ดื่มกาแฟอย่างไร
ให้เป็นยารักษาโรคอัลไซเมอร์
และโรคพาร์คินสัน
คอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง
มูลนิธิสุขภาพไทย
วันนี้สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปเรียบร้อยแล้ว
และโรคประจำของสังคมผู้สูงอายุทั่วโลก
ก็คือโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer"s disease)
ซึ่งเป็นโรคภาวะสมองเสื่อมที่พบมากที่สุดถึงร้อยละ 50-75
รองลงมาคือโรคพาร์คินสัน (Parkinson"s disease)
ในสังคมประเทศที่เจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา
คนอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปมีอัตราป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ร้อยละ 10
ในขณะที่สังคมไทยพบร้อยละ 3.4 น้องๆ อเมริกาเลยทีเดียว
และความชุกของโรคจะพบมากขึ้นในสังคมที่มีผู้สูงอายุมากขึ้น
ยิ่งกว่านั้นยังจะพบเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกๆ 5 ปีหลังอายุ 65 ปีไปแล้ว
เห็นได้จากสถิติอัตราเกิดโรคในผู้สูงอายุ
65-69 ปี พบผู้ป่วย 3 คนต่อ 1,000 คน
70-74 ปี พบ 6 คน ในขณะที่ อายุ 75-79 ปี พบ 9 คน
ตามลำดับและพบผู้ป่วยหญิงมากกว่าชาย
ในหมู่คนไทยเราเรียกโรคนี้ง่ายๆ ว่า "โรคความจำเสื่อม"
เพราะในระยะสุดท้ายของโรค ผู้ป่วยจะสูญเสียความจำทั้งหมด
ต่อมาจะสูญเสียการทำงานต่างๆ ของร่างกายและเสียชีวิตในที่สุด
หลังจากความจำเสื่อมและสูญเสียความสามารถทางภาษาแล้ว
ผู้ป่วยจะมีชีวิตโดยเฉลี่ย 10 ปี
แม้จะค้นพบโรคนี้มากว่า 100 ปี
โดยจิตแพทย์ชาวเยอรมันชื่อ อาลอยส์ อัลไซเมอร์ (Alois Alzheimer)
แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรค
นอกจากพบว่ามีความผิดปกติของโครโมโซม
และเป็นโรคที่สืบทอดทางพันธุกรรม
โรคนี้ยังไม่มีใครพบวิธีป้องกัน ทั้งยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
ข่าวดีสำหรับผู้สูงอายุ มีการค้นพบเมื่อเร็วๆ นี้ว่า
เครื่องดื่มสมุนไพรใกล้ตัวที่ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมได้ดี
ก็คือกาแฟถ้วยโปรดยามเช้าของทุกคนนั่นเอง
เนื่องจากธุรกิจกาแฟแบรนด์ดังมีกำไรมหาศาล
จึงมีทุนสนับสนุนงานวิจัยกาแฟว่ามีผลต่อสุขภาพของผู้ดื่มอย่างไร
แน่นอนผลเสียต่อสุขภาพของผู้เสพติดกาแฟ คือ
ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและ หลอดเลือด
ความดันโลหิตสูง การสูญเสียความหนาแน่นของมวลกระดูก
เช่น การเกิดภาวะกระดูกสะโพกหักซึ่งพบบ่อยในผู้หญิงสูงอายุ
ก่อนอื่นควรทำความรู้จักสายพันธุ์กาแฟที่ปลูกและใช้บริโภคในบ้านเราเล็กน้อย
แม้ทั่วโลกมีสายพันธุ์กาแฟมากกว่า 50 ชนิด แต่ที่นิยมปลูกในไทยมี 2 พันธุ์
คือ อราบิก้า (Coffea arabica L.) และ โรบัสต้า (Coffea robusta L.)
สายพันธุ์แรกนั้นชอบขึ้นบนดอยสูงทางภาคเหนือของไทย
จุดเด่นคือมีกลิ่นหอมชวนลิ้มลอง และมีปริมาณกาเฟอีนต่ำ
ส่วนสายพันธุ์หลังนั้นชอบพื้นที่ราบทางภาคใต้ จุดเด่น
คือ มีรสชาติเข้มและมีกาเฟอีนสูงเป็นสองเท่าของพันธุ์อราบิก้า
กาเฟอีน (caffeine) เป็นสารแซนทีนอัลคาลอยด์ธรรมชาติ
พบได้ในเครื่องดื่มหลายชนิด เช่น เมล็ดกาแฟ ใบชา เครื่องดื่มโคล่า
เครื่องดื่มชูกำลัง และโกโก้ เป็นต้น แต่เมล็ดกาแฟเป็นแหล่งของกาเฟอีนที่ใหญ่
ที่สุด
ส่วนเมล็ดกาแฟจะมีกาเฟอีนมากหรือน้อย นอกจากขึ้นอยู่กับสายพันธุ์แล้ว
ยังขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการคั่ว
เมล็ดกาแฟที่คั่วนานจนสีเข้มจะมีกาเฟอีนน้อยกว่าที่คั่วสุกแต่ใช้เวลาไม่นาน
เพราะกาเฟอีนจะสลายไปในระหว่างการคั่วนั่นเอง
โดยทั่วไปแล้ว น้ำกาแฟ 150 ซีซีจากเครื่องต้มทำกาแฟไม่มีกระดาษกรอง
จะมีกาเฟอีนสูงที่สุดถึง 115 มิลลิกรัม
ในขณะที่กาแฟกรองมีกาเฟอีน 80 ม.ก.
และกาแฟสำเร็จรูป 65 ม.ก. ตามลำดับ
เนื่องจากกาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมดังกล่าวแล้ว
จึงมีการศึกษาทางระบาดวิทยาในต่างประเทศจำนวนมาก
เพื่อหาความสัมพันธ์ของพฤติกรรมการดื่มกาแฟกับผลกระทบต่อสุขภาพ
เช่น ในฟินแลนด์มีการศึกษาวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบไปข้างหน้าระยะยาว
ที่เรียกว่า โคฮอร์ต (cohort study) ซึ่งเก็บข้อมูลจากอาสาสมัคร
จำนวน 1,409 คนเริ่มต้นจากอายุเฉลี่ย 50 ปี เก็บข้อมูลไปข้างหน้า 21 ปี
พบอาสาสมัครมีภาวะความจำเสื่อม 61 คน วินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์
ถึง 48 คน
ผลจากการวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟตั้งแต่มีอายุช่วงวัยกลางคน
จนเข้าสู่วัยสูงอายุ มีแนวโน้มป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมน้อยกว่า
คนที่ไม่ดื่มกาแฟ
โดยดื่มกาแฟ 3-5 ถ้วย/วัน จะมีความเสี่ยงเป็นโรคลดลงประมาณร้อยละ 65
ในขณะที่มีการศึกษาระยะยาวแบบโคฮอร์ตเป็นเวลา 10 ปีในสหรัฐอเมริกา
เพื่อศึกษาการดื่มกาแฟกับความเสี่ยงเกิดโรคพาร์คินสัน
มีอาสาสมัครชายหญิงรวมถึง 135,916 คน
พบว่าฤทธิ์ของกาเฟอีนมีผลทำให้ระดับสารสื่อประสาทโดพามีน (dopamine)
ในสมองเพิ่มขึ้น
ทำให้สมองตื่นตัวป้องกันการเป็นโรคพาร์คินสันได้ทั้งในหญิงและชาย
โดยดื่มกาแฟวันละ 1-3 ถ้วย
ข้อพึงระวังสำหรับสตรีก็คือ ต้องไม่ดื่มกาแฟร่วมกับฮอร์โมนเอสโตรเจน
เพราะไม่เกิดผลเชิงบวกกรณีการป้องกันโรคพาร์คินสันเลย
นอกจากนี้ เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจ เบาหวาน
ความดันโลหิตสูงไม่ควรดื่มกาแฟเลยเพราะมีโทษมาก
รวมถึงไม่ควรดื่มกาแฟร่วมกับการรับประทานอาหารและยาเสริมธาตุเหล็ก
สังกะสี แคลเซียม หรือยาแก้ปวดแก้ไข้ สำหรับปริมาณการดื่มกาแฟ
ไม่เติมน้ำตาลต่อวันไม่ควรเกิน 1-2 ถ้วย (ถ้วยละ 150 ซีซี
มีกาเฟอีนเฉลี่ย 115 ม.ก./ถ้วย) และควรดื่มกาแฟสดแบบกรอง
จึงจะเกิดประโยชน์ทางยาสูงสุด เพราะถ้าบริโภคมากกว่านี้
หรือดื่มกาแฟชนิดอื่นจะเกิดโทษมากกว่าคุณ
ท่านผู้อยู่ในวัย 50 ต้นๆ ทุกเช้าควรดื่มกาแฟสดกรองเพียง 1 ถ้วย
เป็นประจำ เพื่อเตรียมตัวใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในสังคมผู้สูงอายุอย่างเป็นสุขปลอดพ้นจากภาวะระบบประสาทเสื่อมตราบเท่าอายุขัย
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ 10 เมษายน 2558
.....................................................................................................