เขาสันหนอกวัว เขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม

เนื่องจากอุบัติเหตุทางการสื่อสาร หรือฟ้าลิขิตชีวิตพวกเราทั้ง 9 ชีวิตก็ไม่ทราบได้ 

ทำให้ทริปเดิมที่พวกเราตั้งใจจะไป "เขาช้างเผือก" ต้องถูกเปลี่ยนมาเป็น "เขาสันหนอกวัว" 
อุทยานแห่งชาติเขาแหลม จังหวัดกาญจนบุรี

กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจเดิมที่ต้องการเดินป่าของพวกเราลดลงแต่อย่างใด 
จะเขาช้าง.. หรือเขาวัว.. ต่อให้เป็นเขากวาง เขาควาย เราก็จะไป อะไรก็ไปได้ทั้งนั้นแหล่ะ 
ขอแค่ไม่สวมเขาเป็นพอ ฮี้!

เมื่อถึงเวลาคืนวันศุกร์ เวลาสองทุ่มตรง จำนวนสมาชิกครบ
เสื้อผ้า (หน้า ผม: 2 อย่างนี้ไม่จำเป็น) รองเท้า กระเป๋า สุขภาพ ความฟิต 
ทุกคนยืนยันว่า พร้อม!!! ออกเดินทางได้   

ขออนุญาตเน้นย้ำเรื่องความฟิตของร่างกาย ทุกท่านควรอย่างยิ่งยวดที่จะต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน เป็นอย่างต่ำ เพื่อให้กล้ามเนื้อขา กล้ามเนื้อเข่า 
พร้อมกับการถูกทรมาน ด้วยระยะทางชันเป็นเวลาเดินกว่าครึ่งวัน!

เพราะการบาดเจ็บระหว่างทางในป่า เป็นเรื่องน่าเศร้าใจสำหรับทั้งตัวเองและเพื่อนร่วมทางเป็นอย่างมาก การป้องกันเท่าที่ทำได้ดีที่สุด จึงมีแค่การออกกำลังกาย และอุปกรณ์*

*อุปกรณ์ในที่นี้ หมายถึง 
-เสื้อแขนยาวป้องกันหนามจากกิ่งไม้ หรือใบไม้บาดระหว่างเดินฝ่าดงหญ้า
-กางเกงที่ไม่ใช่ยีนส์ (น้ำหนักกางเกงจะทำให้เราก้าวขาไม่ออก) และต้องเป็นกางเกงขายาวเท่านั้นค่ะ นอกจากเหตุผลเดียวกับเสื้อแล้ว คือ ช่วยป้องกันทาก คุ่นป่า ยุง ฯ
-รองเท้าไม่จำเป็นต้องแพง ขอแค่มีพื้นหนา เดินได้ไกล ขนาดควรให้หลวมนิดหน่อย 
เพื่อป้องกันการกดนิ้วหัวแม่เท้า เมื่อเดินนานๆไกลๆ หากรองเท้าพอดีมากจะทำให้นิ้วเท้าพองได้ คงจะนึกภาพออกนะคะ ว่าถ้าเราน้ิวเท้าพอง เราจะเดินต่อยังไง
-สุดท้ายคือ ของที่ใส่มาในกระเป๋า เอาแค่จำเป็นนะคะ จำเป็นแปลว่า "ชีวิตขาดไม่ได้" 
ลองนึกภาพการสะพายเป้ในเล็กๆนำ้หนักไม่เยอะ ณ ตอนเราลองสะพายครั้งแรก 
แต่หากลองมันอยู่บนแผ่นหลังเราสักครึ่งวัน แทบอยากจะโยนทิ้งค่ะ 
สำหรับบางคนที่ทุกอย่างจำเป็นหมดค่ะ ทำไงดีคะ? ก็เดือดร้อนเพื่อนๆล่ะสิคะ 
ต้องกระจายของให้เพื่อนช่วยถือคนละ 1 ชิ้น

เอ๊า! พร้อมเดินทางได้ ออกจากกรุงเทพฯ 2 ทุ่ม 
ถึงอุทยานแห่งชาติเขาแหลม น่าจะประมาณตี1-ตี2 โดยประมาณค่ะ 
พวกเราพักกางเต้นท์ตอนมืดๆงงๆ แบบนี้แหล่ะค่ะ (ห้ามลืมไฟฉาย)
เพื่อรอเวลาตอนเช้า 

หลังรับประทานอาหารเช้าที่นี่ ก็นั่งรอเจ้าหน้าที่อุทยาน
เอารถกะบะมาขนพวกเราไปยังทางเข้าป่า "เขาสันหนอกวัว"






ถ้าจำไม่ผิด พวกเราน่าจะเริ่มขึ้นเขา "สันหนอกวัว" กันประมาณ 9-10 โมงเช้า
ทางพื้นราบเป็นป่าไผ่ อากาศเย็น สบาย เดิน เดิน เดิน และเดิน
จากนั้นก็เป็นทางขึ้น ขึ้น ขึ้น ชันมาก
เจ้าหน้าที่บอกว่า ที่นี่เที่ยวได้ตลอดทั้งปี มีทะเลหมอกตลอดปี 
เพียงแต่การเดินป่าในฤดูหนาว อากาศจะเย็นสบายกว่า
จะช่วยให้เราเดินได้สบายๆ ไม่เหนื่อย ไม่ร้อน เสียเหงื่อไม่มากนัก 
(นี่ ขนาดหนาวแล้วนะ เหงื่อเปียกโชกเบย) 

ผู้นำทางที่น่ารัก พี่มานะ (นามสมมุต) จากทีม Trekking Thai ตัดกิ่งไม้ขนาดใช้แทนไม้เท้า 
ให้พวกเราคนละ 1 ท่อน

กิ่งไม้วิเศษมากกกกกกกกกกก คร้า มันช่วยให้ชีวิตการเดินขึ้นเขาดีขึ้นอย่างมากมาย
(อย่าลืมใส่ถุงมือด้วยค่ะ) การจับกิ่งไม้นานๆ มือก็จะพองได้อีกเช่นกันค่ะ

และแล้วก็ได้เวลาแวะ พักรับประทานอาหารเที่ยง คำว่า "อยู่กลางดิน-กินกลางทราย"/ 
"ชีวิตมีขึ้น-ต้องมีลง"/ และ"บุกป่า-ฝ่าดง" ความหมายมันชัดเจนเห็นภาพมาก ณ เวลานั้น

สภาพแต่ละคน ไม่ไหวแล้ว 5555555






กว่าจะถึงปลายทาง "เขาสันหนอกวัว" ทุกคนอ่อนล้า บางส่วนบาดเจ็บ บ้างเพราะจับกบ บ้างเพราะสะดุดขาตัวเอง บ้างหัวเข่าเสียหาย บ้างเส้นเอ็นขายึด (สงสัยขาดส่ง)
ต้องออกกำลังกายอย่างสมำ่เสมอ บอกเลย!

มีคนแอบสารภาพ "ก็ตีแบดนะ แต่ยืนให้ลูกวิ่งมาหา" "ก็เล่นโยคะนะ แต่ไปบ้างไม่ไปบ้าง"

มาถึงด้านบนแระ แต่ยังไม่ใช่ยอด "เขาสันหนอกวัว" เราต้องกางเต้นท์กันตรงนี้่ค่ะ
เพราะบนยอดเขาลมแรงมาก ไม่สามารถกางเต้นท์ได้ ณ เวลานั้นน่าจะสักบ่าย 4 โมงเย็น
คุณพี่มานะอีกเช่นเดิม เริ่มตระเตรียมอาหารเย็น ส่วนพวกเราก็ตระเตรียมค่ะ
แต่เตรียมขึ้นยอดเขาฯ เพื่อไปถ่ายรูป

อีกวิวหนึ่งที่สามารถมองเห็นได้จากยอดเขาสันหนอกวัว คือ วิวเขาเรดาห์ 
ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าเพื่อพิทักษ์รักษาเขตแดนไทย











สัญลักษณ์นี้ คงพอจะเดาออกว่าที่มาของชื่อ "เขาสันหนอกวัว" มายังไง
พานทำให้นึกถึงโคขุนโพนยางคำ "เนื้อหนอก" ขึ้นมาซะงั้น

การเดินป่าให้ปลอดภัย ไม่เกิดการหลงป่าอย่างที่เป็นข่าวกันบ่อยคือ....
เดินไม่ทิ้งระยะห่างกันมากนัก แต่ก็ไม่ควรใกล้กันมากเกินไป
เพราะกิ่งไม่้จากคนด้านหน้าอาจจะดีดเข้าหน้าได้

เจ้าหน้าที่อุทยาน จะเดินนำหน้า 1 คน เดินปิดท้ายแถวอีก 1 คน
ช่วงกลางๆ แต่ละคนให้เกาะระยะกันไว้
หากเดินไม่ทันคนหน้า หรือเหนื่อยอยากพัก หันหน้าไปไม่เหลือใคร ก็ให้หยุดรอด้านหลังตามมา
ห้ามเดินไปเรื่อยๆเองโดยเด็ดขาด เพราะป่าที่นี่ไม่มีทางดินเป็นถนนหรือเห็นเป็นทางเดินชัดเจน
หรือมี ก็มีหลายแยก หลายทาง อาจหลงได้ง่ายมากๆ




บนยอดเขาสันหนอกวัว หมอกลงตลอดปีค่ะ (จนท บอก) ลมแรงด้วย
ณ จุดที่เรายืนช่วงเย็นวันนี้ จะมองเห็นยอดสันหนอกวัว อีกยอดนึง ลักษณะเดียวกันแต่เล็กกว่า
ซึ่งคือ จุดหมายปลางทางเช้าตรู่ของเช้าวันพรุ่งนี้ค่ะ





หลังอาหารเย็น ทุกคนแยกย้ายโดยเร็วมากกกกกก คืนนี้หลับเป็นตายกันถ้วนหน้า ZZzzzzz
เสียงรถไถนา บนยอดเขาสูง1,767 เมตรจากระดับน้ำทะเลมาจากไหน? 55555
เป็นหัวข้อสนทนาของเช้าตรู่ วันรุ่งขึ้น

ณ เวลาเกือบๆ ตี 5......อะไรนะ? เราต้องเดินขึ้นยอดเขาสันหนอกวัวเล็ก กันตอนมืดๆเหรอคะ?
ขนาดแสงสว่างโล่ เรายังเหนื่อยกันเกือบตาย นี่มืดสนิท?
สิ้นเสียงบ่น เดินต่อค่ะ เดินมันมืดๆเนี่ยแหล่ะ หยิบไฟฉายด่วน!

ทั้งขาเดี้ยง เข่าเสีย เส้นยึด มากันหมดทุกคนเลย รวมทั้งคนบ่นคนเมื่อกี้ด้วย อิอิ
ใครจะยอมพลาดคะ วิวตอนเย็นยังสวยซะขนาดนั้น วิวตอนเช้าจะสวยขนาดไหน ต้องไปค่ะ








บ้างปล่อยอารมณ์สุนทรีไปกับกาแฟร้อนๆคละเคล้าทะเลหมอก
บ้างเพลิดเพลินกับการถ่ายรูป สนุกสนาน





ทริปครั้งนี้ สำหรับดิฉัน ค้นพบอะไรหลายอย่าง
การเดินทางนั้น จุดหมายปลายทางสำคัญน้อยกว่าเพื่อนร่วมทางเสมอ
จุดหมายปลายทางนั้นแค่บอกให้เรารู้ว่า เรามีเป้าหมายเดียวกัน
แต่ความสนุกสนานและความสุข มันเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง

เคยเที่ยวมาทั้งทะเล ทั้งภูเขา มีครั้งนี้แหล่ะที่ตอบตัวเองได้ชัดเจนขึ้นอีกนิดว่า
"เออเนอะ! ชอบเที่ยวภูเขา (ว่ะ)"

ไว้เจอกันใหม่นะจ๊ะ สมาชิก
ขอบคุณค่ะที่ติดตาม




 

Create Date : 04 มกราคม 2557   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2558 11:08:12 น.   
Counter : 5718 Pageviews.  


"อุบลราชธานี แดนดินถิ่นอีสานใต้แสนสวยแต่ ......."

5พฤศจิกายน 2554

วันที่กรุงเทพมหานครกำลังถูกมหาอุทกภัยค่อยๆโอบล้อมจนเกือบทั่วทุกพื้นที่ จนกระทั่งมันทำท่าจะเข้าใกล้พื้นที่อาศัยและทำงานของดิฉันเข้าแล้ว กระเป๋าที่ถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า 2-3 สัปดาห์ เพื่อพร้อมสำหรับการอพยพตลอดเวลาของดิฉัน ก็ได้ถึงเวลาเดินทางสักที


เส้นทางที่ถูกเลือกคือกรุงเทพ-โขงเจียม เหตุผลคือไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีเพื่อน แต่ที่สำคัญกว่าคือเป็นที่ที่ไม่เคยไปมาก่อนค่ะ ระยะทางราว600-700 กิโลเมตร แต่ด้วยสถานการณ์น้ำท่วมที่คลอบคลุมพื้นที่ในภาคกลางและภาคอีสานหลายจังหวัด จึงทำให้การเดินทางต้องอ้อมไปไกลและใช้เวลาเดินทางถึง 14 ชั่วโมง อีกทั้งระหว่างทางรถเสียไปสองรอบ แต่ก็ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย


ถึงท่ารถอำเภอโขงเจียมก็น่าจะเกือบๆเที่ยงวัน วิธีการถามทางและหาที่พักของดิฉัน เริ่มที่ร้านอาหารตามสั่งของชาวบ้าน ระแวกนั้น สภาพของดิฉันวันนั้นเพื่อเห็นภาพ:
กระเป๋าเป้ใบใหญ่น้ำหนักราว 10 กิโลกรัมบนแผ่นหลัง อีกทั้งกระเป๋าเป้ใบเล็กน้ำหนักราว 3 กิโลกรัมบนแผ่นหน้า

ผู้หญิงสูง 168 cm. ผิวขาว ไม่อ้วน ไม่ผอม มัดผมรวบ ใส่แว่นกันแดด Ray-Ban เสื้อยืด T-shirt สีดำ กางเกงยีนส์ Levisสีเข้มพับขาครึ่งนึง รองเท้าผ้าใบ Onisuka Tigerหากไม่ได้ยินเสียงพูด คงนึกว่าเป็นนักท่องเที่ยวสาวชาวญี่ปุ่น

> "ป้าคะ! ข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวจานนึงค่ะ" ระหว่างนั้นก็ถามเส้นทางกับลูกชายป้าที่นั่งข้างๆ
> “แถวนี้มีที่พักใกล้ๆบ้างไหมคะ?”
> ลูกชายป้า: "ที่พักเยอะแยะ เดินไปเรื่อยๆไม่ไกลหรอก ถ้าแดดไม่ร้อนอ่ะนะ แต่ถ้าแดดร้อนก็คงจะไกลหน่อย" หลังพูดจบลูกชายป้าก็เปลี่ยนที่นั่งจากเก้าอี้หน้าทีวีข้างๆดิฉัน หนีไปนอนเปลอ่านหนังสืออยู่เกือบหลังบ้านแทน (โอว,,,นี่ฉันคงกวนใจเขาสิท่า)

ระหว่างหุบปากเงียบและนั่งทานข้าว ...นึกขึ้นได้! ดิฉันมีหนังสือแผนที่ทั่วไทยนี่หว่า เปิดหน้าจังหวัดอุบลฯ ก็มีแผนที่พร้อมข้อมูลที่พักแต่ละอำเภอนี่นา จัดการโทรทันที เย้! ได้ที่พักแล้ว เขาบอกว่าโขงเจียมรีสอร์ทห่างจากท่ารถแค่ 1 กิโลเมตรเอง (แต่กระเป๋ามันหนักมากตอนนี้ปวดหลังระบมไปหมดแล้วอ้าาาาา!)

คุณป้าคงได้ยิน จึงถาม "หาที่พักเหรอ? ที่นี่ก็ใกล้นะ เดินแค่นิดเดียวเองชื่อ บ้านพักมงคลรีสอร์ทน่ะ" ห้องพักเขาก็ดีนะ สะอาดดี ลองไปถามดูสิ "ขอบคุณค่ะ ค่าข้าวเท่าไหร่คะ?”

เดินจากร้านข้าวป้ามานิดเดียวจริงด้วย ถึงบ้านพักมงคลรีสอร์ท เข้าห้องพัก วางกระเป๋า หาที่เที่ยวต่อเลยดีกว่า! เดินไปหาข้อมูลท่องเที่ยวที่เคาท์เตอร์รีสอร์ท
> "ถ้าจะไปเที่ยวอุทยานผาแต้ม ไกลจากที่นี่เยอะไหมคะ? แล้วแถวนี้มีบริการรถเช่าไหมคะ?“
> “มีค่ะ แต่มันแพงมาก เดี๋ยวนู๋พาพี่ไปเองดีกว่า..... คือไปส่งให้พี่เที่ยวเองให้ทั่ว แล้วนัดเวลากัน นู๋ค่อยขับรถไปรับแร๊ะกัน"
(ระยะทางประมาณ 15-20 กิโลเมตร)
> “โอเคค่ะ (เย้ๆๆๆๆๆ!!!! )”



ดิฉันเดินเที่ยวผาแต้ม ถ่ายรูปดูภาพวาดแสดงวิถีชีิวิตของผู้คนสมัยโบราณบนหน้าผาริมแม่น้ำโขง ที่ฝั่งตรงข้ามคือประเทศลาว จนถึงเวลาที่นัดหมาย แล้วนั่งรถต่อไปแวะถ่ายรูปกันที่เสาหินเฉลียง และลงเดินเล่นที่น้ำตกสร้อยสวรรค์ ซึ่งเป็นพื้นที่แห่งทุ่งดอกไม้ป่าอันอุดมสมบูรณ์สวยงามตระการตา ดอกไม้เหล่านี้ขึ้นอยู่บนลานหินทรายที่ชุ่มน้ำ ริมลำธารของน้ำตกสร้อยสวรรค์ ซึ่งระยะเวลาของทุ่งดอกไม้ป่าจะมาช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ของทุกปี ดิฉันใช้เวลาถ่ายรูปทุ่งดอกไม้ป่าที่นี่นานมาก ซึ่งทั้งหมดนี้รวมอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม การจ่ายค่าธรรมเนียมจึงจ่ายแค่ครั้งเดียวเที่ยวได้ทั่วค่ะ 40 บาท/คน



































คืนนี้ดิฉันหลับเป็นตาย ราวกับตัวจมลงในเบาะที่นอนทีเดียว............. zzzZZ

---------------------------------

6 พฤศจิกายน 2554
"สองคอน" เป็นเป้าหมายต่อไปของดิฉันเพื่อชมความงามของสามพันโบก เช้าๆสายๆ ดิฉันตื่นมาก็พบว่าสายรถวิ่งระหว่างเมืองได้หมดรอบไปแล้ว หากจะไปไหนก็ต้องเหมารถเอา เช่น เส้นทางโขงเจียม-อุบลฯก็ราวๆ 1,500 บาท หากเป็นโขงเจียม-สองคอนก็ราวๆ 2,500 บาท

"เดี๋ยวนู๋ขับรถไปส่งพี่ที่ท่ารถ อ.พิบูลมังสาหาร เพราะที่นั่นมีรถไปอุบลฯออกทุก 5 นาที แล้วพี่ค่อยไปต่อรถไปสองคอนที่อุบลฯ จะได้ประหยัดเงินกว่า" โอเคจัดการ Check-out เพื่อไปเที่ยวต่อสามพันโบกค่าใช้จ่าย Check-outรวม 1,700บาท มีดังนี้
ค่าห้อง 500 บาท
ค่าพาเที่ยวผาแต้ม เสาหินเฉลียง น้ำตกสร้อยสวรรค์ ที่ละ 500 รวม 1,500 บาท ลดให้เหลือ800 บาท (พาเที่ยวเหรอ?)
และค่าไปส่งที่ท่ารถ อ.พิบูลมังสาหาร 400 บาท

ฉันใช้เวลาตั้งแต่ 8.30-16.45น. ร่วม 8 ชั่วโมง ไปกับการเดินทางตั้งแต่โขงเจียม>พิบูลมังสาหาร>อุบลฯ>สองคอน

เมื่อถึงท่ารถบ้านสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร (จริงๆมันคือริมถนนชัดๆ) มือถือ True-Moveไม่มีสัญญาณ นั่งอยู่บนแคล่ริมถนนหน้าโรงเรียนสองคอน เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ไม่มีชาวบ้าน-ไม่มีรถวิ่งแม้แต่คันเดียวผ่านหน้าดิฉันเลย ทุกอย่างหยุดน่ิงราวกับโลกได้หยุดหมุน จนกระทั่งสายตาของดิฉันได้พบกับตู้โทรศัพท์สาธารณะ!!!!!!!!







โอวววววววว!!!! ไม่เคยคิดเลยว่า............การสื่อสารมันสำคัญกับชีวิตฉันมากขนาดนี้ พูดแล้วน้ำตาจะไหล ที่ลุ้นคือ.... ขอให้ตู้โทรศัพท์ตู้นี้ใช้งานได้ หลังจากโทรศัพท์ติด เจ้าของสองคอนรีสอร์ทให้คนของรีสอร์ทขับมอร์เตอร์ไชค์มารับดิฉัน ขณะนี้ทั่วทั้งแผ่นหลังของดิฉันปวดร้าวระบมไปหมดจากน้ำหนักกระเป๋า

เข้าห้องพักอาบน้ำ จัดของเอาของออกจากกระเป๋า แต่มีเสียง.....ตัวอะไรสักอย่างวิ่ง!!!!!!!! มาจากแผ่นฝ้าเพดาน
มันดังอยู่บนหัวดิฉันตลอดเวลา ออกไปแจ้งคนดูแลรีสอร์ท

> "พี่คะ! มันเหมือนมีตัวอะไรบนฝ้าน่ะค่ะ"
> อ้อ ลืมบอกไป มีแมวมันติดอยู่ในนั้นน่ะ มันออกมาไม่ได้วิ่งวนอยู่อย่างนั้นแหล่ะ นอนได้หรือเปล่าล่ะ?
> ...........(พูดไม่ออก)......อ่อ..ขอย้ายได้ไหมคะ? (นิสัยเสียที่สุดของดิฉันคือ เป็นคนขี้เกรงใจเกินไป)
> งั้น! ย้ายมาห้องนี้แทนแล้วกัน (ขอย้ำว่าจบแค่นั้นจริงๆ ไม่มีการมอบกุญแจห้องใหม่ หรือช่วยยกกระเป๋าหรือเปิดห้องให้อะไรทั้งนั้น)

ดิฉันจัดการย้ายข้าวของมาจัดที่ห้องใหม่ รู้สึกรบกวนรีสอร์ทเขายังไงก็ไม่รู้ แต่ก็จำเป็นที่ต้องเอ่ยปากถามเขาอีกเรื่อง
> พี่คะมีเรือไปสามพันโบกไหมคะ? ต้องตื่นกี่โมง? ค่าเรือเท่าไหร่?
> "มีตอนหกโมงเช้านะ ค่าเรือ 1,000 บาท" (ราคาเท่ากับที่หาข้อมูลก่อนมา)
>....ดิฉันเดินกลับมาที่ห้องสักพัก..... เสียงเคาะประตู! "ขอเก็บตังส์ค่าห้องพัก และค่าเช่าเรือ"
>....??? ...จ่ายแค่ค่าห้องพักได้ไหมคะ? ส่วนค่าเรือขอจ่ายตอนเจอคนขับเรือตอนเช้านะคะ? (เฮ้อออออ)

.....วันนี้ทั้งวัน ดิฉันใช้เวลาหมดไปกับการเดินทาง.....

-----------------------------------------

7 พฤศจิกายน 2554

ตื่นตีห้าครึ่ง ออกมาเจอคนขับเรือหกโมงเช้าตามที่นัดกัน แต่........ฝนตก!!!??? นั่งรอฝนหยุดไป ดูข่าวน้ำท่วมกรุงเทพไปจนเจ็ดโมงเช้า ท้องฟ้าปิดมากและฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ถ้าออกเรือไปก็ถ่ายรูปไม่ได้แน่นอน จึงนัดคนขับเรือมาใหม่เป็นบ่ายสาม เผื่อว่าฝนจะหยุด ถ้าฟ้าเปิดจะได้ถ่ายรูปสวยๆของสามพันโบก
แต่แล้วระหว่างวัน ฝนก็ยังตกต่อเนื่อง ดิฉันจึงเดินออกไปถามคนดูแลรีสอร์ทอีกครั้ง
> “พี่คะ! พอดีโทรศัพท์มือถือมันไม่มีสัญญาณ โทรหาใครไม่ได้เลย”
> “อ๋อ ด้านหน้ารีสอร์ทมีตู้โทรศัพท์สาธารณะน่ะ โน้นน่ะ ลองไปโทรดู” (ฝนตกอยู่)
> "ขอบคุณค่ะ" (ดิฉันมีเบอร์โทรรถเช่าที่จดมาจากอินเตอร์เน็ต เป็นรถบริการพาเที่ยวจังหวัดอุบลฯ แต่รถเช่าก็ติดงาน)

ดิฉันต้องรบกวนคนดูแลรีสอร์ทอีกครั้ง
> “พี่คะ! แถวนี้มีบริการรถเช่าพาเที่ยวไหมคะ? เพราะฝนตกทั้งวันแบบนี้ นู๋ไปสามพันโบกไม่ได้แน่เสียเวลาอ่ะ หาที่เที่ยวอื่นดีกว่า”
> “มีสิ แต่แพงนะ”
> “แพงเหรอ เท่าไหร่ล่ะคะ?”
> คุณพี่ดูแลรีสอร์ทไม่ตอบอะไร แต่ขะมักเขม้นโทรติดต่อหารถเช่าให้ดิฉันทันที โทรไป 3-4 รายได้แต่ก็ไม่มีใครให้บริการ

.....ดิฉันได้แต่อึ้งในน้ำใจของคุณพี่เขา นึกว่าเขาจะให้เบอร์มา และให้ดิฉันเดินฝ่าฝน ไปหน้ารีสอร์ทเพื่อโทรหยอดเหรียญตู้โทรศัพท์สาธารณะเองซะอีก แต่พอคิดอีกที ถ้าเป็นที่อื่นเขาคงให้ฉันยืมโทรศัพท์ไปตั้งแต่แรกแล้วล่ะนะ เฮ้อออ!

รถประจำทางเพื่อเดินทางกลับอุบลฯ หมดตอนเที่ยงวัน ขณะนี้เวลาบ่ายโมงครึ่งไม่มีรถไปไหนได้ทั้งสิ้น
โทรศัพท์มือถือใช้งานไม่ได้เพราะไม่มีสัญญาณ แต่!!!!!!!!!!
ฉันยังมี Net Sim เข้าอินเตอร์เน็ตได้นี่นา คิดออกแล้ว!!!!!

1. google ช่วยท่านได้! Searchหาเบอร์โทรรถเช่าอุบลฯได้เบอร์มา 5 รายชื่อ/
2. ดึง Net Simออกจาก Notebook/
3. เอามาใส่โทรศัพท์มือถือโทรออก/
4. โทรหาบริการรถเช่ารายแรก ช. วัฒนา ปลายสายบอกว่าจะมารับภายใน 1 ชั่วโมง จากสองคอน-สนามบินอุบลฯ ระยะทาง 150 กิโลเมตรคิด1,300บาท จากปกติถ้าเหมาทั้งวัน1,500บาท

ระหว่างรอรถมารับ เมื่อแจ้งออกกับทางรีสอร์ท คุณพี่เขาก็คิดราคาค่าห้องที่เกินเวลามา 2 ชั่วโมง ในราคาครึ่งนึงของค่าห้องในวันถัดไป และนี่คือ! ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ดิฉันตัดสินใจบอกลาอุบลราชธานีสักที ทั้งๆที่ตอนแรกคิดไว้ว่าจะอยู่สักครึ่งเดือนเป็นอย่างน้อย จากสองคอนถึงสนามบินอุบลฯ ใช้เวลา 1ชั่วโมงครึ่ง มี 3 Fight จาก 3 สายการบิน เต็มทุก Fight เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!!!!! ลงชื่อรอ Stand-by และแล้วก็ได้ตั๋วในราคา Stand-by

.................กลับสู่สุวรรณภูมิ กรุงเทพมหานคร..............

สิ่งที่ดิฉันชอบมากที่สุดของการเดินทาง นอกจากการได้เปิดโลกทรรศน์ของตัวเองแล้ว มันคือการเรียนรู้วิถีชีวิตและจิตใจของผู้คนในพื้นที่ต่างๆ มันทำให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของเรื่องราวต่างๆได้ง่ายขึ้น อุบลราชธานีเป็นเมืองที่มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ ดิฉันไม่เคยคิดว่าจะเจอทุ่งดอกไม้ป่าที่สวยขนาดนี้มาก่อน และแม้จะพลาดการชมสามพันโบกไปเพราะเจอฝนตก แต่ดิฉันก็เชื่อว่ามันจะต้องสวยมากแน่ๆ
แต่หาก......จะให้มาเที่ยวที่นี่อีกไหม?

คำตอบคือ "ไม่"

เหตุผลคืออะไร?
ไม่มีอะไรเป็นเรื่องใหญ่เลย ดิฉันไม่ได้เจอโจรขโมยกระเป๋า ไม่เจออันตรายกับชีวิต ไม่เจอแก๊งต้มตุ๋นมอบยา และสิ่งที่ดิฉันไม่ได้เจอเช่นกัน นั่นคือคำว่า "น้ำใจ" ทำให้ดิฉันเข้าใจคำที่ใครๆเคยพูดว่า "คนที่นี่น่ะเหรอ..คนดีคือคนที่เอาเงินมาให้เขา"
พยายามทำความเข้าใจกับเหตุการณ์เหล่านี้อยู่นาน ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่นี่ นี่เมืองไทยนะ ความน่ารักและความมีน้ำใจของคนไทยที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลก มันหายไปไหนหมด คำว่า "น้ำใจ" มันไม่ต้องใช้เงินนะคะ บางทีการเอื้อเฟื้อเล็กๆน้อยๆ ช่วยอธิบายทาง หาทางช่วยเหลือนักท่องเที่ยว หรือช่วยยกกระเป๋า มันเล็กน้อยมาก แต่กลับสร้างความประทับใจได้ยิ่งใหญ่
ดิฉันยังแอบหวังจากการเขียนถึงในครั้งนี้ว่าจะมีคนมาโต้แย้งและบอกว่าไม่จริง คนที่นี่ไม่ได้เป็นแบบนั้น ดิฉันแค่โชคร้ายที่ไปเจอคนแบบนั้นเอง จริงๆคนอุบลฯ น่ารักและมีน้ำใจ ใครเคยเจอช่วยบอกดิฉันด้วยว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันไม่จริง!

--------------------------------------------
ค่าเดินทาง BKK-โขงเจียม

1 รถทัวร์ บขส นั่งปรับอากาศ กรุงเทพ-โขงเจียม 550
2 ค่าพาเที่ยวอุทยานแห่งชาติผาแต้มทั้งหมด 800
3 ค่าพาไปส่งท่ารถอำเภอพิบูลมังสาหาร 400
4 ค่ารถบัสจากอำเภอพิบูลมังสาหาร-อำเภอเมืองอุบลฯ 35
5 ค่ารถบัสจากอำเภอเมืองอุบลฯ-บ้านสองคอน 70
6 ค่าเช่ารถไปส่งจากสองคอนรีสอร์ท-สนามบินอุบลฯ 1,300
7 ค่าตั๋วเครื่องบินอุบล-สุวรรณภูมิ 3,658
รวม 6,813

ค่าที่พัก
1 บ้านพักมงคลรีสอร์ท 500
2 สองคอนรีสอร์ท 400
3 สองคอนรีสอร์ท 200
รวม 1,100

ค่าอาหาร
1 ข้าวเที่ยงตามสั่ง 35
2 ข้าวเย็นที่แพอารยา โขงเจียม 345
3 ก๋วยจั๊บญวณ Pepsi กาแฟ 75
4 ข้าวเย็นที่สองคอนรีสอร์ท 75
5 ข้าวเที่ยงที่สองคอนรีสอร์ท 90
6 ก๊่วยจั๊บญวณ น้ำส้ม ขนมจีบ 125
7 กาแฟร้อน 70
รวม 815

เบ็ดเตล็ด
1 ห้องน้ำ 6
2 แผ่นแป่ะแก้ปวดหลัง 30
3 ค่าธรรมเนียมอุทยาน 40
4 Net Sim 69
5 เติมเงินมือถือ 300
รวม 445

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 9,173
ค่าเดินทาง74%
ค่าที่พัก 12%
ค่าอาหาร 9%
เบ็ดเตล็ด 5%




 

Create Date : 08 พฤศจิกายน 2554   
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2554 20:01:44 น.   
Counter : 1603 Pageviews.  


ตะลุยเที่ยว ตะลุยดอย...ขึ้นสันป่าเกี๊ยะ (ป่าสน)




ลงจากดอยฟ้าห่มปกกันเป็นที่เรียบร้อย ขับรถไปต่อกันที่การอาบน้ำแร่ในพื้นที่ด้านล่างที่อำเภอฝาง ซึ่งยังอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก พี่บอยคนเดิมเป็นผู้แนะนำว่าการแช่น้ำแร่ธรรมชาติ จะช่วยผ่อนคลายร่างกายที่อ่อนล้า บรรเทาความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ (ก็ดีเหมือนกัน..ไม่ได้อาบน้ำมา 2 วันแล้ว อิอิ) พี่บอยยังบอกอีกว่าไม่ควรแช่นานเกิน 15นาทีนะ เพราะกำมะถันเมืองไทยมีมากกว่าที่ญี่ปุ่น จะเป็นพิษต่อร่างกายได้


หลังจากอาบน้ำแร่ ทานอาหารกลางวันกันเสร็จ เราเดินทางต่อหาเสบียงตุนไว้สำหรับค่ำนี้ เพื่อมุ่งสู่หน่วยจัดการต้นน้ำสันป่าเกี๊ยะ บ้านแม่ตะมาน เส้นทางขับจากเส้นทางอำเภอฝาง ผ่านเชียงดาว วิ่งเส้นทางสู่เชียงใหม่ ประมาณ 60 กิโล ให้สังเกตหาสถานีอนามัยแม่ตะมานด้านขวามือ ต่อไปอีกไม่เกิน100 เมตร ด้านขวามือจะมีป้ายทางเข้าวัดจอมคีรี ให้เลี้ยวขวาเข้ามาจะเป็นเส้นทางผ่านกลางหมู่บ้าน เพราะ "หน่วยจัดการต้นน้ำสันป่าเกี๊ยะ" ยังไม่ได้เป็นอุทยานแห่งชาติ จึงยังไม่มีป้ายบอกทางบนเส้นทางหลวง และไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก อยู่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่


เราขับรถผ่านหมู่บ้านแม่ตะมาน แวะร้านอาหารตามสั่งแห่งหนึ่งเพื่อหาเสบียงเพิ่มเติม เจอร้าน "อุ๊ยแก้ว" โดยบังเอิญ เราประทับใจอุ๊ยแก้วแกมาก แกเล่าว่าอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้วไม่เคยขึ้นไปหรอก จะมีก็แฟนแกนั่นแหล่ะ ที่เคยขับรถขึ้นไปส่งนักท่องเที่ยวเป็นประจำ เพราะการขึ้นดอยเป็นถนนลูกรังสูงชันและขรุขระมาก รถเก๋งขึ้นไม่ได้หรอก ต้องเป็นกะบะ 4WD แกเห็นนักท่องเที่ยวขึ้นไปกันเยอะ เขาบอกกันว่าสวยเหมือนสวิสเซอร์แลนด์เลย ที่สำคัญแกยังให้เรายืมถ้วยชาม ช้อนส้อม อีกด้วย (อันนี้ประทับใจเพราะแกบอกว่าขาลงจะได้มาแวะ มากินที่ร้านแกอีก แน๊ะ! ฉลาด) เนื่องจากด้านบนไม่ร้านอาหาร เครื่องดื่มอะไรทั้งสิ้น ต้องเตรียมของไปให้พร้อม โชคดีหน่อยที่มีห้องน้ำห้องท่าบริการอยู่ตรงจุดกางเต้นท์ ระยะทางจากหมู่บ้านขึ้นสู่ดอยเป็นถนนลูกรังระยะทางประมาณ 20 กิโล ความหวาดเสียวและความยากลำบาก ก็พอๆกับเส้นทางขึ้นดอยผ้าห่มปกเมื่อวานนี้ ไม่มีใครแพ้ ใครชนะ ให้คะแนนความยากเท่ากัน ระยะทางก็เกือบเท่ากัน



กว่าเราจะขับขึ้นไปถึงจุดกางเต้นท์ด้านบนสันป่าเกี๊ยะ ก็เกือบห้าโมงเย็น จึงต้องรีบกางเต้นท์ก่อนแสงสว่างจะหมดไปซะก่อน เนื้อที่จุดกลางเต้นท์แคบเล็กกว่าที่อุทยานฟ้าห่มปกถึง 3 เท่า รองรับนักท่องเที่ยวได้ไม่เยอะนัก และไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมอะไร หากต่อไปนักท่องเที่ยวรู้จักมากขึ้น ก็อาจจะต้องมีการจำกัดจำนวนคน ไม่งั้นคนที่ขับขึ้นไปก็ต้องผิดหวังขับรถกลับลงไปตามระเบียบ




วิวที่นี่สวยมาก สวยแบบไม่ต้องพยายาม ไ่ม่ต่้องเหนื่อย กางเต้นท์เสร็จ ก็หาเสื่อมาปูนั่งๆนอนๆจิบเบียร์ ชมวิวหน้าเต้นท์กันได้เลย แต่ขอแนะนำว่าอย่ากางเต้นท์ใกล้หน้าผามากเกินไปล่ะ เพราะหากมึนๆ มืดๆ ลุกออกจากเต้นท์ไม่ระวังให้ดี ก็อาจตกหน้าผาตรงหน้าเต้นท์ได้ กว่าจะหาคนลงไปช่วยได้ก็คงขาดน้ำ ขาดอาหารกิน ตายไปซะก่อน หรือถ้าโชคดีหน่อย กล้ิงตกลงไปได้ไกลๆก็จะไปเจอหมู่บ้านชาวเขาในระแวกบ้านตะมาน ท่านก็คงไม่อดตายแน่นอน ชาวบ้านที่ี่นี่ใจดีมากค่ะ


หากไม่นั่งขี้เกียจอยู่หน้าเต้นท์อย่างเดียว เพียงเราเดินเที่ยวเล่นพื้นที่บริเวณรอบๆ ก็จะได้พบพญาเสือโคร่งอยู่ริมหน้าผาอีกด้วย เกือบลืมบอกไปว่าที่นี่เค้ามีบริการบ้านพักด้วย แต่ต้องติดต่อไว้ล่วงหน้า เหมาะกับการมาเป็นครอบครัว แถมพื้นที่บริเวณบ้านพักวิวสวยงามมาก ไม่แพ้ตรงจุดกางเต้นท์เลย


มิตรภาพจากนักเดินทางยังมีอย่างท่วมท้นล้นหลาม บ้างมาเป็นคู่ บ้างมาเป็นครอบครัว บ้างมาเป็นหมู่คณะ เล่าสู่กันฟังแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนะนำสถานที่กิน ที่เที่ยว ทำให้เราได้ความรู้ รู้จักสถานที่่ท่องเที่ยวแปลกใหม่ ที่ไม่เคยได้ยินอีกมากมายหลายที่ และตั้งใจว่าจะต้องไปเยียมเยือนที่เหล่านั้นให้ได้ในสักวัน เท่าที่จำได้และอยากไปเป็นที่ต้นๆก็คือ ม่อนอังเกตุ อำเภอเชียงดาว น้องเค้าบอกว่าเป็นจุดกางเต้นท์ที่เห็นวิว 360 องศากันเลย เราจะถูกห้อมล้อมไปด้วยทะเลหมอกรอบตัว อีกที่นึงที่เราเกือบจะตามพี่เขาไปทำสารคดีด้วย ถ้าไม่ติดธุระต้อนรับราชอาคันตุกาที่เชียงใหม่ในวันพรุ่งนี้ซะก่อน คือภูลังกาจังหวัดเชียงราย


คืนนี้ที่สันป่าเกี๊ยะ เป็นคืนที่อบอวลไปด้วยมิตรภาพ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ กว่าจะได้เข้าเต้นท์ก็เกือบเที่ยงคืน ด้วยอุณหภูมิที่เย็นขึ้นเรื่อยๆบวกกับลมพัดแรงบริเวณหน้าผา ถ้าไม่พลาดอุณหภูมิน่าอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 10 องศา แต่ความอบอุ่นของมิตรภาพก็ช่วยบรรเทาความหนาวเย็นไปได้มากโข.....คร็อกกก ฟี้.....




 

Create Date : 17 มีนาคม 2554   
Last Update : 17 มีนาคม 2554 13:59:26 น.   
Counter : 1395 Pageviews.  


ขึ้นเหนือ "ตะลุยดอยผ้าห่มปก"



วันแรกของการเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก เริ่มต้นจากจังหวัดเชียงใหม่วิ่งเส้นแม่ริม ทางหลวงหมายเลข107 มาเรื่อยไปตามป้ายไปสู่อำเภอฝาง ผ่านอุทยานแห่งชาติเชียงดาว เข้าสู่อำเภอฝางเมื่อเจอทางสามแยกให้เลี้ยวซ้ายวิ่งเข้าเส้นเลี่ยงเมืองฝาง (แต่ถ้าเห็นป้ายไปเชียงราย แสดงว่าเลยทางเข้าแล้ว) วิ่งตรงมาเรื่อยๆก็ถึงป้ายทางเข้าสู่ทางเข้าอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก รวมระยะทางประมาณ 122 กิโล

เมื่อถึงด่านไม้กั้นทางขึ้นสู่อุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก เราเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อชำระค่าธรรมเนียมพื้นที่กางเต้นท์ หรือหากไม่ได้เตรียมอุปกรณ์เครื่องนอนมา เขาก็มีเตรียมไว้ให้ ไม่ต้องขนมาให้หนักรถ หนักกระเป๋าก็ดีเหมือนกันนะคะ

ออกเดินทางขึ้นสู่ตัวพื้นที่อุทยานดอยฟ้าห่มปก เส้นทางถนนลูกรังอีก 18กิโลเมตร ต้องขอบอกว่าหากนักเดินทางที่ขับรถมาเอง คนขับใจไม่ถึงหรือไม่ใช่นักผจญภัย ไม่แนะนำให้ขับรถขึ้นไปเอง ให้ติดต่อขอคนขับพร้อมรถ4WD จากผู้ชำนาญพื้นที่ ที่มีให้บริการอยู่จะดีกว่า ทั้งไม่เหนื่อยไม่เครียดแถมปลอดภัยอีกต่างหาก แต่หากคุณชอบการขับรถ 4WD เป็นชีวิตจิตใจล่ะก็ ขอบอกว่ามันส์มาก ท้าทายสุดๆ รถที่ใช้แน่นอนว่าต้องเฉพาะ 4WD เกียร์กระปุกเท่านั้น หากเป็น 4WDเกียร์ออโต้ล่ะก็ อาจจะทำให้เกียร์พังได้ เสียดายรถแพงๆนะคะ เพราะเส้นทางเป็นทั้งลูกรัง สูงชัน แถมขับสวนกันก็ไม่ได้อีกตะหาก ต้องวัดใจกันตลอดทางว่าจะมีใครวิ่งสวนมาไหม ถ้าเจอสวนขึ้นมาล่ะสนุกเลยครับพี่น้อง ถอยรถกันยาวเลย วิธีที่จะเตือนผู้ร่วมเส้นทางรถสวนก็คือการบีบแตร เกือบตลอดทางโค้ง



เมื่อถึงพื้นที่ดอยฟ้าห่มปกแล้ว จะเป็นพื้นที่กางเต้นท์กว้างมากเห็นทิวสนสามใบ หากใครชอบการดูนก ที่นี่ก็เหมาะสมและสวยงามมาก พื้นที่เล่นระดับแบ่งเป็นโซนกางเต้นท์ A B C ที่นี่มีห้องน้ำบริการไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย แต่ความหนาวเย็น ก็จะทำให้เราไม่ค่อยจะได้ใช้บริการห้องอาบน้ำที่นี่กันหรอก ร้านอาหารก็มีบริการให้เป็นเมนูง่ายๆเช่น ข้าวไข่เจียว กาแฟ ไมโล ไข่ต้ม และข้าวต้มในมื้อเช้า


ความสวยงามของอุทยานดอยฟ้าห่มปกคือการเดินป่าในช่วงเช้าเพื่อชมทะเลหมอก พิชิตยอด “ดอยผ้าห่มปก”สุดยอดของทิวทัศน์ระหว่างทางที่เป็นหน้าผา เห็นทิวเขาชายแดนลาว สลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา สวยงามมาก เส้นทางเดินป่าชมธรรมชาติต้นไม้ที่ทำให้เราเข้าใจที่มาของชื่อ "ดอยผ้าห่มปก"ได้ดี เพราะต้นไม้แทบทุกต้นถูกปกคลุมไปด้วยมอสธรรมชาติ บางต้นทำให้นึกสนุกๆว่าเหมือนต้นไม้ใส่เสื้อ การเดินทางชมธรรมชาติต้องอาศัยเจ้าหน้าที่คนพื้นที่นำทางที่จัดบริการไว้ให้นักท่องเที่ยวหนึ่งกลุ่ม ต่อคนนำทางหนึ่งคน ไม่งั้นหลงป่าแน่นอน

เริ่มออกเดินเท้ากันตั้งแต่ตีสามครึ่งกว่าจะถึงยอดดอยผ้าห่มปกก็ประมาณตีห้า ครึ่ง เส้นทางมีความสูงชันเรียกว่าวัดใจกันหลายๆเนิน เพราะก้าวขาไม่ออกจริงๆ ได้บทเรียนจากคนนำทางว่า การก้าวเท้าสั้นๆ จะเดินได้นานกว่าการก้าวสาวเท้ายาวๆ และเมื่อเราเห็นทางลาดลงเนิน นั่นแปลว่าเราจะต้องเจอทางชันสูงรออยู่ข้างหน้า ทำให้นึกไปถึงจังหวะชีวิตของคนเราที่ต้องมีขาขึ้น มีขาลง เป็นธรรมดา สัจธรรม



น้ำดื่มที่หิ้วใส่เป้มามีค่ากับชีวิตมาก รสชาติมันช่างอร่อยเหลือจะพรรณนา ไม่เคยดื่มน้ำแล้วรู้สึกอร่อยขนาดนี้มาก่อน จุดชมวิวบนยอดดอยเป็นเพียงพื้นที่แคบๆ ลมกระโชกแรงผสมกับความหนาวเย็น ยิ่งทำให้เสื้อหนาวหนักๆที่เตรียมมามีค่ามาก ทิวทัศน์สุดคุ้มค่ากับหยาดเหงื่อและแรงกำลังเท้าที่เสียไปมากค่ะ สามารถชมวิวได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ฝั่งหนึ่งเป็นทะเลหมอก อีกฝั่งหนึ่งเป็นทิวเขาสลับซับซ้อนสวยงามมาก ลองเอามือเอื้อมออกไปบนฟ้าแทบจะคว้าดาวได้มาจริงๆ เขาจัดให้ที่นี่เป็นยอดดอยที่มีความสูงเป็นอันดับสอง ของประเทศไทยเลยทีเดียว สูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,285 ม. รองจากอันดับหนึ่งคือดอยอินทนนท์ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเล2,565 ม.

หลังจากชื่นชมความสวยงามและสัมผัสกับอากาศที่หนาวเย็นอุณหภูมิเกือบติดลบกันอย่างเต็มอิ่ม แสงแดดก็ค่อยๆสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย พร้อมเดินทาง ลุยต่อเพื่อชมความงามของธรรมชาติในป่าดอยฟ้าห่มปก ที่ช่วงขาขึ้นตอนตีสามมืดมิดมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ตอนนี้เวลาเกือบเจ็ดโมงเช้า แสงแดดเริ่มส่องทะแยงแทรกทิวต้นไม้ดึกดำบรรพ์เข้าสู่ตัวป่า ช่างเป็นภาพที่สวยงามและตระการตาดีจริงๆ



การเดินเท้ากลับจากยอดดอยสู่จุดกางเต้นท์ เส้นทางเดิมใช้เวลาดูจะน้อยกว่าตอนขาขึ้นยอดดอยมาก ทั้งๆที่เส้นทางก็เป็นเส้นทางเดิม ระยะทางก็เท่าเดิม เมื่อถึงพื้นราบอุณหภูมิตรงสุดกางเต้นท์่แค่เพียง 22 องศา อุ่นขึ้นเยอะค่ะ ค่าคนนำทางเพียง 300 บาทต่อกลุ่มเท่านั้น แบงค์ 500 แทบจะไม่อยากได้รับเงินทอน เพราะความคุ้มค่าทางด้านจิตใจมันประเมินค่าไม่ได้ แถมลงมาก็มีข้าวต้มร้อนๆ กาแฟอุ่นๆ รอต้อนรับอยู่ โอว ชิล ล ล สุดๆ

มิตรภาพของนักเดินทางมีอยู่อย่างไม่ขาดสาย มาจากต่างสายอาชีพ บ้างก็เป็นช่างภาพอิสระ บ้างเป็นนักดูนก เป็นคนทำสารคดีท่องเที่ยว มีพี่บอยชมรมดอยผ้าห่มปกเป็นคนขับรถ 4WD นำนักท่องเที่ยวขึ้นดอยต่างๆ ผู้ชำนาญเส้นทางระแวกนี้ทั้งหมดตั้งแต่ ผ้าห่มปก สันป่าเกี๊ยะ เชียงดาว ฯลฯ ที่คอยชวนคุยและแนะนำสถานที่่ท่องเที่ยวมากมายในเชียงใหม่ให้เราทราบ แถมร้านอาหารอร่อยๆที่นี่อีกด้วย

เมื่อได้พักร่างกาย เก็บเต้นท์เรียบร้อย การเดินทางก็ต้องเริ่มขึ้นอีกครั้งนึง โดยจะต้องลงจากจุดกางเต้นท์ไปสู่พื้นราบด้านล่างอุทยานก่อนเวลาเที่ยงวัน เนื่องจากถนนลูกรังที่สวนทางกันไม่ได้ หากเราขับลงไปช้า ก็จะต้องสวนทางกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ที่จะขับสวนทางขึ้นมา พี่บอยเล่าให้ฟังว่ามีรถตกเหวกันทุกปี เราจึงจะต้องออกลุยกันต่อ แม้เท้าทั้งสองข้างจะอ่อนล้าแทบจะเหยียบคล๊าส เหยียบเบรคกันไม่ไหวก็ตาม ทำให้รู้ว่าแม้ใจจะสู้แค่ไหน แต่สังขาลและอายุที่มากขึ้น เราไม่ได้แข็งแรงเหมือนที่ใจเราคิดเลย ปีใหม่นี่้สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกแน่นอนคือการออกกำลังกาย เพื่อฟิตร่างกายให้พร้อม สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดปีและตลอดไป




 

Create Date : 16 มีนาคม 2554   
Last Update : 17 มีนาคม 2554 13:37:20 น.   
Counter : 1091 Pageviews.  



Black Sesame
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




บางครั้ง...สถานที่..ที่เดียวกัน ของ..ของสิ่งเดียวกัน
สำหรับบางคนอาจสร้างความประทับใจได้มากมายมหาศาล
แต่สำหรับบางคน...กลับไม่มีความหมายอะไรเลย

บาง Blog เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าประทับใจ น่าจดจำ อยากเขียนถึง
บาง Blog มีเพียงภาพถ่าย ไม่มีเรื่องราวใดๆจะเขียนถึงด้วยซ้ำ

แต่....ความประทับใจมากมายมหาศาลทั้งหมดเหล่านั้น
ก็เป็นเพียงเรื่องที่่ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่อาจสำคัญมากไปกว่า...ปัจจุบันที่ดำรงอยู่ Instagram
[Add Black Sesame's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com