มารักษาสิวด้วยวิตามินกันเถอะ

คนที่เป็นสิวหลายๆคน มักจะเคยลองรักษามาหลายวิธี ทั้งการไปหาหมอรักษาสิว การใช้ยาทา การใช้สมุนไพรพอกหน้า หรือแม้กระทั่งการรักษาโดยเทคโนโลยีต่างๆ เช่น เลเซอร์รักษาสิว อะไรก็ตามที่พอจะทำให้ใบหน้าของเรากลับมาเรียบเนียนก็อยากจะลองไปหมดทุกอย่าง บางคนลองไปลองมาหน้าพังกว่าเดิม บางทีการที่คนเราจะมีสุขภาพดีมันต้องดีมาจากภายใน วันนี้ Vitamins club จึงนำวิตามินที่มีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาสิวและลดรอยจากสิวมาให้ได้รู้จักกัน เรามาดูกันเลยดีกว่าว่ามีวิตามินตัวไหนที่พอจะช่วยให้ใบหน้าของเรากลับมาเนียนใสไร้สิวได้บ้าง

          1.สังกะสี Zinc แร่ธาตุสังกะสีมีส่วนช่วยในการผลิตฮอร์โมนมากกว่า 100 ชนิดในร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมดุล รวมถึงฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ฮอร์โมนที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว ซึ่งแร่ธาตุสังกะสีจะเข้าไปมีบทบาทในเรื่องของการรักษาสมดุลของการผลิต ฮอร์โมนชนิดนี้ รวมถึงการควบคุมการผลิตน้ำมันบริเวณต่อมน้ำมันใต้ผิวหนังให้เป็นปกติ นอกจากนี้งานวิจัยยังพบว่า ด้วยคุณสมบัติของการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและภูมิคุ้มกันของสังกะสีจึง สามารถต่อต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย  ด้วยเหตุผลของฮอร์โมนจึงมีการวิจัยมากมาย รวมทั้งจากการศึกษาพบว่าการรับประทาน zinc ประมาณ 4 สัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงการลดจำนวนของสิวผด สิวตุ่มหนอง ยังมีบทความจำนวนมากและข้อความต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงผลที่ได้จากการรักษาสิวและปัญหาผิวอื่น ๆ ด้วย zinc และยังช่วยทำให้ต่อมผลิตไขมันบนใบหน้าทำงานเป็นปกติ ถ้ากินเพราะบำรุงผิว และไม่กินกับยาที่รักษาสิว ก็ต้องกินก่อนอาหาร จะดีสุด แต่ถ้าปวดท้องคลื่นไส้ ก็กินไม่ได้ แต่ถ้าต้องกินกับยาโดยเฉพาะกับยาที่ใช้รักษาสิว ก็มีความสำคัญเพราะว่า อาจมีปฎิกิริยาต่อยาปฏิชีวนะบางตัวเช่น เตตร้าซัยคลิน ไมโนซัยคลิน เป็นต้น หากต้องใช้ยาเหล่านี้ร่วมด้วย ควรใช้ zinc ตามหลังโดยเว้นระยะห่างจากยาปฎิชีวนะดังกล่าว 2 ชั่วโมง 

          ส่วนโครงสร้างของ Zinc ที่ดูดซึมได้ดีที่สุดและให้ปริมาณสังกะสีสูงสุดต่อกรัม คือสังกะสีที่อยู่ในรูปที่จับอยู่กับเกลือกลูโคเนต หรือ ซิงค์กลูโคเนต (ZincGluconate) นั่นเอง และในท้องตลาดมักจะเรียกกันว่า คีเลตเตดซิงค์ (Chelated Zinc), ส่วนโครงสร้างอื่น ก็จะมีประโยชน์แต่ละเรื่องไม่เหมือนกันนะจ๊ะ เช่น ZincOxide ก็ไว้ทาแผลที่ผิว ส่วน ZincPyrithione ก็ไว้ใช้สระผม

          2.วิตามิน บี 5 หรือ Pantothenic Acid (กรดเพนโทเทนิก แอซิด) ช่วยให้ร่างกายเราสร้าง Coenzyme-A ซึ่งเอ็นไซม์ตัวนี้ช่วยในการเผาผลาญไขมันในร่างกายเรา เมื่อร่างกายเราสามารถเผาผลาญไขมันได้ดี ก็ทำให้ผิวหน้าของเรามีน้ำมันส่วนเกินทะลักออกมาน้อย ลดอาการมันบนใบหน้า เมื่อหน้าเราไม่ค่อยมันก็จะทำให้โอกาสเกิดสิวน้อยลง เพราะความมันช่วยให้เกิดการอุดตันในรูขุมขนได้ง่าย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวนั่นเอง จากการวิจัยก็ยังพบว่าคนที่เป็นสิวมักจะมี Coenzyme-A ในร่างกายต่ำ ซึ่งพอร่างกายของเรามี Coenzyme-A ต่ำมันก็จะไปสร้างฮอร์โมนอีกตัวขึ้นมาทดแทนนั่นก็คือฮอร์โมน "เอนโดรเจน" ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีมากในเพศชายและเป็นฮอร์โมนต้นเหตุที่ทำให้เกิดสิว

          3.เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) คือ สารตั้งต้นของวิตามินเอ (โปรวิตาในเอ) เบต้าแคโรทีนนั้น มีประโยชน์ต่อร่างกาย และผิวพรรณอย่างมาก คือ ช่วยให้มองเห็นในที่มืดได้ดี ลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก ช่วยป้องกันผิวที่อาจเกิดจากอันตรายของรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากับแสงแดดได้ จึงทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยแก่ก่อนวัย แลดูสดใสอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสภาพปกติของเซลล์เยื่อบุตาขาว กระจก ตา ช่องปาก ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ รวมถึงทางเดินปัสสาวะให้เป็นปกติ และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีอีกด้วย  มีงานวิจัยมากมายที่พบว่า คนที่เป็นสิวรุนแรงนั้น มีระดับวิตามินเอในเลือดต่ำ ดังนั้นการรับประทานเบต้าแคโรทีนในปริมาณที่มากพอจะช่วยลดการเกิดสิวได้ แถมยังมีสายตาดีอีกด้วยนะจ๊ะสาวๆ

          4.Vitamin C  วิตามินซี จัดว่าเป็นวิตามินพื้นฐานกันเลยทีเดียว เนื่องจากมีประโยชน์มากมายสารพัด ซึ่งก็รวมไปถึงประโยชน์ในการรักษาสิวด้วย แต่ไม่ได้มีส่วนช่วยลดการเกิดสิวสักเท่าไร จะหนักไปทางช่วยรักษาริ้วรอย รอยแดง จุดด่างดำ จากสิวซะมากกว่า เนื่องจากวิตามินซีนั้นเป็นสารตั้งต้นสำหรับผิวในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมและเติมเต็มเซลผิวที่ถูกทำร้ายให้ดีดังเดิม ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ซึ่งเหมาะกับคนที่เป็นรอยสิว หลุมสิวอย่างยิ่ง เพราะคนที่มีปัญหาแบบนี้คือคนที่คอลลาเจนที่อยู่ในผิวถูกทำลายอย่างรุนแรง บางรายที่เป็นหลุมสิวลึกๆนั้น ผิวบริเวณนั้นก็มักจะมีพังผืดไปยึดเกาะไว้ ทำให้เซลผิวไม่สามารถสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ได้ สามารถอ่านประโยชน์ของวิตามินซีเพิ่มเติมได้ใน บทความ กินวิตามินซี ดีอย่างไร 

          5.Vitamin E วิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันอีกชนิดหนึ่งที่มีในถั่ว อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน บร็อคโคลี่ เป็นต้น วิตามินอีสามารถจัดการแก้ไขการเป็นสิวได้โดยกระบวนการที่เรียกว่าออกซิเดชั่น (รวมตัวกับออกซิเจน) วิตามินอีช่วยป้องกันไขมันอิ่มตัวไม่ให้แทรกซึมเข้าไปในผิวและรวมกับสารพิษอื่นๆ ที่ทำให้เกิดสิว นอกจากนั้นวิตามินอียังช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดแดงรับออกซิเจนได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดแผลเนื่องจากสิว และยังช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อด้วย เพื่อการป้องกันสิวเราอาจจะรับประทานวิตามินอีในปริมาณวันละ 400 IU (International Units, ซึ่ง 1 IU ของวิตามินอีคือ 0.67 มิลลิกรัม) ได้นะจ๊ะ

          6.วิตามิน B6 หรือ Pyridoxine วิตามินบี6 รู้จักกันอีกชื่อในนาม ไพริดอกซินซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มวิตามินบี สามารถละลายได้ในน้ำ เป็นวิตามินที่จำเป็นทั้งต่อร่างกายและจิตใจ ไพริดอกซินจำเป็นต่อการสร้างสมดุลของฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในผู้หญิง ระบบภูมิคุ้มกัน และการเจริญเติบโตของเซลล์ใหม่ ยังจำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญโปรตีน, ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ซึ่งช่วยในการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของคน ไพริดอกซินอาจเป็นประโยชน์ต่อเด็กในการเรียนรู้ และยังป้องกันการเป็นรังแค เรื้อนกวาง และสะเก็ดเงิน ไพริดอกซินช่วยสร้างสมดุลของโซเดียม และโพแทสเซียม ช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยเสริมสร้างกรดนิวคลีอิคใน RNA และ DNA ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคมะเร็ง และต่อต้านการก่อตัวของสารพิษ homocysteine ซึ่งทำอันตรายต่อกล้ามเนื้อหัวใจ หญิงที่มีปัญหาเกี่ยวกับระดูก่อนการมีประจำเดือน, อาการปวด, ภาวะอารมณ์แปรปรวนระหว่างการมีประจำเดือน, สิว และอาการคลื่นไส้ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ อารมณ์แปรปรวน, หดหู่ ไม่มีความต้องการทางเพศ เหล่านี้บางครั้งเกิดจากการขาดไพริดอกซิน ผู้ที่ใช้ฮอร์โมนในการรักษาโรค หรือผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด

          7.โอเมก้า 3 (Omega 3) จะพบได้ในปลาและอาหารทะเล โดยเฉพาะปลาที่อุดมไปด้วยไขมันจากมหาสมุทร จำพวก แมคเคอเรล ซาดีน แอนโชวี่ ซึ่งได้รับการรับรองว่าเป็นสารต้านการอักเสบที่ดีที่สุดที่สามารถพบได้จากธรรมชาติ ร่างกายของเราจะต้องใช้โอเมก้า 3 เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตไขมันที่มีชื่อว่า " Prostaglandins" ซึ่งไขมันตัวนี้มีบทบาทในการช่วยลดอาการอักเสบและการเกิดสิวได้ โดยไขมัน  Prostaglandins มันจะเข้าไปช่วยรักษาระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน(ฮอร์โมนเพศชาย) ให้เกิดความสมดุลขึ้น เมื่อร่างกายมีระดับฮอร์โมนที่เหมาะสม ก็จะทำให้หน้าเราเกิดสิวน้อยลง และมีผลช่วยลดอาการอักเสบของสิวได้ด้วย การเกิดสิวนั้นทำให้เกิดมีการอักเสบตรงบริเวณตำแหน่งหัวสิว ซึ่งสารใดก็ตามที่มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบก็จะช่วยในการรักษาสิวได้ โดยการทำงานของโอเมก้า 3 จะช่วยยับยั้งสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบสองตัวที่เป็นสาเหตุให้เกิดสิว คือ PGE2 และ LBT4 โดยหากต้องการใช้ยาที่ยับยั้งการสร้างสารสองตัวนี้จะต้องใช้ยา accutane ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นยาที่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมากและมีราคาแพง แต่เราสามารถใช้โอเอก้า 3 มาใช้ยับยั้งสิวแทนได้ นอกจากนี้ยังได้มีงานวิจัยออกมารองรับคือ ผู้คนที่บริโภคอาหารที่ส่วนประกอบของโอเมก้า 3 สูงกว่าปกติ เช่น ประชาชนในประเทศญี่ปุ่น ประเทศปาปัวนิวกินี จะมีอัตราการเกิดสิวต่ำกว่าผู้คนทั่วไป


อ่านบทความอื่นๆได้ที่นี่






Create Date : 25 มิถุนายน 2558
Last Update : 25 มิถุนายน 2558 15:34:33 น.
Counter : 792 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 1421342
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



มิถุนายน 2558

 
1
2
3
4
5
6
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
26
28
29