เลเซอร์กับการรักษาแผลหลุมสิว
เห็นเพื่อน ๆ ใน pantip.com เคยตั้งกระทู้ถามเรื่อง laser หลายกระทู้ด้วยกัน เลยคิดว่าจะมาสรุปให้เรื่องเลเซอร์ให้ฟังหน่อยละกันครับแผลเป็นชนิดหลุมสิว (atrophic acne scar) เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ โดยเฉพาะคนไข้ที่ชอบบีบแคะแทะเล็มสิว มักเกิดตามทหลังสิวอักเสบ (inflammatory acne) โดยเฉพาะคนไข้วัยรุ่นหรือเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ คนไข้ที่มีแผลหลุมสิวจำนวนมาก เกิดผลเสียต่อความใสของใบหน้า ลามไปถึงบุคลิกและสภาพจิตใจ ขาดความมั่นใจได้ ยิ่งถ้าหลุมยิ่งลึก การรักษาให้หน้าเรียบดังเดิมก็จะยากขึ้นชนิดของแผลจากสิว1. แผลแดง (telangiectatic)2. หลุมตื้น (rolling)3. แผลหลุมลึก (boxed)4. แผลหลุมเล็กและลึก (pitted)5. แผลชนิดนูน (hypertrophic) (จากรูปเป็นบริเวณริมฝีปากบน)การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์นั้น มี 2 แบบใหญ่ ๆ คือ
1. เลเซอร์ชนิดลอกผิว (ablative laser resurfacing)2. เลเซอร์ชนิดไม่ลอกผิว (nonablative laser)
ข้อห้ามในการรักษา
1.สิวยังอักเสบอยู่2. มีประวัติคีลอยด์3. มีประวัติโรคเริมบริเวณใบหน้า
ชนิดของเลเซอร์ที่ใช้ลอกผิว
ข้อเสียของการลอกผิว
ข้อดี
ข้อเสีย
ชนิดเลเซอร์ที่มีใช้
1. การฉายแสงความเข้มสูง (IPL) IPL นี้ไม่ใช่เลเซอร์แต่หลักการทำงานคล้ายคลึงกับเลเซอร์จึงนับเข้าอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทำซ้ำทุก 2 สัปดาห์ ประมาณ 4 - 8 ครั้ง2. long-pulse Nd:YAG 1320 nm (Cool touch) สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ประมาณ 6 - 8 ครั้ง3. long-pulse Nd:YAG 1064 nm (Coolglide, Mydon) เดือนละครั้ง ประมาณ 4 - 6 ครั้ง
เริมกับงูสวัด
เริม VS งูสวัด สวัสดีครับ เพื่อน ๆ ชาว bloggang ทุกท่าน วันก่อนเข้าไปในกระทู้ห้องสวนลุม เห็นเพื่อน ๆ ถามถึงความแตกต่างระหว่าง เริมกับงูสวัด เลยมาเขียนให้อ่านกันเล่น ๆ สักหน่อยดีกว่า มีรูปประกอบสยดสยองด้วยนะครับ ถ้าใครไม่ชอบรูปก็ขออภัยด้วยละกันเริม (HERPES SIMPLEX)สาเหตุ เชื้อไวรัสชื่อ herpes simplex virus (HSV) ซึ่งมีด้วยกัน 2 สายพันธุ์ย่อย คือ
HSV - 1 มักจะติดเชื้อที่บริเวณปาก
HSV - 2 มักจะติดเชื้อบริเวณพื้นที่สงวน (genital area) แต่ว่าในบางกรณีก็ไปเป็นแถว ๆ ปากได้เหมือนกันนะครับ (ไม่ได้ทะลึ่งนะ)
เป็นครั้งแรก (primary eruption) จะมีอาการรุนแรงและนานกว่ากรณีเป็นซ้ำ มักจะมีต่อมน้ำเหลืองโต มีไข้ ปวดเมื่อยเนื้อตัวร่วมกับตุ่มน้ำพองใสบนพื้นสีแดงเหมือนในรูปข้างบน
เป็นซ้ำ (recurrent infections) คือหลังจากเป็นครั้งแรก เชื้อมันจะแอบแฝงตัวอยู่ในเส้นประสาท กรณีที่ร่างกายอ่อนแอ พักผ่อนน้อย ภูมิต้านทานร่างกายลดลง เชื้อมันก็แสดงอาการออกมาอีก คราวนี้จะเป็ตตุ่มที่เดิมที่เคยเห็น แต่จะปวดแสบปวดร้อนได้มาก
ถ้าเป็นครั้งแรก หมออาจให้ยากินชื่อ acyclovir มากิน หรือในกรณีที่คุณภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี (เช่นเป็น AIDS, มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือมะเร็งอื่น ๆ ที่ให้ยาเคมีบำบัด, โรค SLE (โรคพุ่มพวง)) อาจต้องให้ยา acyclovir นี่แหละแต่ฉีดเข้าเส้นเลือดดำแทนและต้องนอน รพ.
กรณีเป็นซ้ำอาจใช้ acyclovir ชนิดขี้ผึ้งทาที่เป็น หรือใช้ภูมิปัญญาไทยที่มีวิจัยว่าได้ผล ก็คือ พญายอครีม (มีขายทั่วไปตามร้านขายยา) ไม่ต้องไปพบแพทย์ก็ได้ถ้าอาการไม่มาก
แต่ถ้าเป็นบ่อยเกินกว่าปีละ 6 ครั้งแนะนำให้พบแพทย์เพื่อกินยา acyclovir ขนาดต่ำ ๆ กดเชื้อไวรัสไม่ให้เป็นซ้ำได้