น้ำเต้าหู้ สำหรับคนรักสุขภาพ



เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

หากพูดถึง "นมถั่วเหลือง" คงไม่มีใครไม่นึกถึง "น้ำเต้าหู้" แต่ถ้าหากพูดถึง "น้ำเต้าหู้" หลายคนก็คงจะคิดถึง "นมถั่วเหลือง" ขึ้นมาใช่ม้า... (อิอิ) เอาล่ะ!! ว่าแล้วก็เข้าเรื่องเลยดีกว่า วันนี้เรามีเกร็ดความรู้เรื่อง "น้ำเต้าหู้" มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ พลาดไม่ได้เด็ดขาด...

"น้ำเต้าหู้" หรือ "นมถั่วเหลือง" แหล่งโปรตีนชั้นดีสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ หรือสำหรับคนที่บริโภคเนื้อสัตว์ ก็สามารถดื่มน้ำเต้าหู้เป็นอาหารเสริมได้ เพราะถั่วเหลืองที่นำมาทำน้ำเต้าหู้นั้นมีโปรตีนสูง และมีคุณค่าทางโภชณาการใกล้เคียงกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ถ้าเราบริโภคถั่วเหลืองในปริมาณที่สูงพอ ร่างกายของเราก็จะได้รับโปรตีนเพียงพอกับความต้องการได้ (ว้าว... วิเศษสุดๆ)

นอกจากนี้ ในถั่วเหลืองยังอุดมไปด้วยสารอาหารอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน A, B, B1, B2, B6, B12 ไนอาซิน และวิตามิน C, D, E และในเมล็ดถั่วเหลืองยังมี "เลซิทิน" อันเป็นสารบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ ลดไขมัน และลดโคเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกด้วย

ทั้งนี้ การดื่มน้ำเต้าหู้จะได้รับประโยชน์กว่าเครื่องดื่มอื่นๆ ถ้าเทียบกับนมธรรมดาแล้ว น้ำเต้าหู้จะมีข้อดีกว่า แต่บางอย่างก็จะสู้นมธรรมดาไม่ได้ โดยน้ำเต้าหู้ให้โปรตีนเกือบเท่านมธรรมดาทั่วไป มีไขมันที่ดีกว่าคือให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่า และช่วยลดโคเลสเตอรอล สำหรับข้อเสีย คือ น้ำเต้าหู้จะให้แคลเซียมได้น้อยมาก ดังนั้น จึงควรรับประทานอาหารอื่นที่มีแคลเซียมควบคู่กันไปด้วย เช่น ปลาทอดกรอบ ผักคะน้า กวางตุ้ง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม วันนี้เรามีวิธีการทำน้ำเต้าหู้มาแนะนำ เผื่อว่าเพื่อนๆ คนไหนอยากลองทำดื่มเองกันบ้าง...

ส่วนผสม

ถั่วเหลืองเลาะเปลือกแยกกากและเศษผงออก 1 ถ้วย
น้ำสะอาด 7 ถ้วย
น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย

วิธีทำน้ำเต้าหู้

1. ล้างทำความสะอาดถั่วให้สะอาดแล้วแช่น้ำไว้อย่างน้อย 6 ชั่วโมง
2. โม่หรือบดถั่วให้ละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบางแยกน้ำออก หากมีเครื่องแยกกากก็ใช้เครื่องแยกกากก็ได้ค่ะ
3. นำขึ้นตั้งไฟ ตอนใกล้ๆ เดือดต้องคอยคนอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ไหม้
4. ใส่น้ำตาลทราย คนให้ละลายแล้วปิดไฟ อาจแยกบางส่วนไม่ใส่น้ำตาลทรายเลยก็ได้ แล้วแต่ชอบ

ทั้งนี้ จุดสำคัญของการทำน้ำเต้าหู้อยู่ที่ขั้นตอนการทำ ต้องหมั่นคน มิฉะนั้นจะมีกลิ่นไหม้ค่ะ

วิธีทำเครี่องน้ำเต้าหู้

"ลูกเดือย" นำลูกเดือยมาแช่น้ำประมาณ 1 ชั่วโมง นำลงต้มในน้ำจนเดือด จากนั้นลดไฟลงและเคี่ยวต่อจนเปื่อย ใช้เฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อลูกเดือย ส่วนที่เป็นน้ำเททิ้งไป

"วุ้น" นำน้ำขึ้นตั้งไฟต้มจนเดือด ระหว่างนั้นนำผงวุ้นละลายในน้ำธรรมดา พักไว้ เทน้ำที่ต้มไว้แล้วลงในถาดโลหะอาจเป็นถาดอลูมิเนียมหรือถาดสแตนเลสก็ได้ นำผงวุ้นที่ละลายน้ำไว้แล้วเทลงในถาดใช้ช้อนคนให้ทั่วทั้งถาด... รอให้เย็นวุ้นก็จะแข็งเป็นก้อน เมื่อแข็งเป็นก้อนแล้วจึงใช้มีดตัดออกเป็นก้อนสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 3 คูณ 3 เซนติเมตร และซอยออกเป็นเส้นเล็กๆ อีกครั้งหนึ่ง

"สาคู" นำน้ำขึ้นตั้งไฟให้เดือด เทสาคูลงไป ต้มจนน้ำเดือดอีกครั้ง จากนั้นปิดไฟปล่อยไว้ให้เย็นแล้วเทน้ำทิ้งไป ทำเช่นนี้สองครั้งก็จะได้สาคูที่นุ่มลิ้นและอร่อยแล้วค่ะ

เอาล่ะ ได้เวลาที่คนรักสุขภาพอย่างพวกเราไปทำ "น้ำเต้าหู้" ดื่มกันแล้ว... เย้ๆๆ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
thairunning.com
hilight.kapook.com




 

Create Date : 07 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 7 กรกฎาคม 2552 9:55:39 น.   
Counter : 1061 Pageviews.  

คู่มือการทำลายประสิทธิภาพ การทำงานของสมอง

วันนี้เอาเรื่องเกี่ยวกับสมองๆ มาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันครับ เพราะเป็นห่วงจึงนำมาฝาก ^o^

คู่มือการทำลายประสิทธิภาพ การทำงานของสมอง



1.โกหกเป็นประจำ การโกหกเป็นประจำทำให้สมองต้องทำงานหนักกว่าปกติ
2.คิดในทางไม่ถูกต้อง การใช้สมองคิดในทางที่ไม่ถูกต้อง เป็นอีกวิธีหนึ่งของการทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้อย่างแน่ชัด เช่น การคิดหาช่องทางกอบโกยผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ เช่น การคอร์รัปชัน การแสวงหาผลประโยชน์ทับซ้อน โดยวิธีการที่แยบยล3.หมกมุ่นอบายมุข การคิดหมกมุ่นอยู่กับอบายมุข เช่น การพนัน คลั่งหวย ฯลฯ ทำให้สมองต้องทำงานหนักทั้งเวลาตื่นและหลับ
4.(เจ้า) คิด (เจ้า) แค้น คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นประจำจะมีสภาพเป็นคนหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ไม่เป็นมงคล สมองจะถูกทำลายเสมือนหนึ่งถูกอาบด้วยยาพิษเป็นประจำ
5.เครียด ฟุ้งซ่าน ความ เครียด ความฟุ้งซ่าน ทำให้สมองต้องทำงานหนักอย่างผิดทาง ทำให้สมองหลั่งสารหรือขาดสารบางอย่างที่หล่อเลี้ยงและกระตุ้นให้สมองได้ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดอาการซึมเศร้าหรือฟุ้งซ่านอย่างหนัก
6.ไม่ยอมคิด ตรง กันข้ามกับคนที่คิดมากอย่างผิดทาง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงอย่างหนัก ก็คือคนที่ไม่ยอมคิดอะไรเป็นพิเศษขึ้นมาเลย นอกเหนือไปจากการคิดเพื่อชีวิตอยู่ไปวันๆ
ใครที่ยังไม่อยากทำลายสมองตัวเอง พยายามหลีกเลี่ยงคู่มือนี้นะครับ

ที่มา: //www.sakid.com

Baiiz Blog ^o^ อยากเห็นคนไทยรักสุขภาพครับ




 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 3 กรกฎาคม 2552 9:58:16 น.   
Counter : 961 Pageviews.  

วันนี้มี Tips เรื่องสุขภาพมาฝากกัน

พอดีผมกำลังอ่าน เว็ปๆ หนึ่งอยู่เห็น tips ดีๆ เกี่ยวกับสุขภาพของเรา ส่วนใหญ่จะเป็น กิจวัตรประจำของเราอยู่แล้ว เลยขออนุญาติ Copy มาให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะครับ..
ใครเคยอ่านแล้วก็ไม่ว่ากันเน้อ ^o^ เผื่อบางท่านยังไม่เคยอ่าน . . .



ช่วงนี้ไข้หวัดระบาด ยังไงเพื่อนๆ ก้อต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอนะครับ




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 2 กรกฎาคม 2552 9:50:29 น.   
Counter : 869 Pageviews.  

กลวิธีคลายเครียด

ความเครียดทางอารมณ์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนไม่มากก็น้อย ความเครียดอาจจะเกิดจากปฏิกิริยาในตัวเราเอง เช่น ปวดท้องอึขณะที่ขับรถติดในชั่วโมงเร่งด่วน หรือความเครียดที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น หุ้นตก สูญเสียเงิน ถูกโกงแชร์ เป็นนายกโดนปฎิวัติ ฯลฯ

ความเครียดขนาดน้อยๆ เป็นเรื่องปกติ ไม่มีปัญหา แต่อาจจะมีประโยชน์ ที่ทำให้เราพยายามเอาชนะมัน ทำให้เรามีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย เช่น เครียดเพราะกลัวสอบเอ็นทรานซ์ไม่ได้ จึงทำให้ขยันเรียน แต่ความเครียดถ้ามีขนาดมาก ก็มีผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ความเครียดอาจจะทำให้ภูมิต้านทานโรคลดลง ทำให้เป็นหวัดง่าย เริมกำเริบ หรือในบางคนอาจจะเกิดโรคจู๋หมดน้ำยา หรือถึงขนาดฆ่าตัวตาย

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านความเครียด แนะนำหลักการลดความเครียดไว้หลายอย่าง ขั้นแรกหาสาเหตุที่ก่อให้เกิดความเครียด เขาให้คำนิยามของสาเหตุความเครียดไว้ว่า มันคือภาวะที่บีบคั้น ที่เกินความสามารถของเราที่จะตอบสนองได้
ความสามารถในการตอบสนองต่อความเครียด ขึ้นกับพันธุกรรม บุคลิกภาพ ประสบการณ์ของชีวิตของเรา เช่น คนบางคนอาจจะเครียด เมื่อต้องขึ้นไปร้องเพลงบนเวที แต่บางคนชอบมาก เนื่องจากมีพันธุกรรม หรือบุคลิกของความไม่ขี้อายชอบแสดงออก บางคนเข้าใกล้หมาแล้วเครียดมาก เนื่องจากมีประสบการณ์โดนหมากัดตอนที่ยังเด็ก
สาเหตุของความเครียดหลายอย่าง มันเห็นได้เข้าใจได้เด่นชัด เช่น พ่อหรือแม่เสียชีวิต ลูกไม่สบาย แฟนเลิกร้าง กิ๊กเลิกรา หางานทำ ไม่ได้ ถูกไล่ออกจากงาน หาเงินไม่พอใช้ เป็นหนี้พนันบอล ฯลฯ แต่ความเครียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันก็ไม่ควรมองข้าม เช่น ต้องขับรถฝ่าจราจรไปส่งหรือรับลูกที่โรงเรียนทุกวัน เพื่อนร่วมงานนิสัยไม่ดี คอมฯ มีปัญหาแฮงค์บ่อยทำให้ต้นฉบับหาย น้ำมันราคาแพง ความเครียด เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ถ้าเป็นอยู่นานๆ ก็สามารถสร้างความเสียหาย ให้กับชีวิตร่างกายหรือสุขภาพของเราได้มาก เพราะมันกระตุ้นร่างกายเรา ให้หลั่งฮอร์โมนความเครียดตลอดเวลา ทำให้เกิดโรคขึ้น เช่น ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ แล้วตามมาด้วยอัมพาตอัมพฤกษ์

กลวิธีคลายเครียดที่ผู้รู้แนะนำไว้ และคุณสามารถเลือกเอาไปใช้ได้มีหลายอย่าง คือ

จดบันทึกประจำวัน

• จดบันทึกประจำวันสักหนึ่งสัปดาห์ ให้สังเกตดูว่าเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใด ที่เราตอบสนองทางกาย ใจ หรืออารมณ์ในทางลบ และให้จดวันเวลาของเหตุการณ์ไว้ด้วย เขียนบรรยายเหตุการณ์เอาไว้ย่อๆ เราอยู่ในเหตุการณ์ตรงไหน มีใครเกี่ยวข้องบ้าง อะไรเป็นสาเหตุของความเครียด และบรรยายถึงการตอบสนองของเรา ต่อความเครียดนั้นด้วย อาการทางกายของเราเป็นอย่างไร เช่น หัวใจเต้นแรง ใจสั่น เหงื่อแตก ความรู้สึกของเราเป็นอย่างไร เราพูดอะไร หรือทำอะไรลงไปบ้าง เสร็จแล้วให้คะแนนความเครียดของเราจาก 1 ถึง 5 (น้อยไปมาก)
• จดบันทึกรายการของสิ่งหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่บีบคั้นเราให้ใช้เวลา และพลังงานกับมันในหนึ่งสัปดาห์ว่ามีอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น การงานที่เราทำอยู่ งานอาสาสมัคร ขับรถพาลูกไปเรียนพิเศษ ดูแลพ่อหรือแม่ที่แก่เฒ่า เสร็จแล้วให้คะแนนความมากน้อยของความเครียดที่ เราประสบจาก 1 ถึง 5 เหมือนข้างบน

ี้หลังจากนั้น เราก็มานั่งพิจารณาสิ่งที่เราจดบันทึกไว้ พิจารณาสิ่งที่เราคิดว่าทำให้เราเครียดมากๆ แล้วเลือกขึ้นมาอย่างหนึ่ง เพื่อทำการวิเคราะห์โดยใช้เทคนิคที่ใช้แก้ปัญหาดังนี้

ปรับปรุงทักษะการใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทักษะนี้สามารถทำให้คุณเก่ง ในการแยกแยะเป้าหมาย และให้ความสำคัญก่อนหลังของสิ่งที่เราต้องทำ ซึ่งจะช่วยลดความเครียดในชีวิตได้ ให้ใช้ทักษะต่างๆ ดังต่อไปนี้ช่วยลด ความเครียด

• สร้างความคาดหมายที่เป็นไปได้จริง และขีดเส้นตายให้กับงานที่เราจะทำ และทำการตรวจสอบความก้าวหน้าเป็นประจำ
• จัดระเบียบบนโต๊ะทำงาน กำจัดกระดาษที่ไม่มีความสลักสำคัญ โดยการโยนมันทิ้งไป
• เขียนรายการแม่บทของสิ่งที่เราต้องทำก่อนหลังประจำวันแล้วทำตามนั้น
• ตลอดทั้งวันที่ทำงานหมั่นเช็ครายการ แม่บทที่เราทำไว้ ว่าเราได้ทำเสร็จไปตามลำดับก่อนหลังที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า
• หัดใช้สมุดนัดที่เขาเรียกว่าแพลนเนอร์ เพื่อจดบันทึกสิ่งที่เราวางแผนจะทำล่วงหน้า เป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปี หรือเขียนรายการแม่บทตามที่กล่าวข้างบนนั้น เป็นรายการที่ต้องทำก่อน-หลังประจำวัน ลงบนแพลนเนอร์ด้วย แล้วทำไปตามนั้น และทำการประเมินผลประจำวัน จะเกิดผลดี ไม่เกิดความยุ่งยาก สับสน ผิดนัด ใช้แพลนเนอร์เก็บเบอร์โทรศัพท์ และที่อยู่ของคนสำคัญหรือลูกค้า เพื่อความสะดวกใน การค้นหาติดต่อ ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ผิดพลาดเสียเวลาน้อยลง มีเวลาทำงาน อย่างอื่นหรือรื่นเริงมากขึ้น
• สำหรับการทำงานหรือโครงการที่มีความสำคัญมาก ให้กันเวลาที่ห้ามใครมารบกวนไว้ต่างหาก เพื่อการทำงานที่ต่อเนื่องและเป็น ความลับ

หลีกเลี่ยงความเบื่อหน่ายหมดไฟในการทำงาน

ถ้าคุณมีความรู้สึกหมดไฟ ไม่อยากทำงาน หรือเครียดมากเป็นเวลานานเป็นสัปดาห์ ความรู้สึกนี้จะมีผลต่อความสัมพันธ์ในทางอาชีพ และในชีวิตส่วนตัวหรือในการทำมาหากินของคุณได้

ความอัดอั้นตันใจที่มากล้น ความรู้สึกเมินเฉยต่อการงาน ความหงุดหงิดรำคาญใจเป็นเวลายาวนาน ความขุนเคืองใจ และมีความโน้มเอียงที่จะโต้เถียงเป็นประจำ สิ่งเหล่านี้ เป็นตัวชี้บ่งถึงอาการหมดไฟในการทำงาน ซึ่งจำเป็นต้อง ได้รับการจัดการเยียวยาให้มันดีขึ้น ผู้เชี่ยวชาญเขาแนะนำกลยุทธในการต่อสู้ดังนี้

• ดูแลตัวเองให้สุขภาพดี กินอาหารให้ครบห้าหมู่ กินให้ครบทุกมื้อรวมทั้งอาหารเช้า กินในขนาดที่พอประมาณ (ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม) นอนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอให้พอเหมาะ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายของท่านแข็งแรง สามารถสู้กับความเครียดทางกายและใจได้ดี
• สร้างสัมพันธไมตรีกับเพื่อนในที่ทำงานและนอกที่ทำงาน หาเพื่อนสนิทที่เราสามารถบ่นเรื่องคับข้องใจ ปรับทุกข์เรื่องการงานให้ฟังได้ ทำให้มีหนทางในการแก้ปัญหา ที่ก่อความเครียดของเราได้ หลีกเลี่ยงการคบค้ากับคนที่เรามีความรู้สึกไม่ดี คนไม่จริงใจ ไม่เป็นกัลยาณมิตร เพราะจะยิ่งจะตอกย้ำความรู้สึกย่ำแย่ให้มากขึ้น ในมงคลสูตรก็กล่าวไว้ให้คบคนดี หลีกหนีคนพาล มองหากัลยาณมิตร
• รู้จักลาพักผ่อน ลาพักร้อน วาเคชั่น บางคนอาจจะลาไปปฏิบัติธรรมฝึกวิปัสสนากรรมฐาน หรือปลีกวิเวก สำหรับคนที่ทำได้ มันจะทำให้คลายเครียดลงได้มาก แน่นอน และสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ลาได้ไม่มาก ก็อาจจะมีการเบรคพักคลายเครียดชั่วครู่ในเวลาทำงาน ก็จะช่วยได้บ้าง
• ในบางกรณีจำเป็นต้องฝึกการปฏิเสธ หัด “Say No” กับเพื่อนที่มาชวนไปทำโน่นทำนี้ ที่ทำให้เราเครียด เช่น เป็นสาวเป็นแส้เที่ยวแร่ไปตามที่อโคจร ไปนั่งตามผับตามบาร์ ดื่มเหล้าสูบยาซึ่งเป็นท่าทีเชิญชวนให้ หนุ่มเหน้าเข้ามาโอภาปราศรัยอยากได้ปลื้ม
• หัดยับยั้งชั่งใจไม่โต้เถียงกับใครๆ โดยไม่เลือก พยายามใจเย็น มีสติ สัมปชัญญะ เถียงเฉพาะเรื่องที่มีความสลักสำคัญจริง (ไม่ใช่เรื่องทักษิณออกไป) แต่ที่ดีที่สุดคือหุบปากไม่เถียงกับใครเลย ทุกครั้งที่เถียงกัน จะมีการหลั่งของฮอร์โมนความเครียด ความดันเลือดพุ่งขึ้นทุกที
• ทางออกของความเครียดที่ควรหัดมีไว้คือ การอ่านหนังสือที่เราชอบ ทำงานอดิเรกที่เรารัก ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาที่เราสนุก ทำให้รู้สึกชื่นมื่นเพราะเอนดอร์ฟิน (สารสร้างสุข) หลั่งออกมา

ถ้าสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่มีผลดีต่อคุณ ก็จำเป็นต้องหาที่พึ่ง เช่น เข้าหาปรึกษาพระที่เราเคารพนับถือ เอาธรรมะเข้าข่ม หรือใช้มืออาชีพอย่างนักจิตวิทยา หรือให้จิตแพทย์ช่วยก็จะดีที่สุด อย่าลืมว่าความเครียดอาจจะทำให้ถึงตายได้ อย่าปล่อยให้มันเรื้อรังนะครับ



พล.ต.ต.นพ. นริศ เจนวิริยะ ศัลยแพทย์

แหล่งข้อมูล : นิตยสาร - HealthToday

เพื่อนๆที่สนใจข้อมูลแบบนี้สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ //www.yourhealthyguide.com/ ครับ

**อยากเห็นคนไทยรักสุขภาพครับ ^o^**




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2552   
Last Update : 27 มิถุนายน 2552 9:57:42 น.   
Counter : 393 Pageviews.  

มีเคล็ดลับสำหรับคนนอนดึกมาฝากกัน

การนอน คือการพักผ่อนที่ดีที่สุด เชื่อเถอะค่ะว่าเป็นความจริง ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้านอนคือ เวลา เนื่องจากร่างกายต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอขับของเสียตามอวัยวะต่าง ๆ ย่อยอาหารให้หมด และถ้ากินมื้อหนักในตอนกลางคืน แถมนอนดึกอีก รับรองว่าอ้วนแน่นอนค่ะ เพราะไขมันเผาผลาญไม่หมดเลยทำให้เกิดการสะสมของไขมัน สาวๆฟังไว้เลยนะ


แต่ก็อย่างที่เรารู้ๆกันอยู่ว่าบางครั้งเราก็ทำโน่นทำนี่จนเพลิน หันมองนาฬิกาอีกทีก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะวันนี้พี่เหมี่ยวมีข้อควราปฏิบัติของคนนอนดึกมาฝากกัน ค่ะถ้าจำเป็นจะต้องนอนดึกจริงๆ มื้อเย็นของวันนั้นเราควรงดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพราะย่อยยากลำไส้ต้องทำงานหนัก
ถ้าหากอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ควรช่วยลำไส้ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด ยิ่งเคี้ยวละเอียดมากเท่าไหร่ยิ่งดี จะได้แบ่งเบาภาระการทำงานของลำไส้ได้ในบางส่วน

  
>>> ควนดื่มน้ำขิงผสมน้ำผึ้งอุ่นๆหรือน้ำอุ่นธรรมดาน้ำผึ้ง หรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก 1 แก้วก็ได้
>>> เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้องกับฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้า
>>> มื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่าเพราะย่อยง่าย
>>> และข้อสุดท้ายสำคัญมาก ควรหลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม เพราะจะเพิ่มภาระทำให้ระบบภายในร่างกาย ร่างกายต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายต้องพยายามปรับอุณหภูมิ ให้อุ่นเหมาะสมก่อน แล้วจึงนำไปใช้


ยังไงผมก็ต้องหันมาดูแลสุขภาพตัวเองเหมือนกันครับ เพราะช่วงนี้รู้สึกจะนอนดึกทุกวันเลย
เราสามารถทำได้ง่ายๆด้วยการไม่นอนดึกมากจนเกินไป เพื่อสุขภาพที่ดี


Cadit: พี่มะเหมี่ยว
เห็นว่าเป็นช่วงสอบคิดว่าเพื่อนๆคงจะนอนดึกกัน เลยเอาเคล็ดไม่ลับ ดีๆ แบบนี้มาฝากกันครับ
อยากเห็นคนไทยรักษาสุขภาพครับ




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2551   
Last Update : 24 มิถุนายน 2552 16:20:45 น.   
Counter : 686 Pageviews.  


ลิ่วหลาง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มีมิตร ดีกว่ามีศัตรูนะ ^o^
[Add ลิ่วหลาง's blog to your web]