bloggang.com mainmenu search








ความตายคือฉากสุดท้ายของชีวิตมนุษย์และสัตว์
คนส่วนมากกลัวตาย
เพราะไม่รู้ว่าเบื้องหลังความตายเป็นอย่างไร
จะเจ็บปวด ทุกข์ทรมานแค่ไหน
หรือจะต้องไปพบเจอกับอะไรบ้าง
ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ทั้งสิ้น



แต่สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม
ความตายเป็นเรื่องปกติธรรมดา
เป็นการคืนสู่ธรรมชาติ ตามกฎของไตรลักษณ์
ความตายที่ยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ จึงเป็นการแปรสภาพ
หรือการเกิดอีกครั้งหนึ่ง จากร่างเดิมไปสู่ร่างใหม่
ที่จะดีหรือเลวนั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไว้
และขึ้นอยู่กับผลบุญและบาปที่เป็นของใครของมัน









อยู่ดีๆ อาการของโรคหัวใจของฉันก็กำเริบขึ้นอีก
เริ่มต้นด้วยความดันขึ้นสูงมาก จนปวดหัวไปหมด
ในหัวของฉัน เหมือนมีพัดลมมาหมุนอยู่ซักสี่ห้าเครื่อง
อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยกับงานและเครียดมากเกินไปละมั้ง
ทำให้ก่อนหน้านั้นนอนหลับไม่สนิท และตื่นมาแต่เช้ามืด



วันรุ่งขึ้น อาการก็ดูเหมือนจะทรงๆ แต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก
ตอนดึกยังลุกลงไปเดินเล่นและคุยกับคนอื่นอยู่
แต่พอกลับขึ้นไปนอน ก็มีอาการวูบติดๆ กันหลายครั้ง
และเจ็บร้าวที่หน้าอกไปหมด
เอาแล้วไง... มันมาอีกแล้ว
ล้มตัวลงนอนได้ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่า ควบคุมตัวเองไม่ได้
ลุกขึ้นไปหยิบยาไม่ไหวแล้ว จึงกดโทรศัพท์ฉุกเฉินเรียกคนอื่น
ให้หยิบยาอมใต้ลิ้นมาให้ และใส่อ๊อกซิเจน
ตอนนี้ยังพอรู้สึกตัวอยู่เป็นระยะๆ









อาการวูบเกิดขึ้นติดๆกันอีก
พยายามกำหนดสติจะดูร่างกายว่ามันเป็นยังไง
ตัวเหมือนลอยๆ ความรู้สึกไม่ปะติดปะต่อกันแล้ว
อาการเจ็บหน้าอกมีมากขึ้น เหมือนทุกครั้งที่เป็น
ไม่ได้เจ็บมาก แต่มีอาการเหมือนหัวใจโดนบีบแบบเค้นๆ
จึงนึกถึงสมเด็จองค์ปฐม บอกตัวเองว่า ช่างมัน
ยังไม่ทันคิดอะไรต่อ จิตก็ตัดทันที
มันเร็วมากๆ กำหนดรู้ไม่ทันด้วยซ้ำ
เหมือนเป็นไปโดยอัตโนมัติของจิตมากกว่า









ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน
มารู้ทีหลังว่าเขาพยายามจะอุ้มไป รพ
แต่น่าจะอุ้มลงบันไดไม่ไหว เพราะตัวอ่อนปวกเปียก
และทุกคนตกใจมากที่เห็นฉันเป็นอย่างนั้น
เขาจับให้ลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนเพื่อให้หายใจได้สะดวก
แล้วก็เอายาอมใต้ลิ้นใส่ปากไว้ให้อีกเป็นเม็ดที่สอง
พอรู้สึกตัวแขนและขาขยับไม่ได้ หนักอึ้งและชาไปหมด
เด็กๆ มานวดเท้าและมือเพื่อให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก
แต่ในความรู้สึกตัวเอง ยังเหมือนลอยอยู่ในความสว่างนวล
เห็นอะไรเคลื่อนไหวขาวไกลๆ แว๊บไปแว๊บมา เหมือนฝัน
เห็นตัวเองด้วย อารมณ์โปร่งเบาสบายและไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีก
ซักพักจึงรู้สึกตัวว่ากำลังไม่สบาย



ปรากฎว่า หมดสติไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงกว่าๆ
ร่างกายอ่อนเพลียแต่ไม่เจ็บหน้าอกมากเหมือนเดิม
คงมีแต่อาการร้าวๆอยู่บ้าง ไปถึงคอ กราม และหัวไหล่
แต่ขยับตัวไม่ได้ ตัวหนักเหมือนก้อนหิน
ไม่มีอาการวูบเหมือนที่ผ่านมา
แป๊บเดียวก็หลับไปง่ายๆแบบหมดสภาพ
คงเหลือแต่อาการปวดหัวที่ยังมีอยู่มาก
อาจจะเพราะความดันยังไม่ลดลงเป็นปกติ
และมารู้ตัวอีกครั้ง หลังจากเวลาที่เป็นผ่านไปราวๆ 3 ชั่วโมง









หลายต่อหลายครั้งที่ฉันเป็นแบบนี้
ร่างกายหยุดชะงักไปเพราะโรคประจำตัวที่เป็นอยู่
แล้วก็ออกไปเดินเล่นอยู่ข้างนอก เหมือนอยู่บนท้องฟ้า
บนเมฆ หรือที่ไหนซักแห่ง มีแสงสว่าง นุ่มนวล สบายตา
บางครั้งได้ยินเสียงสวดอิติปิโสฯ แว่วมาไกลๆ ให้ฉันสวดตาม
บางครั้งเห็นพระพุทธรูปเปล่งฉัพพัณรังสีเจิดจ้า
มันทำให้ฉันไม่รู้สึกกลัวความตาย
จะอยู่ก็ได้ หรือจะตายก็เฉยๆ
ไม่ได้มีความห่วงกังวลกับใคร หรืออะไร ที่ผูกพันอยู่
เพราะได้ทำหน้าที่ของตัวเองสมบูรณ์แล้ว
อะไรจะเกิดก็เกิด ไม่เป็นไร ...



ฉันก็เป็นแค่ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง
ดังนั้น ในชีวิตที่ผ่านมาของฉันก็เหมือนคนอื่นๆทั่วไป
มีทั้งสิ่งที่ดีๆ และความผิดพลาดเกิดขึ้นเหมือนกัน
แต่ด้วยความคิดที่จะให้ มีอยู่เสมอในจิตใจของฉัน
และฉัน...ก็ทำสิ่งนั้นตลอดมา กับทุกๆคนที่อยู่รอบตัว
และทุกๆคนที่ฉันสามารถจะให้ได้
มากหรือน้อย ตามแต่โอกาส และความเหมาะสมที่จะทำได้
หากวาระสุดท้ายที่ฉันจะต้องเดินผ่านมาถึง
มันก็เป็นแค่กระบวนการของชีวิต
ก็ถ้าเรา...ได้สร้างเหตุที่ดีไว้แล้ว
ผลที่จะเกิดขึ้น...ก็สุดแต่จะเป็นไปก็แล้วกัน
การเปลี่ยนผ่านของชีวิตจึงไม่ทำให้ฉันหวาดหวั่น
เพราะมันเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง
ที่จะต้องเป็นอย่างนั้น....



บางทีฉันอาจจะแค่สลบไป
หรืออาจจะได้ไปแอบสบตากับความตายมาหมาดๆ
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร
ตายหรือไม่...ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า......
เราจะพิจารณามองเห็นสิ่งเหล่านี้ยังไง
ให้สิ่งที่เราได้สัมผัสนี้... มีความหมายกับชีวิต
ที่ยังเหลืออยู่ต่างหาก.....










Create Date :10 พฤศจิกายน 2555 Last Update :10 พฤศจิกายน 2555 15:49:12 น. Counter : 3480 Pageviews. Comments :2