ตลุยแดนภารตะ หนีเสือ ปะ จระเข้ แล้วเราจะ...???

             สวัสดีครับ กลับมาอีกครั้งกับการรีวิว ภาพความประทับใจ บรรยากาศของท้องถิ่น วิถีการดำเนินชีวิต และ เปิดโป้ง กลอุบาย กลเม็ด ของเหล่า พ่อค้า(บางคน) ไกด์นำเที่ยว ที่ผมได้พอเจอมาในการท่องเที่ยวในประเทศอินเดีย มันอาจจะเป็นประโยชน์ เมื่อคุณตกอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ จะได้รู้ทัน อย่างน้อยจะเป็นทางหลบหลีก หลีกเลี่ยง จากสถานะการณ์นั้นๆ

         เช้าวันใหม่ กับ โปรแกรมการเดินทาง เพื่อมุ่งหน้าสู่เมือง Jaipur หลังจากการพักผ่อนที่เต็มอิ่ม ในเมื่อคืนที่ผ่านมา กับที่พักที่เดิม สำหรับการท่องเที่ยวในวันที่ผ่านมา ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆให้กับชีวิต รวมไปบทเรียนในการซื้อของ ที่จะเป็นข้อเตือนใจในการซื้อสินค้าในครั้งต่อๆไป เราตื่นมารับประทานอาหารเช้าตั้งแต่เจ็ดโมง อาหารก็เหมือนเดิม มีแต่ต่างไปก็คือ กล้วยที่เพิ่มขึ้นมา แต่สำหรับคนไทยอย่างผม มันไม่ใช่อาหารเช้าแต่มันคืออาหารว่าง หรือ กินเล่นๆ อิอิ

        ในประเทศอินเดีย มีคิทแคทขาย และ ราคาถูกกว่าที่ไทย มันจึงเป็นอาหารเสริม เติมในส่วนที่ขาดของช่องว่างในกระเพาะของผม ก่อนออกเดินทางผมซื้อคิทแคท ติดกระเป๋าไป4ห่อ(แพ็ค4ชิ้น) เราออกเดินทางจากที่พักมุ่งหน้าสู่ เมือง Jaipur ประมาณ 8 โมงเช้า และมีโปรแกรม จะแวะเที่ยวที่ Fatehpur Sikri

         อย่างที่บอกครับ ผมไม่รู้จักอะไรในอินเดีย นอกจาก ทัชมาฮาล แฟนผมอยากไปไหนผมก็แห่ตามเค้าไป โอะนะกะโบ้ง ก็มีหน้าที่ขับรถพาเราไปเท่านั้น   ด้วยความสุภาพ และ พาไปทุกที่ๆเราร้องขอ ผมจึงมอบแว่น กันแดด แบนดัง (ซื้อแถวคลองถม) ให้เพื่อเป็นสินน้ำใจในการทำงาน เค้าดีใจมากและสวมทันทีที่ได้รับ

         สองข้างทางที่เราผ่าน ผมเห็นวิถีชีวิตของชาวอินเดีย ที่เมื่อหันกลับมาที่บ้านเรา เรายังสะดวกสะบายกว่าเขาหลายเท่า ก่อนที่จะมาเที่ยวที่อินเดียผมได้ยินหลายๆคนพูดกันถึงเรื่อง การขับถ่ายของคนท้องถิ่น ที่เค้าถ่ายได้ทุกๆที่ (ข้างถนน) ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าห้องน้ำเขามีน้อย เลยเป็นเรื่องปกติที่เค้าจะถ่ายกันริมถนน

           แต่ที่จริงแล้วมันเป็นเพราะ ปัญหาความยากจนของคนส่วนใหญ่ ในประเทศ ที่แม้แต่ที่นอน ก็ยังไม่มี ไม่ต้องพูดถึงห้องน้ำเลย ได้ทุกที่ที่ไม่ลำบากคนอื่น ตามริมแม่น้ำผมได้เห็นอยู่บ่อยๆ (โดยบังเอิญ) จะเห็นคนนั่งยองๆอยู่คนเดียว(กลางแจ้ง) แม้แต่ริมถนนก็พบเห็นได้บาง แต่ด้วยการปรับตัวให้เค้ากับสถานการณ์ บอกตามตรงนะครับไม่โป๊ แต่อย่างใด ถ้าคุณได้มีโอกาศเดินเท้าอาจจะพบเจอ กองถ่าย(แต่ไม่มีดารา) อยู่บ่อยๆ แม้แต่ในทางเดินเข้า ทัชมาฮาล ผมก็เจอคิดว่าน่าจะไม่ใช่ของ สุนัขแน่นอน เอาเป็นว่าถ้าเดินเที่ยวก็ระวังๆกับระเบิดกันด้วยก็ดีครับ

          ใครๆหลายคนอาจจะเคยเห็นภาพ การโดยสารรถ รถไฟ และอะไรอีกหลายๆอย่าง ที่จะมีคนเกาะ ห้อยโหน กันทุกๆพื้นที่ ที่สามารถจะเกาะไปได้ หลายๆคนเห็นภาพเหล่านั้น คงรู้สึกตลก หรือ ประหลาดใจกับภาพที่เห็น แต่สำหรับผมเองเห็นสถานการณ์จริง ตลกไม่ออกจริงๆครับ ชีวิตที่ต้องเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางของแต่ละคน มันเหมือนกับแขวนอยู่บนเส้นได้ ทุกคนต่างเกาะติดกับภาหนะที่ขับด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 70 กม./ชม.และการเดินทางที่ใช้เวลาเป็นชม. ถ้าเผลอหลับแค่แปปเดียวอาจจะไปตื่นที่ รพ. หรือ อาจจะไม่ได้ตื่นอีกเลย แต่มันก็เป็นเรื่องปกติสำหรับการเดินทางของชาวอินเดีย

           ใช้เวลาเดินทางมาพักใหญ่ๆก็มาถึงทางเข้า ย้ำนะครับว่าแค่ทางเข้า ตัว Fatehpur Sikri ยังอยู่ห่างออกไปประมาณ เกือบๆ 5 กม.โอะนะกะโบ้ง บอกกับกับเราว่าขับรถเข้าไปด้านในไม่ได้ต้องต่อรถ รับจ้างเข้าไป (ผมก็งง ว่ารถส่วนตัวเข้าไม่ได้แต่รถรับจ้างเข้าได้) แต่ก็คงเป็นเพราะพื้นที่ใครพื้นที่มัน
เราก็ถามว่าต้องไปยังไง ยังไม่ทันได้คำตอบพอจอดรถ ก็มีเด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวอินเดียวมายืนข้างรถ

           เค้าเข้ามาติดต่อกับเราว่าจะพาเราไปด้านบน Fatehpur Sikri ด้วยรถรับจ้าง (สามล้อที่คล้ายๆสองแถว) ในราคาไปกลับ 150 RP. และเด็กหนุ่มคนนั้น ก็บอกว่าเค้าจะเป็นไกด์ให้ด้วย โดยค่าใช้จ่ายแล้วแต่เราจะให้ ด้วยราคาที่เรายอมรับได้ ถ้าต้องเดินก็คงเสียเวลา หรือ การเดินทางโดยวิธีอื่นๆเราก็ไม่รู้เราจึงตกลงที่จะไป (โดยหารู้ไม่ ว่าเราเป็นเหยื่ออีกแล้ว 555)


           เด็กหนุ่มชาวอินเดีย แนะนำตัวกับเราว่าชื่อ saru(ซารู) ที่ผมจำชื่อเขาได้เนื่องจาก ไปพ้องเสียงกับ คำว่า saru ในภาษาญี่ปุ่น (さる)(ซารุ) แปลว่า ลิง ด้วยบุคลิก และ รูปร่างของ ซารู ก็เหมือนลิง จึงจำชื่อเขาได้อย่างดี เราจึงเรียกเค้าว่า ซารุ แทน ซารู ระหว่างการเดินทาง ซารุ บอกถึงประวัติ ความเป็นมาของ Fatehpur Sikri แต่เหมือนเดิม ผมไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรแค่อยากมา เก็บภาพก็พอ อิอิ เดินทางไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงทางขึ้น

         ซารุ บอกว่าต้องเดินขึ้นไปรถขึ้นไปไม่ได้ เหมือนในทุกๆที่ครับ มาเด็กขายรูป ขายของที่ระลึก เดินตามเราเป็นขบวน ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับเราเป็นซุปตาร์ที่มีเด็กๆมาขอลายเซ็น เดินขึ้นอีกประมาณไม่ถึงห้านาที ก็ถึงในตัวของ  Fatehpur Sikri  เป็นอะไรที่อลังการงานสร้างมากครับ เป็นสิ่งปลูกส้างที่ใหม่มาก และอยู่บนภูเขา อย่างที่บอกผมไม่ได้สนใจฟังประวัติ ก็เลย เสพบรรยากาศ และ เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้น เราเที่ยวชมด้านใน และได้ฟังประวัติต่างๆจาก ซารุ (บอกตามตรงผมก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ อิอิ พูดเร็วมาก) ก็จะอธิบายพร้อมประกอบภาพด้วยแล้วกันครับ


ภาพทาง ขาวมือ คือประตูหนี ออกจากปราสาท ไปออกที่ด้านล่าง เป็นทางลับสำหรับหลบหนี้ ของking เมื่อมีภัย
แต่ปัจจุบันถูกปิดตายแล้วก็มีคนมักง่าย เอาขยะมาทิ้งอย่างที่เห็น


มุมนี้ซารุจัดให้ ลอดช่อง อินเดีย


อากาศในวันนั้น ค่อนข้างหนาว แต่แดดแรงมาก ทุกครั้งที่อยู่กลางแจ้งจึงรู้สึกว่าอากาศกำลังดีเลย อิอิ
มีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก เลยเดินสะบายๆ

              ซารุ พาเราเข้าไปพบ นับวช (ผู้ประกอบพิธีกรรม) นักบวชบอกกับเราว่า การสักการะที่นี้ ต้องใช้ ผ้าส่าหรี ดอกไม้ และ ด้ายแดง
เพื่อขอพร และจะสมหวังดังที่ขอ (ผมรู้สึกต่อต้าน ถ้าจริงอย่างที่พูด อินเดียคงไม่มีคนจนอย่างที่เป็นอยู่) หลังจากนั้นก็เริ่มพรีเซน ชุด การสักการะในแบบต่างๆ แบ่งออกเป็นสามราคา แต่ละชุดประกอบไปด้วย ดอกไม้ ด้ายแดง แตกต่างกันที่ผ้าส่าหรี แบบธรรมดา ผ้าสีพื้นๆ ราคาทั้งชุด 300 RP
แบบดีขึ้นมาหน่อย 800 ผ้าส่าหรี จะมีลายสวยขึ้น และแบบพิเศษ ผ้าจะมีลวดลายสวย และมี คล้ายๆกากเพชรประดับ ชุดนี้ก็ 1200 RP.

             หลังจากนั้น นักบวชเริ่มทำพิธีกรรม โดยส่งที่คลุมศีรษะให้แฟนผม แต่ผมส่วมหมวกอยู่แล้วจึงไม่ต้อง (เป็นการทำตามประเพณีของเขาที่ต้องสวมหมวก อะไรประมาณนี้ ในการเข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์) ก็ให้เราทั้งสองนั้งลง พนมมือ เขาก็สวดคาถา อะไรสักอย่าง พอเห็นเราคล้อยตาม เค้าก็ถามว่าเราจะเอา ชุดไหน (อ้าว..!! งานเข้า มีเรื่องเสียเงินโดยไม่รู้ตัว)  แฟนผมหันมาถามผมเอาแบบไหน ผมบอกว่าตามใจ(แต่ในใจผมสงสัยว่าเพื่ออะไร...555) แฟนผมบอกว่าเอาถูกที่สุดคือ 300 RP. นักบวชพยายามให้แฟนผมเลือกที่แพงๆ บอกต่างๆนานาว่าสิ่งที่คิดจะ เป็นไปตามที่ขอพร ถ้าเราซื้อชุดที่แพงๆ (ในใจผมคิดว่า แพงแล้วจะสัมฤทธิ์ผล ตลกดี)



             แต่แฟนผมก็ยืนยันที่จะซื้อชุดที่ถูกที่สุด จ่ายเงินค่าของสักการะ คิดว่าเรื่องจะจบ ดันหันมาถามผมว่าจะเอาชุดไหน (เวรกำ) ชุดเดียวสองคนไม่ได้หรอ ผมเลยบอกว่าไม่ซื้อ นักบวชเริ่มทำท่าทางไม่พอใจ แล้วก็บอกว่า ต้องซื้ออีกชุดเพื่อสักการะ สิ่งศักดิ์ศิทธิ์ ผมเลยบอกว่าผม นับถือศาสนาพุทธ ผมต้องการมาเที่ยวเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจมาขอพรอะไร เค้าก็ทำทางโกรธ แล้วพูดภาษาฮินดี้ ที่ผมฟังไม่เค้าใจ แต่ดูจากท่าทางแล้ว น่าจะต่อว่าผม ผมเลยลุกขึ้นยืน (ก่อนหน้านี้นั่งคุกเข้าพนมมือ) แบบว่าตอนนี้รู้สึกว่าถูกด่าทั้งๆ ที่ซื้อแค่ชุดเดียวก็น่าจะพอแล้ว ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อด้วยซ้ำ ผมก็เลยเริ่มโวยวาย ว่าทำไมต้องซื้อ ทั้งๆที่ผมไม่ได้ต้องการ  กะว่าคงมีวางมวยกันแน่ๆ


               ซารุเห็นถ้าไม่ดี เลยเข้ามาห้ามทัพ ซารุ บอกถ้าเราไม่ต้องการซื้อก็ไม่ต้องซื้อ ก็เลยซื้อแค่ชุดเดียว เพราะจ่ายเงินไปแล้ว ...........
หลังจากนั้น ก็ไปการสักการะ ในที่ที่เค้าจัดไว้ (บอกตามตรงอารมณ์ผมยังไม่ลง อิอิ) แฟนผมก็ทำตามพิธีการที่เค้าบอก คือเอาผ้าส่าหรีที่ได้มาไปปูบน ที่ที่เค้าจัดไว้ แล้วก็โรยด้วย หลีบดอกไม้ตาม หลังจากนั้นก็ให้ เอาด่ายแดงไปผูกที่ ช่องกำแพงที่เกาะสลักไว้ แล้วก็อธิฐาน ในตอนที่ผูกได้ แต่ห้ามบอกคนอื่นนะครับ เขาบอกว่าถ้าบอกคนอื่นจะไม่ สัมฤทธิ์ผล เป็นอันจบพิธีกรรม



             ซารุทำหน้าที่ไกด์ต่อ พาเราไปชมในส่วนต่างๆ บอกถึงประวัติการสร้าง เท่าที่ผมจำได้ คือ ช่องที่ฝาผนังในแต่ละด้าน จะทำจากหินอ่อน ที่ เเกะสลักลายในแต่ละด้าน จะมีลวดลายแตกต่างกัน  ห้องที่มีช่องแกะสลัก ที่มีรูนั้นไว้สำหรับ เหล่าบรรดา มเหสี นางสนม ดูการแสดงจากภายนอก เพราะภายนอกเป็นที่โล้งแจ้งแสงมาก จะมองไม่เห็นคนที่อยู่ด้านใน


              ออกมาด้านนอก ก็จะเจอกับ ภูมิปัญญาของคนในสมัยนั้น คือ ระบบรางน้ำฝนตามเสา  และหล่อเย็นให้กับตัวอาคาร น้ำที่ใหลลงใาก็จะใหลไปตามรางลงไปที่สระด้านนอก


มีการแสดงดนตรีด้านหน้า สังเกตุชี้นิ้วให้เราให้เงิน 555 ผมไม่ให้





              หลังจากนั้นก็พาไป ชมในส่วนต่างๆ จนพาเราไปพบชายคนนึงที่ ซารุ บอกว่าเป็นลุงของเค้า(งานเข้าเราอีกแล้ว 555) ก็คล้ายๆกับทุกที่ครับขายของที่ระลึก ก็มีอะไรมากมายที่ เกี่ยวกับการแกะสลักหินอ่อน ที่น่าตลกคือเขา ได้ทำให้เราตาสว่างเรื่อง ทัชมาฮาล ที่เราซื้อมาก่อนหน้านี้ โดยบังเอิญ เค้าทำการทดสอบให้เห็น ว่าทุกอย่างที่เขาขายทำจากหินอ่อน100% แต่บางที่ มีบางส่วนที่ใช้วัสดุคล้ายๆกับสารส้มเป็นส่วนประกอบ

(กลับมาที่พักผมทดสอบ ทัชมาฮาล  ตาสว่างเลย 555) ผมชอบ งานแกะสลัก ช้างตัวใหญ่ ที่มี ช้างตัวเล็กอยู่ข้างใน และในช้าง ข้างในก็มีช้างตัวเล็กอีกตัว (ไม่รู้ทำไงแต่ผมว่าน่าจะเอามาประกอบกัน) แต่เค้าบอกว่า เป็นการแกะสลักจากหินอ่อนชิ้นเดียว ก็แปลกดี เพสุดท้ายเราก็ซื้อ หินอ่อนแกะสลักมาชิ้นนึง ราคา 300 RP. เพราะคิดว่าช่วยอุดหนุนลุงของซารุ


ภาพนี้ผมโหลดมาให้ดูเป็นตัวอย่าง อิอิ
       หลังจากนั้น ก็เก็บภาพ ในมุมต่าง และเหมือนเรื่องจะจบลงแค่นี้ แต่ก่อนกลับ ซารูพาเราไปหาชายอีกคน (555 งานงอกอีกครั้ง) เป็นชายขายภาพ คล้ายๆกับโปสการ์ด คนขายเป็นญาติอีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้เราปฎิเสท ผมคิดในใจถ้าซื้ออีกสงสัยได้เจอญาตคนที่ 3 แน่ๆ


ภาพนี้ผมแอบถ่าน สาวชาวญี่ปุ่น ใส่ชุดส่าหรี พอแฟนผมเห็นเขาใส่ชุดกิเลส ก็เกิดทันที(เลยมีเหตุในตอนเย็น อิอิ)

         พอด้านในเรียบร้อยก็พาเราไปชมด้านหลังของตัวปราสาท





Create Date : 30 เมษายน 2557
Last Update : 30 เมษายน 2557 3:59:54 น.
Counter : 636 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Imuchan
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ประสบการณ์ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องหาเอง
เมษายน 2557

 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
27
28
29
 
 
All Blog