กเก่ามาก ๆ กลิ่นรับไม่ได้เลยไม่เอา (จริง ๆ มารู้อีกทีที่จองเตี่ยนว่ามีรถดี ๆ มาจากคุนหมิงเพียบ) ก็ไปหารถนอนไปลี่เจียงเจอแต่รอบเช้าก่อน 10 โมงซึ่งเราไม่เอา ต้องการรอบเย็นราคา 152 Y แล้วเราไม่แน่ใจเพราะไม่เห็นรถรอบนั้นตอนนั้นเลยกะว่ากลับมาจากเที่ยวแล้วมาจองอีกที แหะ ๆ คราวนี้พวกนายหน้าไม่ได้กินเงินเราเลยเพราะเรารู้ราคาจากบอร์ด ในรูปไม่ใช่บอร์ดสถานีรถที่เราไปนะครับ แค่ให้ดูเป็นตัวอย่างให้พอเดาได้ สำคัญเราต้องรู้ตัวอักษรของเมืองต้นทาง ปลายทางที่จะไปครับ แถวอื่นน่าจะพอเดาได้ราคาก็ดูไอ้ที่มีสัญลักษณ์เงินหยวน แล้วแถวหลังสุดก็เวลาเดินทาง



อ้อลืมเราฝากกระเป๋าที่โรงแรมเลย แหมดันมาคิดตังค์เราอีกตั้ง 7x3 Y น่าจะฟรีนะเนี่ยแต่ไม่เป็นไรครับ ไปเดินเที่ยวดีกว่าตามข้อมูลให้นั่งรถสาย 51 ไปก็วนหาหน้าสถานีรถไฟตั้งนาน ถามก็ไม่ค่อยรู้เรื่องจนในที่สุดก็เจอจนได้ ต้องเดินไปไกลจากสถานีพอสมควรทีเดียว ง่าย ๆ นะครับ ที่ถนนหลักหน้าสถานีรถไฟ Kunming zhan ฝั่งตรงข้ามนั้นเองที่เราหันหน้าเข้าให้เดินไปทางซ้ายจนสุดเลยจะเจอถนนใหญ่ครับ เลี้ยวซ้ายไปจะเห็นร้าน Mcdonald แล้วป้ายรถก็อยู่เลยเจ้าร้าน Mcdonald นี่ไม่ไกลครับ เอ่ออีกเรื่องอย่าไปนั่งรถที่คล้ายรถมินิบัสบ้านเราเชียวนะ เพราะผมขากลับโดนปล่อยเกาะให้ลงหลังสถานีรถไปเกือบแย่แหนะ ต้องนั่งรถสีเขียวที่ใหญ่หน่อยนะครับ อ้อลืมไปทางผ่านจะเห็นสถานีรถเมล์ทางซ้าย เดินไปอีกนิดมีร้านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ รสชาติพอได้ราคาไม่แพงด้วยแค่ 0.7 Y ต่อถ้วย/ตัวเอง



แล้วเราก็ได้นั่งรถเมล์สาย 51 คนละ 1 Y เกือบถอดใจจ้าง taxi แล้ว อิอิ ไปถึงทางตีนเขาก็ต้องนั่งรถตู้ไปคนละ 4 Y



ต่อด้วย cable car คนละ 25 Y ดีนะนั่งถ้าเดินขึ้นเหนื่อยแน่ เมื่อวานถ้ำจิ่วเซียงก็เล่นเอาล้าไปละ นี่ขนาดแค่เดินลงยังทำให้ขาอ่อนลื่นล้มไปหนี่งทีเลยครับ



เป้าหมายของเขาซีซันนี้คือประตูมังกรครับ



ได้ดูเมืองคุนหมิงบนมุมสูงครับ อ้อลืมต้องเสียค่าเข้าอีกคนละ 30 Y ครับ



ดูกันต่อ ๆ มีหลายอย่างน่าสนใจ แหะ ๆ ป้ายยังมีภาษาไทยเลย แสดงว่าคนไทยมาเที่ยวเยอะนะเนี่ย



จริง ๆ ยังมีอีกเยอะแต่ดูแค่ dragon trail ก็เล่นเอาเหนื่อยแล้วส่วนอื่น ๆ ด้วยคงแย่ :-)



ออกมาด้านล่างมีรถไฟฟ้ามาส่งด้านหน้าเพื่อนั่งรถตู้คนละ 5 Y ครับแต่เราไม่นั่งเดินดูของไปเรื่อย ๆ หลายกิโลอยู่นะ เฮ้อ ๆๆ แล้วก็เจอเสียงคนไทยกลุ่มนึง แต่ไม่ได้ทักครับ มีพี่สาวมาบอกว่าเขามาถามภาษาในการซื้อของ ส่วนผมก็พาลูกเดิน ๆ วิ่ง ๆ ไปตามทาง วิวก็สวยดี อากาศก็เย็น ๆ ครับ

ในรูปด้านล่างอ่างน้ำมีถ้วยให้หย่อนเหรียญลงปากมังกร แนว ๆ นี้พี่ไทยชอบนักแล อิอิ



ขากลับนั่งรถตู้ต่อราคาได้คนละ 3 Y ได้ราคาลดอีกหน่อย อิอิ แต่ดันไปเจอมินิบัสนรก ทั้งซิ่งทั้งทิ้งเรากลางทางเกือบแย่ ดีพอ ๆ จำ kunming zhan ได้ไม่งั้นแย่แน่ ตอนนี้เราก็เดินไปหารถนอนไปลี่เจียงครับดูรถแล้วพอใจ ก็ลังเลเรื่องที่นอนคุยไม่รู้เรื่องคนที่ห้อยป้ายแดงที่ประจำรถก็ช่วยพาไปดูที่นั่งสุดท้ายก็ได้ที่นอนแยกกันด้านล่างครับ นอนสบายกว่าจากคุนหมิงหน่อย แต่แฟนผมลำบากสุดเพราะมีเจ้าตัวเล็กนอนด้วย ส่วนผมที่นอนก็ยังไม่ดีเพราะต้องสอดเท้าเข้าช่อง พลิกตัวนอนเท้าก็ติดไม่สบายเท่าไหร่แต่ก็พอถูไถนอนไปได้ประหยัดเวลา และค่าโรงแรมครับ ถ้าเพื่อนที่ตัวยาว ๆ สูง ๆ แบบผมแนะนำให้ไปเลือกที่นอนด้วยตัวเองก่อนก็ดีนะ เพราะขากลับสุดท้ายจาก ต้าลีมาจิ่งหงนี่ผมได้ที่ที่หลังเอียงสูงทำให้หัวไม่ติดนอนหลับสบายไปเลย



แล้วก็ไปเดินหาของทานกันที่สถานีรถไฟ ไปทานร้านบะหมี่ที่หน้าร้านทำโปรฯ เหลือ 5Y แต่พอเข้าไปสั่งบอกว่าหมด ก็เลยต้องสั่งอย่างอื่น ๆ เป็น set ครับมื้อนี้เลยต้องจ่ายแพงเลยเกือบ 100Y บะหมี่ชามโตมาก ๆ ชามนึงทานได้สองคนสบาย ๆ แต่ผมหิวก็เลยซัดซะคนเดียวชามกว่า ๆ เลย



นี่ครับรถแบบนี้อย่าไปนั่งเด็ดขาดนะ



คือทานร้านข้างทางแล้วท้องไม่ดีมาหลายวันละทาน carabon ทุกวันเลย พอมาเจอร้านแบบนี้ก็ต้องซัดกันหน่อย วันหลัง ๆ ปรับตัวได้ก็ทานได้เกือบทุกอย่างครับ ทานเสร็จก็บ่ายสี่กว่าแล้วก็ไปที่ไกล ๆ ไม่ได้ก็เลยไปวัดหยวนทง นั่งรถสาย 59 มั๊ง (แหะ ๆ จำไม่ได้ละถามเขาเอาอีกทีละกัน) จากสถานีรถไฟ จะไปลงที่ yuantong lu ซึ่งจะเห็นสวนสัตว์ทางซ้ายครับ ลงแล้วถามเขาเอาเดินไปจากสี่แยกประมาณ 5 นาที ค่าเข้า 4 Y ครับ ไปขอพรพระซะหน่อย สงสัยได้ผลแหะหลังจากนั้นก็เจอบ้างแต่ไม่หนัก (หรือว่าเราเริ่มทำใจยอม ๆ จ่ายแล้วก็ไม่รู้)



นั่งรถเมล์มาสังเกตกำแพงนี้ทางด้านซ้ายไว้ครับ เป็นของสวนสัตว์ ว่าไปถามคนที่นั่นรู้จักดีครับวัดดัง หรือไม่ก็คอยฟังเสียงว่าถึง yuantong lu หรือยัง



กำลังขึ้นรถตอนสองทุ่มเพื่อออกไปลี่เจียงครับ ตัวหนังสือ ด้านซ้าย คุนหมิง ขวาลี่เจียง ครับ



ภาพท่ารถที่ลี่เจียงครับ



upload แผนที่บริเวณที่ต้องเดินหาจุดขึ้นรถเมสาย 51 ที่จะไปเขาซีซาน เพื่อนที่จะไปทีหลังจะได้ง่ายในการเดินหาครับ



วันพุธถึงลี่เจียงแต่เช้ามืด ลงจากรถก็มีนายหน้ามาเสนอที่พักครับ โชคดีได้เจอคนจีนที่พอพูดภาษาอังกฤษได้เลยไปกับเขา แต่ก็ปนมากับความโชคร้ายหน่อย ๆ เพราะเขาเที่ยวสไตล์ประหยัดเกินไปทำให้ไม่สนุก แล้วเสียเวลามาก ๆ ครับ



ถึงที่พัก 7:00 ได้นอนอาบน้ำมานัดเจอกัน 9 โมงเขาคุยกับเจ้าของโรงแรมชาวนาซีเหมารถเที่ยวทั้งวันได้คันละ 100 Y เป็นรถเก๋ง จริง ๆ น่าจะได้รถตู้เล็กจะได้ไปกันคันเดียวนะ แต่ก็ดีนั่งสบายหน่อย อิอิ แต่พอไป La shi lake ก็เริ่มออกลายครับเพราะราคาทัวร์ขี่ม้าแพงมาก เลยได้แต่ถ่ายรูปรอบ ๆ พวกคนจีนพาไปลองหาคนท้องถิ่นพาเที่ยวทะเลสาบ แค่เขาพาเดินเรียกคนละ 50 Y ก็เลยกลับดีกว่า



รถก็เลยพาไปส่งที่ Shuhe เป็นหมู่บ้านเก่าอีกที่เหมือนลี่เจียงครับ ถ้าใครเบื่อนอนในลี่เจียงก็มาพักที่นี่ก็ได้ มีที่เดินเที่ยว shopping เพลิน ๆ เขาคุยกันว่าให้เดินสักชั่วโมงสองชั่วโมงจะมารับ แล้วรถทั้งสองคันนี้นก็หายจ้อยปล่อยเกาะพวกเราไว้เลย



จริง ๆ ตามแผนเลยต้องไปเขาหิมะมังกร yunlong mountain ก่อน แต่ไปกับกลุ่มคนจีนนี้เลยต้องเปลี่ยนแผนครับ ที่ Shuhe นี่ก็มีอะไรน่าสนใจเยอะนะ นมจามรีอยากลองมาก แต่กลัวท้องเสียเลยต้องบายครับ ในภาพแช่เย็นแบบธรรมชาติครับ



อีกวิวนึงที่ไม่ควรพลาดในการถ่ายครับ



มีคนแต่งชุดพื้นเมืองทาหน้าดำร้องเสียงดังมาก ๆ ลูกสาวกลัวมุดหน้าหนีซุกอกเลย



มีเด็กมาขอแบ่งขนมดาวของลูกสาว เด็กที่นั่นเขาปล่อยเดินเล่นกันตามถนนเลยไม่ค่อยมีผู้ใหญ่ดูแฮะ



เดินกันจนบ่ายหิวข้าวมากแล้วแต่กลุ่มคนจีนไม่ทานครับ ก็เกรงใจกันทางกลุ่มผมก็อาศัยขนมทานรองท้องกันไป ร้านนี้มีนักดนตรีเล่นสดน่านั่งมาก ๆ



แล้วเราก็ต้องหารถเหมาไปต่อที่ Baisha ครับ ต่อรองหาได้ราคา 15 Y ครับ ก็หมู่บ้านเก่าได้เห็นลักษณะบ้านดินผสมกับบ้านสมัยใหม่ แม้จะไม่ใช่ คอมมูนเก่าขนาดที่ผมเคยไปไหว้บรรพบุรุษที่ซัวเถา แต่ก็ได้เห็นลักษณะบ้านอีกแบบครับ



เสร็จที่นี่ก็แก่วกันหล่ะครับรถรับจ้างก็หาไม่ได้เลย เดินหากันเกือบชั่วโมงเลยครับ ต้องเดินมาที่ถนนใหญ่ด้านหน้าเกือบครึ่งกิโล ทั้งหนาวทั้งเมื่อยแล้วที่สุดก็ได้รถรับจ้างกลับเมืองเก่าลี่เจียงในราคา 25 Y ถึงแม้ประหยัดแต่ไม่ได้เที่ยวอีกหลาย ๆ ที่คิดดูแล้วไม่คุ้มเราที่มีเวลาไม่มาก แต่ถ้ามองแง่ดีก็มีคนจีนกลุ่มนี้คอยช่วยเหลือครับ ขอบใจหลายเด้อ แล้วก็แยกกันเพราะเราหิวข้าวแล้วก็เลยทานร้านบะหมีข้ามสะพานอันลือชื่อร้านนี้ตามรีวิวพี่ 50กะรัต ร้านอยู่ทางเข้าเลยครับ



พอทานเสร็จก็กลับที่พักเอาแรงครับ อ้อที่พักคืนนี้เราไม่ต้องนอนแยกห้องครับเพราะได้ห้องสี่เตียงในราคาพิเศษแค่ 70 Y เองครับ แล้วเย็น ๆ ค่ำ ๆ ก็ออกมาเดินดูเมืองลี่เจียงซะหน่อยครับ เดินไปดูตรงจัตุรัสมีการเต้นรำกับนักท่องเที่ยวในแบบพื้นเมืองคนเยอะแยะ แล้วก็ไปหาอาหารท้องถิ่นพวก BBQ แถบด้านหน้าครับ เสร็จก็ไปหาซื้อเสื้อหนาว ลองจอน เพราะซื้อที่จีนถูกกว่าบ้านเราเยอะแล้วก็จริงดังว่าได้มาหลายตัวเลย อิอิ



กว่าจะเข้าที่พักได้ก็เกือบเที่ยงคืน วันรุ่งขึ้นเรากะว่าจะไปกันเอง แต่เพื่อนจีนผู้น่ารัก็มาเรียกตอนเก้าโมงเช้าก็ไปกับเขาครับ แล้วก็เช่นเดิมโดนเรื่องราคารถอีก เฮ้อ ๆๆๆๆ ของกลุ่มจีนเขาต้องการขี่ม้าขึ้นเขาหิมะ แต่พวกเราต้องการขึ้น cable car สรุปกลุ่มจีนก็ไปหารถเหมาเป็นทอด ๆ เหมือนเมื่อวานแบบเดิม ส่วนกลุ่มเรายอมจ่ายค่ารถเหมาแพงหน่อย 150 Y เพื่อไปเขาเลย กว่าจะได้ขึ้นเขาก็เกือบเที่ยงครับ ดีไปมาช่วงนี้คนน้อยไม่ต้องเข้าคิวเหมือนที่เคยได้อ่านรีวิวคนอื่น ๆ ครับ หิมะตกตั้งแต่ด้านล่างเลย ได้สัมผัสหิมะตกครั้ง แต่หิมะแรกผมนั้นจับแล้วที่เกาหลีใต้ครับ
ในภาพจุดที่กล่มเพื่อนชาวจีนจะขี่ม้าขึ้นเขาครับ



ที่เราไปค่าเข้า 190 Y ก็ใช้วิชามารตามที่ได้เรียนรู้ต่อ ๆ กันมาพวกใบขับขี่บัตรนักศึกษาเก่าครับ ได้ลดเหลือ 160 Y แต่ได้ทราบว่าน้องอีกกลุ่มได้แค่ 120 Y ก็ดีกว่าไม่ได้ลดเลย อิอิ (ผมว่าที่นี่คงรู้จักกลุ่มคนไทยเยอะในแบบนี้นะ เห็นเขาคุยแต่ meiyo อย่างเดียวแต่ก็ให้เรานะ :-) ) แล้วก็ไปจ่ายค่า cable car อีก 172 Y ตามรูปที่ซื้อตั๋ว cable car



เขามีขาย oxygen กระป๋องสองราคา 40 กับ 60 Y ครับ เราเลือกตัว 40 Y ไว้กันไว้ก่อนซึ่งจริง ๆ เคยไปมาหลายที่ไม่มีปัญหากันเลย พวกเสื้อผ้าก็มีให้เช่าแต่พวกเราเตรียมกันพร้อมแล้ว อิอิ พอเข้าแถวก็ต้องออกมานั่งรถบัสที่จะพาไปขึ้นที่สถานี cable car ด้านล่าง มาแล้วก็ต้องถ่ายระดับ 3356 ก่อนครับ



แล้วก็ขึ้น cable car ผ่านความหนาว ดีนะวันที่ไปคนน้อยไม่ต้องเข้าคิวเหมือนที่เห็นหลาย ๆ คนรีวิว อากาศหนาวมาก ๆ แล้วก็ห่วงเจ้าตัวเล็กเพราะซึมไปเลยก็เลยถ่ายกันแค่จุด 4506 เมตรครับ สักพักก็ต้องให้ oxygen กระป๋องตัวเล็กทำให้น้องดีขึ้นเยอะ ผมก็เลยลองบ้างไม่เห็นแตกต่างเลยแหะ





เรามีแผนไปจงเตี้ยนหรือเชียงการีล่าต่อเลยครับเลยไม่ได้เที่ยวในอีกหลายจุดเสียดายเหมือนกัน รถที่เหมาก็วิ่งช้าเหลือเกิน กว่าจะกลับโรงแรมลากกระเป๋า เหมารถมาที่ท่ารถเพื่อไปจงเตี้ยนก็เกือบสี่โมง โดยโก่งราคาจาก 15 Y เป็น 20 Y เขาอ้างว่ามีหลายท่ารถ ซึ่งก็ทำวน ๆ รถแล้วก็มาที่ท่าใหญ่สรุปได้ตั๋วรถตอนห้าโมงเย็นไปถึงโน่นก็ค่ำสามทุ่มครับ ท่ารถปิดเราก็กำลังหลับก็เป็นเหตุให้ลืมกระเป๋าบนรถเลยครับ อ้อระหว่างทางลี่เจียง จงเตี้ยนวิวสวยมาก ๆ ครับเสียดายมาเย็นไปหน่อยครับ



ตัวอย่างวิวระหว่างทางครับ



พอถึงในข้อมูลว่าเดินแถว ๆ ท่ารถนั้นมีโรงแรมถูก ๆ เพียบแต่เราไม่เห็นถาม taxi ก็ไม่รู้เรื่องก็เลยให้เขาพาไปสักที่ใน list ที่มี แล้วก็เจอดีครับพาไปโรงแรมที่แพงที่เดียว ราคา 260 Y ต่อเต็มที่ได้แค่ 200 Y แล้วเราก็ไม่เอาละเอาของลงเลยจ่ายเขาไป 10 Y ตามที่ตกลง แล้วก็ออกไปหาโรงแรมเองเพราะที่ผ่านมาเห็นเยอะทีเดียว แล้วก็ได้ที่นี่ครับกลับกลายเป็นดีเพราะเป็นจุดเมือง แล้วรถเมสาย 3 ผ่านพอดีไป โรงแรมนี้ครับ YAGE hotel ต่อได้คืนละ 60 Y



เราลืมกระเป๋าบนรถทั้ง ๆ ที่คุยไม่รู้เรื่อง Ting bu tong เขาก็พยายามช่วยเต็มที่ผมไปกับ จนท. เขาคนนี้ถึงสามรอบ ดีก ๆ หนาว ๆ เกือบเที่ยงคืนรอบ แล้วเช้ามืดเจ็ดโมงรอบ สิมโมงอีกรอบก็ไม่ได้กระเป๋าคืนครับเพราะพลาดคันนี้ดันลืมถ่ายรูปไว้ ปกติรถทุกคันผมถ่ายไว้หมดนะ เฮ้อ ๆๆ

ขอแสดงความนับถือน้ำใจคงที่นี่จริง ๆ ครับ



ที่พักนี้สังเกตง่ายครับมีวัดที่เด่น ๆ กลางเมืองเป็นจุดสังเกตเลย



ที่นี่เราเจอร้านอาหารอร่อยมาก ๆ ฝั่งตรงข้ามซอยโรงแรมที่แพง ๆ business hotel ซอยนี้ครับ



อร่อยจนเราต้องมาฝากท้องถึงสองมื้อทั้งเช้า และกลางวันครับ



ตามข้อมูลก็นั่งรถเมสาย 3 ไปสุดสายครับจะไปสุดที่วัด songzanlinsi พอดีเลย แต่เขามีระบบอะไรไม่ทราบก็ต้องลงก่อนเพื่อซื้อตั๋ว 30 Y เป็นค่าเข้าแล้วนั่งรถบัสเข้าไปอีกนิด แต่ขากลับนั้นรถเมสาย 3 ก็มารอเลยที่หน้าวัด งง ผมว่าค่าเข้า 30 Y กับวัดนี้ไม่ค่อยคุ้มเลยครับ





แล้วก็นั่งรถสาย 3 ย้อนกลับไปเมืองเก่าจงเตี้ยนครับ จะไปสุดท้ายพอดี ต้องเดินไปอีกหน่อยเพื่อไปวัดระฆังใหญ่ ๆ วัดนี้ไม่เสียตังครับ ไปเพื่อแสวงบุญหมุนระฆังนี้แหละครับ ดีครับไม่เสียตัง





ตอนที่ไปหากระเป๋าก็เลยซื้อตั๋วไปต้าลี่รถนอนรอบดึกไว้เลยครับ อ้อที่ท่ารถเขาไม่มีป้ายบอกไปต้าลี่นะ ต้องดูตัวอักษรที่เขียนว่าไปเซี๊ยนก๊วนครับ แล้วตอนบ่ายแก่ระหว่างรอขึ้นรถรอบดึกก็เดิน shopping ในเมืองแถบหน้าโรงแรมที่เราฝากกระเป๋า (ฟรี) นั่นเอง ได้เจอร้านขายไส้กรอกอร่อยมากครับ แล้วก็ซื้อพวกขนมปังรองท้องรอบดึกครับ แล้วที่สถานีนี้ก็ได้เจอพี่คนไทยอีกคนมาร่วมก๊วนกลับไทยครับ



พอเช้าก็มาถึงต้าลี่ หารถจะไปจิ่งหงหรือสิบสองปันนาหรือเชียงรุ่งเลย เขาบอกต้องไปอีกที่ก็เลยต้องออกแรงไปหารถตู้เล็กเหมาด้านนอก 10Y ครับ เห็นเขาดีก็เลยเหมาเที่ยวต่อเลยบอกราคาทีแรกมาแค่ 25Y เองแต่พอจบตันกลายเป็น 150Y ไม่รู้เราฟังผิดหรือเขามี trick นะ แต่ด้วยบริการที่เขาช่วยพาไปเที่ยวหลาย ๆ ที่สวย ๆ แล้วก็คิดว่ากระจายรายได้ก็เลยยอมจ่ายเขาไปครับ



เขาพาไปหลายที่นะ เวลาไปซื้อของก็เดินตามไปช่วยดูด้วยอ่ะ ที่แรกก็ด้านบนไปทานอาหารเช้าก่อน แล้วก็ไปถ่ายหน้าวัดสามเจดีย์



ป้อมเมืองอะไรสักอย่าง



ไปทะเลสาย Erhai Hu ที่มีเรือพาเที่ยวคนละ 30 Y เสียค่าจอดรถอีก 5 Y ครับ แต่ไม่กล้าขึ้นเรือเที่ยวกลัวตกรถรอบบ่ายสอง ไว้คราวหน้าเอารถเข้าได้แล้วจะมาใหม่นะ เจอร้านเกาลัดราคาถูกดีกิโลจีน (กงจิน=1/2กิโลกรัม) 6 Y เท่านั้นเลยได้มาสองโล เสร็จลูกสาวเกือบหมดเลย



ลูกสาวตัวน้อยผมให้อุ้มตลอด พอบอกว่ามี mickeymouse ก็มีแรงวิ่งเลย



แล้วก็มาส่งเมืองเก่าเราขอเดินเล่นชม.นิด ๆ นัดมารับบ่ายโมงครับ วิวนี่จุดบังคับถ่ายเลยครับสำหรับเมืองเก่านี้





โรตีจีนครับอร่อยดีแต่เลี่ยนเนยไปหน่อย 2Y



มาพร้อมขึ้นรถครับ อักษรบนรถด้านซ้าที่เราอ่านคือ จิ่งหง ขวาคือ เซี๊ยก๋วน (ต้าลี่)



แล้วเจ้าคันนี้ก็ทำเราเสียแผนไปเยอะเพราะต้องการเข้าไทยบ่ายวันเสาร์ แต่รถมันดันเสียระหว่างทางต้องรอรถมาเปลี่ยนเสียเวลาไปสี่ชั่วโมงกว่า ๆ นี่ดีที่มีรถเปลี่ยนไม่ได้ทิ้งเรานะเนี่ย เฮ้อๆ



กว่าจะถึงจิ่งหงก็สิบโมงแล้วครับ นั่งรถตู้ไปเมิงล้าอีกเสียเวลาไปอีกสองชั่วโมงนิด ๆ แล้วพอถึงเมิงลาก็ฝนตกอีกจุดที่มีรถตู้ไปด่าน mohan ต้องไปอีกหลายป้ายรถเม ผมก็ต้องการไวเลยหาเหมารถไปเลย 150 Y ครับถึงด่านก็บ่ายโมงพอดีเห็นรถผมที่จอดไว้ก็สบายใจแล้วครับ อิอิ แวะทานข้าวที่ร้านอาหารที่เคยทานฝั่งลาว แล้วเร่งขับมาเพื่อข้ามไปเชียงของแต่ติดเรื่องด่านปิดเลยต้องพักที่โรงแรมที่บ่แก้วครับ



แล้ววันอาทิตย์เช้าก็มาเจอเรื่องโก่งค่าแพรถข้ามอีกจากคันละพันบาท กลายเป็นเหมา 5000 บาท แต่ดีมีรถไทยอีกคันที่ฝรั่งขับ เขาใจดียอมไปกับเราด้วยทั้ง ๆ ที่เขาไม่รีบ อีกทั้งเจอค่าอะไรอีกมากมาย :-( ทั้งค่าเอารถจะข้ามเรือ 300 บาท ค่าล่วงเวลาเจ้าหน้าที่ศุลกากร ตม. ฯ ตั้งโต๊ะหลายอัน แต่ไม่ว่ากันอยากกลับบ้านแล้ว อีกทั้งเรื่องป่วนสุดก็เรื่องเอกสารศุลกากรที่เขาระบุใน บ.53 เขาแค่ 7 วันแต่เราอยู่กัน 10 วันทำอิดออดเกือบโดนอีกหลายตังค์ แต่เรายืนยันว่าเจ้าหน้าที่เขานั่นแหละที่ไม่ยอมแก้ให้เราก็เลยผ่านมาได้ครับ นี่ถึงแล้วบ้านเรา พอถึง ตม. เจ้าหน้าที่ก็ถามว่าห้องพระอะไรรถถึงรอดปลอดภัยกลับมาได้เนี่ย แต่โดยส่วนตัวผมว่าไม่น่ากลัวนะเพราะหน้าด่านมีกล้องวงจรปิดเฝ้าอยู่



แล้วก็ตามคาดครับต้องเจอรถติดตั้งแต่เชียงรายเลย แล้วลำปางก็เริ่มชะลอตัว แต่แปลกอยุธยาที่ปกติจะติดหนักกลับวิ่งได้ดี แต่มาติดหนักสุดกลับเป็น motorway วงแหวนกว่าถึงบ้านก็ห้าทุ่มครับ

จบด้วยภาพรับปีใหม่กับลุงซานต้าที่เขาหิมะครับ




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2552 17:12:33 น.
Counter : 3328 Pageviews.  

ขับรถเองตะลุยมาเลเซีย สิงคโปร์ ไม่ยากอย่างที่คิด

ก่อนอื่นต้องขอบคุณเพื่อนชาว BP ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลการขับรถท่องเที่ยวมาเลเซีย สิงคโปร์ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะคุณ prsty ที่ให้ข้อมูลเวบมาช่วยยืนยันความมั่นใจ ดังนี้

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=ok3

//www.ma22.netfirms.com/orb1.html

แล้วก็หาเพิ่มเติมเองจากเวบท่องเที่ยวมาเลเซีย และสิงคโปร์ครับ

//www.visitsingapore.com/publish/stbportal/th/home/getting_here/driving_into_singapore.html

รูปประเดิมต้อง highlight ของทริปที่ต้องไปเพราะเป็นของใหม่สุดครับ Singapore flyer ซึ่งแพงเหลือเกิน 29.5 SGD ก็ประมาณเจ็ดร้อยเวลาที่อยู่ด้านบนประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า ๆ เอง คือแล้วก็นะ ครั่งหนึ่งในชีวิตอ่ะ แต่คงไม่ขึ้นอีกละ 555 ไม่เข้าใจเลยบ้านเราทำไมไม่มีความสามารถในการสร้างสรรจุดขายได้เหมือนสิงคโปร์บ้างนะ



การขับรถไปเที่ยวเองแบบนี้ต้องมีเวลาพอสมควรนะครับเพราะระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงสิงคโปร์นี่ประมาณ 1850 กิโลนะครับ ขับรถจริงจังแบบไม่หยุดเฉลี่ยที่ 90 กม./ชม. นี่ก็ประมาณวันเต็ม ๆ นะครับยังไม่รวมเรื่องการผ่านด่านต่าง ๆ อีก ดังนั้นเผื่อไว้เลยว่าขับไป 2 วัน ขับกลับอีก 2 วัน ถ้ามีเวลาเที่ยวน้อยกว่าอาทิตย์ก็โบกมือลาเถิดครับ ส่วนของผมเที่ยวนี้ไปสิบวันเลือกเวลาการเที่ยวเหมือนปกติคือหลีกหลบช่วง peak ซะ ออกวันที่ 11 กลับ 20 เม.ย. 2008 ครับ

ออกจากบ้านแต่เช้ามืดประมาณตีสี่ แวะตลาดเช้าที่เมืองเพชรใส่บาตร หาข้าวกับขนมกินกันครับ เห็นในสารคดีเที่ยวตลาดขนมน่าสนใจดี ตลาดนี้อยู่หลังธนาคารกรุงเทพที่เห็นนี้ครับ ของถูกมาก มีขนมไทยแปลก ๆ ที่ไม่เคยเห็นก็เยอะครับ



แวะทานข้าวเที่ยงที่ทุ่งสงครับ อร่อยใช้ได้เลย คนทานก็เยอะพอควรครับ ถ้าลงใต้แวะทานกันได้ครับไม่แพงเท่าไร อ้อร้านนี้อยู่ก่อนถึงเมืองทุ่สงนิดหน่อยครับ



กว่าจะถึงด่านสะเดาก็สี่ห้าโมงเย็นแล้วครับ แล้วเราก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับขั้นตอนผ่านด่านเลยเสียเวลาไปเกือบสองชั่วโมง ที่ด่านไทยเสียเวลาในส่วนของที่ด่านระบบทำใบศุลกากรเสีย ซึ่งทางเขาก็อนุโลมให้ผ่านโดยไม่ได้ตรวจอะไร ซึ่งก็จริง ๆ ผมก็ไม่เห็นที่ด่านเข้มเหมือนตอนเอารถออกข้ามไปเที่ยวลาวเลย ใครสนใจก็ลุยได้ครับ แต่เสียเวลาที่มาเลย์มาก เพราะต้องซื้อประกัน ทำสติ๊กเกอร์แปะรถ ซึ่งจริง ๆ ผมก็ทำไปแล้วแต่ไม่รู้ยังไงทำไมเขาไม่ยอม ก็เลยต้องเสียตังเพิ่มอีกหน่อย แต่ไม่เป็นไรในที่สุดก็ผ่านไปได้ เอ่อเพื่อให้ไม่มีปัญหาการขับรถในมาเลเซีย ที่นี่ต้องไปซื้อประกันแล้วไปแลกใบวงกลมที่ตึกนี่ ออกจากด่านมานิดนึงอยู่ทางขวามือครับ



แล้วก็วิ่งเข้าไปเพื่อพักที่ปีนังก่อนคืนนึง ก่อนมุ่งหน้าสู่สิงคโปร์ เราวนหาที่พักจนมาได้ที่พักที่ถูกและดีพอใช้ (55 RM เตียง double สองเตียง ดีมากสำหรับขาลุยแบบเรา 555) มีที่จอดรถฟรี เจอรถตู้จากทัวร์เมืองไทยเพียบเลย F&A Budget Hotel SDN. BHD.



มาต่อครับ check-in แล้วคนอื่นก็นอนส่วนผมนักเที่ยวตัวยงก็ออกเที่ยวต่อ ตอนนั้นก็ประมาณสี่ทุ่มแล้ว เดินหาเบียร์กินครับ นั่งดูบอลแป๊ปนึง แล้วก็กลับมาเล่น Internet ที่ทางโรงแรมมี wifi ให้เล่นฟรีด้วยแจ่มจริง ๆ ครับ รุ่งเช้าก็ขับรถวนเที่ยวรอบเมือง ถ่ายไปเรื่อย ภาพด้านล่างนี่เขาว่า Vitcory อะไรสักอย่างมั๊ง จำไม่ค่อยได้



เป้าหมายครั้งนี้ที่ปีนังที่มาเป็นครั้งที่สองคือ ปีนังฮิลล์ครับ นั่งรถรางไปเที่ยวกัน เสียดายหมอกลงจัด ฝนตกอีกเลยเดินเล่นได้ไม่นาน



แล้วทานข้าวเที่ยงร้านอาหารที่แถบ ๆ ด้านล่างนั้นเห็นคนเยอะดี แวะทานก็ไม่ค่อยผิดหวังอร่อยพอได้เลยครับ ทานเสร็จก็มุ่งหน้าไปสิงคโปร์แต่แวะพักที่ johorbaru ก่อนครับ เพราะมืดแล้ว เช้ารุ่งขึ้นไปที่ด่าน woodlands สิงคโปร์ต้องอึ้งครับเพราะรถจ่อรอข้ามด่านมหาศาลเลย ดูเอาครับ

อ้อผมขับรถมาเที่ยวได้ง่ายเพราะมีตัวช่วยคือ GPS Navigator มาด้วยนะครับ สะดวกไปเลยบอกหมด เลี้ยวซ้าย ขวา ระยะทางอีกเท่าไร ข้างหน้าเป็นโค้ง ....... ดีจริง ๆ ทุกวันนี้ก็ไม่แพง แถมพ่วงมากับมือถือก็เยอะ คนขับรถทั้งหลายน่าจะมีไว้ใช้งานนะครับ



เสียเวลาที่ด่านพอสมควรกว่าจะเข้าในเมืองเพื่อไปร้านดำน้ำ ของ Oc.... ที่ซื้อกับครูคนหนึ่งที่เขารับต่อมาจากร้านนี้ เพื่อเคลม Divecomp ของแฟน ถึงร้านก็เที่ยงพอดีครับ อุตส่าห์รีบมาแล้วยอมเสียตังค่าโรงแรมที่สิงคโปร์ด้วยแล้วยังเคลมไม่ได้อีก ก็เป็นอันว่าเข้าใจเขานะ แต่สำหรับคนใช้งานอย่างเรา ค้าขายกันแบบนี้ก็อย่าหวังจะได้รับ feedback ที่ดีจากเราเลย แล้วก็คงไม่แนะนำคนรู้จักให้ซื้อใช้ด้วย :-(

ไม่เป็นไรไม่พูดละ ไปเที่ยวต่อโดยไปรับเพื่อนที่สิงคโปร์ไปเที่ยว Singapore flyer ด้วยกัน แล้วจากนั้นวนเที่ยวอีกนิดหน่อยแล้วก็แวะไปทานข้าวเย็นที่ Lau pa sat เพื่อทานของดังที่นี่คือ Satay (สะเต๊ะ) นั่นเอง เพื่อนที่ไปด้วยบอกไม่อร่อยให้ทานที่อี่น แต่เราต้องการไปที่นี่ แล้วก็สั่งร้าน #10, 13, 14 Satay power ซึ่งอร่อยดีมากครับ เพื่อนที่สิงคโปร์บอกเคยมาทานที่นี่แต่ร้านอื่น ๆ มั๊งไม่อร่อยเท่านี้ ไม่ผิดหวังเลย แต่ไม่เพียง satay ยังได้ทาน เกี๋ยวและอื่น ๆ อีกดูเป็นตลาดรวมร้านอาหารเก่าที่น่าทานอีกที่ในสิงคโปร์นะครับ



เช่นเคยเสร็จแล้ว check-in โรงแรมแถบ Sim-Lim Square แล้วก็ออกไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนที่นั่น ให้คนข้างหลังนอนพักผ่อนกันไป ไปทานเบียร์กันที่ Orchard ครับร้านอะไรจำไม่ได้คนเต็มเลยมี Live band เล่นด้วยไม่มีที่ก็นั่งข้าง ๆ แล้วก็ไปต่อที่ร้าน Brix ใต้โรงแรม Hyatt มั๊ง พอดีลากแตะไปเลยอดเข้าเลยเรา :-(

เช้าวันรุ่งขึ้นไปที่ยังไม่เคยไป คือ holland village ที่นี่เขาไปเพื่อหาของกินกัน จอดรถเจอแต่รถแพง ๆ เยอะมาก ๆ คิดว่าเป็นโซนคนรวยของสิงคโปร์นะ ทานไอ้ติม ไฮ้เก้นดาส อาหารจีน ที่อร่อยทีเดียวคนเยอะด้วย และก็ซื้อหมูแผ่นชื่อดัง Bee Cheng Hiang มั๊ง เป็นอาหารสำรองประจำรถได้ตลอดทริปเลยทีเดียว โดยเฉพาะลูกสาวชอบเอามาก ๆ ครับ



ต่อครับจาก holland village ก็ไปต่อกันที่ hor par villa ที่นี่เป็นสวนที่เจ้าของยาหม่องตาเสือสร้างครับ ถ้ามีเวลาชอบถ่ายรูปนะ ที่นี่คงได้อยู่กันเป็นวันเลยนะผมว่า อ้อมีเสียตังค่าจอดรถแล้วไปแลกน้ำได้ขวด ที่สิงคโปร์เนี่ย ไปไหน ๆ ก็แทบต้องจ่ายค่าจอดรถ ยกเว้นบางที่จะฟรีวันอาทิตย์ อ้ออีกที่ถ้าเข้าไปดูถ้ำเกี่ยวกับนรกภูมิเสียคนละเหรียญครับ







ส่วนนึงของภาพในโซนที่เสียตัง เคยไปดูที่วัดม่วงมั๊ง ผมว่าแบบเราที่ทำกลางแจ้งน่ากลัวกว่าเยอะ 555 แต่อันนี้มีอธิบายเยอะดี อ่านแล้วก็อึ้ง อิอิ โดนไปกี่ขุมนี่เรา 555



ต่อด้วย Tiger Lives ที่นี่อยู่ก่อนเข้าเกาะ Sentosa ครับทุกคนมาคงเข้า Sentosa มากกว่าใช่มะ ผมว่ามาที่นี่คุ้มกว่า flyer อีกนะ คนละ 21 SGD ได้เบียร์เย็นเจี๊ยบแก้วนึง ของที่ระลึกด้วย แถมมีหนัง 3D 4D ให้ดูด้วยสุดยอดครับ ใครไปสิงคโปร์ก็ลองแวะเที่ยวได้นะครับ

//www.tigerlive.com.sg/



เสร็จแล้วเพื่อนที่สิงคโปร์นัดเลี้ยงมื้อเย็นดึก ๆ แต่แฟนบอกว่ารีบไปต่อดีกว่าก็เลยแวบออกจากสิงคโปร์อีกด่านเลย เพื่อมุ่งไปสู่มะละกาครับ



หาโรงแรมก่อนได้ที่ Pesona แถบนี้มีโรงแรมถูก ๆ ดี ๆ เพียบครับ แล้วก็รีบไปเดิน Jonker walk จะทานข้าวมันไก่ร้านดัง แต่ปิดแล้วก็เลยหาอื่น ๆ ทานครับ แล้วเราก็ไม่พลาดลอดช่องที่นี่แน่นอนอิอิ ขากลับเดินเรียบถนนอีกทางผ่านเรือนี้สวยดี เป็นการเที่ยวยามดึก หลังจากครั้งที่แล้วมาตอนกลางวันก็สวยอีกแบบครับ



ร้านอร่อยของข้าวมันไก่ที่นี่ก็ต้องนี่ครับ hoe kee เปิดแต่เช้าเลยได้ทานก่อนออกเดินทางต่อเข้า KL



ก่อนเข้า KL จะต้องผ่าน Putrajaya เมืองรัฐบาลมาเลย์ใหม่ ครั้งที่แล้วมากับทัวร์แบบเร่งรีบ คราวนี้ขับมาเองเลยวนเที่ยวได้เต็มที่ครับ ซาบซื้งได้ถึงการจัดโซนเมืองเขาเลยสุดยอดมาก ๆ บ้านเราจะได้ทำเมื่อไหร่หนา ????







เปลี่ยนใจไปเที่ยว Genting ก่อนละกันเผื่อมีห้องพักก็นอนเลย แต่เสียดายไม่มี :-( ไม่นึกว่าจะแน่นได้ขนาดนี้ คิดดูซิบ้านเราทำไมไม่ทำ รายได้จากการท่องเที่ยวอีกมหาศาลแค่ไหน ค้านกันจังเลยไม่เข้าใจ



อ้อก่อนไป Genting ต้องผ่านถ้ำ Batu แต่ว่าร้อนเลยไม่ได้ปีนเข้าถ้ำถ่ายมาแต่ด้านหน้าครับ



แวะเที่ยววัด Chin Swee Temple ได้บน Genting ด้วยมาทีไรไม่เคยได้แวะมาเลย จริง ๆ เขามี shuttle bus มานะครับแต่เราไม่ค่อยได้สนใจ ขับมาเองเลยได้โอกาสแวะไหว้ซะหน่อย





ไล่หาโรงแรมรอบนอกบน Genting แต่ก็ยังแพงรับไม่ได้เลยต้องย้อนมาพักที่ KL ครับตามเคยพักกันที่ YMCA KL เยี่ยมเลย 3 เตียง 100 RM เองมีอาหารเช้าด้วยแต่ได้ห้องน้ำแยกอะ ถ้าไม่คิดมากก็โอครับ แต่ผมเข้าห้องน้ำบ่อย คืนต่อมาเลยเอาแบบห้องน้ำในตัวสองห้องก็ได้แพงอีกหน่อยห้องละ 80 RM แล้วก็ออกไปทานเบียร์กับเพื่อนที่ KL ครับ

รุ่งขึ้นเป้าหมายคือ Sunway Lagoon เศร้าไปครับเพราะปิดวันอังคาร แผนเดิมไปวันพุธก็ไม่มีปัญหา ไม่ได้พกเล่มแนะนำเที่ยวมาก็เลยไม่รู้ไปไหนเลย

//www.sunwaylagoon.com/attract/waterpark.asp



คิดได้ถึง IKEA ครับไปแล้วก็โอครับ ห้างใหญ่กว่า Future รังสิตเราอีกนะผมว่า ได้ไอ้นี่มาไม่รู้ถูกกว่าบ้านเราป่ะ



ห้างที่นี่ดีนะมีโซนให้เด็กเล่นของเล่น ไม่รู้ว่าบ้านเราเลียนแบบเขามาเปล่า อิอิ คนละ 8 RM ผลัดกันดู แล้วคนที่เหลือก็ไปเดินเล่น shopping เด็กก็ไม่เบื่อด้วย



อ้อมีอีกอย่างที่ผมเห็นที่มาเลย์มีเจาะอุโมงเยอะเหมือนกัน บ้านเราเคยเห็น รมต.พูดทางทีวี ขอสนับสนุนครับ



แล้วก็แวะเที่ยวโดยรถรอบ ๆ Medaka square, NAtional morque



ไปหาของทานกันที่ KLCC เคยติดใจ Crispy Popiah บน fastfood ที่นี่ครับ



วันต่อมาก็ไปเที่ยว Cameron Highland ครับ เส้นจาก KL เนี่ยโค้งหักศอกโหดสุด ๆ ครับ เขามีทำอีกเส้นซึ่งผมใช้ขากลับวิ่งไป Langawi เขาว่าเดี๋ยวนี้เขามาเส้นนี้เยอะกว่าครับขับสบายกว่า มานี่ก็ต้องมาเที่ยวไร่ชาของ BOH



ได้ที่พักที่ coolpoint เมือง Thana Rata ครับคืนละ 100 RM อยู่ด้านหลังขนส่งเมืองนี้ครับหาไม่ยาก



มาที่นี่ในเวบแนะนำให้ทานร้าน T-Cafe ซึ่งกว่าจะหาเจอเพราะร้านอยู่ชั้นสองบนร้าน Marrybrown ครับก็ตรงข้ามขนส่งนั่นเองครับ

วันต่อมาก็ไปลังกาวีครับ เสียดายเอารถข้ามไปไม่สะดวกเหมือนไปสมุย เกาะช้างบ้านเรานะ เลยต้องจอดรถไว้ที่ Kedah ค่าจอด 2 วันตั้ง 30 RM แล้วต้องไปเช่ารถอีก 50 RM เติมน้ำมันอีก 30 RM เฮ่อแถมโดนหรอกเอารถเก่า ๆ แย่ ๆ มาให้อีก นี่เลยบอกเรา Proton Wira แต่ดันเอา Saga มาให้ไม่มีแตรอีกต่างหาก มารู้เอาตอนจะใช้นี่แหละตอนรับก็อยากไปหาที่พักก็เลยไม่ดูละเอียด เพื่อนที่จะไปลังกาวี จะทำอะไรก็ดูให้ดี ๆ นะครับ ต่อรองนายหน้าฝั่ง Kedah ก็อย่าไปจ่ายมัดจำไม่งั้นเราเสียเปรียบแน่นอน

เอารูปเรือยอร์ชไปดูคลายเครียดตัวเอง สักวันถ้ามีตังค์เยอะขนาดนั้นอาจจะซื้อเรือล่องรอบโลกก็ได้ ฝันไว้ก่อนนะครับ อิอิ



ต่อด้วยสัญลักษณ์ที่นี่ครับซึ่งไปเที่ยวกันอีกวันนะ อยู่ที่ท่าเรือนั่นแหละ



อีกอันที่ต้องไปคือ cable car ครับคนละตั้ง 25 RM แหนะทั้งเหนื่อยทั้งร้อน ไม่รู้คุ้มไหม เฮ่อ ๆๆๆ แต่มาละก็ต้องลุย แต่เหมือน flyer ครั้งเดียวพอ อิอิ

แก้หน่อยจำสับสน ค่าเรือ ferry ซิคนละ 26 RM ไปกลับ 52 RM ไม่รู้ข้ามจากสตูลถูกกว่าป่ะ แต่ยังไงผมว่าภูเก็ตเราดีกว่านะ



น้ำไม่ใสเท่าไหร่ แต่ก็พอได้ให้ลูกสาวเล่นน้ำที่ชื่นชอบตามเคย

แล้วก็ตรงเข้าหาดใหญ่พักคืนนึง ก่อนวันรุ่งซื้อของตลาดกิมหยงหาดใหญ่แล้วกลับกรุงเทพ ถึงบ้านเที่ยงคืนกว่า อ้อได้แวะทาน โชคดีแต่เตี้ยมด้วยนะ ของขึ้นชื่อทั้งถูกและอร่อย วันอาทิตย์ไปดันดับเลยต้องออกมาเดินเล่นที่ห้างอีก แทนที่ได้นอนเต็มที่ จบทริปแบบมันสุด ๆ เราอยากไปแบบนี้อีกแต่ครอบครัวคงไปด้วยไม่ไหว ไม่เป็นไรมีเวลาหาเพื่อนไปแบบหารเฉลี่ยละกัน 555 จะมีคนสนใจไปด้วยกันไหม?

สุดท้ายขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ ขอให้มีความสุขทุกคน




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2551    
Last Update : 14 ธันวาคม 2551 17:31:41 น.
Counter : 4103 Pageviews.  

ข้อมูลขับรถข้ามไทยมาเลเซียสิงคโปร์

//www.ma22.netfirms.com/orb1.html

copy ไว้กรณีข้อมูลในเวบด้านบนหายแล้วท่านที่มาดูทีหลังไม่พบครับ


เอกสารประกอบการเดินทาง ในการขับรถจากประเทศไทย- มาเลเซีย - สิงค์โปร






ก่อนที่จะเดินทาง ต้องเตรียมเอกสารดังนี้นะครับ



1. หนังสือเดินทางก่อนหมดอายุ 6 เดือน

2. สำเนาทะเบียนรถยนต์ (สำเนาสมุดจดทะเบียนรถยนต์ )ภาษาไทย

3.ใบแปลสมุดจดทะเบียนรถยนต์เป็นภาษาอังกฤษ (ออกโดยขนส่ง)

4.ใบขับขี่นานาชาติ หรือ ใบรับรองใบขับขี่ (ออกโดยขนส่ง)

5.ใบยินยอมให้นำรถออกนอกประเทศได้ เป็นภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษก็ได้

6.หลักฐานอื่นๆ เช่น สำเนาบัตรประชาชน


--------------------------------------------------------------------------------







คราวนี้มาเริ่มรายละเอียดกันเลยนะครับ สำหรับหนังสือเดินทางต้องเป็นหนังสือเดินทาง ก่อนหมดอายุ 6 เดือนนะครับ สำเนาทะเบียนรถยนต์ภาษาไทย จะใช้ตอนขอนำรถยนต์ออกนอกประเทศไทยนะครับ ในกรณีที่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ต้องม ีใบยินยอมจากเจ้าของรถยนต์ให้นำรถยนต์ออกนอกประเทศก่อนนะครับ ถ้าเจ้าของรถยนต์เป็นไฟแนนซ์ ก็จะยุ่งยากครับ เพราะไฟแนนซ์มักไม่ยอมเซ็นต์หนังสือให้เอารถออกนอกประเทศครับ รถก็รถเรา ผ่อนเราก็ผ่อนทุกเดือน เสือกจะไม่ให้อีก เฮ้อ...



ในกรณีนี้ ที่ศุลากากรของไทยในด่านสะเดาเขาจะไม่เคร่งครัดมาก เพราะหากผู้ที่จะนำเอารถออกนอกประเทศ เป็นผู้ครองครองรถเอง ก็สามารถแสดงสำเนาบัตรประชาชน พร้อมสำเนาทะเบียนรถยนต์ ก็สามารถนำรถออกนอกประเทศได้เลย หรือกรณีที่ผู้ที่จะนำรถออกนอกประเทศ แต่ไม่ได้เป็นผู้ครองครองรถ ก็สามารถให้ผู้ครอบครองรถทำหนังสือยินยอมให้นำรถออกนอกประเทศได้ โดยแนบสำเนาบัตรประชาชน ของผู้ครอบครองรถ พร้อมทั้งหนังสือยินยอมไปพร้อมกันด้วยครับ ซึ่งแบบฟอรม์ดังกล่าวร่างเองก็ได้ครับ เขียนให้ชัดเลย เขียนที่ไหน... วันที่เท่าไร....ข้าพเจ้า นาย ... อยู่บ้านเลขที่... เจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถยี่ห้อ... หมายเลขทะเบียน... หมายเลขเครื่อง... สี... ยินยอมให้นาย... หมายเลขบัตรประชาน... อยู่บ้านเลขที่... นำรถออกนอกประเทศไทยเพื่อไปท่องเที่ยวยังประเทศ มาเลเซียและสิงค์โปรได้ พิมพ์ให้สวยงามเลยครับ แล้วก็อย่าลืมสำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถหรือผู้ครองครองรถ พร้อมลายเซ็นต์แนบมาด้วยนะครับ



เอกสารอื่นๆ ก็มีใบขับขี่สากล หรือ ใบรับรองใบขับขี่เป็นภาษาอังกฤษ อย่างหลังนี่ก็ใช้ได้นะครับ ใช้ได้ในประเทศกลุ่มอาเซียนทั้งหมด ค่าธรรมเนียมในการขอ 25 บาทเอง ถูกกว่าใบขับขี่สากลตั้งเยอะ ผมไปขอที่กรมการขนส่งทางบก หมอชิต แต่เข้าใจว่าขนส่งในกรุงเทพทำใบนี้ได้หมดนะครับ ที่หมอชิตอยู่ชั้นเดียวกับที่ทำใบขับขี่สากลเลยครับ อาคาร 4 ชั้น 2 เอกสารก็ใบขับขี่ตัวจริง รูปถ่าย 1 นิ้ว 2 รูป ทะเบียนบ้าน และก็สำเนาพาสปอรต์ กรณีมอบอำนาจก็แนบหนังสือมอบอำนาจมาด้วยครับ



และอีกอย่างที่สำคัญมากก็คือ ใบแปลสำเนาทะเบียนรถยนต์เป็นภาษาอังกฤษ ใบนี้ขอที่ขนส่งที่เรามีต้นขั้วทะเบียนอยู่นะครับ เช่น รถชลบุรี ก็ไปขอที่ขนส่งชลบุรี รถของกรุงเทพก็ดูว่าอยู่เขตไหน ก็ไปขอที่เขตนั้น เช่นรถของผม บ้านของผมอยู่เขตบางซื่อ ต้นขั้วทะเบียนอยู่ที่ขนส่งหมอชิต ผมก็ต้องไปขอใบนี้ที่ขนส่งหมอชิต รถเพื่อนผม บ้านอยู่มีนบุรี เขาก็ต้องไปขอที่ขนส่งมีนบุรี แต่ที่ขนส่งจังหวัดสงขลา สามารถแปลได้หมดทุกเขตนะครับ เพราะถือว่าเป็นจังหวัดชายแดน เอกสารที่ใช้ประกอบก็คือ สมุดจดทะเบียนรถยนต์ตัวจริงนะครับ สำเนาบัตรของเจ้าของรถ และกรณีการมอบอำนาจให้ผู้อื่น ไปดำเนินการแทน ต้องมีหนังสือมอบอำนาจด้วย



กรณีที่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์เอง ก็ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรถยนต์ก่อนนะครับ ไม่งั้นขนส่งเขาจะใจร้ายไม่ออกใบรับรองเป็นภาษาอังกฤษให้ครับ กรณีที่เจ้าของรถยนต์เป็นไฟแนนซ์ก็ยุ่งอีกอะครับ เพราะการแปลสมุดจดทะเบียนต้องใช้หลักฐานตัวจริง ขนส่งถึงจะแปลให้ และสมุดตัวจริงก็ไฟแนนซ์เก็บรักษาอยู่ ลองไปถามไฟแนนซ์ดูนะครับ ว่าขอยืมสมุดตัวจริงมาได้ไหม ถ้าเขาให้ยืมมาได้ก็ดีไป แต่ถ้าเขาไม่ให้ยืม ก็อย่าไปตกใจอะไรครับ ขอให้มุ่งมั่นที่จะไปอย่างเดียว ทุกปัญหามันก็ต้องแก้ไขได้ เพื่อนๆ ของผม รถติดไฟแนนซ์กันทั้งงั้นครับ และไฟแนนซ์ก็ไม่ให้ยืมสมุด แต่ก็ไปกันได้ครับ อิอิอิ



อีกเรื่องก็คือต้องตัดสติ๊กเกอร์ติดทะเบียนรถยนต์เป็น ทะเบียนสากลด้วยนะครับ สมมุติรถของผม ทะเบียน ภน 9999 กทม. ทะเบียนสากลก็แปลเป็น dW 9999 BKK ซึ่งการเทียบหมวดอักษรทางกรมการขนส่งจะเป็นคนเทียบให้ครับ แล้วเราก็ไปตัดสติ๊กเกอร์ ให้สวยงามตามใจชอบ แต่ของผมใช้พื้นเป็นสีดำ แล้วตัวภาษาอังกฤษเป็นสีขาว เพราะว่ามันเห็นชัดดี



เอาละ เมื่อเตรียมเอกสารที่ว่ามาทั้งหมดเรียบร้อย ก็มาเริ่มที่ขั้นตอนในการออกนอกประเทศทันที อ้อ.. ต้องแลกเงินมาเลเซีย และสิงค์โปรเลยนะครับ เพราะเมื่อเราข้ามพ้นพรมแดนไทยไปยังมาเลเซียเมื่อไร ต้องใช้เงินริงกิต ของมาเลเซียทันทีครับ เช่นเดียวกัน เมื่อเราข้ามพ้นพรมแดนมาเลเซียเข้าสู่สิงค์โปรเมื่อไร ก็ต้องใช้เงินดอลล่าร์ของสิงค์โปรทันทีครับ



เมื่อไปถึงด่านสะเดา ก็เขียนแบบฟอรม์ออกนอกประเทศนะครับ นำแบบฟอรม์ออกนอกประเทศ พร้อมหนังสือเดินทางไปให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของไทยประทับีตรานะครับ หลังจากนั้นคนขับรถหรือเจ้าของรถก็เอาสำเนาทะเบียนรถยนต์ภาษาไทยนะครับ พร้อมหลักฐานใบยินยอมให้ออกนอกประทศไปให้ศุลลากรตรวจสอบ เราก็เซ็นต์ชื่อตามที่เขาบอกนะครับ หลังจากนั้นเขาก็จะออกเอกสารในการให้เรานำรถออกนอกประเทศมาให้เรา 1 ใบ เราเก็บไว้ให้ดีนะครับ ในกรณีที่ขากลับเข้ามา ต้องคืนใบนี้ให้กับทางศุลกากร เพื่อยืนยันว่า รถกลับเข้าไทยแล้ว



ตรงด่านฝั่งไทยผู้โดยสารทุกคนต้องใช้เอกสาร คือ หนังสือเดินทาง พร้อมทั้งแบบฟอรม์ออกนอกประเทศ (ขอรับแบบฟอรม์ได้ที่ทำการของตม.ครับ) สำหรับคนขับรถหรือเจ้าของรถ ต้องใช้ สำเนาทะเบียนรถยนต์เป็นภาษาไทย ใบยินยอมให้นำรถออกนอกประเทศ สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถ หรือผู้ครอบครองรถ



ย้ำอีกครั้ง อย่าลืมแลกเงินด้วยนะครับ เพราะเราต้องเริ่มใช้เงินมาเลยเซียทันที ที่ก้าวเข้าประเทศของเขานะครับ แลกไปเยอะหน่อยก็ดี เพราะจะต้องเติมน้ำมัน และก็ต้องเสียค่าทางด่วนด้วยครับ ค่าทางด่วนไปถึงสิงค์โปรประมาณ 900 บาท จ่ายทีละนิดหน่อย ฟังแล้วดูแพงนะครับ แต่ความจริง เราใช้ถนนของเขา ประมาณ 850 กิโลเมตรนะครับ คิดง่ายๆก็ตกกิโลเมตรละ 1 บาทนิดๆ



เมื่อผ่านด่านไทยไปแล้ว ก็ต้องไปเข้าด่านมาเลเซียนะครับ ลองนึกภาพเวลาเข้าช่องจ่ายเงินทางด่วนอะครับ เหมือนกันเปรี๊ยบเลย รถเราก็ต้องไปต่อแถวทีละคันๆ เราต้องไปขอแบบฟอรม์เข้าเมือง (IMMIGRATION FORM ) ที่ด่านตรงนั้นครับ เจ้าหน้าที่มาเลเซียเขาก็จะให้เราเอารถไปจอด ให้พ้นการกีดขวาง เพื่อให้รถคันที่เอกสารพร้อมผ่านไปก่อน เราก็เขียนให้ครบทุกช่องเลยนะครับ เมื่อเราเขียนเสร็จก็ยื่นใบเข้าเมือง เขาเรียกว่า IMMIGRATION FORM พร้อมหนังสือเดินทางนะครับ ให้กับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของมาเลเซียนะครับ พร้อมทั้งเสียค่าผ่านด่านประมาณ 30 บาทหรือ 3 ริงกิต นะครับ ต่อรถ 1 คันนะครับ เป็นอันว่า ขั้นตอนการเข้าประเทศมาเลเซียของทุกคนเป็นอันเสร็จพิธีครับ


ตรงด่านฝั่งมาเลเซียผู้เดินทางทุกคนต้องใช้เอกสาร คือ หนังสือเดินทาง พร้อมทั้งแบบฟอรม์ออกนอกประเทศ (ขอรับแบบฟอรม์ได้ที่ช่องที่ผมบอกเหมือนช่องทางด่วนบ้านเรา ซึ่งเป็นช่องตรวจคนเข้าเมืองของตม.มาเลเซียได้เลยครับ)



ผ่านจากด่านนั้นนิดเดียวไปก็จะมีการตรวจสิ่งของพอเป็นพิธี ลงไปเซย์ฮัลโหลกับ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของมาเลเซียที่พกปืนแปลกๆกันสักเล็กน้อยนะครับ เขาก็จะถามว่าจะไปไหนอะไรประมาณนี้ แต่อย่าไปพูดอะไรทะลึ่งนะครับ เช่นเขาถามคุณว่า where r u going?? คุณก็ตอบไปว่า เรื่องของกู อะไรอย่างนี้ไม่ได้นะครับ เพราะเขาพูดไทยได้ ฟังไทย ออก เห็นเขาบอกว่า หลายคนก็มีเมียเป็นคนไทยนะครับ อิอิอิ



เลยด่านนั้นไปนิดเดียวขอย้ำว่านิดเดียว โปรดสังเกตป้ายให้ดี จะอยู่ทางด้านขวามือ คนขับรถก็ต้องลงไปทำประกันภัยของมาเลเซียนะครับ รถทุกคันที่จะเข้ามาเลเซียต้องไปจอดทำประกันนะครับ ประกันก็เหมือน พรบ.ประเภท 3 บ้านเรานี่แหละครับ ถ้าใครไม่มีหากตำรวจตรวจเจอเขาก็จะปรับ ประมาณ 4000 บาทไทยนะครับ ตอนทำประกันคนขับรถต้องนำหลักฐานใบแปลทะเบียนรถยนต์ที่เป็นภาษาอังกฤษ และก็ใบขับขี่สากล หรือ ใบขับขี่ที่แปลมาไปแสดงกับบริษัทประกันภัยของมาเลเซียด้วยนะครับ



ตรงบริเวณนั้นจะมีบริษัทประกันหลายบริษัทให้เลือกนะครับ เลือกได้ตามใจชอบ ประเภทประกันก็จะมีแบบ 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน ให้เลือกนะครับ ราคาประกันก็ขึ้นอยู่กับซีซีของรถ รถของผม 2500 ซีซี ผมเลือก 1 เดือน 700 บาท นิดๆครับ



เมื่อเสร็จขั้นตอนกับบริษัทประกันเสร็จ เราก็ต้องนำเอาหลักฐานที่บริษัทประกันออกให้ พร้อมใบขับขี่และทะเบียนรถยนต์ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ ไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียนะครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซีย เขาก็จะออกป้ายวงกลมให้เรา 1 แผ่น นำมาติดหน้ารถนะครับ



ขั้นตอนการทำประกันภัยของประเทศมาเลเซียตรงนี้ก็ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใดเลยนะครับ ใช้เอกสารคือ ใบขับขี่ที่แปลแล้ว ทะเบียนรถยนต์ที่แปลแล้ว นำทั้ง 2 อย่างนี้ไปยื่นกับบริษัทประกันมาเลเซีย บริษัทประกันก็จะตรวจสอบเอกสาร พร้อมทั้งให้ใบกรรมธรรม์มา อีก 1 ชุด หลังจากเสร็จจากบริษัทประกัน นำหลักฐานทั้งหมดไปยื่นให้ตำรวจมาเลยเซีย ตำรวจมาเลยจะออกป้ายวงกลมมาให้ ขั้นตอนไม่ยุ่งยากครับ



จากนั้นเราก็โลดแล่นบนถนนของประเทศมาเลเซียได้อย่างสบายใจ เติมน้ำมันที่ถูกกว่าประเทศไทยซะให้เต็มถัง (ปั๊มน้ำมันแรกของมาเลเซีย อยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 5 กม ) ขับรถอย่างสบายอารมณ์แล้วเราจะรู้ว่า ถนนที่ดี สร้างเต็มจำนวนเงินที่ได้รับนั้นเป็นอย่างไร ผิดกับถนนเมืองไทยลิบลับครับ ....



เมื่อโลดแล่นมาเรื่อยจนมาถึงชายแดนมาเลเซีย – สิงค์โปร เราก็ต้องนำหนังสือเดินทางพร้อมใบที่ตำรวจมาเลเซียเขาฉีกไว้ในพาสสปอร๖ของเราออกมาเพื่อแสดงต่อ ตม. มาเลเซียอีกครั้งนะครับ เพราะเรากำลังจะออกจากประเทศมาเลเซีย เพื่อจะมุ่งหน้าไปสิงค์โปรครับ ตำรวจตม. ของมาเลเซียเขาก็จะประทับตราว่าเราออกนอกประเทศมาเลเซียเรียบร้อย



และเมื่อไปถึงด่านสิงค์โปรก็แบบเดิมนะครับ เป็นช่องเหมือนทางด่วน เหมือนที่เราผ่านมาเลเซียมา เราก็ต้องขอแบบฟอรม์เข้าเมืองของเขาเหมือนเดิม เมื่อเรากรอกเสร็จก็ไปยื่นใบเข้าเมืองพร้อมหนังสือเดินทาง ให้ตำรวจตรวคนเข้าเมืองของสิงคโปร์เขาประทับตราเข้าเมืองเหมือนตอนเข้ามาเลเซียทุกอย่าง



โดยส่วนมากรถที่มาจากไทย เขาจะดูแลเป็นอย่างดีนะครับ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ศุลกากรของสิงค์โปรมาทำประกันรถยนต์ในประเทศสิงค์โปรให้เราด้วยนะครับ เจ้าหน้าที่ของสิงค์โปร จะมาเดินขอป้ายวงกลม ไปเป็นหลักฐานด้วยนะครับ ถ้ารถใครแกะยาก ก็บอกเขาว่าแกะไม่ได้ แกะแล้วจะเสียเลย เขาก็จะเดินมาจดทะเบียนรถยนต์ไป ค่าประกันในสิงค์โปรประมาณ 800 บาทต่อ 1 เดือนครับ



ยังไม่หมดครับ เขาจะมีบัตรที่เรียกว่า auto pass card ขายให้เรา 1 ใบนะครับ ราคาประมาณ 200 บาท นิด ๆ ครับ บัตรนี้จะมีเงินไม่มาก เราต้องเอาไปเติมเงินที่ร้าน เซเว่นอีเลเว่น เพื่อที่จะเป็นการจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลสิงค์โปรนะครับ เช่น เราอยู่สิงค์โปร 3 วัน จันทร์ อังคาร พุธ เราก็ต้องเอาบัตรนี้ไปเติมเงินจำนวน 2100 บาท



เมื่อขากลับออกมาจากประเทศสิงค์โปร เมื่อมาถึงด่านตรวจก่อนออกนอกประเทศ เราก็ต้องเอาการด์นี้มารูดจ่ายภาษีให้รัฐบาลสิงค์โปรเค้าอะครับ เขาคิดวันละ 700 บาทไทย 30 เหรียญสิงค์โปรอะครับ แต่ถ้าเราอยู่สิงค์โปรในวันหยุดของเขา หรือเสาร์อาทิตย์ เราไม่ต้องจ่ายเงินส่วนนี้นะครับ เพราะฉะนั้นควรจะวางแผนการเดินทางให้ดีนะครับ เพื่อที่จะได้เซฟเงินตรงนี้ไปได้



ในสิงค์โปรจะมีปัญหานิดนึงนะครับ เพราะเราจะไม่สามารถขับรถในประเทศเขาได้ในเวลาเร่งด่วนนะครับ เขาจะมีบอกนะครับ ว่าถนนนี้ห้ามใช้เวลาใด เราใช้ได้เมื่อใด แต่ถ้าเราจะขับในชม.เร่งด่วนต้องมีบัตรหน้ารถคล้าย ๆ บัตรทางด่วนบ้านเราอะครับ ที่เวลาผ่านด่านทางด่วน ก็จะมีช่องเฉพาะบัตรทางด่วนให้ ระบบก็จะหักเงินโดยอัตโนมัติ ยุ่งยากครับ อย่าไปขับมันเลย นั่งรถไฟฟ้าง่ายกว่า แต่ถ้าวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดของเขาหรือหลัง 4 โมงเย็นของทุกวัน คุณจะขับรถไปที่ไหนในสิงค์โปรก็เชิญตามใจชอบ แต่ความเร็วเขาห้ามเกิน 90 กม. ต่อ ชม . นะครับ



เรื่องเอกสารการเข้าออกเมืองก็มีแค่นี้ ไม่ยุ่งยากมากนะครับ ขอให้ทุกท่านที่มีความฝันเหมือนเช่นผมจงเดินทางไปถึงสิงค์โปรโดยสวัสดิภาพนะครับ อืมม เดี๋ยวนี้มองแผนที่ทีไร เห็นประเทศสิงค์โปร มองขึ้นมายังมาเลเซีย ประเทศไทย เฮ้อ.. อดภูมิใจไม่ได้ว่า ตรงนี้เราเคยขับรถไปมาแล้ว ถ้ามีสะพานข้ามไปอินโดนีเซียได้ ผมก็จะไปต่อครับ ..



ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบ ROAD TRIP THAILAND- MALAYSIA- SINGAPORE



ภูมิพิช ชมชื่น
pumipitch@hotmail.com




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2551    
Last Update : 14 ธันวาคม 2551 16:54:29 น.
Counter : 7144 Pageviews.  

ขับรถวนรอบลาวเหนือ เชียงใหม่ เชียงของ ห้วยทราย หลวงพระบาง วังเวียง เวียงจันทน์

ทริปนี้วางแผนมานานมากหากลุ่มจะไปแบบคาราวานก็จัดไม่ได้ครับ ตั้งใจว่าจะไปถึงเชียงรุ่ง คุณหมิง ต้าลี่ ลี่เจียงด้วย แต่จัดไม่ได้ เลยรวบมาเป็นแค่วนรอบลาวเหนือครับ

เส้นทางโดยสรุปคือ กทม. - อุทัย - เชียงใหม่ - เชียงของ (เชียงราย) - ห้วยทราย ลาว - หลวงน้ำทา - บ่เตน - อุดมไซ - หลวงพระบาง - วังเวียง - เวียงจันทน์ - หนองคาย - ขอนแก่น - กทม.

เริ่มภาพแรกที่เชียงใหม่ครับ ภาพพระธาตุดอยสุเทพ ที่ไม่ได้ไปไหว้ไม่ถึงเชียงใหม่นะครับ



แล้วก็ลงมาไหว้ครูบาฯ แล้วก็พาลูกเข้าไปดูหมีแพนด้า ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ที่วันนี้คนน้อยลงเยอะครับ ดูและอมยิ้มกับความน่ารักของมันได้จุใจดีครับคราวนี้



ต่อที่กรงหมี koala ครับ



ข้าง ๆ กรงมีอะไรที่น่าสนใจมากครับ รถมอเตอร์ไซค์คันจิ๋ว 7 รอบ 20 บาทสนุกดีแต่คนตัวสูงอย่างเราเล่นเอาขายึดไปเลย :-)



ไปดูเพนกวินต่อครับ



ที่กรงเขียนว่านกอีมูครับ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่ไหม ไม่คุ้นเลยนะ อิอิ จริง ๆ ดูอีกหลายชนิดนะ แต่ว่าขอลงแค่นี้ละกัน



วันรุ่งขึ้นก็บิ่งไปเชียงของเลยเพื่อจะข้ามไปลาวเพื่อไปต่อที่เชียงรุ่ง จีน แต่โชคไม่ดี ทางศุลกากรปิดเลยต้องติดที่เชียงรายอีกสองวัน :-( ภาพนี่คือร้านอาหารที่ด่านครับ อร่อยใช้ได้และไม่แพงมากครับ มีจัดทัวร์ให้ด้วย เหมารถตู้ในลาวคันละ 5500 บาทต่อวันรวมเที่ยวและน้ำมัน แต่เราต้องเอารถไปเองเลยไม่ได้ใช้บริการครับ



ก็เลยต้อปรับแผนนิดหน่อย เคยจำได้ว่ามีคนพูดถึงดอยผาตั้งนี่นา ก็เลยไปนอนที่นั่นดีกว่าคืนวันอาทิตย์นี้ ดีนะครับที่นี่สวยดี มีไกด์เด็กตัวน้อยจาก รร.บรรพตวิทยา มาช่วยบรรยายด้วยครับ ก็แจกเงินเด็ก ๆ ไปคนละร้อยเล่นเอาน้อง ๆ หน้าบานกันไปเลย อิอิ จริง ๆ แล้วผมอยากให้บ้านเราส่งเสริมให้น้อง ๆ พวกนี้มาทำกิจกรรมตามที่เที่ยวต่าง ๆ เยอะ ๆ นะครับเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ รวมถึงฝึกอาชีพ และภาษาด้วย



มาถึงแล้วต้องยอมรับเลยว่าดีกว่า ภูชี้ฟ้าที่ต้องไปอีกตั้ง 25 กม. นะ ที่นี่ยังใหม่อยู่แล้วก็ วิวที่เห็นก็เยี่ยมทีเดียวเลยครับ แต่เสียอย่างเดียวครับที่นี่ยังมีบ้านพักให้นักท่องเที่ยวน้อยอยู่ครับ แต่คิดว่าไม่นานคงเยอะและก็จะโทรมลง เพื่อน BP จะไปช่วงต้น ๆ นี้ก็ดีนะครับ เอแต่เห็นเขาปลูกต้นพญาเสือโคร่ง ซากูระเมืองไทยเพิ่มอยู่ ต่อไปอีกห้าปีอาจสวยกว่านี้ก็ได้นะ



ต่อด้วยใบไม้แบบ Maple



แล้วก็อีกวิวครับ เส้นทางขึ้นมาที่นี่



แล้วนี่ก็ภาพบ้านพัก เหมยฮัวครับ ใช้ได้เลยครับ เตียงใหญ่สองเตียงนอนได้ 4 คนห้องละ 1000 บาทรวมอาหารเช้าครับ อ้ออาหารที่นี่ก็ไม่แพงนะ ผัดผักอะไรจำไม่ได้ละอร่อยมาก ๆ ครับ อีกเมนูที่แนะนะก็ ขาหมูหมั่นโถวครับ



ร้านอาหาร



เบอร์ที่เห็นคือ 0871918808 ถ้าจะกางเต้นท์ก็มีลานให้กางนะครับ มีห้องน้ำที่พอใช้ได้ทีเดียวครับ



ก็ติดตามข่าวผลเลือกตั้งทั้งวัน แวบไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตก รวมถึงแวบดูหนัง cable บ้างก็สบายไปครับ วันต่อมาก็สบาย ๆ เพราะมีเวลาเยอะตื่นสายไปที่สามเหลี่ยมทองคำ และด่านแม่สาย



วันอังคารก็ไปทำเรื่องที่ด่านเชียงของแต่เช้าตรู่ กว่าจะเสร็จเรื่องที่ด่านห้วยทรายทางลาวก็เกือบเที่ยงแล้วครับ ค่าแพขนานยนต์แพงทีเดียวคันละสองพัน ถ้าไปคันเดียว แต่ถ้ามีหลายคันก็แค่คันละพัน แล้วก็เสียพวกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทางลาวรวม ๆ ก็ประมาณพันบาทได้ครับ ที่ลาวนี่ใช้เงินบาทได้เลยครับไม่ต้องห่วง อ้อเรื่องการเตรียมตัวเพื่อนำเรถข้ามไปเที่ยวลาวตามนี้ครับ

//www.unlimit-travel.com/board/viewtopic.php?t=95

แล้วแผนที่ก็ไปหาได้ที่นี่ครับ

//www.ecotourismlaos.com/maps.htm



ถนนเส้นใหม่สาย 3 เพื่อเข้าจีนตอนใต้ใกล้เสร็จแล้วเหลือเพียงบางช่วงที่ซ่อมนิดหน่อยที่กำลังจะเปิดเป็นทางการแล้วครับ



ระยะทางถึงด่านบ่เตนประมาณ 200 km แต่ทางโค้งผ่านเขาสูงชันเลยต้องใช้เวลาวิ่งประมาณ 3-4 ชั่วโมงครับ มาถึงก็เข้าไปเที่ยว casino และก็จะพักที่นี่แต่เจอห้องละ 580 RMB (2000+ บาท) ก็เลยถอยไปพักที่หลวงน้ำทาดีกว่า (200+ บาท) เมืองนี้ที่เขามาเพื่อเดินป่าครับ แล้วก็ไปเที่ยวเมืองสิง แต่ผมก็ไม่ไปดีกว่าดูผลเลือกตั้งต่อดีกว่า อิอิ

ภาพ casino



ภาพตลาดที่หลวงน้ำทาครับ ของน่ากินเยอะดี แต่ก็ทานแค่พวกขนมเท่านั้น ส่วนอาหารหลักก็มาทานร้านอาหารดีกว่า แล้วแน่นอนก็ต้องซดเบียร์ลาวครับ อิอิ



วันรุ่งขึ้นก็ออกเพื่อไปหลวงพระบางเลย ระยะทางยาวไกลครับ อิอิ มาพักทานข้าวที่อุดมไซครับ ทาง~200 km ถนนช่วงเนี้ยแย่มาก ๆ ครับ อุดมไซเขาก็มาเที่ยวป่าเหมือนกันครับ



มีชิงโชคเหมือนบ้านเราเลย



จาก อุดมไซไปหลวงพระบางอีก ~ 150 km นั้น ทางค่อนข้างดีครับ อ้อ จากอุดมไซต้องเจอแยกนี้เลี้ยวซ้ายไปนะ อย่าตรง ป้ายไม่มีต้องถามทางตลอดเลย เกือบไปแล้ว



การขับรถมาแบบนี้เหนื่อยนะครับแต่ไม่มากเท่าไร เมื่อเทียบกับธรรมชาติ และวิถึชีวิตชาวบ้าน สองข้างทางที่เราได้สัมผัส



กว่าจะถึงหลวงพระบางก็ประมาณสามโมงกว่า ๆ วิ่งหาที่พักแถบริมน้ำ และวัดดังก็เต็มเลยมานอกเมืองดีกว่าก็ได้เลยไม่แพงเท่าไร คืนละ 500 บาท



ได้ที่พักก็ไปเดินในเมือง เดินถนนคนเดิน shopping แต่ไม่ได้อะไรตามเคย อิอิ



ตลาดแบกะดิน



วันรุ่งก็จะไปเที่ยวสองที่ฮิต ถ้ำติ่ง กับน้ำตกกวางสี

มาดูป้ายบอกทางซะหน่อยไหม ซึ่งมีน้อยมากนะในลาวเนี่ย แต่โชคดีที่ภาษาไทยลาวคุยกันรู้เรื่อง



ทางไปถ้ำติ่งต้องออกนอกเมืองไปอีกสิบกว่าโล แล้วจะเจอทางเข้าแบบถนนลูกรังขับไปอีก 11 km ครับ เสียค่าจอดรถ 5000 kib เสียค่าเรือคนละ 10000 kib แต่เราให้เขาคนละ 50 บาท



ภายในก็มีพระพุทธรูปเยอะทีเดียวครับ มาดูประวัติกันครับ









แล้วก็เดินปืนต่อไปที่ถ้ำเทิง



ต่อด้วยภาพประวัติถ้ำ



แล้วก็มาแวะทานเป็ดปักกิ่ง มื้อเที่ยงระหว่างทางกลับไปน้ำตกกวางสีครับ อร่อยและไม่แพง เสียดายน้ำจิ้มเค็มไปนิด แม้ปรุงเองแล้วก็ยังไม่ค่อยถูกใจ อิอิ แถมเจ้าของใจดีแถมของกินอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นถ้วทอดกับตีนเป็ด หรือผลไม้ คิดว่าเขาคงเน้นที่ทัวร์มากกว่านะ



แล้วต่อไปน้ำตกกวางสีครับออกจากเมืองหลวงพระบางประมาณ 25 km ถนนช่วงนี้ทางดีมากครับ



เห็นการตำข้าวที่น้ำตกด้วยครกรหัสน้ำ



ต่อครับจุดหลักครับของที่นี่ ของจริง อลังการพอได้ครับ



แล้วก็กลับมาโยนโบว์ลิ่ง ซึ่งของที่นี่มีแค่ 8 เลนแล้วก็สภาพพอใช้ได้ค่าเกมถูกดี 10k ก่อนหกโมง หลัง 12k ก็ประมาณเกมละ45 บาทอ่ะครับ รองเท้าก็ฟรีครับ บางคนที่นี่ใช้เท้าเปล่าโยนกันเลย เล่นเอาเรางงเลย





วันต่อมาก็ตื่นแต่เช้าเพื่อทำสิ่งที่เป็นเสน่ห์ของหลวงพระบางครับ ตักบาตรพระ 200 กว่ารูปครับ แต่ใช้บริการคนที่มาขายที่จุดตักบาตรเลย มองในแง่นักท่องเที่ยวก็สะดวก แต่ไปเจอป้าที่ตักบาตรข้าง ๆ เขาบอกว่าควรไปซื้อที่ตลาดนะครับ



แล้วก็เที่ยววัดดัง เสียงทอง



กลับมาอาบน้ำที่ห้องแล้วก็ออกเดินทางต่อไปวังเวียงครับ คราวนี้ได้เจอทางโค้งของจริงแล้วที่มีคนเตือนนักเตือนหนา แต่ผ่านมาได้สบาย ๆ ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว แค่ต้องตั้งสติให้แน่วแน่ ถนนรถวิ่งสวนกันได้ไม่น่ากลัวอย่างที่มีคนบอก ผมว่าก็เหมือนกับถนนทางไปแม่ฮ่องสอนนะแหละ แต่สภาพถนนสู้เรายังไม่ได้แค่นั้นเอง



ระยะทางแค่ ~200km แต่ต้องวิ่งประมาณ 5 - 6 ชั่วโมงทีเดียว มาแวะทานข้าวที่ กาสีครับ มาดูวิวระหว่างทางครับ



สองฝั่งก็จะเห็นการตากและฟาดดอกหญ้าไม้กวาดตลอด รวมถึง ฟืน ที่ทำให้น่าเป็นห่วงเรื่องป่าไม้ของลาวจริง ๆ



ภาพวิวริมฝั่งโขง



กว่าถึงวังเวียงก็บ่ายสามแล้วหาที่พักได้ก็สี่โมงละ เที่ยวถ้ำก็ไม่ได้ ล่องห่วงยางก็ไม่ได้ เลยนอนดีกว่า แล้วเย็นหน่อยก็ออกมาทานข้าวเย็นแล้วก็นวดที่ลาวซิเป็นจะได อิอิ

ภาพคัมโฟน GH ครับห้องละ 500 บาท



เช้าวันรุ่งก็ไปเที่ยวถ้ำจังครับ เข้าไปในวังเวียงรีสอร์ท



ต้องผ่านสะพานแขวนสีส้มนี้ครับ



วิวจากบนถ้ำ เอ่อแนะนำว่าการเที่ยวถ้ำควรมีไปฉายไปด้วยนะครับ แต่ถ้าไม่มีก็ไปเช่าที่นั่นได้ ถ้ำจังช่วงต้น ๆ จะมีไฟถึง แต่ช่วงในต้องถือไฟฉายเข้าไปเอง



มาดูความเจริญที่มาบดบังความงามด้วยฝีมือพวกมักง่ายครับ ขยะเยอะมาก รอยขีดเขียบก็เยอะ



แล้วก็ขับต่อไปเวียงจันทน์ครับ ขับสบายละแม้มีเขานิดหน่อย ไปถึงก็ไปพักที่ โรงแรมดวงดี คืนละ 600 มีอาหารเช้าแต่ก็ไม่ได้ทานอีก 555 ตื่นสายอ่ะ ที่นี่คนไทยนิยมนะห้องดีราคาถูก

จุดแรกที่แวะอนุเสาวรีย์เจ้าฟ้าลาว



ไปต่อและนั่งพักดูน้ำพุเต้นระบำที่ประตูชัยครับ



ลูกสาวเรานำเล่นน้ำ คราวนี้เด็กมาเล่นตามกันตรึมเลย



แล้วไปต่อทานข้าวเย็น ดูอาทิตย์ตก แถบร้านที่สวนริมโขง มีอาหารขายเพียบครับ



แล้วส่งลูกเข้านอน ให้อยู่กับแม่ยาย ส่วนพ่อแม่ก็ไปโยนโบว์ลิ่งที่เวียงจันทน์อีก ไปล่นที่แรก MArina เลนไม่ลงน้ำมันเลยหัวทิ่ม ต้องรีบเผ่นไปอีกที่ สโมสรโบว์ลิ่งเวียงจันทน์ ขากลับแวะถ่าย novotel สวยดีครับ



วันรุ่งไปเที่ยวต่อที่หอพระแก้ว





ไปต่อกันที่วัดสีเมือง



ข้าง ๆ วัดมีอนุเสาวรีย์เจ้าเหนือชีวิตลาว



ไปพระธาตุหลวงแต่ไม่ได้เข้าคนเยอะ แล้วนี่หอวัฒนธรรม



ทางจากเวียงจันทน์ไปสะพานที่ใกล้ ๆ แค่ ประมาณ 20 km นี้เป็นสี่เลนดีมาก ๆ เทียบกับเกือบสิบปีก่อนที่ผมเคยแวะมาเที่ยว มาถึงด่านที่สะพานต้องอึ้งเพราะคนลาวข้ามมาฝั่งเรา และคนเราข้ามไปลาวเยอะมาก ๆ เสียเวลาไปพอควร อ่ะฝากอีกนิดด้วยป้ายนี้ครับ



ข้ามมาหนองคายก็เที่ยงกว่าเลยเข้าเมืองหาของกินวนไปเจอร้านนี้ครับ อร่อยและถูกครับ เห็นป้ายคล้ายเรื่องในหนังสือพิมพ์ด้วย



ตั้งใจไปเที่ยวดูไดโนเสาร์แต่กลับบ้านเลยดีกว่า ก็แค่แวะถ่ายกับรูปปั้นหน้าเมืองครับ



ขับกลับวันที่ 30 นี้ดีนะรถไม่เยอะถึงบ้านสามทุ่มครับ แวะทานข้าวซื้อของฝากที่ร้านเตียหงี่เฮียง โคราช จบทริปด้วยค่าใช้จ่ายไม่ถึงสองหมื่นบาทครับสี่ชีวิต




 

Create Date : 31 ธันวาคม 2550    
Last Update : 15 ธันวาคม 2551 20:46:54 น.
Counter : 1879 Pageviews.  

ลาวใต้ขับรถลุยโลด

ขับรถเที่ยวเองในลาวใต้ง่ายมาก ๆ ครับไม่ยุ่งยากเลย ประหยัด(ถ้าจำนวนคนไปพร้อมกันหลายคน) และสะดวกสบายมากครับ

เริ่มด้วยการเตรียมตัวก่อนนะครับ ไปดูวิธีการนำรถข้ามไปลาวได้ที่นี่ครับ
//www.unlimit-travel.com/board/viewtopic.php?t=95
ที่ในเวบนี้ไม่ได้ลงคือเรื่องค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าประกันซึ่งจะแล้วแต่ชนิดรถ จำนวนผู้โดยสาร ฯ และที่ ๆ ไปครับแต่ว่ากันว่าไม่น่าเกินพันบาทครับส่วนผมจ่ายไป 700 บาทครับ แล้วก็เตรียมเผื่อค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไปอีกนิดหน่อยนะครับ เช่นค่าธรรมเนียมนำรถเข้าออก ค่าเอกสาร ค่าธรรมเนียมเข้าลาว (ป้ายเขียน 5000กีบต่อท่าน แต่เจ้าหน้าที่เรียก 200 บาท 4 คน (อัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้น 1บาท=280 กีบ)) ซึ่งที่ดูมาจากของคนอื่น ๆ กับที่เราจ่ายไม่ค่อยตรงกันก็ไม่รู้มันมีมาตรฐานหรือเปล่าแต่ไม่คิดมากครับอยากเที่ยวจ่ายอีกไม่กี่ตังค์แลกกับความสะดวกครับ

แล้วก็แผนที่ลาวครับ //www.ecotourismlaos.com/maps.htm ส่วนผมก็ใช้มันหมดรวมทั้ง googleearth+Goops GPS ด้วย อิอิ

แล้วเช่นเคยครับแหล่งข้อมูลหลักผมก็ต้อง 3 webs นี้ครับ //www.wutkate.com //www.trekkingthai.com //www.pantip.com/cafe/blueplanet

สรุปโปรแกรมนี้ก็เดินทางด้วยรถยนต์ไปตามเส้นทางชัยภูมิเพื่อแวะทุ่งดอกกระเจียว แล้ววิ่งตัดไปทางเส้น 23 ผ่านมหาสารคาม ยโสธรเข้าเที่ยวที่อุบล ข้ามไปลาวใต้ ดูงานแห่เทียนพรรษา แล้ววิ่งกลับเส้น 24 แวะเที่ยวเขาพระวิหารครับ ค่าใช้จ่ายหลักจะหนักไปที่น้ำมันนะครับ อิอิประมาณห้าหกพันบาท ค่าอาหารรองมาครับเฉลี่ยมื้อละสามถึงสี่ร้อยบาทเพราะสำหรับผมเรื่องกินเท่าไรเท่ากันขอให้อร่อย อิอิ ค่าโรงแรมสองพันกว่า@400บาท แล้วก็ค่าเข้าที่เที่ยวต่าง ๆ ครับโดยเฉพาะที่ลาวใต้นี่เก็บจังเลยครับ

เริ่มเลยนะครับตอนแรกว่าจะออกแต่เช้ามืดเพื่อไปดูดอกกระเจียวแต่ไม่ไหวครับเลยออกจากบ้านเกือบเก้าโมงเช้าแหนะ แวะเที่ยวที่แรกก่อนนะครับทุ่งดอกกระเจียว ที่ป่าหินงาม จังหวัดชัยภูมิครับ







ว่าจะไปเที่ยวอุทยานฯไทรทองต่อแต่ร้อนมากครับไม่ไหวเลยจะวิ่งต่อไปอุบลเลยดีกว่า ระหว่างทางก็แวะเที่ยวอนุเสาวรีย์ที่ชัยภูมิครับ



ไม่รู้เพื่อน ๆ เป็นกันไหมเวลาวิ่งตามเส้นทางนี่ผ่านเมืองทีไรหลงทุกที แปลกแต่จริงครับทางหลวงบ้านเราเลขเดียวกันมีไม่รู้กี่ถนนเพราะตัดเลี่ยงเมืองเก่าบ้างใหม่บ้าง ป้ายผิดบ้างพังบ้าง เฮ้อ สุดท้ายก็ใช้ IGO GPS Navigator มาช่วยครับแต่เนื่องจากแบต PCC มีน้อยเลยต้องคอยเปิดเวลาวิ่งผ่านเมืองเพื่อให้มันนำทางเท่านั้น แต่บางครั้งก็ไม่วายต้องใช้ปากถามทางบ้างครับแต่วันหลัง ๆ นี่คล่องแล้วใช้ดูแผนที่ประกอบการตัดสินใจไม่เชื่อ IGO ทั้งหมดหรอก อิอิ

วิ่งไปเรื่อยจนเย็นก็หิวแล้วเลยแวะทานข้าวที่ร้อยเอ็ดครับ มีคู่มือร้านอร่อยทั่วไทยของปตท.ลองหาแล้วไม่เจอสักที IGO ก็มีไม่หมดสุดท้ายก็ใช้ดูแผนที่เอาและก็กะ ๆ เอาแล้วก็ได้ผลครับมาลงตัวที่ร้านข้าวต้มคนเห็นคับ อร่อยและถูกทีเดียวเลยครับ

อิ่มแล้วก็วิ่งต่อจะไปอุบลเลยแต่มืดมากก็เลยต้องแวะนอนพักที่ยโสธรแทนครับ ที่พักเอาแค่นอนอย่างเดียวเลยพักคืนละแค่ 250 เองครับอิอิ

เช้าขึ้นมาก็แวะหาอะไรทานที่ตลาดก่อนครับได้ทานขนมครกแปลก ๆ ที่มีแต่กะทิถ้าเราต้องการหวานเขามีน้ำตาลให้เติมเองครับก็ใช้ได้ถูกดีสิบบาทเองได้หลายคู่เลยครับ



อิ่มแล้วก็วิ่งต่อเลยครับที่เที่ยวขึ้นชื่อยโสธรก็ต้องนี่เลยครับ พระธาตุก่องข้าวน้อยครับ



ที่นี่มีคนมาเที่ยวเยอะนะครับแต่ทำไมไม่ค่อยพัฒนาให้ดูดีกว่านี้นะ

แล้วก็ไปต่อถึงอุบลก็หาของทานเลยครับเกือบเที่ยงพอดี แวะทานแหนมเนืองอาหารเวียดนามร้านดังครับ ร้านอินโดจีนครับแต่ราคานี่แพงกว่าที่เราทานที่กรุงเทพมากเลยนะเฮ้อ แต่ก็อร่อยคนละแบบกับที่เคยทานนะครับ แล้วก็ปฏิบัติการ IGO หาโรงแรมครับแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ว่างเลยครับสำหรับวันงานแห่เทียน ได้เฉพาะคืนที่เราถามเท่านั้นสรุปว่าพักที่ โรงแรมศรีอีสานครับ ห้องเยี่ยมราคาไม่แพงครับ 550 บาทรวมอาหารเช้าสองที่ครับ ที่นี่ผมชอบอาหารเวียดนามด้วยอร่อยครับ เมนูที่ชอบคือ ศรีอีสานมะละกออร่อยครับ คล้าย ๆ กับส้มตำไทย



แล้วเราก็ไปเที่ยวต่อกันที่แก่งสะพือ



เขื่อนปากมูล และผาแต้มครับ



เดินลงไปดูภาพผนังโบราณเหนื่อยเอาการเลยครับเดินเป็นกิโลลงหน้าผาไปแต่เดี๋ยวนี้เขาทำทางเดินค่อนข้างดีกว่าเมื่อก่อนนะครับไม่ได้มาแวะสิบปีละ



อ้อที่นี่เป็นอุทยานฯนะเสียค่าเข้าด้วยนะครับ อัตราค่าธรรมเนียมกรมอุทยานครับ //www.dnp.go.th/parkreserve/fee/feerate.asp?lg=1
ขากลับก็หลงอีกครับแวะกลับอีกเส้นนึงครับไม่ใช่ทางเดิมแต่ก็มาถึงอุบลเหมือนกันแต่ทางกำลังซ่อมอยู่ แต่ก็ดีไปอีกแบบก็คือได้เห็นอีกด้านของชีวิตชนบทครับ



รุ่งขึ้นก็มุ่งหน้าเข้าลาวผ่านทางด่านช่องเม็กครับ



ที่เห็นนี่ตึกยังไม่เสร็จนะครับถ้าเสร็จแล้วคงจะสะดวกขึ้นเหมือนด่านอื่น ๆ นะครับตอนแรกกังวลเหมือนกันครับว่าจะมีปัญหาอะไรไหมจะขาดเอกสารอะไรไหมจะยุ่งยากอะไรมากไหม แล้วก็ลุย ๆ ถามดะไปเรื่อย สุดท้ายก็เอาข้ามไปเที่ยวได้อย่างสบายใจครับ อิอิ

จะขับข้ามเข้าลาวอย่างแท้จริงหลังจากด่านนี้ที่ต้องไปลงทะเบียนกับศุลกากรลาวก่อน



แล้วประมาณ 44 โลเราก็มาถึงเมืองปากเซครับถนนที่ลาวใต้นี่เป็นถนนลาดยางสองเลนสวนวิ่งสบายครับรถน้อยไม่มีตำรวจมาจับความเร็วด้วยครับอิอิ แล้วก็หาของทานกันไปลงตัวที่ร้าน NS สุกี้ครับ



อาหารอร่อยทีเดียวเลยครับ แต่อาหารที่ลาวใต้นี่แพงครับตอนแรกนึกว่าจะถูกกว่าบ้านเราซะอีก เมนูแนะนำครับคือ สุกี้สำหรับมื้อเย็น 70000 กีบ แหนมเนือง 60000 กีบ และที่ผมชอบสุดก็ปอเปี๊ยะหรือที่นี่เรียกว่า จ๊ะหย่อ ครับ 30000 กีบ



อิ่มแล้วก็หาโรงแรมครับเช่นเดียวกับที่อุบลเต็มเกือบทุกที่เลยครับแต่ก็ยังดีไปได้ที่นึงครับห้องแอร์ราคา 400 บาท แต่จริง ๆ มันก็ไม่ร้อนนะครับห้องพัดลมแค่ 250 เองครับ มีที่ถามมาห้อง 100-150 พัดลมก็มีนะครับ ที่ผมเล็งไว้สำหรับทริปหน้าต้องที่นี่ครับ



ห้องแอร์ 500 บาทครับดูดีมาก ๆ ครับ แต่ว่าไปที่เมืองปากเซนี่ถ้าไม่ใช่เทศกาลก็มีให้เลือกเพียบเลยครับ วิ่งหาได้เลยครับ

เอ่อลืมบอกไปที่ลาวนี่มีด่านเก็บค่าผ่านทางเป็นจุด ๆ หลายจุดนะครับ จะเข้าเมือง ออกเมืองปากเซ เนี่ยคันละ 2000 กีบครับ

ได้ที่พักแล้วก็ลุยต่อเลยครับไปที่ใกล้ ๆ กันก่อนที่ตาดผาส้วมจากเมืองวิ่งมายี่สิบนาทีก็ถึงครับ



นี่เจ้าของสัมปะทานเป็นคนไทยมาลงทุนครับปรับแต่งจนดูดีน่าเที่ยวมากครับแต่ค่าที่พัก และอาหารนี่แพงไปหน่อยครับ เลยอุดหนุนแค่กาแฟ 10000 กีบกับน้ำแปลก ๆ ทีเขาแนะนำ 10000 กีบครับ



นี่เลยครับรูปทานไปแล้วครึ่งแก้วแต่ทานไม่หมดครับ



รสชาตคล้าย ๆ ฟักทองบดอ่ะซึ่งผมก็ไม่ค่อยชอบเลยแค่พอใช้ครับ

คุยสักพักเจ้าของก็แนะนำให้ไปแวะชมชีวิตหมู่บ้านชาวเขาที่นั่นครับ ดู ๆ แล้วเหมือนสร้างขึ้นนะได้ยินว่าแค่สิบนาทีเลยลองแวะที่ไหนได้ชั่วโมงกว่าเดินเมื่อยเลยครับ เลยไปน้ำตกตาดฟานดีกเลยไม่ทันได้เดินเที่ยวเลยครับ

มีช้างให้ขี่เที่ยว และให้อาหารครับ



ตัวนี้เขาบอกว่าอายุตั้ง 46 ปีแล้วนะเนี่ย ช้างนี่กินจุมาก ๆ เลยนะครับเห็นเขาว่าต้องให้วันนึงหลายเข่ง ไอ้ตอนเราซื้ออาหารให้จ่ายไปตั้ง 10000 กีบเขาจะให้เราป้อนตั้งหลายหวีเราก็ว่าแบ่งให้คนอื่นป้อนบ้าง กลัวว่าช้างจะทานมากไป แต่พอทราบปริมาณแล้วก็ป้อนแค่สองหวีพอครับ



บ้านแบบโฮมสเตย์ครับหัวละ 400 บาทต่อวันรวมอาหารเช้าเย็น



นี่ก็ที่ชุมนุมของหมู่บ้าน



มีช้างจริงก็มีช้างปลอมด้วย อิอิ




วันรุ่งขึ้นก็ต้องเติมน้ำมันครับที่นี่แพงกว่าเมืองไทยมากเพราะต้องนำเข้าจากพี่ไทยนี่แหละ อิอิ ดีเซลลิตรละ 30 กว่าบาทครับ วันนี้ต้องไปไกลเลยครับ คอนพะเพ็ง จากปากเซ 165 กม.แค่นั้นเอง



แวะทานข้าวเที่ยงที่นี่ก่อนเพราะนึกว่าใช่แต่ไม่ใช่ครับ อิอิ อาหารที่รีสอร์ทนี้ก็ไม่ได้แพงมากนะครับ

ภาพถ่ายคอนพะเพ็งจากบริเวณร้านค้าที่จอดรถครับ





แล้วนี่ก็จุดถ่ายภาพยอดฮิตที่ศาลาครับ พร้อมด้วยนางแบบน้องต้าร์ขาลุยครับ อิอิ





จริง ๆ แล้วควรไปต่อที่ด่านชายแดนลาวกัมพูชาใกล้ ๆ นะครับแต่ว่าเราก็ไม่ไปเพราะไม่รู้ และเวลาอาจไม่พอครับก็เลยไปต่อที่น้ำตกหลี่ผีครับ เขาว่าเป็น ไนแองการ่าแห่งเอเชียเชียวนะครับ อิอิ



จะไปที่นี่ต้องไปข้ามเรือนะครับที่บ้านนากะสังค์ รถข้ามไม่ได้ต้องฝากไว้ครับค่าฝากรถก็ 3000 กีบ ค่าเรือหางยาวคนละ 15000 กีบไปกลับครับเราเหมาลำ 50000 กีบครับ นี่จุดซื้อตั๋วที่ท่าเรือครับ



ให้ดูนายแบบและวิวบนเรือครับ อิอิ



เรือจะไปจอดที่บ้านดอนเดดครับ แล้วต้องนั่งรถที่เห็นนี้คนละ 15000 กีบนะ ถ้าไม่ถึง 10 คนต้องเหมา 150000 กีบครับเลยซวยครับต้องรออีกลุ่มมาเพื่อแจม



รถนี้จะวิ่งบนถนนที่ถมทับทางรถไปเดิมครับสมบุกสมบัน หั่วสั่นคลอน ฝุ่นตลบมาก ๆ ครับไม่เหมาะกับผู้สูงวัยที่สุขภาพไม่ค่อยดีแน่ ๆ ครับ อิอิ



บ้านพักบริเวณดอนเดด



ลงรถแล้วก็ต้องเดินไปที่น้ำตกอีกประมาณ 100 เมตรได้ครับ



ต้นไม้แปลกดีครับ



แล้วก็กลับที่พักครับที่นี่เวลามืดถนนไม่น่าวิ่งเท่าไรนะครับ ขนาดกลางวันยังต้องหลบพวกวัวควายแพะไก่ คน แมงไซ จักรยาน แบบว่าต้องเหยียบเบรคกระทันหันบ่อย ๆ เลย กลางคืนนี่ไม่ต้องคิดเลยครับ เกิดเหตุต่างบ้านนี่ไม่รู้ต้องโดนอะไรบ้างเลยต้องรีบกลับหน่อยครับ

ต่อครับวันนี้จะไปเที่ยววัดพู (Wat Phou) มรดกโลกเชียวนะครับเนี่ย ไปที่นี่ต้องเลี้ยวขวาที่ประมาณหลักสามสิบ (ก็ประมาณ 30 กิโลจากเมืองปากเซ) แล้ววิ่งไปเรื่อย ๆ ครับถึงท่าเรือป้ายบอกว่าถึงวัดพู 17 กิโลเมตรครับ ต้องเอารถข้ามเรือแบบเนี้ย เสียวมะอย่างนี้มันเสียวมะ อิอิ



เป็นแพรถยนต์ที่เขาเอาเรือสามลำมาต่อกันโดยแผ่นกระดานครับ ค่าเรือก็ 28000 กีบหรือ 100 บาทไม่มีเงินลาวจ่ายเงินไทยพี่เขาขอ 120 บาทเลยนะแต่ขากลับรู้ทันจ่ายเงินลาวเลย อิอิ

พอขึ้นท่าเรือก็เลี้ยวขวาวิ่งไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเดียวไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงครับ ที่นี่เสียค่าเข้าชมแพงมากครับคนละ 30000 กีบแหนะ คราวหน้าผมคงไม่มาละ อิอิ



เดินขึ้นไปทั้งไกลทั้งเหนื่อยทั้งร้อนเลยครับ ไม่น่าเชื่อครับมรดกโลกที่นี่มีการดูแลที่ไม่ค่อยดีเท่าไรเลยครับ

เดินเข้ามาประมาณ 200 เมตรก็ถึงทางเข้าปราสาท

ขึ้นถึงจุดปราสาทแล้วครับ จริง ๆ ก็ยังมีบางส่วนด้านบนอีกนะครับ แต่ก็ไม่ค่อยมีคนไปเที่ยวกันครับเพราะดูไม่ค่อยน่าจะมีอะไรน่าสนใจครับ



ไหว้พระอิ่มบุญไปครับ ที่นี่เป็นที่นับถือของลาวมาก ๆ นะครับ



วิวด้านบนเห็นโครงสร้างคูเมืองด้วยสวยดี



วันนี้ที่นี่มีเวียนเทียนด้วยนะแต่ว่าก็ไม่ได้ออกไปหลอกครับติดละครอ่ะ อิอิ ที่นี่วันพระแต่งตัวสวยงามไปทำบุญกันครับ ร้านก็ปิดกันเยอะเลยครับเรามาแวะเที่ยวที่ตลาดปากเซก่อนกลับโรงแรมครับ







นี่ร้านกาแฟเดลต้า ร้านดังอีกร้านของที่นี่เห็นรถคนไทยจอดแวะทานกันเยอะเลยครับ อยู่ใกล้ ๆกับร้าน NS สุกี้ที่แนะนำไว้ก่อนหน้านี้เลยครับ





วันแห่เทียนพรรษาก็วิ่งกลับอุบลครับกว่าจะมาถึงก็เกือบเที่ยงแล้วก็แวะหาที่จอดครับ แล้วก็วนไปจอดที่ หน้าโรงแรมศรีอิสาณ ก็เลยทานข้าวที่นี่อีกเพราะติดใจครับ อิอิ



เพิ่งมารู้ว่ามาเที่ยวถ่ายภาพตอนกลางคืนก็ได้ครับไม่ร้อนด้วย แต่ก็เนอะกลางคืนก็ไม่ได้ดูสาว ๆ สวย ๆ ในขบวนซิ อิอิ

แล้วก็แวะดูวงโปงลางอย่างสนุกสนานทีเดียว แต่อยู่ร่วมดูได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ต้องเผ่นครับเพราะร้อนมาก



ไปหลงที่สถานีรถไปอุบลนิดหน่อยครับ

วิ่งกลับกรุงเทพแล้ว แต่ก็แวะเที่ยวเขาพระวิหารก่อนครับ




เราถึงเขาพระวิหารก็บ่ายสามกว่าแล้วครับแล้วยังเจอหมอกลงจัดอีก แต่ไม่เป็นไรถึงแล้วก็ต้องลุยเดินไปเหนือยมากกว่าถึงทางขึ้นก็เป็นกิโลแล้วนะ ต้องปืนขึ้นเขาอีก 4 ชั้นเหนื่อยมาก ๆ ครับ



น่าเสียดายนะครับถ้าอยู่ในความดูแลของไทยน่าจะดีกว่านี้มากครับ เสียค่าเข้าอุทยานเขาพระวิหารก่อน แล้วก็มาเสียค่าเข้าบริเวณชายแดนเขมรคนละ 5 บาท แล้วถ้าจะขึ้นเขาพระวิหารก็ต้องเสียอีกคนละ 50 บาทนะครับ

ขับกลับคาดหวังว่าเส้น 24 นี้จะเป็นสี่เลน แต่ที่ไหนได้สองเลนสวนตลอดวิ่งกลับบ้านมืด ๆ เสียวมาก ๆ ครับ ทางก็ซ่อมเป็นระยะนะเนี่ย มีดีหน่อยตรงช่วงโคราชแค่นั้นเองครับเฮ้อ ๆๆๆ กว่าจะถึงบ้านก็เที่ยงคืนกว่า ๆ ครับ จบทริปแบบเหนื่อยโคตร ๆ ครับ




 

Create Date : 07 สิงหาคม 2550    
Last Update : 11 มกราคม 2551 16:59:08 น.
Counter : 3138 Pageviews.  


ok3
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ok3's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.