Retro โทรศัพท์
โทรศัพท์มือถือรำลึก และ Retro Marketing **บทความนี้มาจากความทรงจำอันเลือนลาง จึงอย่าถือเอาเป็นสาระสำคัญอะไรนะจ๊ะ ย้อนรอยถอยหลังไปเมื่อสมัยซัก 20 ปีที่แล้ว เครื่องมือสื่อสารอันแรกของผม ก็คือเพจ หรือที่เค้าเรียกกันว่าเพจโฟน เห็ดโคนอะไรเนี่ยแหล่ะ ซึ่งในช่วงนั้นผมก็ไม่รู้จะมีไว้เพื่ออะไร แถมตอนแรกเกลียดมันยังกะอะไรดี ผมว่ามันคือเครื่องมือที่มนุษย์สร้างมาเพื่อตอกย้ำความเป็นทาสของมนุษย์ ด้วยกันเอง เป็นนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดวัฒนธรรมการจิกหัวใช้อย่างไร้ความปราณี แบบเอะอะ อะไรก็ให้โทรกลับ เอะอะก็โทรกลับ กรูนั่งขี้ก็ยังต้องรีบล้างตูดเพื่อวิ่งไปหา โทรสาธารณะโทรกลับไปหาไอ้คนเรียกมัน และทั้งหมดที่เรี่ยราดลงไปนั้น ก็เพียงเพื่อจะพบกับธุระสำคัญชิบหายที่ว่า "เฮ้ย ขากลับเข้าออฟฟิศ น้องซื้อหมี่เกี๊ยวแห้งมาสองห่อด้วยนะ" 
ก็แหม เพจยุคแรกนี่มันไม่มีแบบฝากเป็นข้อความนะ มีแต่แบบขึ้นเป็นเบอร์โทร ซึ่งโดยปกติเราก็ต้องคิดว่าการจะอัญเชิญมนุษย์สักคนให้โทรกลับไปหาโดยทันที แม้ว่ามันกำลังยุ่งกับกระดาษเช้ดก้นกับรูทวารของมันอยู่ มันต้องเป็นเรื่องที่เร่งด่วน คอขาดบาดง่ามนิ้วแน่ๆ เพราะถ้ามันตามด้วย191 ต่อท้ายหมายเลขโทรศัพท์นี่คือธุระ ด่วนโคตร 
ไม่นานนักต่อจากนั้น ผมก็ได้เห็ดโคนรุ่นใหม่ ไฉไลกว่าเดิม ...หว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า อ่านข้อความได้เป็นประโยคเลยนะ โอ๊ย"ยิด"มากเวลานั้น ส่วนใหญ่จะใช้เป็นเครื่องมือ รับข้อความกิ๊วก๊าวจากสาวๆ แล้วเวลาจะโทรฝากข้อความถึงใครก็ต้องโทรไปหาคอลเซนเตอร์ พอโอเปอเรเตอร์รับสาย ก็บอกข้อความไป ทางศูนย์ก็จะส่งสัญญาณไปยังเครื่องหมายเลข ปลายทาง แรกๆนี่ มีอ้ำอึ้งนึกไม่ออก อึกๆ อักๆ ยิ่งตอนจะฝากคำหวานไปหาสาวนี่ แทบจะบิด หูโทรศัพท์พัง หลังๆนี่ต้องเตรียมสคริปต์ไว้เลย ประมาณว่าต้องทำการบ้านก่อน ฮ่า ฮ่า ฮ่า เท่าที่จำได้ผู้ให้บริการเพจเจอร์ทั้งหลายในยุคนั้นจะมี แพคลิ้ง โฟนลิ้ง อีซี่คอล ฮัทชิสันเพจโฟน (ซึ่งเปลี่ยนมาเป็นHUTCHในปัจจุบันนั่นเอง) 
จะว่าไปก็สงสารพนักงานเหมือนกันนะ วันๆต้องมานั่งทนฟังคำเลี่ยน สะเดิดอยู่ตลอด เรียกว่าสารพัดคำหวาน ประโยคซึ้งกินใจ หรือรักแหกโค้ง เค้าคงจะได้ฟังจนครบถ้วนที่มี ในสารบบแล้วล่ะ ก็นั่งสงสัยอยู่เหมือนกันว่ามนุษย์พวกนี้ ใครเป็นแฟนคงต้องนึกมุขใหม่กัน ตลอดชาติ ด้วยความที่หวานไป เธอก็ชาชินซะแล้ว ก็เล่นได้ยินกรอกหูทุกวัน เห่ออยู่ไม่นานก็โลกมีโทรศัพท์มือถือ จริงๆมันมีโทรศัพท์เคลื่อนที่นานมาแล้วนะครับ เป็นแบบกระเป๋าหิ้ว เครื่องนึงสองสามแสน ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว พ่อเพื่อนใช้อยู่ เป็นแบบติดรถยนต์ แล้วพอผมเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นก็มีแบบกระเป๋าหิ้ว ราคาก็เป็นแสนสองแสน เหมือนกัน เป็น Ericsson hotline ในสมัยนั้นใครเดินหิ้วไอ้นี่ แหม... มาดนักธุรกิจฉายแสงเรืองรองเลยเชียวหล่ะ ภาษาบ้านเราเค้าเรียก "เครื่องพิมพ์ดีด" ก็ดูหุ่นมันสิ อิอิ ทั้งหนา หนัก สามารถทดแทนดัมเบลไว้ยกเล่นยามว่างสร้างกล้ามแขนได้
โทรศัพท์มือถือเครื่องแรกของผม นี่ครับ ( แพงShipหายเลย ) โมโตโรล่า ไดน่าแทค (รูปยืมเขามาจากในเน็ตครับ เป็นเว็บขายพวกวินเทจโฟน -*- เขร้!! มันยังขายได้อยู่อีกเหรอเนี่ย) 
เครื่องนี้ปาไปเกือบครึ่งแสน โทรเข้า โทรออก เมมเบอร์ได้ แค่นั้น!! แถมรูปทรงมันก็ยังกับ กระดูกไดโนเสาร์ บ้านเราเค้าเรียกกระดูกหมา เพราะมันมีรุ่นสีขาวตุ่นๆออกมาด้วย รุ่นสากกะเบือก็มีเรียกนะ คลับคล้ายคลับคลาว่ามันมีAdนึงที่เอาโทรศัพท์รุ่นนี้มาตำส้มตำ เป็นเทรนด์ฮิตติดยุคเลย จนขนาดมีกระติกน้ำทรงมือถอเนี่ย แถมกะเสื้อผ้านักเรียนอะไรสักอย่าง ในยุคนั้นใครมีไอ้ท่อนบ้านี่ ต้องถือนะครับ แล้วก็เอาเสาชี้ๆๆๆ แทนนิ้ว นัยว่าแม่งโคตรเท่ห์ เป็นเครื่องประดับบารมี ดูศรีสง่ามาก แต่ผม ส่วนใหญ่ไม่กล้าถือครับ ไม่สะดวกก้วย แค่เหน็บเป๋ากางเกงหลังก็หล่อแล้ว ฮิฮิ
ความที่ผมเป็นคนชอบถ่ายรูป เวลาไปไหนก็ต้องพะรุงพะรังกับกล้อง+โทรฯทรงกระดูกหมา เอิกเกริกเกะกะน่าดูครับ สมัยนั้นเคยคิดเล่นๆว่า มันน่าจะมีโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปได้ แต่ก็ไม่เคยจินตนาการว่ามันจะมีไอ้แบบที่ผมคิดขึ้นมาจริงๆ เพราะตอนนั้นกล้องดิจิตอล ยังไม่เกิดเลย ภาพที่ผมจินตนาการไว้ สำหรับกล้องที่มาพร้อมโทรศัพท์ มันคงจะรูปร่างพิกล พิการ จนผู้ใช้ดูมีปมด้อยไปเลยก็เป็นได้ ชิ้นต่อไปของผม นี่เลยครับ เตารีด โมโตโรล่า ไมโครแทค นับเป็นโทรศัพท์มือถือที่ รูปทรงบัดซบที่สุด!! เป็นก้อนๆ เหลี่ยมๆ หุยฮามากมายครับ ไม่รู้ว่ามันจะโบราณไปไหน!!?? แต่ตอนนั้นที่ใช้เพราะไอ้ฝาพับๆ เนี่ยแหล่ะ แบบเวลาวางสายแล้วพับดังปั้บๆ มันได้ อารมณ์หงุดหงิดดีครับ 
ช่วงนั้นบ้านเรามีแค่สองยักษ์ใหญ่ทำตลาดสื่อสารโทรคมนาคมกัน คือTAC โทเทิ่ล แอดเซส คอมมินิเคชั่น หรือ DTAC ในปัจจุบัน กับ แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส ก็คือAIS นั่นเองครับ ค่ายAIS นั่นจะเป็นคลื่นอนาล็อค GSM 900 เมกกะเฮิร์ซ ส่วนของTAC เค้าจะ เป็นแอมพ์ 800 เมกกะเฮิร์ซ ซิมเซิมอะไรเนี่ยไม่มีหรอกครับยุคนั้น ชีวิตผมทนลำบากพกเตารีดอยู่แป๊บเดียวครับ ก็ไปเอาโนเกียมาใช้ รุ่น 101 ตอนนั้นนี่ถือว่า สวยมากนะครับ จอเป็นLCD หรูไฮมาก ออกมาพร้อมๆกับ Dancall รุ่นอะไรจำไม่ได้แล้ว หน้าตาเสร่อๆหน่อย โนเกียยุคนั้นนี่เมดอินฟินแลนด์แท้ๆเลยนะ กลิ่นหอมฟินแลนด์มาก(ยังไง?) ทนทานมากครับ ผมทำหล่นพื้นบ่อยมาก แต่มันก็ไม่พังแฮะ มีแต่เป็นรอย ตอนนั้นถ้าจะเปลี่ยน หน้ากากนี่หลักพันกว่านะครับ โดยยุคนั้นเริ่มมีการเปลี่ยนเสาอากาศกันเป็นสีๆ (ไม่ใช่ไฟกระพริบ นะครับ แค่เป็นยางสีเหลือง สีส้ม แบบของแต่งพอให้แตกต่างน่ะ) เท่ห์ชิบหายเลยครับ 
จากนั้นโลกแห่งมือถือก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อ Ericsson ผุดมือถือขนาดเล็ก(ในยุคนั้น) ที่เค้าเรียกว่ารุ่น"ตกรู" เพราะมีAd ตัวนึงที่เน้นว่ามือถือยี่ห้อเนี้ยเล็กบรม ถึงขนาดหล่นรอดรูลงไปได้ แล้วจากนั้น ยี่ห้ออื่นๆก็ทำเล็กลง เล็กลง ผมก็เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกตามกระแส ด้วยความที่โทรศัพท์ มันจะเล็กลงเรื่อยๆ มันก็จะลืมง่าย หายง่ายขึ้นเรื่อยๆ ตกบ่อยขึ้นเรื่อยๆ บางทีก็วางลืมไว้บนหลังคารถ แบบไม่รู้เป็นบ้าอะไร เดินคุยโทรศัพท์พอมาถึงรถก็ชอบวางโทรไว้บนหลังคา แล้วไขประตู (สมัยนั้นไม่มีรีโมทกันขโมยแพร่หลาย) พอขึ้นรถได้ก็ลืม เป็นยังงี้ประจำ แต่ละปีผมหมดเงินกะมือถือนี่ ไปไม่รู้เท่าไหร่ 
แล้วมือถือสมัยยุคประวัติศาสตร์นี่มันถูกซะที่ไหน เครื่องนึงรุ่นแจ่มๆ หน่อยก็ว่ากันสองสามหมื่น แล้วไอ้ผมนี่ก็โรคจิต ชอบใช้ของแพงซะอีก (ก็ของถูกมันไม่จี๊ดหนิ ฮ่า ฮ่า) จนเริ่มมีโทรศัพท์ถ่ายรูปได้ โอ้วว .. มันมาแล้ว ยังครับยังไม่พอ มันยังถ่ายคลิปวิดีโอได้อีก เทพมาก เทคโนโลยียุคหลังๆในวงการโทรมือถือนี่ก้าวกระโดดจนผมรู้สึกว่าตามไม่ทันแล้ว ไม่รุ้ว่าอีกสิบยี่สิบปีข้างหน้าโทรศัพท์มันจะเป็นแบบไหน อาจจะฝ้งในกระพุ้งแก้ม หรือเจาะกระโหลก ยัดChip เข้าไปฝังในซีรีบลัม ก็เป็นได้ จนมีวันนึงไม่นานมานี้ ผมไปเจอโทรศัพท์ที่ผลิตกันยุคใหม่ๆเนี่ยแหล่ะ แต่มันดันทำทรงย้อนยุคไป เหมือนโทรมือถือเครื่องแรกที่ผมซื้อ คือถ้ามองเฉพาะตัว Product อันนี้เค้าเรียก Vintage ซึ่งก็เป็นการย้อนยุคเอาความคลาสสสิคของสิ่งของในยุคๆหนึ่งมาใช้ใหม่ แต่ตัวProduct นี้ มันเกาะอยู่ในแกนของ Retro Concept อีกทีนึง ดูหน้าตากับวัสดุดูดี ซื้อมาใช้คงกวนTeenพิลึก 
ตอนนี้กระแส Retro มาแรง และลามไปเกือบทุกProduct ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ของแต่งบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า งาน Design ฯลฯ บางอันก็ดูเข้าท่าดี แต่บางอันก็ โห.. มันคิดอะไรของมันอยู่วะ !?!? อย่างโทรศัพท์ที่ผมเอารูปมาให้ดูเนี่ยแหล่ะ คุยกันเรื่อง Retro หน่อย --- Retrospective = การระลึกถึงความหลัง "Retro Marketing" = การตลาดแบบย้อนยุค สรุปก็คือการประยุกต์แนวคิด ดีไซน์ หยิบเอาความเด่นในอดีตมาทำให้เป็นเทรนด์ใหม่ จริงๆ Retro marketing นั้นไม่ใช่ทฤษฎีการตลาด แต่เป็นเพียงแนวคิดในการทำตลาดโดยจับเอา กระแสนิยมในยุคหนึ่งๆที่มันดัง ฮิต แล้ว หาสาเหตุการฮิตของมัน ว่าสินค้านั้น หรือแบรนด์ แฟชั่น ในยุคนั้นน่ะมันเป็นที่นิยม หรือฮิตเปรี้ยงปร้างเนี่ย เป็นเพราะอะไร พอจับจุดได้ มันก็จะเกิด Core Value คือคุณค่าในแกนร่วมของตัวผลิตภัณฑ์ตัวนั้นๆขึ้นมา แล้วเค้าก็จะนำมาทำการตลาด ซึ่งจริงๆแล้วโดยทั่วไปนั้น แนวทางการทำตลาดแบบ Retro นี้ แนวคิดมันมาจากอเมริกามาก่อน (ขานั้นเค้าถนัดเรื่องตลาดเชิงสัญลักษณ์) และต่อมาก็ลามไปทั่ว โดย Retroเอง มันแยกออกไปได้อีกหลายแบบนะ เช่น "Retro Retro" คือการเอาของแจ่มๆ ในอดีตมาขายทั้งแท่ง ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าจะเปลี่ยนก็จะดัดแปลงไม่มากมายนัก "Deluxe Retro" จะเป็นแนวผสมPast Trend กับ Present Trend เข้าด้วยกัน คือยุคเก่า+ยุคใหม่น่ะแหล่ะครับ พบเห็นได้ตามสินค้าพวกเครื่องประดับ ของแต่งบ้าน "Nova Retro" พวกนี้จะใช้เปลือกของProduct ที่ย้อนยุค แต่ข้างในนั้นจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ เช่น นาฬิกา ,วิทยุ ,โทรทัศน์ .ตู้เย็น (แพงหงายไส้ด้วยนะ ของพวกนี้) "Futurism Retro" จะเป็นการย้อนยุค ย้อนเวลาไปหาสิ่งที่พีคสุดขีดในอดีตครับ แล้วเค้าจะเจาะดู เป็นจุดไปว่ามันพีคเพราะอะไร เพื่อจะหาCore Value ในการดีไซน์ผลิตภัณฑ์ โดยที่จะคำนึงถึง ทิศทางหรือแนวโน้มในอนาคตด้วยว่ารสนิยมผู้บริโภค จะเปลี่ยนไปแบบไหนอีก จากนั้นก็นำมา Blend ระหว่างอดีตกับอนาคตให้ออกมาเป็นสินค้าที่คลาสิคแต่ก็มีความสมัยใหม่และเทคโนโลยีล้ำยุค อยู่ในตัวสินค้า ยกตัวอย่างเช่น รถมินิคูเปอร์ที่เราเห็นๆวิ่งๆกันอยู่ ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในกรณีนี้ครับ 
วันนี้แพล่มเยอะไปหน่อย แถมหาสาระอะไรไม่ค่อยได้ ถือซะว่าอ่านให้มันรกสมองเล่น เนอะ..
Create Date : 20 มกราคม 2553 |
|
28 comments |
Last Update : 23 มกราคม 2553 5:36:15 น. |
Counter : 8274 Pageviews. |
|
 |
|
[ กดเบาๆนะจ๊ะ ]