เมษายน 2558
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
15 เมษายน 2558
 

ดื่มกาแฟ?ให้เป็นยารักษาโรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์คินสัน

ดื่มกาแฟอย่างไร 
ให้เป็นยารักษาโรคอัลไซเมอร์ 
และโรคพาร์คินสัน

คอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง 
มูลนิธิสุขภาพไทย

//www.matichon.co.th/online/2015/04/14290720971429072184l.jpg

วันนี้สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปเรียบร้อยแล้ว

และโรคประจำของสังคมผู้สูงอายุทั่วโลก 
ก็คือโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer"s disease) 
ซึ่งเป็นโรคภาวะสมองเสื่อมที่พบมากที่สุดถึงร้อยละ 50-75 
รองลงมาคือโรคพาร์คินสัน (Parkinson"s disease)

ในสังคมประเทศที่เจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา 
คนอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปมีอัตราป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ร้อยละ 10 
ในขณะที่สังคมไทยพบร้อยละ 3.4 น้องๆ อเมริกาเลยทีเดียว

และความชุกของโรคจะพบมากขึ้นในสังคมที่มีผู้สูงอายุมากขึ้น 
ยิ่งกว่านั้นยังจะพบเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกๆ 5 ปีหลังอายุ 65 ปีไปแล้ว 
เห็นได้จากสถิติอัตราเกิดโรคในผู้สูงอายุ
 65-69 ปี พบผู้ป่วย 3 คนต่อ 1,000 คน 
70-74 ปี พบ 6 คน ในขณะที่ อายุ 75-79 ปี พบ 9 คน 
ตามลำดับและพบผู้ป่วยหญิงมากกว่าชาย

ในหมู่คนไทยเราเรียกโรคนี้ง่ายๆ ว่า "โรคความจำเสื่อม" 
เพราะในระยะสุดท้ายของโรค ผู้ป่วยจะสูญเสียความจำทั้งหมด 
ต่อมาจะสูญเสียการทำงานต่างๆ ของร่างกายและเสียชีวิตในที่สุด

หลังจากความจำเสื่อมและสูญเสียความสามารถทางภาษาแล้ว 
ผู้ป่วยจะมีชีวิตโดยเฉลี่ย 10 ปี

แม้จะค้นพบโรคนี้มากว่า 100 ปี 
โดยจิตแพทย์ชาวเยอรมันชื่อ อาลอยส์ อัลไซเมอร์ (Alois Alzheimer)
แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรค 
นอกจากพบว่ามีความผิดปกติของโครโมโซม
และเป็นโรคที่สืบทอดทางพันธุกรรม

โรคนี้ยังไม่มีใครพบวิธีป้องกัน ทั้งยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

ข่าวดีสำหรับผู้สูงอายุ มีการค้นพบเมื่อเร็วๆ นี้ว่า 
เครื่องดื่มสมุนไพรใกล้ตัวที่ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมได้ดี
ก็คือกาแฟถ้วยโปรดยามเช้าของทุกคนนั่นเอง 
เนื่องจากธุรกิจกาแฟแบรนด์ดังมีกำไรมหาศาล 
จึงมีทุนสนับสนุนงานวิจัยกาแฟว่ามีผลต่อสุขภาพของผู้ดื่มอย่างไร

แน่นอนผลเสียต่อสุขภาพของผู้เสพติดกาแฟ คือ 
ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและ หลอดเลือด 
ความดันโลหิตสูง การสูญเสียความหนาแน่นของมวลกระดูก 
เช่น การเกิดภาวะกระดูกสะโพกหักซึ่งพบบ่อยในผู้หญิงสูงอายุ

ก่อนอื่นควรทำความรู้จักสายพันธุ์กาแฟที่ปลูกและใช้บริโภคในบ้านเราเล็กน้อย 
แม้ทั่วโลกมีสายพันธุ์กาแฟมากกว่า 50 ชนิด แต่ที่นิยมปลูกในไทยมี 2 พันธุ์ 
คือ อราบิก้า (Coffea arabica L.) และ โรบัสต้า (Coffea robusta L.)

สายพันธุ์แรกนั้นชอบขึ้นบนดอยสูงทางภาคเหนือของไทย 
จุดเด่นคือมีกลิ่นหอมชวนลิ้มลอง และมีปริมาณกาเฟอีนต่ำ

ส่วนสายพันธุ์หลังนั้นชอบพื้นที่ราบทางภาคใต้ จุดเด่น 
คือ มีรสชาติเข้มและมีกาเฟอีนสูงเป็นสองเท่าของพันธุ์อราบิก้า

//www.matichon.co.th/online/2015/04/14290720971429084001l.jpg

กาเฟอีน (caffeine) เป็นสารแซนทีนอัลคาลอยด์ธรรมชาติ 
พบได้ในเครื่องดื่มหลายชนิด เช่น เมล็ดกาแฟ ใบชา เครื่องดื่มโคล่า 
เครื่องดื่มชูกำลัง และโกโก้ เป็นต้น แต่เมล็ดกาแฟเป็นแหล่งของกาเฟอีนที่ใหญ่
ที่สุด

ส่วนเมล็ดกาแฟจะมีกาเฟอีนมากหรือน้อย นอกจากขึ้นอยู่กับสายพันธุ์แล้ว 
ยังขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการคั่ว

เมล็ดกาแฟที่คั่วนานจนสีเข้มจะมีกาเฟอีนน้อยกว่าที่คั่วสุกแต่ใช้เวลาไม่นาน 
เพราะกาเฟอีนจะสลายไปในระหว่างการคั่วนั่นเอง

โดยทั่วไปแล้ว น้ำกาแฟ 150 ซีซีจากเครื่องต้มทำกาแฟไม่มีกระดาษกรอง
จะมีกาเฟอีนสูงที่สุดถึง 115 มิลลิกรัม

ในขณะที่กาแฟกรองมีกาเฟอีน 80 ม.ก.

และกาแฟสำเร็จรูป 65 ม.ก. ตามลำดับ

เนื่องจากกาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมดังกล่าวแล้ว 
จึงมีการศึกษาทางระบาดวิทยาในต่างประเทศจำนวนมาก
เพื่อหาความสัมพันธ์ของพฤติกรรมการดื่มกาแฟกับผลกระทบต่อสุขภาพ

เช่น ในฟินแลนด์มีการศึกษาวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบไปข้างหน้าระยะยาว
ที่เรียกว่า โคฮอร์ต (cohort study) ซึ่งเก็บข้อมูลจากอาสาสมัคร
จำนวน 1,409 คนเริ่มต้นจากอายุเฉลี่ย 50 ปี เก็บข้อมูลไปข้างหน้า 21 ปี 
พบอาสาสมัครมีภาวะความจำเสื่อม 61 คน วินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์
ถึง 48 คน

ผลจากการวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟตั้งแต่มีอายุช่วงวัยกลางคน
จนเข้าสู่วัยสูงอายุ มีแนวโน้มป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมน้อยกว่า
คนที่ไม่ดื่มกาแฟ

โดยดื่มกาแฟ 3-5 ถ้วย/วัน จะมีความเสี่ยงเป็นโรคลดลงประมาณร้อยละ 65

ในขณะที่มีการศึกษาระยะยาวแบบโคฮอร์ตเป็นเวลา 10 ปีในสหรัฐอเมริกา 
เพื่อศึกษาการดื่มกาแฟกับความเสี่ยงเกิดโรคพาร์คินสัน 
มีอาสาสมัครชายหญิงรวมถึง 135,916 คน 
พบว่าฤทธิ์ของกาเฟอีนมีผลทำให้ระดับสารสื่อประสาทโดพามีน (dopamine) 
ในสมองเพิ่มขึ้น

ทำให้สมองตื่นตัวป้องกันการเป็นโรคพาร์คินสันได้ทั้งในหญิงและชาย
โดยดื่มกาแฟวันละ 1-3 ถ้วย

ข้อพึงระวังสำหรับสตรีก็คือ ต้องไม่ดื่มกาแฟร่วมกับฮอร์โมนเอสโตรเจน
เพราะไม่เกิดผลเชิงบวกกรณีการป้องกันโรคพาร์คินสันเลย

นอกจากนี้ เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจ เบาหวาน 
ความดันโลหิตสูงไม่ควรดื่มกาแฟเลยเพราะมีโทษมาก 
รวมถึงไม่ควรดื่มกาแฟร่วมกับการรับประทานอาหารและยาเสริมธาตุเหล็ก 
สังกะสี แคลเซียม หรือยาแก้ปวดแก้ไข้ สำหรับปริมาณการดื่มกาแฟ
ไม่เติมน้ำตาลต่อวันไม่ควรเกิน 1-2 ถ้วย (ถ้วยละ 150 ซีซี 
มีกาเฟอีนเฉลี่ย 115 ม.ก./ถ้วย) และควรดื่มกาแฟสดแบบกรอง 
จึงจะเกิดประโยชน์ทางยาสูงสุด เพราะถ้าบริโภคมากกว่านี้
หรือดื่มกาแฟชนิดอื่นจะเกิดโทษมากกว่าคุณ

ท่านผู้อยู่ในวัย 50 ต้นๆ ทุกเช้าควรดื่มกาแฟสดกรองเพียง 1 ถ้วย
เป็นประจำ เพื่อเตรียมตัวใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในสังคมผู้สูงอายุอย่างเป็นสุขปลอดพ้นจากภาวะระบบประสาทเสื่อมตราบเท่าอายุขัย

ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ 10 เมษายน 2558
.....................................................................................................





Create Date : 15 เมษายน 2558
Last Update : 19 กันยายน 2558 3:56:08 น. 0 comments
Counter : 929 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

justice0009
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




[Add justice0009's blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com