คนบางคนเกิดมาเพื่อให้เรารัก แต่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นของเรา
Group Blog
 
All blogs
 

Destiny of Love บทที่ 3

รถยนต์โฟร์วีลสีดำของตฤณภพแล่นเข้ามาจอดยังบริเวณลานจอดรถของรีสอร์ท ‘บ้านทะเลโอบดาว’ ทันทีที่เขาลงจากรถ เขาได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ซึ่งคาดว่าชายหาดคงอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้สักเท่าไหร่ ตฤณภพสูดหายใจลึก โดยหวังจะรับอากาศบริสุทธิ์เข้าให้เต็มปอด เนื่องจากอยู่กรุงเทพฯ เขาคงทำแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ

ตฤณภพมองสำรวจรอบๆบริเวณรีสอร์ทแบบผ่านตา เขารู้สึกสบายตา เมื่อได้เห็นเหล่าต้นไม้ทั้งน้อยและใหญ่อยู่เต็มไปหมดในบริเวณสวนใกล้ๆกับลานจอดรถ และเมื่อเขายืนสำรวจจนพอใจแล้วนั้น เขาจึงเดินตรงไปยังบ้านเล็กๆชั้นเดียวหลังหนึ่ง ซึ่งมีป้ายเขียนไว้ว่า ‘Reception’

เมื่อตฤณภพเดินเข้าไปภายในบ้านหลังเล็กนั้น สาวสวยที่ยืนอยู่ด้านหลังเคาท์เตอร์ยิ้มให้ตฤณภพ พร้อมกับยกมือไหว้ ตามแบบฉบับหญิงไทยใจงาม

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าได้จองห้องพักไว้หรือยังคะ” สาวสวยคนนั้นซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นพนักงานต้อนรับ เอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ

“คือผมเป็นเพื่อนของสหรัสน่ะครับ สหรัสบอกให้ผมมาเอากุญแจบ้านริมหาดที่นี่น่ะครับ” ตฤณภพตอบอย่างสุภาพ

“รอสักครู่นะคะ”

พนักงานสาวก้มหน้าก้มตาหากุญแจอยู่ไม่นานนัก หลังจากนั้นเธอได้ยื่นกุญแจให้กับตฤณภพ เมื่อตฤณภพได้รับกุญแจมาแล้ว เขาจึงได้มุ่งหน้าขับรถต่อไปอีกตามแผนที่ที่สหรัสได้เขียนไว้ให้ ซึ่งบ้านริมหาดนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทสักเท่าไหร่ ดังนั้นตฤณภพจึงใช้เวลาขับรถจากรีสอร์ทมาที่บ้านริมหาดแห่งนี้ในเวลาแค่ไม่กี่นาที

รถของตฤณภพได้จอดบริเวณใกล้กับรั้วบ้าน เมื่อเขาลงจากรถ เขาได้มองสำรวจไปบริเวณรอบๆ และเขาก็ได้รู้ว่าบ้านหลังนี้ก็มีชื่อด้วยเหมือนกัน เมื่อเขามองไปเห็นป้ายชื่อของบ้าน ซึ่งเขียนไว้ว่า ‘บ้านทะเลเคียงดาว’

บ้านริมหาดนี้เป็นบ้านไม้สองชั้น หลังไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็ดูไม่เล็กเกินไป มีรั้วกั้นบริเวณชัดเจน ที่ดินบริเวณบ้านยกสูง และอยู่ห่างจากชายหาดพอสมควร เพื่อป้องกันปัญหาน้ำทะเลที่อาจจะขึ้นสูง บริเวณหน้าบ้าน จะมีโต๊ะ เก้าอี้พลาสติกให้สามารถนั่งเล่นได้ และเมื่อไขกุญแจเข้าไปในตัวบ้านแล้ว จะเห็นว่าชั้นล่างนั้นน่าจะเป็นห้องนั่งเล่น และห้องรับแขกในตัว ที่ชั้นล่างนี้ยังมีห้องน้ำ ที่ไม่ใช่ห้องอาบน้ำอีกหนึ่งห้อง ถ้าหากเดินไปทางหลังบ้าน ก็จะเห็นห้องครัว และโต๊ะอาหาร

เมื่อตฤณภพสำรวจชั้นล่างจนพอใจแล้ว เขาจึงเดินขึ้นไปชั้นสอง ที่ชั้นสองนั้น มีห้องอยู่สามห้อง เขาจึงเปิดสำรวจทีละห้อง และก็ได้รู้ว่า มีห้องนอนอยู่สองห้อง ซึ่งจะอยู่ตรงข้ามกัน เมื่อเปิดประตูห้องนอนแล้วนั้น จะพบว่าเตียงถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดพร้อมนอนได้ทุกเมื่อ แต่ทั้งสองห้องนอนนั้นไม่มีห้องน้ำในตัว ห้องน้ำ และห้องอาบน้ำอยู่รวมกันในห้องเดียวกัน ซึ่งอยู่ทางด้านนอกนั่นเอง

ตฤณภพตัดสินใจเลือกห้องนอนที่อยู่ทางด้านขวามือ หรืออยู่ตรงข้าม เยื้องกับบันไดทางขึ้น เขาได้เดินไปเปิดหน้าต่าง และเขาก็ถูกใจเป็นยิ่งนัก เพราะเมื่อเปิดหน้าต่างแล้วนั้น ลมเย็นๆ ได้พัดผ่านผ้าม่านเข้ามาภายในห้อง และสิ่งที่ทำให้ตฤณภพยิ่งหลงรักบ้านหลังนี้มากขึ้นก็เห็นจะเป็นเพราะ เขาสามารถมองเห็นทะเลได้ตลอดเวลาเมื่อมองผ่านหน้าต่างจากห้องนี้นั่นเอง

‘จะมีสักกี่คนกันนะ ที่จะโชคดีได้อยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต’ ตฤณภพคิดในใจ

ฝ่ายทางด้านอลิสานั้น เธอรีบเคลียร์งานให้เสร็จตามตารางงานของเธอ จากนั้นเธอได้ร่ำลาหัวหน้า และเพื่อนร่วมงานทุกคน เนื่องจากเธอเองก็ยังไม่มีกำหนดที่จะกลับมากรุงเทพฯ และเมื่อเธอทำธุระส่วนตัวทั้งหลายของเธอเรียบร้อยแล้วนั้น เธอก็มุ่งหน้าเข้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ทันที ซึ่งจุดมุ่งหมายของเธอก็คือทะเลปราณนั่นเอง

อลิสาขับรถด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากว่าวันนี้เป็นเย็นวันศุกร์ ถึงแม้จะไม่ใช่วันหยุดยาว แต่เพราะทะเลตั้งแต่ ชะอำ ไล่ไปยังทะเลปราณนั้น คงเป็นที่นิยมกันมาก สำหรับผู้ที่ต้องการมาพักผ่อนยังทะเลใกล้ๆ ทำให้มีรถมุ่งหน้าไปทางเดียวกับเธอเป็นจำนวนที่มากเช่นกัน และระหว่างทางนั้นโทรศัพท์มือถือของอลิสาดังขึ้น เธอจึงกดรับจากอุปกรณ์เสริม

“สวัสดีค่ะ สาพูดค่ะ” เพราะกดรับจากอุปกรณ์เสริมทำให้เธอไม่รู้ว่าเป็นใครที่โทรมา

“สา นี่เอิร์นเองนะ ตอนนี้สาถึงไหนแล้วจ๊ะ” อัญญาพรพูดด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นเคย

เมื่อถูกถามแบบนั้น อลิสาจึงมองไปรอบๆ เพื่อจะหาป้ายบอกตำแหน่งพิกัด ที่แน่นอน

“อืม…. น่าจะแถวๆสมุทรสาครแล้วละ มีอะไรเหรอ” อลิสาถามด้วยความแปลกใจ

“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกจ้า เพียงแต่เราจะโทรมาบอกว่าวันนี้เราคงช่วยสาจัดของไม่ได้น่ะ พอดีว่าวันนี้เรามาดูงานที่รีสอร์ทของเพื่อนคุณพ่อที่ชะอำน่ะจ้ะ แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ท่านก็ตัดสินใจค้างที่นี่คืนนึง เราต้องขอโทษจริงๆนะ”

“อ๋อ เราก็นึกว่าเรื่องอะไร... ไม่เป็นไรหรอก เรื่องจัดของน่ะเรื่องเล็ก แค่นี้เราทำเองได้” อลิสาพูดด้วยน้ำเสียงสดใส

“งั้นสาไปเอากุญแจบ้านที่พนักงานต้อนรับนะจ๊ะ แค่บอกว่าเราให้มาเอาแค่นี้ก็ได้แล้วจ้ะ ส่วนทางไปบ้านพักก็ไม่ยากหรอกจ้ะ เพราะอยู่เลยรีสอร์ทเราไปนิดเดียวเอง”

“โอเคจ้ะ”

“งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะจ๊ะ ขับรถดีๆนะ ค่ำมืดแล้วมันอันตราย” อัญญาพรพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง

“จ้า ขอบใจจ้า” อลิสาตอบอัญญาพรด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นเคย

ส่วนตฤณภพในตอนนี้ก็กำลังเดินเล่นไปเรื่อยๆ คอยเก็บภาพนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำยามเย็น ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณบ้านริมหาดซักเท่าไหร่ จากนั้นเขายังเก็บภาพดวงอาทิตย์ตกยามเย็นที่แสนงดงามไว้อีกด้วย ตอนนี้ดูเหมือนตฤณภพเองก็รู้สึกสบายใจขึ้น เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะยิ้มขึ้นมาได้บ้าง หลังจากที่เขาต้องทุกข์ใจมานานหลายเดือน

และในตอนนี้ดวงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดเริ่มมาเยือน ตฤณภพจึงรู้สึกตัวว่าควรจะเดินกลับบ้านพักได้เสียที เมื่อเขาเดินมาใกล้จะถึงบริเวณบ้านริมหาดแล้วนั้น เขาก็เห็นรถยนต์แล่นเข้ามาจอดใกล้รั้วบ้าน ตอนแรกนั้นเขาไม่รู้ว่ารถยนต์คันนั้นเป็นรถของใคร เนื่องจากไฟหน้ารถที่สว่างจ้า ทำให้มองไม่เห็นตัวรถ แต่เมื่อรถคันนั้นดับไฟ และดับเครื่องยนต์เรียบร้อยแล้ว เขาจึงได้รู้ว่านั่นเป็นรถของสหรัสเพื่อนรักของเขานั่นเอง

“มาถึงเร็วเหมือนกันนี่หว่า” ตฤณภพทักทายสหรัส พร้อมกับเดินตรงเข้าไปหาสหรัสใกล้ๆ

“เออ รีบเคลียร์งานแล้วก็รีบมาเนี่ยแหละ กะว่าจะพานายไปหาอะไรกินที่ตลาดโต้รุ่งหัวหินสักหน่อย ที่นั่นของอร่อยเพียบ” สหรัสพูดด้วยสีหน้าเบิกบาน เพราะเวลาที่เขามาที่นี่ทีไรก็มักจะชอบไปเดินเที่ยวตลาดโต้รุ่งที่หัวหินเป็นประจำ ถึงแม้ระยะทางจะไกลสักหน่อย แต่ก็คุ้มค่าที่ได้ไป

“เออ ไปดิ กำลังหิวอยู่พอดีเลย ขอเวลาไปเก็บของแป๊บนะ”

หลังจากนั้นตฤณภพจึงรีบเข้าไปเก็บของในบ้าน และจัดการล็อคบ้านเรียบร้อย เมื่อตฤณภพลงมาถึงยังรถของสหรัสแล้ว ทั้งคู่ได้ขับรถออกไปจากบริเวณบ้านริมหาด จนเมื่อรถของสหรัสได้ขับผ่านรีสอร์ทของตัวเองนั้น เขาก็สวนกับรถคันหนึ่ง ทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่ารถคันนั้นเป็นรถของอลิสา ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปที่บ้านริมหาดเช่นกัน

เมื่ออลิสาถึงบ้านริมหาดแล้ว เธอได้มองสำรวจรอบบริเวณบ้านอย่างคร่าวๆ ถึงแม้จะมืด และมองไม่เห็นทะเลแล้วก็ตาม แต่อลิสาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของทะเล รวมทั้งเสียงคลื่นที่กระทบฝั่งเป็นจังหวะ นั่นทำให้อลิสารู้สึกชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาทันที

เมื่ออลิสาเปิดประตูเข้าไป เธอก็ควานหาสวิทช์ไฟ โชคดีว่าสวิทช์นั้นอยู่ข้างประตูพอดี ทำให้อลิสาไม่ต้องเดินหาในความมืด เธอขนของส่วนตัวขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสองอลิสาก็ต้องลังเลใจ เพราะไม่รู้ว่าห้องไหนกันแน่ที่เป็นห้องนอน และในมือของเธอตอนนี้ก็ถือของเต็มสองมือ และก็เหมือนโชคช่วย เมื่อโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นมาพอดี อลิสาจึงเอียงหูแนบกับบ่า เพื่อใช้แรงจากบ่ากดรับโทรศัพท์จากอุปกรณ์เสริมนั่นเอง

“สวัสดีค่ะ สาค่ะ”

“สาถึงหรือยัง”

“เอิร์นเหรอ... เราถึงแล้ว ถึงโดยสวัสดิภาพครบสามสิบสองจ้า”

“อืมๆ ถ้าถึงแล้วเราก็สบายใจแล้วละ แล้วก็ถ้าขาดเหลืออะไรก็โทรเรียกพนักงานได้เลยนะ เขาจะอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนั่นแหละจ้ะ” อัญญาพรอธิบาย

“อ๋อจ้ะ เหมือนร้านสะดวกซื้อเลยเนอะ ฮ่าฮ่า เอ้อ... ที่นี่มีห้องนอนกี่ห้องเหรอ ฉันขึ้นมาเห็นมีอยู่สามห้อง”

“อ๋อ มีสองห้องจ้ะ จะอยู่ตรงข้ามกัน ส่วนห้องที่อยู่สุดทางเดิน เป็นห้องน้ำน่ะจ้ะ”

หลังจากนั้นอัญญาพร และอลิสาพูดคุยกันต่อไม่กี่ประโยคทั้งคู่ก็วางหูไป ในเมื่ออัญญาพรได้บอกห้องนอนให้อลิสาได้ทราบเรียบร้อยแล้ว อลิสาจึงเลือกห้องนอนที่อยู่ทางด้านซ้าย เนื่องจากห้องนอนทางด้านซ้ายนั้นไม่ได้อยู่ตรงข้ามบันได เนื่องจากเธอเป็นคนไม่ชอบนอนห้องที่อยู่ตรงข้ามกับบันได เพราะเคยได้ยินเรื่องลี้ลับเกี่ยวกับห้องตรงข้ามบันไดมามาก

อลิสาจัดของอยู่นาน เธอเริ่มรู้สึกว่าดึกมากแล้ว จึงอาบน้ำ เปลี่ยนชุดนอน และเข้าห้องของตัวเอง โชคดีที่บ้านริมหาดนี้ อัญญาพรได้ติดอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงไว้ด้วย ทำให้อลิสาสามารถต่ออินเตอร์เน็ตเล่นแก้เซ็ง และไว้ทำงานได้ อลิสานั่งเล่นคอมพิวเตอร์จนรู้สึกว่าเริ่มจะง่วงแล้ว เธอจึงเหลือบมองนาฬิกาที่อยู่ด้านล่างขวาของจอแอลซีดี ซึ่งขณะนี้เป็นเวลาเกือบจะตีหนึ่งครึ่งแล้ว ดังนั้นอลิสาจึงขึ้นเตียงนอน และก็หลับไปทันทีด้วยความเหนื่อยล้า

หลังจากที่อลิสาหลับไปได้สักพักใหญ่ๆ รถของสหรัสแล่นเข้ามาจอดใกล้บริเวณบ้าน ตฤณภพเปิดประตูลงมาด้วยอาการที่บ่งบอกว่าเมามากพอสมควร สหรัสทำท่าจะลงจากรถเพื่อจะช่วยพยุงเพื่อน แต่ยังไม่ทันที่จะเปิดประตูรถด้านของตัวเอง ก็ถูกตฤณภพร้องห้าม

“เฮ้ยๆ ไม่ต้องหรอกไอ้อาร์ท ฉันเดินเองได้” ตฤณภพพูดด้วยท่าทีเมาๆ มึนๆ แต่สหรัสก็ยังทำหน้าบ่งบอกว่าไม่ค่อยจะไว้วางใจตฤณภพสักเท่าไหร่

“ก็บอกแล้วไงว่าฉันเดินเองได้ นายรีบกลับบ้านไปพักผ่อนเหอะ เจอกันพรุ่งนี้เช้า บาย” ตฤณภพยิ้ม พร้อมกับยกมือเป็นการบอกลา

จากนั้นตฤณภพก็เดินปัดเป๋ผ่านประตูรั้วบ้าน สหรัสมองตามเพื่อนรักเดินเข้าบ้านด้วยความกังวล พอเห็นตฤณภพปิดประตูบ้านเรียบร้อยแล้ว เขาจึงได้เคลื่อนรถออกจากบริเวณนั้น ระหว่างทางสหรัสก็นึกแปลกใจ ที่อยู่ๆวันนี้เพื่อนรักของเขากินเหล้าเยอะเรียกได้ว่ากินแทนน้ำเลยก็ว่าได้ ปกติแล้ว ตฤณภพเองนั้นกินเหล้าไม่ค่อยเก่ง แค่แก้วสองแก้วตฤณภพก็หยุดกินแล้ว แต่นี่สงสัยคงอยากจะปลอดปล่อย

ทางด้านตฤณภพเองนั้น เมื่อเข้ามาภายในบ้านได้แล้ว เขาเดินเซเตะโน่นชนนี่อยู่ในความมืดคลำทางไปเรื่อยๆจนกระทั่งเดินไปถึงบันไดด้วยความทุลักทุเล เขาเกาะราวบันไดเพื่อขึ้นบันได เมื่อเขาขึ้นไปถึงชั้นสอง ตฤณภพลังเลอยู่สักพัก แล้วเขาก็ตัดสินใจเดินเข้าห้องทางด้านซ้ายมือ ซึ่งเขาลืมไปว่าเวลาที่ตัวเองเมานั้น มักจะจำสลับด้านซ้ายและขวา และเมื่อตฤณภพเปิดประตูห้องเข้าไปแล้ว เขาก็ทิ้งตัวลงที่นอนทันที โดยไม่ได้สนใจว่าจะมีใครนอนอยู่บนเตียงก่อนแล้ว และบุคคลที่นอนอยู่บนเตียงก่อนหน้าที่ตฤณภพจะเข้ามานั้น ก็ดูท่าทางว่าจะหลับสนิท เพราะฝ่ายนั้นเหมือนไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีคนมานอนอยู่ข้างๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดอ่อนๆส่องเข้ามาในห้อง ทำให้อลิสารู้สึกตัวตื่นขึ้น เธอนอนบิดขี้เกียจ โดยที่ยังไม่ได้ลืมตา และเธอก็ต้องตกใจเมื่อรู้สึกว่าแขนไปโดนวัตถุอะไรบางอย่าง อลิสาจึงลืมตาขึ้น และมองไปทางด้านนั้น เธอเห็นอยู่เลือนรางว่าเป็นคน แต่เธอก็ไม่แน่ใจ เนื่องจากสายตาของเธอนั้นสั้น ดังนั้นอลิสาจึงเอี้ยวตัวเพื่อจะหยิบแว่นซึ่งอยู่ที่หัวเตียง และเมื่อใส่แว่นจนทำให้เธอเห็นชัดๆแล้วว่า ที่นอนอยู่ข้างๆนั้นเป็นคนแน่ๆ แถมยังเป็นผู้ชายอีกต่างหาก เห็นแบบนั้นแล้วอลิสาจึงตกใจ เธอกรี๊ดสนั่นลั่นบ้าน และยังถีบผู้ชายคนนั้นตกเตียงอีกด้วย ซึ่งหลังจากถีบชายแปลกหน้าตกเตียงแล้วนั้น เธอก็รีบกระเด้งตัวขึ้นจากที่นอน เพื่อสำรวจตัวเองให้แน่ใจว่าเมื่อคืนนี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ

และเพราะโดนถีบตกเตียง ตฤณภพจึงได้รู้สึกตัว เขาค่อยๆลืมตาขึ้น ในขณะที่ยังนอนจุกอยู่ที่พื้น ทางด้านอลิสาเองนั้นเธอได้ลุกขึ้นยืนมองตฤณภพด้วยความโกรธ ที่อยู่ๆเขาก็บุกรุกเข้าห้องของเธอ

“นายเป็นใคร... แล้วมานอนในห้องฉันทำไมยะ” อลิสายืนเท้าเอว และกำลังว้ากคนที่นอนจุกอยู่ โดยที่เธอก็จำเขาไม่ได้ว่าเคยพบเขามาก่อน

“คุณต่างหาก เข้ามาห้องผมแล้วยังจะถีบผมตกเตียงทำไม” ตฤณภพเถียงแบบไม่ค่อยจะเต็มเสียงสักเท่าไหร่ เนื่องจากเขายังนอนจุกอยู่ที่พื้น

“อย่ามามั่ว นี่มันห้องฉัน แล้วนี่นายเป็นใคร เข้ามาบ้านฉันได้ไงยะ” อลิสาพูดด้วยน้ำเสียงและหน้าตาโกรธเกรี้ยว

“คุณนั่นแหละมั่ว นี่มันบ้านผมต่างหาก” ตฤณภพค่อยคลายจากอาการจุกมากขึ้นแล้ว เขาค่อยๆพยุงตัวให้ลุกขึ้นยืน

เมื่อเขาลุกขึ้นยืน และมองเห็นหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแล้ว เขารู้สึกคุ้นหน้าเธอ ทางด้านอลิสาเองก็เช่นกัน เขาและเธอต่างนิ่งคิดว่าเคยเห็นบุคคลที่อยู่ตรงหน้านั้นที่ไหน และภาพในคืนที่มีเรื่องที่ผับก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำของทั้งคู่ในเวลาเดียวกัน

“เฮ้ย นายปากหมาบ้ากาม” อลิสาตะโกนด้วยความตกใจ

“ยายป้ามหาภัย” ตฤณภพก็เช่นกัน

เมื่อทั้งคู่ได้รู้แล้วว่าเป็นคู่อริของตัวเอง ยิ่งทำให้ต่างฝ่ายต่างเกลียดขี้หน้ากันมากขึ้น นี่มันอะไรกัน หรือโชคชะตาจะเล่นตลกกับเธอและเขา ให้ต้องมาเจอกันอีก

“อ๋อ... นี่นายแอบตามฉันมาจากกรุงเทพ แล้วก็กำลังคิดจะลวมลามฉันใช่ไหม ออกไปเลยนะ ออกไปก่อนที่ฉันจะแจ้งตำรวจมาจับนาย” อลิสาเริ่มเปิดศึก โดยที่ไม่ปล่อยให้ตฤณภพได้พูดก่อน

“นี่ป้า หลงตัวเองมากไปหรือเปล่า หุ่นอย่างป้าเนี่ยนะ ไม่ได้ดึงดูดใจผมเลย ดูดิ แบนอย่างกับกระดานโต้คลื่น ระวังนะ เดินอยู่ชายหาด คนจะเข้าใจผิด เอาป้าไปโต้คลื่นเล่น ที่นี่น่ะมันบ้านเพื่อนผม แล้วผมก็มีกุญแจบ้านด้วย ผมไม่ได้บุกรุกอย่างที่ป้ากล่าวหาสักหน่อย” ตฤณภพรีบเถียงขึ้น ปกติแล้วตฤณภพเองไม่ใช่คนแบบนี้ แต่อลิสาเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขาต้องปากเสียได้ขนาดนี้

“มากไปแล้วนะ คำก็ป้า สองคำก็ป้า แล้วนายยังมาหาว่าฉันเป็นไม้กระดานอีกเหรอยะ” อลิสาขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ แต่เธอก็ต้องยอมรับเรื่องไม้กระดาน ในเมื่อมันก็จริงนี่นา

ทางด้านตฤณภพเองก็รู้สึกดีใจที่เอาคืนอลิสาได้ เขาไม่เคยจะได้อธิบายอะไรให้เธอได้เข้าใจเลยสักครั้ง อลิสาชอบคิดเองสรุปเอง แล้วเขาก็โดนด่าโดยที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลย และแล้วตฤณภพก็นึกอะไรบางอย่างได้

‘แกล้งยายนี่เล่นดีกว่า ผู้หญิงแสบๆอย่างเธอ เรื่องอะไรฉันจะสุภาพ’ เขาแอบคิดอยู่ในใจ พร้อมกับมองอลิสาซึ่งอยู่ในชุดเสื้อกล้าม กางเกงขายาวสบายๆ

“แต่ตอนนี้ป้าในชุดแบบนี้ก็ดูเซ็กส์ซี่ดีนะ เอาเป็นว่าผมจะตัดเรื่องไม้กระดานทิ้งไปก็แล้วกัน” แล้วตฤณภพก็ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆ อลิสา ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ เนื่องจากตฤณภพต้องการแกล้งให้ฝ่ายหญิงตกใจกลัว

ส่วนอลิสาเองก็แปลกใจ และไม่ทันตั้งตัว ที่อยู่ๆ ตฤณภพก็เดินเข้ามาใกล้ แล้วทำหน้าหื่นๆ อลิสาจึงค่อยๆเดินหนี แต่เพราะเธอยืนไม่ห่างจากเตียงสักเท่าไหร่ ทำให้เธอเดินถอยหลังได้ไม่กี่ก้าว ขาเธอก็รู้สึกเหมือนแตะที่ขอบเตียงแล้ว อลิสาฉุกคิดได้ว่า ถ้าเธอถอยมากกว่านี้ แน่นอนว่าเธอต้องล้มลงบนเตียงแน่ๆ ดังนั้นอลิสาจึงหยุดนิ่ง และปล่อยให้ตฤณภพค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ

และในตอนนี้จมูกของเขาเข้าใกล้แก้มใสๆของหญิงสาว ตฤณภพเองก็เริ่มรู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่อยู่ๆอลิสาหยุดยืนนิ่ง ปล่อยให้เขาได้ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แต่ด้วยเพราะอยากจะแกล้งให้ถึงที่สุด เขาจึงยังคงดำเนินการตามแผนของตัวเองต่อไป จนจมูกของเขาเกือบจะชนกับแก้มใสๆของอลิสา แต่แล้ว...

อึก... แล้วเขาก็ต้องตัวงอ เพราะจุกตรงส่วนสำคัญของผู้ชาย เพราะถูกเข่าของอลิสากระแทกเข้าอย่างแรง ส่วนทางอลิสาเองก็ทำหน้าแบบผู้มีชัย และผลักชายหนุ่มให้ออกห่างตัวเธอ

“อย่าคิดนะ ว่าฉันจะยอมนายง่ายๆ นายปากหมาบ้ากาม... อ้อ อีกอย่าง อย่ามาเรียกฉันว่าป้านะยะ ฉันน่ะเพิ่งจะยี่สิบห้าเองย่ะ” พูดจบอลิสาก็เดินออกจากห้องไป ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนจุกอยู่ตรงนั้น

“ยายป้ามหาภัยตัวแสบ ฝากไว้ก่อนเหอะ มีโอกาสเมื่อไหร่ผมเอาคืนแน่” ตฤณภพพูดด้วยความแค้น สองครั้งแล้วที่เขาเอาชนะผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สักที

ในตอนสายของวันนั้น ทั้งคู่ต่างก็ขับรถคู่ใจของตัวเอง และมุ่งหน้าไปที่เดียวกัน นั่นก็คือฝ่ายประชาสัมพันธ์ของรีสอร์ท เมื่อทั้งคู่ลงจากรถแล้ว ต่างคนต่างก็รีบตรงดิ่งไปยังเคาท์เตอร์ และแย่งกันถามถึงเพื่อนรักของตัวเอง ทำให้พนักงานต้อนรับต้องทำหน้าเลิกลั่ก เนื่องจากไม่รู้จะตอบคำถามใครดี

แต่ทั้งสองก็ทำความวุ่นวายให้พนักงานต้อนรับได้ไม่นาน เมื่ออัญญาพรได้เดินเข้ามา และได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของสองคนนั้นพอดี แต่เธอยังไม่รู้ว่าต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร

“มีอะไรเหรอคะพี่พร เสียงดังไปถึงข้างนอกเลย” อัญญาพรตะโกนถามพนักงานต้อนรับมาจากทางด้านหลังของอลิสา และตฤณภพ ตอนนี้อัญญาพรยังไม่รู้ว่าเพื่อนรักของเธอ และของพี่ชายนั้นเป็นต้นเหตุความวุ่นวายทั้งหมด

“คือคุณสองคนนี้เขามาถามหาคุณ กับคุณสหรัสน่ะค่ะ” พนักงานต้อนรับที่อัญญาพรเรียกว่าพี่พรนั้น ตอบด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

จากนั้นอัญญาพรจึงเดินเข้าไปใกล้คนทั้งสอง และพอมองเห็นหน้าก็ต้องตกใจ ก็นั่นเป็นเพื่อนรักของเธอเองนี่นา

“อ้าวสา มีเรื่องอะไรเหรอ” อัญญาพรถามเพื่อนรักด้วยความแปลกใจ

“ก็นายปากหมาบ้ากามนี่อะดิย่องเข้าบ้านริมหาดอะ แถมยังมาเข้าห้องเราด้วย พอเราจับได้ ก็อ้างว่านี่เป็นบ้านของเพื่อน เราก็เลยจะมาถามเอิร์นให้รู้เรื่องนี่แหละ” อลิสาโวยวายกับอัญญาพร

“ป้านั่นแหละจะให้ท่าผม ขนาดนอนยังไม่ล็อคห้องเลย” ตฤณภพรีบเถียงขึ้นมาทันควัน

“ก็ใครจะไปนึกละยะ ว่าตอนดึกจะมีไอ้โรคจิตบ้ากามย่องขึ้นบ้านอะ” อลิสาก็ไม่ยอมเว้นช่องว่างให้ตฤณภพเช่นกัน

“อ้าวป้า พูดแบบนี้ผมก็เสียหายหมดดิ ป้าหัดหยุดฟังคนอื่นเขาพูดบ้างได้ไหม” ตฤณภพพยายามที่จะเถียงอลิสา แต่ดูเหมือนอลิสาจะไม่ยอมให้เขาเถียงได้ง่ายๆ

“ก็หรือว่ามันไม่จริง นายน่ะมันเป็นไอ้โรคจิต บ้ากาม ปากเสียด้วย สงสัยคงมีเดอะด๊อกวิ่งเต็มปากไปหมดเลยมั้งเนี่ย” อลิสาหันไปแว้ดใส่ตฤณภพ จากนั้นเธอจึงหันไปทางเพื่อนรักของเธอ “เราพูดจริงๆนะเอิร์น หมอนี่เคยจับก้นเราในผับด้วย แล้วพอเราจับได้ก็ไม่ยอมรับผิด”

“อ้าวป้า ทำไมมาว่ากันแบบนั้นอะ” ตฤณภพยิ่งอึ้งกับผู้หญิงคนนี้ขึ้นไปทุกที นี่เธอกะจะกัดเขาไม่ปล่อยเลยใช่ไหม

“เอ่อ เดี๋ยวนะคะ เอิร์นว่ามีอะไรค่อยๆพูดกันดีกว่าไหมคะ คือ... เอิร์นสับสนไปหมดแล้ว” อัญญาพรทั้งสองคนเถียงกันอยู่นาน พูดขัดจังหวะขึ้นเพื่อจะพยายามไกล่เกลี่ย และนั่นก็ทำให้ทั้งคู่เงียบลงได้ แต่ต่างคนก็ต่างเบือนหน้าหนีกันไปคนละทาง

“เอ่อ ขอโทษนะคะ คือคุณมาอยู่ที่บ้านริมหาดได้ยังไงเหรอคะ” อัญญาพรเริ่มต้นด้วยการถามตฤณภพ

“มีเรื่องอะไรกันเหรอยายเอิร์น พี่ได้ยินเสียงโวยวายดังลั่นไปถึงข้างหน้าเลย” ยังไม่ทันที่ตฤณภพจะได้ตอบ สหรัสก็เดินเข้ามาสมทบพอดี

เมื่อสหรัสเดินเข้าไปอยู่ข้างน้องสาว และอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตัวต้นเหตุเสียงดังทั้งสอง เขาก็ยิ่งตกใจ เมื่อได้เห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างตฤณภพ เพราะเขาจำได้ดีว่า ผู้หญิงคนนี้มีเรื่องกับเพื่อนของเขาที่ผับ สหรัสจึงรีบละสายตาจากอลิสา และมองไปยังเพื่อนของเขาแทน และเหมือนตฤณภพจะรู้ใจสหรัส เขาจึงพยักหน้าเชิงคำตอบว่าเจอเธอคนนี้อีกแล้ว

“พี่อาร์ทมาก็ดีแล้วค่ะ ช่วยเอิร์นไกล่เกลี่ยสองคนนี้หน่อยสิคะ เพราะเอิร์นคนเดียวคงรับไม่ไหวแน่” อัญญาพรกระซิบบอกพี่ชาย และสหรัสก็พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ

“ขอโทษนะครับ เพื่อนผมทำอะไรคุณเหรอครับ” สหรัสเริ่มตั้งคำถามกับหญิงสาวก่อน

“หมอนี่ย่องเข้าบ้านยายเอิร์นค่ะ” อลิสารีบตอบโดยไม่ต้องคิด และไม่พูดอ้อมค้อมให้เสียเวลา

“คือผมว่าคงเป็นการเข้าใจผิดนะครับ เพราะคนนี้เขาเป็นเพื่อนผม และผมก็อนุญาตให้เขาอยู่ที่บ้านริมหาดเองน่ะครับ” สหรัสพยายามอธิบายให้อลิสาฟังอย่างสุภาพ ทางฝ่ายตฤณภพเองเมื่อได้โอกาส เขาก็ทำหน้าเยาะเย้ยอลิสา

“อะไรกันคุณ ก็บ้านหลังนั้นมันเป็นของยายเอิร์นนี่นา ใช่ไหมเอิร์น” อลิสาพูดกับสหรัส และอัญญาพรแบบไม่ยอมแพ้

“คือ คนนี้พี่ชายเอิร์นเองจ้ะ พี่อาร์ทไง สาจำไม่ได้เหรอ” อัญญาพรแนะนำให้เพื่อนรักได้รู้จักกับพี่ชาย จริงๆแล้วอลิสาก็พอจะเคยเห็นหน้าค่าตาพี่ชายของอัญญาพรมาบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนัก แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนั้น อลิสาก็ไม่ได้เจอกับอัญญาพรเลย ทำให้อลิสาจำพี่ชายของเพื่อนรักไม่ได้ ซึ่งสหรัสเองก็จำเพื่อนของน้องสาวไม่ได้เช่นกัน

อลิสาเองเมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วจึงรีบยกมือไหว้ และยิ้มทักทายสหรัส ซึ่งผิดกับที่เมื่อกี้ทำหน้ายักษ์ใส่ และทางสหรัสเองเมื่อได้รู้ว่าอลิสาคือเพื่อนของน้องสาว จึงได้ทำตัวให้ดูสบายขึ้น

“สวัสดีค่ะพี่อาร์ท หล่อขึ้นจนสาจำไม่ได้เลย” อลิสาพูดกับสหรัสด้วยท่าทางเป็นกันเอง

“อือ พี่ก็จำเราไม่ได้เหมือนกัน เมื่อตอนที่อยู่ในผับวันนั้นก็ว่าแล้วว่าทำไมหน้าคุ้นๆ เรานี่โตขึ้นจนพี่จำไม่ได้เลยนะ” สหรัสก็พูดอย่างเป็นกันเองเช่นกัน

“โตอย่างรวดเร็วจนหน้าล้ำอายุเลยอะดิ” ตฤณภพบ่นพึมพำ กะว่าจะไม่ให้ใครได้ยิน แต่ดูเหมือนหูของอลิสาจะไวพอสมควร อาจจะเนื่องจากนั่งอยู่ข้างๆตฤณภพก็ได้

“นี่นายว่าใครยะ” อลิสาหันมาแหวใส่ตฤณภพทันที

“โห เป็นป้านึกว่าจะหูตึง แต่หูดันไวเหมือน...” ตฤณภพยังคงบ่นพึมพำ แต่แน่นอนว่า อลิสาก็ยังได้ยิน

“เหมือนอะไรยะ” อลิสาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“ก็แล้วแต่คุณจะคิด” ตฤณภพลอยหน้าลอยตาตอบ ทำให้อลิสายิ่งแค้น ได้แต่คิดในใจ ว่าฝากไว้ก่อนเหอะ มีโอกาสเอาคืนแน่ๆ

“ทั้งสองคนหยุดทะเลาะกันเถอะนะคะ” อัญญาพรเห็นว่าสองคนนี้เริ่มทะเลาะกันอีกแล้ว จึงรีบห้ามทัพก่อนที่เรื่องจะยิ่งวุ่นไปมากกว่านี้ “เอ่อ... พี่อาร์ท นี่เพื่อนพี่อาร์ทเหรอ” อัญญาพรแอบกระซิบถามพี่ชายของเธอ

“อ้าว ก็นายโต้งไง เพื่อนที่อยู่ข้างบ้านเราตอนที่เราเด็กๆกันน่ะ” สหรัสอธิบายให้น้องสาวได้เข้าใจ

อัญญาพรนิ่งคิดอยู่ไม่นาน เธอก็นึกออกแล้วว่าเมื่อตอนที่เธอยังอยู่ชั้นประถม ตฤณภพ สหรัส และอัญญาพร ต่างก็เล่นด้วยกันมา อัญญาพรนั้นมักจะได้รับความคุ้มครองจากพี่ชายที่แสนดีถึงสองคน แต่ตอนนี้พี่ชายที่แสนดีคนนี้เปลี่ยนไปมากจนอัญญาพรจำเขาไม่ได้เลย

“อ๋อ... พี่โต้ง สวัสดีค่ะ พี่โต้งเปลี่ยนไปเยอะเลย เล่นเอาเอิร์นจำไม่ได้เลยค่ะ” อัญญาพรยกมือไหว้ตฤณภพ และตฤณภพก็รับไหว้ด้วยท่าทีที่ยิ้มแย้มเป็นกันเอง

“เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงใช่มะ” อลิสาได้ทีจึงรีบแขวะตฤณภพ ทางด้านตฤณภพเองก็กำลังจะเถียง แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร ก็โดนสหรัสห้ามทัพไว้ก่อน




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 22 กรกฎาคม 2551 0:21:58 น.
Counter : 339 Pageviews.  

กลิ่นกาแฟ กรุ่นไอรัก ตอนที่ 3 มิตรภาพของเราเริ่มต้นที่ร้านกาแฟ

ฉัน,ดา และหนึ่ง กำลังนั่งออกแบบฉาก แสงสีของเวทีกันอยู่ริมสระน้ำใกล้ตึกคณะ
โต๊ะ เก้าอี้นั่งริมสระน้ำ ทำด้วยหินอ่อนสีขาว อยู่บนสนามหญ้า
ในวันนี้ทุกอย่างดูสดชื่น ชุ่มฉ่ำ คงเพราะว่าฝนที่ตกเมื่อคืน เลยทำให้ดูสดชื่น
นี่แหล่ะมั้ง ที่เขาเรียกว่า ฟ้าหลังฝน มักสวยงามเสมอ

ฉันนั่งคิดงานอย่างขมักเขม้น แต่อยู่ดีๆ สมาธิฉันก็หลุด เมื่อฉันเงยหน้าไปเห็นนายมนุษย์น้ำแข็งเดินผ่านไปไกลๆ
ครั้งแรกที่เจอเนี่ย ฉันก็ปลื้มเขาอยู่หรอกนะ แต่พอหลังจากที่ได้ทะเลาะกับเขา นั่นก็ทำให้ฉันเลิกปลื้มเขาไปเลย
ผู้ชายอะไร ขี้โมโห อารมณ์ร้าย เย็นชา แถมไม่สุภาพกับผู้หญิงอีกต่างหาก เหมาะกับฉายามนุษย์น้ำแข็งแล้ว

คิดออกแล้ว ถามข้อมูลของหมอนี่จากยัยดาดีกว่า ท่าทางยัยนี่ ก็น่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับหมอนั่นดี เห็นเมื่อวาน
นั่งยิ้มแก้มแทบปริ พอได้รู้ว่าจะได้ทำงานร่วมกับเขา

"ยัยดาๆ!!"

"เฮ้ย อะไรไอ้เค้ก นี่แกกับฉันไม่ได้นั่งห่างกันร้อยเมตรนะเว้ย ไม่ต้องตะโกนก็ได้ คนกำลังนั่งทำงานเพลินๆ"

"นั่นสิ มีไรเหรอเค้ก" หนึ่งเลยพลอยตกใจไปด้วยเลย

"แหะๆ โทษทีเพื่อนๆ พอดีมันมีเรื่องเพิ่งนึกขึ้นได้"

"มีไรก็ว่ามาแก" ยัยดาถามขึ้น

"ดา กับหนึ่ง รู้ข้อมูลของนายกวินมากน้อยแค่ไหนอ่ะ... เฮ้ยๆ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าฉันชอบเขานะ ฉันแค่อยากรู้ว่า
เขาเป็นใครมาจากไหน แบบว่า ทำไมฉันไม่เห็นจะรู้จักเขาเลย ทั้งๆที่เขาดังขนาดนั้น"
ฉันรีบดักทางยัยดาไว้ก่อน กันยัยนี่จะแซว (หรือจะเรียกง่ายๆว่า ร้อนตัวค่ะ แหะๆ)

"ไอ้ที่แก ทำฉันกับไอ้หนึ่งตกใจ ก็เพราะเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ ไอ้เราก็นึกว่าเรื่องอะไร... ฟังให้ดีๆนะยะไอ้เค้ก
แกคงรู้แล้วใช่ไหม ว่าพี่วินเขาเคยเป็นเฟรชชี่บอย งั้นฉันจะบอกข้อมูลอื่นเลยนะ
พี่วินเข้ามาที่นี่ด้วยคะแนนอันดับต้นๆของประเทศ เขาเรียนอยู่วิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาคอมพิวเตอร์
พ่อของพี่วิน เป็นเจ้าของบริษัทซอฟท์แวร์รายใหญ่ของประเทศ"

นี่ยัยดาเป็นแฟนคลับนายมนุษย์น้ำแข็งด้วยหรือเปล่าเนี่ย รู้กระทั่งพ่อเขาทำงานอะไร สุดยอดๆ

"พี่วินน่ะนะ เป็นดารา นายแบบได้สบายเลยนะแก สูง มีกล้ามนิดๆ เหมือนพวกนายแบบอ่ะ
แล้วแก สังเกตไหม พี่วินนะ เหมือนมีออร่าเลยล่ะ เดินมาที ส่องประกายเลย
แถมพี่วิน ยังเล่นเปียโน กับเทนนิสเก่งสุดๆด้วยนะ เคยเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยไปแข่งด้วยล่ะ"

เอาเข้าไป เพื่อนฉัน กลายเป็นสาวช่างฝันไปซะแล้ว ก็ดูสิคะ ท่าทางประกอบการเล่าของยัยดาเนี่ย สายตาเป็นประกายเชียว
แต่เรื่องเปียโน ฉันก็พอจะเห็นด้วยนะคะว่า เขาเล่นได้ดีทีเดียว อย่างกับมืออาชีพ
แถมเขายังดูเด่นมากๆ ในขณะที่เล่นเปียโนด้วยล่ะ เพราะเขาดูสง่า สุขุม และในความสุขุมก็ดูอ่อนโยน
แต่ตัวจริงห่างไกลกับคำว่าอ่อนโยนชะมัด

"แล้วนี่นะแก เขาก็เรียนเก่งด้วยนะ ได้เกียรตินิยมชัวร์ๆเลยล่ะ โอ๊ยย ไม่อยากจะคิดเลยว่าตลอดสามอาทิตย์นี้
เราจะได้ทำงานร่วมกับคนดังๆอย่างเขาน่ะ แต่เสียอย่างเดียว พี่วินน่ะเย็นชามาก โดยเฉพาะกับผู้หญิง
สาวๆ ส่วนใหญ่จะเรียกพี่วินว่า เจ้าชายน้ำแข็ง ไม่รู้ว่ามีปมหลังอะไรกับผู้หญิงหรือเปล่า
สงสัยโดนผู้หญิงหักอก ใครกันน้า มาทำให้พี่วินของฉันต้องเสียใจ จนไม่เปิดใจแบบนี้ได้ ผู้หญิงคนนั้นใจร้ายจังเนอะ
จริงๆ มาหาน้องดาคนนี้ก็ได้นะค๊า พี่วิน"

"เอาเข้าไปๆ นี่ ยัยดา ตื่นๆ" ฉันตบแขนยัยดาไปเบาๆสองที ฉันแอบเห็นด้วยกับฉายาเจ้าชายน้ำแข็งนะ เข้าใจตั้งแฮะ
แต่ฉันก็ไม่อยากเรียกหมอนั่นเหมือนที่คนอื่นเรียก ยังไงฉันก็จะเรียกหมอนั่นว่า มนุษย์น้ำแข็งเนี่ยแหล่ะ

"ไอ้หนึ่ง แกช่วยฉันเรียกสติยัยดากลับมาหน่อยสิหน่อยดิ ดูท่าทางมันจะออกมหาสมุทรแปซิฟิกไปแล้วนะนั่น ฉันกลัวมันจะโดนพายุ"
ฉันให้หนึ่งช่วยปลุกยัยดาออกจากอาการฝันหวาน

"ปล่อยมันไปเหอะเค้ก มาๆ ทำงานกันต่อ เดี๋ยวต้องไปแจกจ่ายงานให้รุ่นน้องอีก"

ฉันลืมแนะนำเพื่อนอีกคนหนึ่งไปค่ะ ไอ้หนึ่ง เป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งที่สนิทกับฉัน และก็ดา เราสามคนสนิทกันตั้งแต่วันแรกพบแล้วล่ะค่ะ
หนึ่งเป็นเพื่อนผู้ชายค่ะ จริงๆแล้ว หมอนี่ก็มีกิ๊กเยอะนะคะ แต่ไม่เห็นมันจะมีตัวจริงสักที จริงๆฉันก็แอบภูมิใจเหมือนกันนะ
มีเพื่อนหล่อๆ แบบมัน ไปไหนๆ กับมันที แทบจะหลบรังสีอำมหิตจากเหล่าบรรดากิ๊กๆ ของมันไม่ทัน
แถมบางที ยังเกือบโดนตบเอาด้วยค่ะ เพราะอะไรน่ะเหรอคะ
ก็เพราะหมอนี่ เอาฉันเป็นโล่กำบังน่ะสิคะ เวลามันจะชิ่งสาวคนไหนเนี่ย ฉันก็เคยเตือนมันไปหลายทีแล้วนะ แต่มันก็ไม่เลิกสักที
แต่ก็ยังดีค่ะ ที่มันยังไม่เคยทำให้ใครท้อง ไม่งั้นนะ ฉันเลิกคบกับมันจริงๆด้วยล่ะ
เมื่อตอนฉันอยู่ปีหนึ่งก็มีคนเข้าใจผิดบ่อยๆ ค่ะ ว่าฉันกับไอ้หนึ่งเป็นกิ๊กกัน แต่ตอนนี้หลายคนก็คงจะเข้าใจแล้วว่า
เราก็เป็นแค่เพื่อนที่สนิทกัน

สิ่งที่สาวๆ ชอบในตัวหนึ่งน่ะเหรอคะ ตามความคิดของฉันนะ หนึ่งอาจะไม่หล่อเท่านายมนุษย์น้ำแข็ง
แต่หนึ่ง ก็เป็นผู้ชายที่หน้าตาดี ดูดีเลยทีเดียว
หนึ่งเป็นคนขี้เล่น เอาใจเก่ง เข้าใจความต้องการของผู้หญิง ปากหวาน สุภาพ พูดเพราะ ฟังแล้วสบายหู
เป็นผู้ชายที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ด้วยเหตุนี้ละมั้งคะ ที่สาวๆ ถึงได้ติดใจไอ้หนึ่ง

ข้อดีของมันที่ฉันชอบก็คือ มันไม่สูบบุหรี่ค่ะ แต่เรื่องกินเหล้านี่พอมีบ้าง แต่ก็ยังไม่เคยเห็นมันเมา จนไม่ได้สติเลยสักทีเลยนะคะ
เป็นจุดที่ฉันมองว่า ในความเจ้าชู้ ขี้เล่นของมัน ก็ยังมีข้อดีตรงนี้อยู่บ้าง ตอนนี้ก็รอดูอยู่ว่า สาวคนไหนที่จะเป็นตัวจริงสำหรับมัน

เรานั่งทำงานกันมา จนตอนนี้ใกล้จะเป็นเวลาห้าโมงเย็น แล้วล่ะค่ะ พวกเราจึงรีบเก็บข้าวของ แล้วไปที่ห้องชมรมกัน
เมื่อไปถึงห้องชมรม ก็พบว่าน้องๆปีหนึ่งมากันเยอะแล้ว ดูคึกคักดีจัง พวกน้องๆไฟแรงจริงๆ เห็นแล้วนึกถึงตัวเองตอนอยู่ปีหนึ่งอิอิ
ฉันพยายามมองหานายมนุษย์น้ำแข็งนั่น แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา สงสัย จะไปรอที่เวทีเลยล่ะมั้ง
แต่เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมฉันจะต้องมองหาเขาด้วยล่ะ

ฉัน ยัยดา และหนึ่ง เดินไปวางของที่โต๊ะ ซึ่งอยู่มุมสุดอีกด้านของห้องชมรม ฉันกับดามอบตำแหน่งหัวหน้าทีมตัวจริงให้กับหนึ่ง
เพราะเห็นว่า น้องๆปีหนึ่งล้วนเป็นสาวๆกันซะส่วนใหญ่ ก็เลยให้นายหนึ่งจัดการซะ หุหุ ส่วนฉันกับยัยดา ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
และระหว่างทางเดินที่จะไปห้องน้ำ ก็เห็นพวกยัยพิงค์จับกลุ่มกัน เดินไปทางห้องน้ำ

พวกนี้มีกันอยู่สามคนค่ะ สมาชิกในกลุ่ม ก็จะมีรูปร่าง การแต่งกาย เหมือนๆกันเลย อย่างกับว่าเป็นแฝดสามกันอย่างนั้นแหล่ะค่ะ
ขอแนะนำสมาชิกในกลุ่มของยัยพิงค์นะคะ นำทีมการสร้างโดย ยัยพิงค์ค่ะ ส่วนลูกสมุนอีกสองก็ ยัยโรส กับ ยัยจี๊ด
พวกนี้เป็นพวกวัตถุนิยม ต้องใช้แต่ของแบรนด์เนม แล้วของที่พวกเธอใช้ส่วนใหญ่จะเป็นยี่ห้อ PRADA ค่ะ
คนที่รวยจริงๆน่ะ เป็นยัยพิงค์ ส่วนลูกน้องอีกสองคนนั้น ดูเหมือนว่า จะได้รับของเก่าจากยัยพิงค์ซะส่วนใหญ่
ฉันกับยัยดา จะชอบเรียกสามสาวกลุ่มนี้ว่า นางมาร PRADA ค่ะ ชื่อเหมือนหนังเลยนะคะ อิอิ

นอกจากนี้พวกชีจะชอบแต่งหน้ามาเรียนกัน ฉันไม่เห็นชอบเลย นี่มาเรียนนะ ไม่ได้ไปเที่ยว แต่งไปทำไม
สำหรับฉันแค่แป้งเด็กก็พอแล้วล่ะค่ะ ยิ่งแต่งมาก ก็ยิ่งเปลือง
อีกอย่าง เรายังต้องขอเงินพ่อกับแม่อยู่เลย พวกของแบรนด์เนมสำหรับฉันเนี่ย ไม่อยู่ในหัวหรอกค่ะ
แต่จะไปห้ามเขาก็ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะว่าเขามีเงินเหลือใช้นี่คะ
สำหรับฉันใช้ของพวกนี้ไป ต่อให้ใช้ของแท้ อาจโดนหาว่าใช้ของก๊อปก็เป็นได้

เมื่อฉันกับยัยดา กำลังเดินไปใกล้ห้องน้ำมากขึ้น ก็ได้ยินพวกนั้น กำลังพูดถึงนายมนุษย์น้ำแข็งแว่วๆ

"พิงค์ เธอโชคดีจังเลย ได้เล่นละครคู่กับพี่วินสุดหล่ออ่ะ" เสียงแอ๊บแบ๊วแบบนี้ คิดว่าน่าจะเป็นเสียงของยัยโรสนะ
ฟังเหมือนจะพูดด้วยอาการกระดี๊กระด๊า ประหนึ่งว่าตัวเองได้เล่นคู่กับนายมนุษย์น้ำแข็ง

"ใช่ๆ ฉันอิจฉาเธอจริงๆเลย พิงค์ เธอโชคดีมากเลยนะ พยายามทำให้พี่วินเขาประทับใจเธอล่ะ"
เสียงสูงๆ ออกแนวสำเนียงคนไฮโซ แบบนี้ คงจะเป็นยัยจี๊ด ชัวร์

"แหม พวกเธอพูดอะไรก็ไม่รู้น่ะ เบาๆหน่อยสิ เดี๋ยวพี่วินมาได้ยินเข้า ฉันอายนะ แต่พวกเธอไม่ต้องห่วงหรอก
ฉันว่า จริงๆแล้วพี่วินก็ต้องมีแอบๆมองฉันอยู่บ้างแหล่ะ"
มั่นใจซะเหลือเกินนะคุณหนูไฮโซ

ฉันกับยัยดาแอบขำกันอยู่หน้าห้องน้ำสองคน ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำด้วยสีหน้า ท่าทางปกติ แอบกลั้นขำกันไว้แต่ภายใน
ขำอะไรน่ะเหรอคะ ก็ขำพวกสาวๆ หัวสมัยใหม่น่ะสิคะ แล้วดูท่าทางยัยพิงค์จะมั่นใจมากว่า ชีจะสามารถมัดใจนายมนุษย์น้ำแข็งได้
และเมื่อสามสาวเห็นเราสองคน เท่านั้นแหล่ะค่ะ พวกเธอหยุดคุยกันสักพัก แล้วหันมามองพวกเรา ด้วยสายตาเหยียดๆ
ประมาณว่า พวกเธอมันพวกโลโซ อย่ามาเทียบชั้น กับพวกฉันนะยะ อะไรทำนองนั้น

ชีหยุดมองพวกเรา ประมาณสามสิบวินาที แล้วก็ปฏิบัติการเมาท์กันต่อ ส่วนพวกเราก็เข้าห้องน้ำ รีบๆทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ
เพราะไม่อยากอยู่ใกล้รัศมีพวกของยัยพวกนี้นาน

"พิงค์นี่ดีจังนะ รูปร่างหน้าตาดี หุ่นก็ดี ได้เป็นนางเอกทุกเรื่องเลย ตั้งแต่เข้าชมรมมา" เสียงสูงๆ ของยัยจี๊ด เริ่มเปิดประเด็น

"ใช่ๆ ไม่เหมือนคนบางคนเนอะ เข้ามาก็ทำงานกรรมกรตลอดเลย ก็อย่างนี้แหล่ะ พวกธรรมดา ชั้นโล โฮะโฮะ"
พูดไม่อายปากว่าตัวเองไฮโซ แล้วพวกฉันมันโลโซ

"แหม จี๊ด โรส เธอสองคนน่ะ ก็ไม่ได้โชคร้ายนี่จ๊ะ เธอก็ยังได้เล่นละคร เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ดูสิหนุ่มๆยังมาจีบเธอ
กันแทบสับรางไม่ไหว ไม่เหมือนใครบางคน ได้แต่ทำงานหนัก แถมยังไม่มีคนรู้จักอีก"

แล้วนางมาร PRADA ทั้งสาม ก็มองมาทางพวกเราด้วยสายตาเหยียดๆ ในขณะที่พวกเรากำลังล้างมือ แต่พวกเรามองเห็น
สายตาอากัปกริยานั้นผ่านกระจกค่ะ

"นี่ อยากมีเรื่องเหรอ" ยัยดาปรี๊ดค่ะ ตอนนี้ทำท่าว่าจะมีเรื่องกับยัย

"ดา ใจเย็นๆ เดี๋ยวฉันจัดการเอง... พวกเราก็ไม่รู้ว่าพวกเธอกำลังพูดถึงใครอยู่หรอกนะ แต่ดูท่าทางแล้วพวกเธอคงจะกำลังหมายถึงพวกเรา
และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ พวกเราขอบอกไว้เลยนะ ว่า ถึงแม้ พวกเราจะทำงานเบื้องหลัง แต่ถ้าไม่มีพวกเรา พวกเธอ
ก็คงไม่เด่นจนมายืนเชิดได้เหมือนกันแหล่ะ
อันที่จริง พวกเธอต้องขอบใจพวกเรานะ ที่พวกเรา ทำฉาก ออกแบบเสื้อผ้า ออกแบบเวที จัดพร๊อพให้พวกเธอดูเด่นขึ้นมา...
ไปดา เราไปทำงานกระจอกๆ ของเรากันต่อดีกว่า ถึงฉันจะทำงานกระจอก แต่ฉันก็ไม่ทำตัวไร้สาระแบบนี้หรอก"

ฉันเชิดใส่พวกนั้นไปหนึ่งที พร้อมกับยัยดาออกมา โดยทิ้งให้พวกนั้นแค้นเล่น ที่ไม่สามารถจะเถียงอะไรต่อได้ สะใจๆๆ
จริงๆ ฉันก็ไม่ชอบหาเรื่องใครก่อนหรอกนะคะ แต่ถ้ามีใครมาหาเรื่องฉันล่ะก็ ฉันก็สู้ยิบตาเหมือนกัน
ต้นเหตุที่ทำให้พวกเราต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับพวกนางมาร PRADA ก็คงเป็นเพราะไอ้หนึ่งเพื่อนฉันน่ะแหล่ะค่ะ

ฉันจำได้ดี ตอนนั้นยัยโรสแอบชอบไอ้หนึ่ง ถึงขนาดให้ช๊อกโกแลตตอนวันวาเลนไทน์ด้วยนะคะ แต่ไอ้หนึ่งปฏิเสธไม่รับช๊อกโกแลตค่ะ
ไอ้หนึ่งให้เหตุผลกับยัยโรสไปว่า กำลังจีบฉันอยู่ ดูดู๊ดู ไอ้คุณเพื่อนหนึ่ง ทำอะไรไม่ปรึกษากันเลยสักนิด
ผลกรรมก็เลยตกมาที่ฉัน กับยัยดาเนี่ยแหล่ะ แต่เอาเถอะ เพื่อเพื่อน ฉันทำได้ Y_Y

"ไอ้เค้ก แกมาห้ามฉันทำไมวะ" ตอนนี้เราออกมาห่างจากห้องน้ำพอสมควรค่ะ ดูท่าทางว่ายัยดาจะยังไม่หายปรี๊ด

"ฉันขี้เกียจไปเดินเที่ยวในฝ่ายวินัยว่ะ แล้วฉันก็ไม่อยากมีญาติที่นั่น"

"ฮึ้ยยย ฉันนะอยากจะตบมันสักทีสองที"

"เอาน่าไอ้ดา ใจเย็นๆ พวกนี้ดีแต่เห่าแหล่ะ พวกมันไม่กล้าทำอะไรพวกเราหรอก เชื่อฉันๆ หากมันจะทำ มันทำไปตั้งนานแล้ว"

เมื่อเราสองคนเดินไปถึงห้องชมรม ทำไมมันเงี๊ยบเงียบแบบนี้ ต่างกับตอนที่เราเอาของมาเก็บอย่างลิบลับ

"ดา เค้ก แย่แล้ว น้องปีหนึ่งมีไม่พอทำงานเลยอ่ะ แต่ละคนจะไปคัดตัวกันหมดเลย" ไอ้หนึ่ง เดินเข้ามาหาเราสองคนด้วยสีหน้าหนักใจ

"แล้วเหลือกี่คนล่ะตอนนี้" ฉันถาม

"เหลืออยู่เท่าที่เห็นก็สิบเอ็ดคนนี่แหล่ะ นอกนั้นขอตัวไปแสดงละครกันหมดเลย ขนาดบทเล็กบทน้อยยังเอาเลย" ไอ้หนึ่งอธิบาย

"ดา เค้ก สงสัยเราต้องทำงานหนักกันหน่อยนะ"

"ไม่มีปัญหา" ยัยดาตอบรับ

"จิ๊บๆน่า มีคนมาช่วยตั้งสิบเอ็ดคนก็ยังดีกว่าไม่มีวะแก" ฉันตอบกลับไป ด้วยท่าทางยิ้มแย้ม พร้อมตบบ่าไอ้หนึ่ง เพื่อให้มันคลายความเครียดลง

"งั้นก็ ไปดูเวทีกัน จะได้ออกแบบถูก แล้วก็จะได้ประเมินงานด้วยว่า ต้องทำกันหนักเท่าไหร่"
ดูเหมือนที่ฉันทำจะได้ผล เพราะตอนนี้ไอ้หนึ่งดูจะมีสีหน้าดีขึ้น

จากนั้นหนึ่งก็หันไปชวนน้องๆ ที่เหลืออยู่อีกสิบเอ็ดคน ไปที่หอประชุม ซึ่งน้องสิบเอ็ดคนนี้ เป็นผู้หญิงสี่คน ผู้ชายเจ็ดคน ก็ยังดี
ยังมีผู้ชาย อยู่ด้วย เอาไว้ทำงานที่ใช้แรงได้
เมื่อเราเดินไปถึงหอประชุม และเปิดประตูเข้าไป ก็พบว่า คึกคักมากเป็นพิเศษ มีคนมาคัดตัวเยอะมาก ทั้งคนในชมรม และคนที่ไม่ได้อยู่ในชมรม
พวกเราทั้งสิบสี่คนเดินไปยังบริเวณเวที เพื่อทำการวัดขนาดเวที เนื่องจากว่าเราไม่ค่อยได้จัดแสดงละครในหอประชุมนี้
รุ่นพี่เลยไม่ได้ใส่ใจจะเก็บข้อมูลของเวทีไว้
สำหรับพวกเรา เป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานใหญ่ขนาดนี้ เพราะปกติ เราจะจัดกันในห้องประชุม ความจุประมาณสามร้อยคน เท่านั้นเอง

ในขณะที่ฉันกับทีมงาน กำลังวัดเวทีกันอยู่นั้น ฉันก็มองขึ้นไปเห็นนายกวิน กำลังอ่านบทกับยัยพิงค์อยู่
และในขณะที่ฉันกำลังมองนายมนุษย์น้ำแข็งอยู่นั้น ดูเหมือนทางหมอนั่นจะรู้ตัว เลยละสายตาจากบทที่อยู่ในมือ แล้วเหลือบมองมาทางฉัน
สายตาของเราประสานกันพอดี ฉันจึงรู้สึกตัว เลยรีบหันหน้าไปทางอื่น เพื่อหลบสายตา
ตอนนี้ฉันอยากจะเอามือตีลูกตาตัวเองจังเลย ไปเผลอมองผู้ชายนิสัยเสียแบบนั้นได้ยังไงนะ

พวกเราสิบสี่คน คงจะต้องเหนื่อยกันตลอดสามอาทิตย์แน่ๆ เมื่อผลจากการวัดเวทีออกมาแล้ว พบว่า เราคงต้องทำงานหนักกันมากขึ้นเป็นสองเท่า
เพราะว่าเวทีใหญ่เหลือเกิน และจะต้องแบ่งทีมไปจัดการกับเสื้อผ้า ซึ่งอาจจะต้องมีการออกแบบ และตัดเย็บใหม่ ที่แน่ๆ คงเป็นชุดของพระนาง
ที่ต้องเปลี่ยนใหม่ ส่วนชุดของตัวประกอบ ก็สามารถใช้ชุดเก่าได้ ค่อยซ่อมแซมเอา ยัยดา เป็นคนรับผิดชอบเรื่องเสื้อผ้า
ส่วนเรื่องของฉาก แสง สี เสียง ฉันกับหนึ่ง จะเป็นคนรับผิดชอบ

ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจะสองทุ่มแล้ว พวกบนเวที ก็กำลังจะเลิกซ้อม และเลิกคัดตัวกันสำหรับวันนี้แล้ว การคัดตัวยังมีพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน
หนึ่งเห็นว่า ถ้าอยู่คิดไอเดียกันต่อ คงจะต้องล่วงเลยเวลาจนดึกเป็นแน่ เลยต้องเลิกประชุมกันไปก่อน
ส่วนฉัน มองไปทางเวที ก็เห็นนายมนุษย์น้ำแข็ง กับนางมารตัวแม่กำลังเก็บของเตรียมตัวจะกลับบ้าน แล้วทั้งคู่ก็เดินไปด้วยกัน
และเมื่อหนึ่ง นัดแนะน้องๆสำหรับวันพรุ่งนี้ เรียบร้อยแล้ว หนึ่งหันมาชวนพวกเรากลับบ้าน โดยเดินออกไปข้างนอกพร้อมๆกัน

"เหนื่อยไหมสองสาว" เสียงหนึ่งพูดขึ้นขณะกำลังเดินออกไปหน้ามหาวิทยาลัย

"เหนื่อยดิ แต่ก็...สนุกดีนะ ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากๆ ที่ได้ทำงานใหญ่ขนาดนี้ครั้งแรก" ฉันตอบกลับไปด้วยท่าทางตื่นเต้น

"ไอ้เค้ก แกไปกินคาเฟอีนที่ไหนมาวะ พลังเหลือเฟือ วันนี้แกก็ไม่ได้ไปแอบงีบที่ไหนนี่หว่า" ยัยดาพูดขึ้น

"แหม ก็มันมีอะไรให้ทำนี่นา ถ้าอยู่ว่างๆ มันก็ง่วงน่ะสิ หรือแกไม่เป็น อีกอย่างบ้านฉันทำร้านกาแฟ สงสัยฉันเลยเป็นคาเฟอีนลิซึ่ม"

"จ้า ยัยคาเฟอีน"

พวกเราสามคนเดินคุยกันไป หัวเราะกันไป ลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อครู่นี้ไปหมด จนพวกเราเดินมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยแล้ว
และกำลังจะเดินไปป้ายรถเมล์ แต่แล้วสายตาเหยี่ยวอย่างยัยดา ก็พลันไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า
จึงเรียกให้พวกเราดู

"เฮ้ยๆ ไอ้เค้ก ไอ้หนึ่ง พวกแกดูดิ นั่นมันยัยนางมารตัวแม่นี่หว่า นี่มันอุตส่าห์ไม่เอารถมาเรียน เพื่อให้พี่วินไปส่งเหรอเนี่ย
แต่พี่วินก็ดั๊นทำเสียแผน
นี่น่ะเหรอ ที่เมื่อกี้ประกาศปาวๆ ว่าพี่วินเขาแอบชอบตัว"

ภาพที่พวกเรา 3 คนเห็นตรงหน้าคือ ยัยพิงค์กำลังขึ้น Taxi ซึ่งนั่นก็หมายถึง นายวิน ปล่อยให้ยัยพิงค์กลับบ้านเอง
ใจนึงก็สมน้ำหน้ายัยพิงค์นะ แต่อีกใจ ก็สงสาร หมอนั่นไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย แต่ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเราเลยนี่เนอะ
ตอนนี้เราทั้ง 3 เดินมาถึงป้ายรถเมล์แล้ว และเป็นโชคดีของยัยดา ที่ไม่ต้องรอรถนาน เพราะรถเมล์มาพอดี
ส่วนฉัน กับหนึ่ง ก็ยังคงรอต่อไป และปกติแล้ว หนึ่งจะรอรถเมล์เป็นเพื่อนฉันเสมอ โดยจะรอให้ฉันขึ้นรถไปก่อน
แล้วหนึ่งค่อยรอรถของตัวเอง

"เค้ก"

"ว่าไง"

"ในความคิดเค้ก เค้กว่าพี่วินเป็นไง"

"นายอยากให้ฉันพูดด้วยท่าทางแบบไหนล่ะ แบบนี้ดีไหม"
แล้วฉันก็ทำท่าฝันหวาน โดยการยกมือ 2 ข้างขึ้นมาประสานกันที่อก เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ทำตาชวนฝัน

"พี่วินน่ะ ทั้งเก่ง หล่อ เท่ห์ ดูดี๊ ดูดี แล้วก็..."

"นี่ๆ เอาดีๆสิ" สงสัยไอ้หนึ่งจะรับไม่ได้ เลยต้องรีบเบรกฉันไว้ก่อนที่ฉันจะพูดไปมากกว่านี้

"เอาตามตรงนะ พี่เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีเลยทีเดียว ฉันเห็นเขาครั้งแรก ก็ปลื้มๆเขาเหมือนกัน แต่พอ..."
ฉันนึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีใครรู้ ว่าฉันเคยเจอหมอนั่นมาก่อน แล้วหมอนั่นทำอะไรกับฉันไว้บ้าง ฉันเลยหยุดปากตัวเองดีกว่า เดี๋ยวจะเป็นการพูดถึงในแง่ไม่ดี

"แต่อะไร??"

"เปล่าไม่มีอะไร ก็เพียงแค่ว่า ฉันก็เฉยๆนะ ไม่เห็นต้องปลื้มเว่อร์แบบสาวๆทั่วไปเลย... อ๊ะ รถมาแล้ว ไปล่ะนะ ขอบใจมากอุตส่าห์ยืนเป็นเพื่อน
เจอกันพรุ่งนี้ 11 โมงใช่ไหม บ๊ายบาย"

"กลับบ้านดีๆล่ะ" เสียงหนึ่งตะโกนมาตามหลัง ขณะที่ฉันกำลังวิ่งไปขึ้นรถเมล์


กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงง

เสียงนาฬิกาปลุกในห้องของฉันบอกว่า ขณะนี้เป็นเวลา 6 โมงเช้าแล้ว ฉันลุกขึ้นนั่ง และบิดขี้เกียจพอให้ตื่นตัว หลังจากนั้น
ก็ลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัวต่างๆ
วันนี้เป็นวันเสาร์ค่ะแต่ฉันก็ยังต้องตื่นเช้าอยู่ดี เนื่องจากว่า บ้านฉันเปิดร้านกาแฟค่ะ ฉันกับแม่จะไปเปิดร้านตอน 6 โมงครึ่งทุกวัน
ร้านเราเปิด 7 โมงเช้า และปิด 1 ทุ่มค่ะ ร้านกาแฟของเราอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ ส่วนใหญ่พ่อจะเป็นคนมาส่งพวกเราที่ร้าน
และแวะทานอาหารเช้าที่ร้านเรา ก่อนจะไปทำงานน่ะค่ะ ในวันจันทร์ - ศุกร์ แต่ถ้าเป็นวันเสาร์ - อาทิตย์ พ่อจะมาช่วยแม่ที่ร้านแต่เช้าเลย

ครอบครัวเราอยู่กัน 3 คน พ่อ แม่ลูก น่ะค่ะ คุณพ่อฉันเป็นพนักงานบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับให้คำปรึกษาเรื่องการลงทุน
ตอนนี้คุณพ่ออยู่ในระดับหัวหน้างาน
ส่วนคุณแม่ลาออกจากงานประจำ แล้วมาเปิดกิจการร้านกาแฟ ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้ยากจน เรียกว่า ก็มีอันจะกินน่ะค่ะ

มาถึงแล้วค่ะ ร้านกาแฟของเรา มองจากหน้าร้านจะถูกตกแต่งด้วยกระจกใสบานใหญ่ ที่สามารถมองเห็นในร้านได้
ขอบกั้นระหว่างกระจก ตกแต่งด้วยสีโทนเหลืองอ่อน มองที่ประตู ขอบด้านบน มีป้ายร้านติดอยู่
ร้านเราชื่อว่า กาแฟอุ่นรัก ค่ะ ประตูทางเข้า เป็นกระจกเปิดโดยการผลัก หรือดึงประตู เวลาที่เราเปิดประตู จะได้ยินเสียงกระดิ่งสั่น กิ๊งๆๆ
เพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่า มีลูกค้าเข้ามาในร้าน เมื่อเปิดประตูเข้ามา ทางด้านขวามือ จะเป็น counter รับออเดอร์ และเป็นที่จ่ายเงิน
ถัดจาก counter รับออเดอร์ ไปทางด้านซ้ายของ counter จะเป็นที่ใส่หลอดกาแฟ ไม้คนกาแฟ และสิ่งปรุงรสต่างๆให้เครื่องดื่ม

จากประตูมองไปทางด้านซ้ายมือ จะเป็นโต๊ะ และเก้าอี้ เพื่อให้ลูกค้าบางท่านได้นั่งทานกาแฟ กันได้อย่างชิลๆเลยล่ะค่ะ
ร้านเรามีบริการ Internet wi-fi ด้วย ใครจะมานั่งทำงาน ก็สามารถนั่งได้ทั้งวันเลยล่ะค่ะ เพราะว่าโต๊ะที่อยู่ติดกำแพง จะมีปลั๊กไฟ ทุกโต๊ะเลยค่ะ
โต๊ะ และเก้าอี้ของเราจะเป็นไม้สีเบจ เพื่อให้เข้ากับร้านเรา ซึ่งเป็นโทนสีน้ำตาล และสี Nude ตรงด้านหลังเคาท์เตอร์
(เป็นอิฐบล๊อกเล็ก ที่ไม่ได้โบกปูน และทาสีค่ะ)
ทางด้านกระจกที่อยู่ติดริมทางเท้า มีโต๊ะยาวที่เป็นลักษณะยึดอยู่กับที่ คู่กับเก้าอี้ตัวสูง ร้านเราโชคดีค่ะ ที่อยู่มุมถนนพอดี
ทำให้ลูกค้า สามารถนั่งชมวิวได้ 2 แบบ จะแบบนั่งเก้าอี้สูง หรือแบบนั่งโต๊ะธรรมดา ก็ได้
ร้านเรามีลูกจ้างประจำ 2 คนค่ะ คือพี่อ้อย และพี่น้อย ส่วนอีก 2 คนจะเป็นเด็ก part-time สับเปลี่ยนเวียนกันไป

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 9 โมงแล้ว ร้านเราขนาดเสาร์ - อาทิตย์ก็ยังคึกคักเลยค่ะ โชคดีอีกแล้ว ที่ได้ทำเลดี ค่าเช่าก็ราคาพอจะรับได้
วันนี้ฉันมีนัดที่ชมรม 11 โมงเช้า ยังพอมีเวลาช่วยแม่ได้อีกเกือบ 1 ชั่วโมง เพราะฉันจะกะเวลาไปมหาลัยสัก 1 ชั่วโมง

"เค้กๆ ลูกช่วยไปซื้อน้ำตาลให้แม่หน่อยสิ น้ำตาลหมด แม่ลืมเช็คของน่ะ เลยยังไม่ได้ไปซื้อ"

"ค่า เดี๋ยวเค้กจัดให้"

ในเมื่อได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการร้านสูงสุด มีรึ ที่ไอ้เค้กจะกล้าขัดใจ ฉันก็เลยไปเบิกเงินกับคุณแม่ แล้วเดินออกจากร้าน
มุ่งหน้าไปยังทางแยกไฟแดง ซึ่งอยู่ห่างจากร้านไม่กี่ก้าว เพื่อรอสัญญาณไฟให้คนข้าม เนื่องจากว่า minimart อยู่อีกฟากหนึ่งของถนน
เมื่อฉันข้ามถนนได้ ก็รีบเดินไป minimart เพื่อซื้อของตามที่คุณแม่สั่ง แล้วรีบกลับมารอสัญญาณไฟตามปกติ ในขณะนี้ สัญญาณคนข้ามเป็นไฟสีแดง
ฉันเลยต้องหยุดรอ และในขณะที่ฉันกำลังรอสัญญาณไฟอยู่นั้น สายตาฉันก็พลันไปเห็นน้องเหมียว กำลังจะวิ่งข้ามถนน
ในขณะนั้น ฉันไม่ทันได้คิดอะไร เป็นห่วงน้องเหมียว เลยรีบวิ่งเข้าไปหวังจะอุ้ม เพราะกลัวรถจะชน แต่ปรากฏว่าน้องเหมียวข้ามไปถึงอีกฝั่งได้โดยสวัสดิภาพ
ฉันเลยกำลังจะวิ่งต่อไป เพราะหมุนตัวกลับคงไม่ทัน แต่แล้ว ก็มีรถคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็ว บีบแตรไล่ฉัน ฉันตกใจมาก ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก

ในขณะที่ฉันกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น ก็มีมือใหญ่ๆ คู่นึง เข้ามาจับแขนฉันทั้งสองข้างจากทางด้านหลังของฉัน และเขาก็พาฉันกลิ้งล้มลงเพื่อหลบรถ
ส่วนรถคันนั้นเบรคได้ก็ตอนที่เลยจุดที่ฉันกำลังกลิ้งอยู่นี่แหล่ะค่ะ นึกภาพไม่ออกเลยนะเนี่ย ว่า ถ้าหลบไม่ทัน จะเป็นยังไง
ตอนนี้ตัวของพลเมืองดีรองรับฉันอยู่ด้านล่าง สายตาฉันประสานกับสายตาของเขา วินาทีนั้นฉันแทบลืมหายใจ ก็ในเมื่อคนช่วยฉัน
เป็นนายมนุษย์น้ำแข็งน่ะสิคะ
ตอนนี้หัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะเลยล่ะค่ะ ฉันรู้สึกว่าเวลากำลังหยุดอยู่ตรงนั้น และเหมือนโลกนั้นจะมีแค่เราสองคน และในขณะที่ฉันตกอยู่ในภวังค์นั้น

"เฮ้ย ข้ามถนนน่ะ ดูสัญญาณไฟกันหน่อยสิ มีสมองกันหรือเปล่า"

เสียงของเจ้าของรถคันนั้น ทำให้ฉันตื่นจากภวังค์ เราสองคนรีบลุกขึ้นแล้วขอโทษเขา จากนั้นฉันกับหมอนั่น ก็เดินข้ามมายังฝั่งร้านของฉันแล้ว

"เอ่อ ขอบคุณคุณมากนะคะที่อุตส่าห์มาช่วย ไม่งั้นฉันคงโดนรถชนไปแล้ว"

"คุณบ้าหรือเปล่า อยู่ๆก็วิ่งไปบนถนน ทั้งๆที่สัญญาณไฟคนข้ามยังเป็นสีแดงอยู่เลย"
ทำไมหมอนั่นดุจังเลยอ่ะ ยิ่งดูแบบนี้ยิ่งน่ากลัว

"คือ... ฉันเห็นเจ้าเหมียววิ่งข้ามถนนทั้งๆที่รถก็พลุกพล่านน่ะค่ะ ฉันเลยกะจะไปช่วย แต่ไม่นึกว่า มันจะวิ่งได้เร็วกว่า แล้วก็กลายเป็นฉัน
ที่อยู่กลางถนนแทน แหะๆ"

"ทีหน้าทีหลัง คุณก็ระวังตัวให้มากกว่านี้แล้วกัน"

นายมนุษย์น้ำแข็งนั่น พูดจบก็หันหลังกลับ กำลังจะออกเดิน แต่สายตาฉันก็ไวพอที่จะเห็นว่าศอก และแขนของเขามีแผลถลอก
สงสัยจะเกิดจากตอนนั้นแน่ๆเลย

"เดี๋ยวก่อนๆ" ฉันเรียกเขาไว้ และก็ได้ผล เขาหยุดเดิน และหันมาทางฉัน

"มีอะไรอีก -*- "

"แขนคุณมีแผลน่ะ" แล้วฉันก็เดินไปจับแขนเขา "ไปทำแผลก่อนดีไหม ร้านฉันอยู่ตรงหัวมุมนี่เอง"

"ไม่ต้องหรอก แผลแค่นี้ เดี๋ยวผมค่อยไปล้างน้ำ"

"ไม่ได้ๆ ถือว่าเป็นการขอบคุณคุณแล้วกันนะ" ฉันดึงแขนหมอนั่น โดยที่ไม่ฟังคำตอบใดๆทั้งสิ้น

เมื่อเปิดประตูเข้าไปในร้าน ฉันพาหมอนั่นเดินตรงมายังห้องครัวด้านหลังที่เข้าได้เฉพาะ staff เท่านั้น

"คุณนั่งอยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลมา"

ฉันรีบวิ่งเอาน้ำตาลไปให้แม่ แลรีบวิ่งไปหยิบอุปกรณ์ทำแผนที่ตู้ยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่หมอนั่นนั่งสักเท่าไหร่
แล้วฉันก็หยิบผ้าสะอาด ชุบน้ำอุ่น แล้วรีบเดินไปที่หมอนั่นนั่งอยู่ และลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับหมอนั่น
ฉันจับแขนหมอนั่น ขึ้นมา พร้อมกับ เอาผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาดแผล จากนั้นก็ใช้แอลกอฮอล์เช็ดแผล และใส่ยา

"โอ๊ยย!! เบาๆหน่อยสิคุณ ผมเจ็บนะ"

"อุ่ย แหะๆ คือฉันคงมือหนักไปหน่อย ขอโทษนะ ทนอีกนิดนะ จะเสร็จแล้ว"

ใส่ยาเรียบร้อย ฉันก็เอาปลาสเตอร์ยาอันใหญ่พอประมาณที่จะปิดแผลได้ จัดแจงปิดแผลให้ และพาหมอนั่นออกมานั่งที่โต๊ะนอกห้อง staff
คุณแม่จึงเดินมาทางพวกเรา

"เป็นอะไรกันเหรอลูก"

"พอดีเค้กข้ามถนนไม่ระวังน่ะค่ะแม่ คุณวินเข้ามาช่วยพอดี แล้วเราดันล้มลงไปกลิ้งกับพื้นทั้งคู่น่ะค่ะ คุณวินรองรับตัวเค้กไว้ ก็เลยมีแผลถลอกนิดหน่อย"

"สวัสดีครับ" หมอนั่นยกมือไหว้ทักทายแม่ฉัน

"จ้ะ ขอบใจนะลูก" คุณแม่รับไหว้จากหมอนั่น และหันมาทางฉัน

"ยัยเค้ก ข้ามถนนให้มันระวังมากกว่านี้หน่อยสิเราน่ะ นี่ถ้าเกิดคุณวินเข้ามาช่วยไว้ไม่ทัน จะเป็นยังไง"

"ค่า แม่" ฉันพูดพร้อมเข้าไปกอดเอาใจคุณแม่ แล้วหลังจากนั้นแม่ก็ไปที่เคาท์เตอร์

"เช้านี้คุณกินอะไรมาหรือยัง" ฉันหันไปถามหมอนั่น

"ไม่ล่ะ ผมไม่ค่อยหิว"

"ไม่ได้นะคุณ นี่คุณเรียนเก่งได้ยังไงเนี่ย ไม่รู้เลยเหรอว่า ข้าวเช้าน่ะสำคัญที่สุด... งั้นเอางี้ ฉันจะเลี้ยงอาหารเช้าคุณเอง รอแป๊บนะ"

"เดี๋ยวคุณ..."

ไม่ทันที่หมอนั่นจะห้ามฉันได้หรอกค่ะ ฉันรีบวิ่งไปที่เคาท์เตอร์ แล้วก็จัดแจงชงช๊อกโกแลตร้อน กับให้พี่อ้อยทำวัฟเฟิลให้ 1 ที่
เห็นแบบนี้ ฉันก็ทำเครื่องดื่มพวกนี้เป็นเหมือนกันนะคะ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็รีบนำไปเสิร์ฟทันที

"มาแล้วๆ ช๊อกโกแลตร้อนๆ กับวัฟเฟิล ถือว่า เป็นการตอบแทนที่คุณช่วยฉันก็แล้วกันนะ" ฉันจัดแจงวางของลงบนโต๊ะ ตรงหน้าของหมอนั่น

"ผมไม่กินช๊อกโกแลตตอนเช้า ผมชอบกินกาแฟมากกว่า"

"คุณชอบกินกาแฟเหรอ ฉันก็นึกว่าคุณชอบกินชาเย็นซะอีก เย็นชาออกขนาดนั้น" แต่ประโยคนี้ฉันพึมพำเบาๆนะคะ

"คุณว่าอะไรนะ"

"เปล่าๆ นี่ คุณรู้ไหม กินกาแฟตอนเช้า ระวังแก่เร็วนะ" หมอนั่นเลยจำใจต้องกินช๊อกโกแลตร้อน

"ว่าแต่คุณมาทำอะไรแถวนี้เหรอ"

"ผมมาธุระแถวนี้น่ะ แล้วพอดีผมก็มาเจอคนโง่กำลังข้ามถนนอยู่"

"แหะๆ" ไม่เห็นต้องว่าเราโง่เลย T^T

"คุณชื่ออะไรนะ"

"เค้กน่ะค่ะ"

"นี่เป็นร้านของคุณเหรอ ทำไมผมไม่เคยเห็นคุณเลย ความจริงผมก็มาที่นี่บ่อยนะ"

"สงสัยคุณคงจะมาช่วงกลางวันล่ะมั้งคะ พอดีฉันมีเรียนน่ะค่ะ ฉันจะมาช่วยก็เฉพาะตอนเช้า กับหลังเลิกเรียน แต่ฉันว่า
ฉันน่าจะเคยเห็นคุณนะ เพราะตอนที่ฉันเจอคุณครั้งแรก ฉันคุ้นหน้าคุณมาก แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเจอที่ร้านกาแฟ เพราะว่าคุณเป็นคนดัง"

"ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยรู้จักผม เหมือนที่คนอื่นๆรู้จักเลยนะ"

"ไม่อ่ะ ฉันไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะสนใจเรื่องชีวิตคนดัง"

"ผมอิ่มแล้ว ขอบคุณมากสำหรับมื้อเช้า ไว้เจอกันที่มหาวิทยาลัยนะ"

"คับผม เอ้อ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะคะ ^__^"

" -*- "

ฉันโบกมือบ๊ายบายตามหลังให้หมอนั่น แต่หมอนั่นก็ไม่ได้สนใจฉันเลยสักนิดเดียว แถมไม่เหลียวกลับมามองด้วย
แล้วทำไมหัวใจฉันมันยังเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่อีกละเนี่ย ทั้งๆที่ตอนนี้หมอนั่นก็เดินห่างออกไปแล้ว
หรือว่า ฉันคงจะตกหลุมรักเขาเข้าจริงๆ ซะแล้ว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอน 3 จบเพียงเท่านี้ค่ะ โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2551    
Last Update : 25 มิถุนายน 2551 23:17:28 น.
Counter : 188 Pageviews.  

กลิ่นกาแฟ กรุ่นไอรัก ตอนที่ 2 ยัยตัวแสบ

"วินๆๆๆ เฮ้ย ไอ้วิน" ใครนะมาตะโกนเรียกผมเนี่ย ผมจึงต้องหันไปตามเสียงนั้น


"อ้าว ไอ้นนท์ มีไรวะ"


"เฮ้อ จะรีบเดินไปไหนวะเนี่ย เรียกก็ไม่ได้ยิน"


"เออ โทดทีว่ะ พอดีรีบน่ะ ว่าแต่นายมีธุระอะไร"


"คือว่า พอดีชมรมฉันเนี่ยนะ กำลังจะจัดละครเวทีการกุศล อีก 3 อาทิตย์ข้างหน้า คือ... เอ่อ... คือ..."


"นายมีไรก็พูดมาตรงๆเลยดีกว่า ว่าจะให้ฉันช่วยอะไร"


"แหม นายเนี่ย รู้ด้วยเหรอว่าฉันมีเรื่องจะให้ช่วย" ก็จะไม่ให้รู้ได้ไงล่ะ พูดอ้ำอึ้งอยู่ได้


"เอาตรงๆล่ะนะ คือว่า... ฉันจะให้นายช่วยมาเป็นพระเอกของละครเวทีเรื่องนี้หน่อยอ่ะ ได้ไหม"


"หา... อะไรนะ... ไม่มีทาง ฉันว่า...นายไปหาคนอื่นดีกว่า เพราะฉันไม่ถนัดหรอกเรื่องแสดงละครเวทีเนี่ย"


"โธ่ น่านะเพื่อนนะ ถือว่าช่วยเพื่อนตาดำๆคนนี้เหอะนะๆๆๆ"


"งั้น... นายลองบอกเหตุผลมาก่อน ว่าทำไมถึงต้องเป็นฉัน ถ้าเหตุผลของดี ฉันก็อาจจะพิจารณาดูอีกที"


"คืองี้นะ งานนี้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะให้คนในมหาวิทยาลัย ดูเท่านั้น แต่เรายังเปิดให้คนข้างนอกเข้ามาดูอีกด้วย เนื่องจากว่าเป็นละครเวทีเพื่อการกุศลน่ะ ฉันก็เลยอยากได้คนที่ดูดีมาเป็นตัวเอกของเรื่อง จะได้มีคนสนใจเยอะๆไง แล้วที่สำคัญคาแรกเตอร์ของตัวละครตัวนี้ ก็เหมาะกับนายมาก อีกอย่าง ถ้านายมาเป็นพระเอกของเรื่องนะ รับรอง คนต้องมาดูกันเต็มทุกคืนแน่ๆ"


"เมื่อกี้นายบอกว่า ละครเวทีครั้งนี้ ทำเพื่อการกุศลใช่ไหม"


"อื้อ ใช่ ทำไมเหรอ"


"โอเค ถ้าเพื่อการกุศล ฉันยอมเล่นให้นายครั้งนี้ก็ได้ แต่ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะ"


"โหยย แค่นี้ก็ซึ้งใจมากๆแล้วเพื่อน งั้นเดี๋ยวนายไปที่ห้อง ชมรมเย็นนี้เลยนะ 5 โมงครึ่ง โอเค๊" พอผมตอบตกลงเท่านั้นแหล่ะ เพื่อนผมมันก็กระโดดดีใจเชียว


"เออๆ มีไรอีกไหม ถ้าไม่มีฉันไปล่ะ"


"ไม่มีๆ ^^ ขอบใจอีกครั้งนะเพื่อน"


สรุปนี่ ผมต้องไปเป็นพระเอกละครเวทีใช่ไหมเนี่ย เฮ้อ แต่จะไม่ช่วยเพื่อนก็ไม่ได้ เอาก็เอา เป็นไงเป็นกัน แต่ตอนนี้ผมต้องรีบไปซ้อมเปียโนก่อนล่ะ สงสัยต้องเสี่ยงดูแล้วว่ามีคนใช้หอประชุมหรือเปล่า เพราะผมลืมขอสถานที่ไว้น่ะสิ เฮ้อ มัวแต่ยุ่งวุ่นวายหลายอย่าง เลยลืมไปเลย เปียโน เขาก็ยกไปตั้งที่เวทีแล้ว คือ ผมกำลังจะมีคอนเสิร์ตการกุศลอีก 1 อาทิตย์น่ะครับ ก็เวลาไล่เลี่ยกับที่ผมจะต้องแสดงละครเวทีน่ะแหล่ะครับ ตอนแรกผมถึงไม่อยากรับงานแสดงละคร ก็เพราะเหตุผลนี้แหล่ะครับ ผมกลัวว่าหากทำอะไรสองอย่างพร้อมกันแล้ว กลัวจะทำอีกอย่างได้ไม่เต็มที่ แต่ผมรับปากไปแล้ว ยังไงผมก็จะพยายามทำให้เต็มที่ครับ


อ้อ ผมลืมแนะนำตัวครับ สวัสดีครับ
ผมชื่อกวิน หรือจะเรียกผมว่าวินก็ได้ ผมเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ภาควิชาคอมพิวเตอร์ ปีสุดท้ายแล้วครับ ผมไม่อยากจะชมตัวเอง ว่าผมเนี่ยเก่งทุกด้าน ทั้งการเรียน กิจกรรม แต่ใช่ว่าจะดีนะครับที่เป็นแบบนี้ ผมรู้สึกว่า ผมเหนื่อย และผมอยากมีเวลาให้ตัวเองมากกว่านี้ เพราะว่าทุกคนคาดหวังในตัวผมไว้สูง เกลียดจังการที่เราต้องทำตามที่คนอื่นเขาตั้งเป้าหมายไว้ให้


คุยซะเพลิน ตอนนี้ผมมายืนอยู่หน้าหอประชุมของมหาวิทยาลัยแล้วครับ ผมกวาดสายตามองตารางการใช้สถานที่ของวันนี้


สำเร็จ ไม่มีคนใช้ห้อง ทีนี้ผมจะได้ซ้อมได้เต็มที่ซักที


เมื่อผมเปิดประตูเข้าไป ก็พบว่าภายในห้องมืด และเงียบสนิท ตอนนี้มีเพียงแต่แสงที่ส่องมาจากข้างนอก ซึ่งส่องผ่านทางช่องประตูหอประชุมที่ผมเปิดเข้ามา หอประชุมที่นี่ ไม่ใหญ่มากครับ แต่ก็ไม่เล็กมาก พอจะจุคนได้ประมาณ 3000 คน สถานที่นี้ส่วนใหญ่จะไว้จัดคอนเสิร์ต classic บ่อยๆ บางทีก็มีมาแสดงละครเวทีบ้าง


ผมกวาดสายตาสำรวจห้องไปรอบๆ จากนั้น ผมจึงเดินไปตามทางเดินตรงกลาง เดินลงบันไดไปเรื่อยๆ เป้าหมายของผมคือ เวทีด้านหน้าหอประชุม และในขณะนี้ประตูหอประชุมปิดแล้ว ตอนนี้ผมก็เลยต้องเดินคลำทางอยู่ในความมืด จนไปถึงเวที


ผมเดินไปด้านข้างเวทีเพื่อขึ้นบันไดที่ด้านข้าง และเดินเลยไปทางด้านหลังเวที เพื่อเดินไปหาเบรกเกอร์ไฟฟ้า เลือกเปิดเฉพาะดวงที่ส่องไปยังเปียโน เพราะผมแค่ต้องการแสงส่องให้เห็นโน๊ตเพลงเท่านั้นเอง เมื่อเปิดไฟเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินไปที่เปียโน วางสมุดโน๊ตเพลงลงบนแท่นวาง แล้วผมก็เริ่มเอามือวางบนคีย์เปียโน และลงมือบรรเลงเพลงไปตามโน๊ต เพลงที่ผมเลือกเล่น เป็นเพลง Cannon in D ของ Johann Pachelbel ครับ


ในขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นเปียโนเพลินๆ อยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงที่คาดว่าน่าจะเป็นเสียงของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น แต่เสียงนั้นไม่ใช่เสียงจากมือถือผมแน่นอน แสดงว่าในห้องนี้นอกจากผม แล้วยังมีคนอื่นอยู่อีกด้วย โดยที่ผมไม่รู้ตัว


"ใครน่ะ" ผมถามออกไป โดยที่ไม่รู้ว่ามีใครอยู่หรือเปล่า


"..."


"ผมถามว่าใคร ถ้าคุณไม่ออกมา ผมจะออกไปเรียก รปภ. ให้มาลากคุณออกไปนะ"
ก็ผมกลัวผู้ไม่ประสงค์ดีจะทำร้ายนี่ครับ


"เอ่อออ..." แล้วบุคคลที่สองก็ยอมเปิดเผยตัวออกมาแล้วครับ เธอเดินออกมาจากเก้าอี้ซึ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง
และอยู่ห่างจากเวทีพอสมควร ตอนนี้เธอเดินเข้ามาใกล้เวทีมากขึ้น แสงที่ส่องเปียโน สว่างพอที่จะเห็นเธอเมื่อเดินเข้ามาใกล้


"คุณมาแอบฟังผมซ้อมเปียโนทำไม มีจุดประสงค์อะไร"


"นี่คุณ พูดดีๆหน่อยนะ ฉันไม่ได้มาแอบฟังคุณซ้อมเปียโนเลยนะ ฉันน่ะ เข้ามาอยู่ก่อนที่คุณจะมาซะอีก" ยัยนี่ท่าทางจะเอาเรื่องเหมือนกันแฮะ


"คุณจะมาก่อนผมได้ไง ในเมื่อผมเข้ามาไม่เห็นมีใคร"


"แล้วคุณจะเห็นได้ไงล่ะ ก็ในนี้มันมืดนี่ แล้วฉันก็นอ..."


"แล้วก็อะไรนะ" เธอกำลังจะบอกผมใช่ไหมครับเนี่ยว่าเธอมาแอบนอน


"เปล่า เอาเป็นว่า ตอนคุณเล่นเปียโน คุณเห็นใครเปิดประตูเข้ามาหรือเปล่าล่ะ"


เอากับเขาสิครับคุณ เล่นยิงคำถามมาแบบนี้ แล้วผมจะตอบอะไรได้ล่ะ ก็เพราะผมไม่เห็นใครเปิดประตูเข้ามาน่ะสิครับ ผมจึงได้แต่ทำหน้านิ่งๆ กำลังทึ่งในการเอาตัวรอดของเธอ


"คุณก็ไม่เห็นใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นฉันมาอยู่ก่อนคุณ"


ผมกำลังจะอ้าปากเถียงเธอ แต่ทันใดนั้น มือถือเธอก็ดังขึ้นอีกครั้ง แล้วเธอก็รีบเดินชิ่งไปเลย ฝากไว้ก่อนเหอะ ยัยตัวแสบ


ผมนั่งซ้อมเปียโนต่ออีกสักสองสามรอบ จนใกล้ถึงเวลาห้าโมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่ผมได้นัดกับไอ้นนท์ไว้ ผมจึงรีบเดินไปยังตึกกิจกรรม เพื่อไปที่ห้องชมรมการละคร เมื่อผมเดินมาใกล้ถึงห้องชมรม ผมเห็นไอ้นนท์ดักรออยู่หน้าห้อง ดูท่าทางว่า ทุกคนคงจะเข้าห้องกันหมดแล้ว สงสัยมันอยากจะเซอร์ไพรส์ทุกๆคนแฮะ เลยต้องมาดักรอผมอยู่หน้าห้อง


ผมเดินเข้าไปหามัน จากนั้นก็พาผมเข้าไปในห้องชมรม โดยที่ผมยืนอยู่ทางด้านหลัง แต่ถึงแม้ผมจะยืนอยู่ทางด้านหลัง แต่สายตาของผมก็ยังสามารถมองเห็นคนในห้องบางคนได้ และบางคนที่ผมมองเห็นนั้น ก็เป็นคนที่เพิ่งจะทะเลาะกับผมมาเมื่อครู่นี้เอง


ยัยตัวแสบอยู่ชมรมนี้ด้วยเหรอเนี่ย หวังว่าเธอคงจะไม่ใช่นางเอกที่จะมาเล่นคู่กับผมหรอกนะครับ ทำไมเหรอครับ ก็เธอน่ะ ดูออกจะธรรมดามากๆ ผมยาวดัดลอนอ่อนตอนปลาย สีผมสีน้ำตาลอ่อน รวบผมแบ่งเป็นสองข้าง หน้าเธอไร้ซึ่งสิ่งเสริมเติมแต่งทุกชนิด หากจะมี ก็คงเป็นแค่แป้งอย่างเดียว แต่ต้องยอมรับจริงๆว่า หน้าเธอใสมาก แต่เธอยังดูธรรมดาไป ถ้าจะมาเป็นนางเอกงานใหญ่ๆแบบนี้
การแต่งกายก็ เสื้อนักศึกษาหลวมกว่าตัวเล็กน้อย กระโปรงพลีทเท่าเข่า แถมยังใส่รองเท้าผ้าใบเหยียบส้นอีก แต่เธอก็ยังมีสิ่งที่ดีตรงรูปร่าง และความสูงเนี่ยแหล่ะครับ ผมคาดว่าเธอน่าจะสูงราวๆ 168 และเธอมีหุ่นที่จัดว่าดีเลยครับ แต่ผมว่าเธอดูยังกะโปโลไป ไม่เหมาะกับเป็นนางเอกเอาซะเลย


เมื่อไอ้นนท์พูดเกริ่นนำจบแล้ว มันก็จัดแจงแนะนำตัวผมเสร็จสรรพเรียบร้อย แต่ผมนะอยากจะขำมากเลย ขำอะไรน่ะเหรอ ก็ตอนที่ไอ้นนท์มันหลีกทางให้ผมเดินไปโชว์ตัวน่ะ ท่าทางของยัยตัวแสบลุกลี้ลุกลน ทำอย่างกับว่าเจ้าหนี้โผล่มาน่ะสิครับ แต่ผมก็ต้องเก็บอาการหน่อยล่ะครับ เดี๋ยวเสียฟอร์มกันพอดี


"วินๆ มาทางนี้หน่อย ฉันจะแนะนำให้รู้จักนางเอกของเรื่อง"


หลังจากที่นนท์มันปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว มันก็เรียกผมให้ไปหา เพื่อจะไปแนะนำให้รู้จักกับนางเอก


"นี่น้องพิงค์นะ เป็นเฟรชชี่เกิร์ลของปีที่แล้ว"


เฮ้อ ค่อยยังชั่ว นึกว่าต้องเล่นคู่กับยัยตัวแสบซะอีก


พิงค์เป็นผู้หญิงที่ผมคิดว่าสวย และมีเสน่ห์เลยทีเดียว ผมเธอยาว ทำผมสีน้ำตาลทอง ดัดลอนอ่อนๆ รับกับหน้าซึ่งออกรูปไข่ ผิวขาว น่าจะสูงราวๆ 168 up เอวบาง ร่างน้อย เป็นนางแบบได้สบายเลย เพราะถึงแม้เธอจะอยู่ในชุดนักศึกษา เธอก็ยังดูดี สมแล้วที่เธอได้เป็นเฟรชชี่เกิร์ลเมื่อปีที่แล้ว แถมเธอยังได้เป็นนางเอกในละครเวทีมาตลอด ทำไมผมถึงรู้น่ะเหรอ ผมไม่ได้ปลื้มเธอเป็นการส่วนตัวหรอกครับ เพียงแต่ว่าผมก็เห็นเธอตามโปสเตอร์บ่อยๆเหมือนกัน แต่ตัวจริงเธอดูดีกว่าในรูปมาก แล้วตอนนี้ดูท่าทางเธอก็จะเขินๆ ผมด้วย (ถ้าผมไม่ได้หลงตัวเองนะ 55+)


"สวัสดีค่ะ"


"สวัสดีครับ"


"งั้นสองคนนี้คุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันขอตัวก่อนนะไอ้วิน"


แล้วไอ้นนท์เพื่อนผม มันก็จากไป ทิ้งไว้ให้ผมคุยกะสาวสวย สงสัยอยากให้ทำความคุ้นเคยกันมั้ง


"เอ่อ" เราทั้งสองดันใจตรงกันพูดขึ้นมาพร้อมกันซะนี่


"น้องพิงค์พูดก่อนดีกว่าครับ" ผมพูดด้วยท่าทางนิ่งๆ และสุภาพ


"เอ่อ พี่วินเชิญก่อนดีกว่าค่ะ" น้องพิงค์พูดด้วยอาการเคอะเขิน


"น้องพิงค์เรียนอยู่คณะอะไรเหรอครับ"


"พิงค์เรียนนิเทศน่ะค่ะ พี่วินอยู่คณะวิศวะฯ ใช่ไหมคะ"


"รู้ข้อมูลพี่ด้วยเหรอครับ ^^"


"ใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้นแหล่ะค่ะพี่วิน ก็ถึงแม้ว่าพี่วินเป็นเฟรชชี่บอยของสามปีมาแล้ว แต่ว่าพี่วินน่ะเป็นเฟรชชี่บอย ที่ทั้งเก่ง หล่อ และเท่ห์ที่สุดเลยนะคะ" น้องพิงค์พูดด้วยท่าทางผมชื่นชมผมอย่างมาก เหมือนว่าผมเป็นผู้ชายในฝันทำนองนั้นล่ะครับ


"น้องพิงค์คิดแบบนั้นจริงๆเหรอครับ"


"ค่ะ ^___^"


เฮ้อ ผมเบื่อจังเลย คำพูดพวกนี้ ไม่มีใครรู้จักตัวตนของผมจริงเลยสักคน จะมีบ้างไหมสักวันที่ผมจะไม่ต้องเจอคำพูดแบบนี้บ้างนะ


ผมคุยกับน้องพิงค์ ได้สักพัก ผมก็ขอตัวกลับก่อน โดยที่ผมก็ไม่ได้อาสาจะไปส่งน้องพิงค์ อาจจะดูเหมือนผมไม่เป็นสุภาพบุรุษ แต่ผมไม่อยากให้ความหวังใคร ถ้าผมไม่คิดอะไร ผมไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนต้องมาร้องไห้เพื่อผม
ผมไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บเพราะผม เพราะเมื่อก่อน ผมก็เคยเจ็บ เพราะผู้หญิงคนหนึ่ง ผมรู้ดีว่า มันเจ็บปวดแค่ไหน โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้นเธอเป็นรักแรกของผม


ผมขับรถเรื่อยๆ ไปตามถนน กับรถคู่ใจ รถคู่ใจของผมน่ะเหรอครับ ไม่สวยหรูเลิศหรอกครับ ผมไม่ชอบ เพราะยิ่งทำให้ผมเป็นจุดเด่นมากกว่านี้ ผมขอแค่ฮอนด้า civic สีดำ แต่งล้อ กับสปอยล์เลอร์นิดหน่อย แค่นั้นก็พอแล้วครับ


ผมขับรถไปเรื่อยๆ ปลายทางคือบ้าน ตอนนี้ค่ำแล้ว แสงไฟจากรถที่สวนมา ส่องเข้ามาในรถเป็นระยะๆ ประกอบกับ ฝนที่ตกโปรยปรายลงมาอย่างประปราย ไม่หนักมากนัก ยิ่งทำให้ผม ยิ่งรู้สึกเหงามากขึ้นไปอีก


"... จุดอ่อนของฉัน อยู่ตรงที่หัวใจ
ที่ทำเป็นแข็งแรง ที่ฉันแสดง ที่แท้แทบขาดใจ
อยากได้ทั้งความรัก อยากได้คนเข้าใจ
ต้องซ่อนมันไว้ภายใน ไม่ใช่อะไร
ที่แท้นั้นหัวใจ มันอ่อนแอ..."
(จุดอ่อนของฉันอยู่ที่หัวใจ - อ๊อฟ ปองศักดิ์ ประกอบละครสวรรค์เบี่ยง)


เสียงจากเพลงท่อนหนึ่ง ที่สถานีวิทยุเปิด ซึ่งผมได้เปิดฟังมาในรถ เพลงท่อนนี้ ผมรู้สึกว่ามันโดนใจผมมากๆ เมื่อไหร่นะ ผมจะเจอคนที่เข้าใจผม และไม่ทำให้ผมเหงา ในเวลาที่ฝนตกแบบนี้


ผมมองไปยังนาฬิกาที่อยู่ตรงใกล้กับวิทยุ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะสองทุ่มแล้ว ทีแรกผมตั้งใจจะมุ่งกลับบ้าน แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว เมื่อถึงทางแยก ที่มีป้ายบอกทางไปสะพานพระรามแปด ผมจึงหมุนพวงมาลัยไปตามทางนั้นทันที


เมื่อผมขับรถไปถึงใต้สะพานพระรามแปดผมจอดรถ และลงมาจากรถ ที่นี่เป็นเพียงที่เดียว ที่ผมมาแล้วรู้สึกว่าสบายใจที่สุด ที่นี่เปรียบเสมือนเพื่อนที่เข้าใจผมมากที่สุด ในตอนนี้ ผมนั่งพิงรถตัวเอง และกำลังมองไปยังแม่น้ำ มองแสงจากสะพาน มองแสงจากตึกต่างๆ ที่นี่ทำให้ผมรู้ว่า กรุงเทพยามราตรี สวยงามที่สุด ถึงแม้กรุงเทพจะไม่ค่อยเห็นดาวก็ตาม ผมคิดไว้ว่าหากได้อยู่ตรงนี้ กับคนที่ผมรัก และเขาก็รักผม ก็คงจะดีไม่ใช่น้อยเลย ในแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรือผ่านไปเป็นระยะๆ เวลามาที่นี่ทีไร ผมสามารถอยู่ที่นี่จนลืมเวลาไปได้เลยล่ะครับ เพราะผมน่ะ ยังไม่อยากกลับบ้าน บ้านที่เหมือนไม่ใช่บ้าน


ผมเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว เฮ้อ เห็นทีว่าผมจะต้องขับรถกลับบ้านได้แล้วสินะ


เอี๊ยดดด....
มาถึงแล้วครับบ้านผม รั้วบ้านผมทำด้วยปูน สูงพอประมาณ ติดริมรั้วบ้านมีต้นเข็มปลูกอยู่ด้วย ส่วนประตูบ้านทำด้วยประตูอัลลอยด์ขนาดใหญ่ เมื่อเข้ามาคุณจะเห็นน้ำพุตรงกลาง แล้วด้านหลังน้ำพุ เป็นที่ตั้งของตัวบ้านครับ ส่วนสองข้างทาง เป็นสนามหญ้าหน้าบ้าน ตัวบ้านผมมีขนาดประมาณสองร้อยห้าสิบกว่าตารางวา ใหญ่ไหมล่ะครับ แต่คุณๆอย่าอิจฉาผมเลยครับ บ้านใหญ่แต่ไม่มีความสุข


ตอนนี้ผมเดินเข้ามา ในห้องโถงของบ้าน เพื่อจะขึ้นไปยังชั้นสอง ซึ่งบันไดจะอยู่บริเวณห้องโถงรับแขกด้านล่าง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวเท้าขึ้นบันได ผมก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยของชายที่มีอายุราวๆ ห้าสิบห้าปี ดังมาจากโซฟารับแขก


"แกไปไหนมา นี่มันกี่ทุ่มแล้ว รู้เวลาบ้างหรือเปล่า"


"ผมเหนื่อยครับ ขอตัวก่อนนะครับ"


"เดี๋ยว ฉันมีเรื่องจะคุยกับแก"


"..."


"ปีนี้แกเรียนปีสุดท้ายแล้วสินะ พยายามเอาเกียรตินิยมมาให้ได้ล่ะ เพื่อ..."


"เพื่อคุณพ่อจะได้ไม่อับอายใช่ไหมครับ เพราะผมเป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัทออกแบบซอฟท์แวร์รายใหญ่ของประเทศ... คุณพ่อไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน"


"อืม ก็ดี ถ้าแกมั่นใจขนาดนั้น"


"หมดธุระแล้วใช่ไหมครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ วันนี้ผมเหนื่อยมาก"


"เดี๋ยว ยังมีอีกเรื่อง... งานคอนเสิร์ตการกุศล แกเดี่ยวเปียโนใช่ไหม ทำให้ดีๆล่ะ อย่าทำให้ฉันขายหน้า เข้าใจหรือเปล่า"


"เข้าใจแล้วครับ ผม...ไปได้แล้วใช่ไหมครับ"


"อืม"


เข้าใจกันหรือยังครับทุกคน ที่ผมบอกว่ามีบ้าน ก็เหมือนไม่ใช่บ้าน ตั้งแต่แม่ของผมเสียไป คุณพ่อก็เข้มงวดกับผมขึ้นทุกวัน ท่านตั้งความหวังกับผมไว้สูงมาก ท่านพยายามยัดเยียดตำแหน่งผู้สืบทอดกิจการ โดยที่ไม่เคยถามผมเลย ว่าผมเต็มใจหรือเปล่า ผมเข้าใจดี ว่าผมเป็นลูกชายคนเดียว แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะเรียกร้องอะไรเลย ผมแค่อยากให้ท่านคอยเป็นกำลังใจให้ผมในยามที่ผมเหนื่อย หรือรู้สึกท้อ เพียงแค่นั้น ผมก็พร้อมและเต็มใจทำให้ท่านได้ทุกอย่าง


แต่ตั้งแต่แม่ผมเสียไปตอนผมอายุแปดขวบ พ่อก็จับผมเรียนทั้งเปียโน ทั้งกีฬาแทบจะทุกประเภท โดยเฉพาะกอล์ฟ กับเทนนิส เป็นกีฬาที่ผมถนัดที่สุดเลยล่ะครับ นอกจากนั้น ก็ยังมีเรียนภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การบริหาร การตลาด ผมเรียนได้เกรดสี่ทุกเทอมตั้งแต่มัธยม และได้เกรดเฉลี่ยสี่จุดศูนย์ๆในขณะที่เรียนมหาวิทยาลัยมาตลอดสามปี


ถึงแล้วครับห้องนอนของผม ในห้องนอน คุณจะเห็นรูปตั้งอยู่ที่โต๊ะข้างเตียง ซึ่งจะมีตั้งไว้สองรูป เป็นรูปที่ผมถ่ายคู่กับผู้หญิงทั้งสองรูปเลยครับ


รูปตอนผมในวัยเด็ก ถ่ายคู่กับผู้หญิงรูปร่างดี ดูท่าทางโอบอ้อมอารีคนนี้ เธอเป็นแม่ของผมเองครับ ส่วนอีกรูป เป็นรูปถ่ายเมื่อสามปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเพิ่งจะเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่หก ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆผม ในรูป เธอดูร่าเริงสดใส ดูได้จากการยิ้มของเธอ ซึ่งยิ้มของเธอดูจริงใจ เธอไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆที่ผมรู้จัก เธอคือผู้หญิงคนแรกที่ทำให้ผมรัก และทำให้ผมเจ็บ ผมมองรูปนี้ทีไร ผมก็เจ็บแปล๊บขึ้นที่หัวใจทุกครั้ง


ผมพยายามจะคว่ำรูปกรอบนี้ลง แต่สุดท้าย ผมก็ต้องตั้งมันขึ้นมาเหมือนเดิมทุกที ผ่านมา 3 ปีแล้ว แต่ผมก็ยังลืมเธอไม่ได้สักที ตอนนี้ผมไม่ขอเล่าดีกว่าครับ ผมเหนื่อยจังเลย ผมขอตัวนอนพักผ่อนก่อนนะครับ ไว้เจอกันครับ ราตรีสวัสดิ์


โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ






Free TextEditor




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2551    
Last Update : 3 มิถุนายน 2551 15:51:03 น.
Counter : 274 Pageviews.  

กลิ่นกาแฟ กรุ่นไอรัก ตอนที่ 1 แรกพบ

"ไอ้เค้ก นี่แกจะไปไหน"
ยัยดา หรือชื่อเต็มๆว่า เพชรลดา เพื่อนเลิฟฉันเอง กำลังตะโกนเรียกฉัน ในขณะที่ฉันกำลังเดินแยกไปอีกทาง

"ไปหาที่งีบน่ะ แกมีไรก็โทรเข้ามาละกันนะ ไปล่ะ บ๊ายบาย"

สวัสดีค่ะทุกท่าน ฉันชื่อเค้ก หรือมีชื่อจริงว่า คณึงนิจย์ ตอนนี้ฉันเรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ ปี 2 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพ
นิสัยฉันจะเป็นที่รู้กันของเพื่อนๆว่า เวลาที่ฉันกินอิ่ม และไม่มีเรียนตอนบ่ายเนี่ย ฉันจะชอบไปหาที่ที่สามารถแอบนอนได้
แอร์เย็นๆ คนไม่พลุกพล่าน ถามถึงที่ประจำของฉันน่ะเหรอคะ หลักๆก็ ห้องสมุด กับหอประชุมเนี่ยแหล่ะค่ะ

เพื่อนๆคงจะงงกันใช่ไหมล่ะคะว่า ทำไมถึงไปนอนที่หอประชุม ก็เพราะว่าหอประชุมที่มหาวิทยาลัยเราเนี่ย เปิดแอร์ตลอดน่ะสิคะ เพราะที่นี่จะถูกใช้งานตลอดเวลา ได้พักก็แค่ไม่กี่ชั่วโมง แถมยังมืด และก็เงียบอีกด้วย ฉันก็เลยมาเสี่ยงดวงดูว่าที่นี่จะว่างหรือเปล่า ถ้าไม่ว่างค่อยไปแผนสอง

อ้อทุกคนคงสงสัยสินะคะ ว่าไม่มีเรียนแล้วทำไมไม่กลับบ้าน ก็เพราะว่าฉันน่ะเด็กกิจกรรมน่ะสิคะ ตอนนี้ฉันอยู่ชมรมการแสดงด้วย ซึ่งช่วงนี้มีกิจกรรมที่ต้องทำ ก็เลยนอนฆ่าเวลาเล่น

อ้าาา ถึงแล้วๆ ไหนขอดูหน่อยสิ ว่าชั่วโมงนี้มีใครใช้ห้องหรือเปล่า
... บิงโกกกกกก มีเวลาให้นอนตั้ง 2 ชั่วโมง ขออนุญาตนอนล่ะนะคะ
เอ่ นอนตรงไหนดีนะ... อ๊ะ เอาตรงนั้นดีกว่า

และฉันก็จัดแจงวางกระเป๋าไว้ที่เบาะข้างๆ แล้วก็เอนตัวลงนอน อ้อลืมบอกไป หอประชุมที่นี่นะคะเบาะนั่งนุ๊มนุ่ม เหมือนโรงหนังดังๆเลยล่ะ เวลามานั่งในนี้ทีไรนะ หนังตาฉันเป็นหย่อนทุกทีเลย เอาล่ะ ไม่พูดมากและ นอนดีกว่า...
วันนี้นอนเหยียดยาวหลายเบาะเลย โฮะโฮะ

Zzzz...Zzzz...

แต๊ง...แต่ง...แต่ง...แต๊ง...

ฮ้าวววว....เสียงอะไรฟระ คนกำลังนอนสบายๆ
เอ๋ เสียงเปียโนนี่นา
เฮ้ย เอาแล้วไงๆ ไอ้เค้กโดนแล้วว บรื๋อออ...

ฉันนอนหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ว่าฉันต้องถูกปลุกให้ตื่นอย่างไม่เต็มใจ เพราะว่าได้ยินเสียงเปียโน เสียงเหมือนมาจากทางด้านหน้าเวทีเลยแฮะ ฉันค่อยๆลุกขึ้น แล้วมองไปทางด้านหน้าเวทีอย่างกลัวๆ กลัวอะไรน่ะเหรอ ก็กลัวว่าจะไม่มีคนอยู่ตรงนั้นน่ะสิ กึ๋ยย

เอ๋ ใครกันอ่ะเล่นกำลังเล่นเปียโน เพราะจัง

เมื่อฉันขยี้ตา แล้วเพ่งพินิจไปที่ชายผู้นั้นอีกที ฉันก็ได้แต่กรี๊ดในใจ

โหยย เท่ห์จัง หน้าขรึมๆ ดูท่าทางว่าตัวน่าจะสูงสัก 180 up ผิวขาว หล่อด้วย เอ่ หน้าคุ้นๆแฮะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน ...แต่ช่างเหอะ เขาเล่นเปียโนเก่งจัง

ฉันตกอยู่ในภวังค์ของเสียงเปียโนนานมาก จนเพลงจบ ฉันก็ยังคงจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขาอยู่ สงสัยฉันจะตกหลุมรักเขาล่ะมั้ง แล้วตอนนี้เขาก็กำลังจะเล่นเพลงใหม่ แต่ทันใด มือถือเจ้ากรรมของฉันดันดังขึ้นมาซะได้ ปิดเสียงแทบไม่ทัน

"ใครน่ะ" เสียงของชายผู้นั้นถามขึ้นอย่างเอาเรื่องเลยล่ะค่ะ

"..."

"ผมถามว่าใคร ถ้าคุณไม่ออกมา ผมจะออกไปเรียก รปภ. ให้มาลากคุณออกไปนะ" ผู้ชายอะไรฟระ อารมณ์ร้ายชะมัดเลย

"เอ่อออ..." ฉันต้องจำใจ ยอมเผยตัวออกมา และเดินไปทางเวที

"คุณมาแอบฟังผมซ้อมเปียโนทำไม มีจุดประสงค์อะไร" สงสัยหมอนั่นจะมีน้ำโหแฮะ

"นี่คุณ พูดดีๆหน่อยนะ ฉันไม่ได้มาแอบฟังคุณซ้อมเปียโนเลยนะ ฉันน่ะ เข้ามาอยู่ก่อนที่คุณจะมาซะอีก" ชิเรื่องอะไรฉันจะไปยอมนาย

"คุณจะมาก่อนผมได้ไง ในเมื่อผมเข้ามาไม่เห็นมีใคร"

"แล้วคุณจะเห็นได้ไงล่ะ ก็ในนี้มันมืดนี่ แล้วฉันก็นอ..."

"แล้วก็อะไรนะ"

"เปล่า เอาเป็นว่า ตอนคุณเล่นเปียโน คุณเห็นใครเปิดประตูเข้ามาหรือเปล่าล่ะ" เฮ้อ เกือบไปแล้วเรา ดีนะที่เราไหวพริบดีุ

"..."

"คุณก็ไม่เห็นใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นฉันมาอยู่ก่อนคุณ"

ก่อนที่เราสองคนจะทะเลาะกันไปมากกว่านี้ มือถือฉันก็ช่วยชีวิตพอดี ฉันจะกลัวอะไรน่ะเหรอ ก็กลัวว่าเขาจะรู้ว่าฉันมาแอบงีบที่นี่ แล้วจะไปบอกพี่ยามะ (พี่ รปภ. น่ะค่ะ) น่ะสิ ฉันเลยรีบชิ่งออกมาก่อนดีกว่า ออกไปได้ต้องขอบใจยัยดาเพื่อนเลิฟหลายๆทีเลย

"ว่าไงยัยดา"

"แกอยู่ไหนเนี่ย นี่มันจะถึงเวลาประชุมแล้วนะ"

"เออๆ เด๋วไปๆ เอ้อ ขอบใจนะแก"

"เฮ้ย มาขอบใจไรฉันวะ"

"เหอะน่าขอบใจแล้วกัน จ๊วบๆ"

"นี่ตอนหลับแกวิญญาณออกจากร่างหรือไงยะ ตื่นมาแล้วเพี้ยนเนี่ย"

"อิอิ"

"เออๆ เดี๋ยวเจอกันที่ห้องชมรมเลยแล้วกันนะแก รีบๆมาล่ะ"

ตอนนี้ยัยดาคงคิดว่าฉันเพี้ยนไปแล้วแน่ๆเลย รีบไปห้องชมรมดีกว่า ลัลล้า แต่พอคิดถึงเรื่องเมื่อกี้ขึ้นมาทีไร ก็รู้สึกว่าตัวเองทำผิดพลาดอ่ะ ก็เราปลื้มเขาขนาดนั้น ทำไมนะ ยัยเค้กเอ๊ย ไปเถียงเขาได้ ดูสิ เจอกันครั้งแรกก็ไม่ทำให้เขาประทับใจซะแล้ว โอ๊ยๆๆ ยัยบ้าเค้ก นี่แน่ะๆๆ (ฉันเอามือกำเป็นค้อนทุบหัวตัวเองอ่ะค่ะ) แต่ว่า ใครจะไปยอมได้อ่ะคะ หล่อแต่นิสัยเสียเนี่ย ชิๆ

ตอนนี้ฉันมาถึงห้องชมรมแล้วล่ะค่ะ มองเข้าไป คนอยู่กันเยอะแยะเลย ท่าทางจะมากันแล้ว ฉันเดินเข้าไปนั่งข้างๆยัยดา นั่งคุยกับยัยดาสักพัก พี่ประธานชมรมก็เดินเข้ามา พร้อมกับพาใครมาด้วย ท่าทางคุ้นจัง

"น้องๆ รู้กันแล้วใช่ไหม ว่าต้นเดือนหน้าเราจะมีจัดแสดงละคร เพื่อการกุศลกัน... เรามีเวลาเตรียมตัว 3 อาทิตย์ คราวนี้เรื่องที่เราจะเล่น จะเป็นแนวแฟนตาซี เป็นเรื่องเกี่ยวกับ เจ้าชาย เจ้าหญิง... งานนี้พี่ได้วางตัวพระเอก กับนางเอกเรียบร้อยแล้ว... พระเอก คราวนี้ของเราจะไม่ใช่คนในชมรมการแสดง แต่เป็นเพื่อนของพี่เอง" นางเอก ก็คงจะเป็นยัยพิงค์คนเดิมนั่นแหล่ะ ไม่เห็นต้องประกาศเลย แต่พระเอกนี่สิ ใครน้า อยากรู้ตื่นเต้นๆ

"นายกวิน หรือวิน เฟรชชี่บอยเมื่อ 3 ปีที่แล้วของเราเอง พี่คงไม่ต้องแนะนำมากนะ เพราะคิดว่าหลายคนคงรู้จักโดยเฉพาะสาวๆ ^^"

เฮ้ยยยย นั่นนายคนนั้นที่ทะเลาะกับเราเมื่อกี้นี้นี่ ตายแล้วๆ จะมุดไปทางไหนดีเนี่ย

แต่เอ ไม่เห็นรู้จักเลยอ่ะ แล้วทำไมหน้ายัยดายิ้มแก้มแทบปริอย่างงั้นอ่ะ โอยตายๆๆ คนสวยแย่แล้ว นี่ฉันยังต้องเจอหน้าหมอนั่นทุกวัน ตลอด 3 สัปดาห์เลยเหรอเนี่ย

"ต่อไปนางเอกของเรา พี่คงไม่ต้องแนะนำมาก พี่ยกให้พิงค์เป็นนางเอกเหมือนเดิมนะ แล้วก็หน้าที่ต่างๆ เกี่ยวกับเวที พี่มอบให้ ดา, เค้ก แล้วก็หนึ่ง เป็นหัวหน้าทีมดูแลนะ ฝากฝึกเด็กปี 1 ด้วย แล้วพรุ่งนี้เราจะนัดมาคัดตัว สำหรับตัวละครที่เหลือกันอีกทีนึง ส่วนวินกับ พิงค์ พรุ่งนี้ มาซ้อมบทด้วยนะ เพราะว่าเรื่องนี้ พระเอก นางเอก จะทำงานหนักหน่อย"

"ค่ะ/ครับ"

ฉันเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นไปมองทางพี่นนท์ (ประธานชมรม) แล้วก็เลยไปมองนายกวิน ภาพที่ฉันเห็นเต็มสองลูกกะตาคือ นายกวิน ก็มองมาทางฉันด้วย แถมมองหน้าขรึมเชียว ไอ้หมอนี่มีหน้าเดียวหรือไงเนี่ย เฮ้อ ฉันคงต้องทำใจสินะ เอาฟระ 3 อาทิตย์ เวลาผ่านไปเร็วจะตาย ที่ฉันบ่นเนี่ยไม่ใช่ว่าฉันเกลียดเขานะคะ แต่ฉันแค่เขินอ่ะค่ะ ตอนนี้ตกหลุมรักเขาเข้าเต็มๆแล้วล่ะ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ

ปล. อาจจะมีรีไรท์ตอนที่ 1 ใหม่นะคะ ยังไงก็อย่าเพิ่งเลิกติดตามนะค้า




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2551    
Last Update : 3 มิถุนายน 2551 10:43:37 น.
Counter : 244 Pageviews.  


บุปผาหยกไร้ใจ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add บุปผาหยกไร้ใจ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.