bloggang.com mainmenu search

บล็อกที่ 103

วาเลนไทน์นี้ผมอยากลงเรื่องรักๆให้อ่านกัน เป็นเรื่องสั้นของวัยรุ่น พล๊อตเรื่องกุ๊กกิ๊กแบบสิ้นคิดของผมเอง คล้ายๆโจรมุมตึกในการ์ตูนขำขันสมัยก่อน ซึ่งผมเขียนไว้ตั้งนมนานแล้ว นับระยะเวลาก็ผ่านไปถึง 23 ปีเต็ม ไม่ทราบว่ายังใช้ได้อยู่หรือเปล่า สำหรับคอเรื่องสั้น ถ้าชอบก็อ่านกันได้นะ ไม่ชอบก็เปิดผ่านๆไป ทิ้งคอมเมนต์ไว้ก็พอครับ



นี่คือต้นฉบับเก่าชุดเดิม กับเครื่องพิมพ์ดีดตั้งโต๊ะเก่าๆ เยินอย่างที่เห็นนี้ไง



จากปลายแป้นพิมพ์นี้ เสร็จสิ้นเมื่อเวลา 2 นาฬิกา ของวันที่ 5 มิถุนายน 2531 เก่าแก่แบบว่า อาจจะมีอายุมากกว่าเพื่อนบล็อกบางคนก็ได้ !

ในเรื่อง ยุคนั้นผมไม่แน่ใจว่าเรามีเหรียญ 10 บาทใช้กันหรือยัง แต่เงิน 50 บาท สามารถกินข้าวขาหมูในห้างได้ถึง 2 จาน แถมน้ำส้มอีก 2 แก้ว ได้อย่างสบายๆ

อ่านกันเลยนะครับ...




สื่อรัก..ร้อตตริ้ง ประพันธ์โดย..ปลายแป้นพิมพ์

"น้องหมวย เอาหนังสือ วัยหวาน เล่มนึงดิ..."

ไอ้ชานเอ่ยกับน้องหมวย สาวร้านขายหนังสือปากซอย ในเที่ยงวันหนึ่ง!

"อุ๊ยตาย วันนี้พี่ชานถูกหวยหรือยังไงคะ ถึงได้ซื้อหนังสือของหมวยได้"

"ใครบอกว่าพี่ถูกหวย นี่ไงดูหนังสือนี่สิ.." ไอ้ชานเปิดดูหนังสือเมื่อหมวยสาวหยิบให้

"..นี่เห็นมั้ย คอลัมน์ วาดเล่น-เล่น เย็น-เย็นใจ ภาพ อำพล ลำพูน ฝีมือของพี่วาดได้ลงหนังสือ เขาลงให้แล้วละ แล้วยังมีสิทธิ์จะคว้ารางวัลอีกต่างหากแน่ะ.."

"ไหนๆ จริงหรือคะพี่ชาน.." หมวยสาวกุลีกุจอจากที่นั่งมาดูภาพที่ไอ้ชานชี้ให้ดูว่า เป็นฝีมือวาดของเขา

"สวยไหมหมวย ฝีมือพี่เข้าขั้นไหมล่า.."

"ดีค่ะ แล้วเมื่อไหร่พี่ชานจะวาดรูปเหมือนให้หมวยสักทีละ ผัดมานานแล้วนะ เดี๋ยวงวดต่อๆหมวยต้องเก็บค่าเสื่อมราคา ค่าที่พี่ชานมายืนดูหนังสือร้านหมวยนานๆ หมวยพูดจริงๆนะ.."

"โธ่ ! หมวยจ๋า อย่าใจจืดใจดำกับพี่นักเลย เอาไว้เร็วๆนี้แหละ พี่จะวาดให้แน่นอน"

"จริงๆนะพี่ชาน.." หมวยสาวคาดคั้น

"จริง" ไอ้ชานตอบเสียงหนักแน่น พลางควักแบ๊งค์ 20 กับเหรียญ 5 จากกระเป่าส่งให้สาวหมวย

"พี่ไปละนะ" ไอ้ชานบอกกับสาวหมวยก่อนจะเดินเดียดตำราเรียนและหนังสือวัยหวานเล่มใหม่ออกจากร้านไป





ไอ้ชาน มันเป็นยังงี้แหละ หนอนหนังสือ ชอบมายืนอ่านหนังสือร้านหมวยทีหนึ่งนานเป็นชั่วโมง แต่ไม่ซื้อหรอก ถ้าวันไหนบังเอิญเตี่ยหมวยอยู่หน้าร้าน ก็จะค่อยๆลดเวลาลงเหลือครึ่งชั่วโมง หรือ 15 นาทีเป็นอย่างต่ำเพราะทนกับตาเขียวๆไม่ไหว

และบางครั้งมันก็หาอ่านเอาตามห้องสมุดที่สถาบัน แล้วยังจะมีหน้าเขียนจดหมายไปคุยกับบรรณาธิการอีกว่า ผมติดตามหนังสือของพี่เป็นประจำ พลาดไม่ได้แม้ฉบับเดียว (ขี้โม้) ถ้าขาดแล้วจะเป็นยังงั้นยังงี้

ที่จริง มันไม่ได้ซื้อหรอก ติดตามอยู่นะติดตามจริง แต่ที่ร้านหมวย และห้องสมุด โน่น..นานๆมันถึงจะซื้อสักเล่ม เลือกซื้อเฉพาะฉบับที่มีกลอนเปล่า ประสบการณ์รักกุ๊กกิ๊กของวัยรุ่นบ้าง ความในใจวัยหวานบ้าง เขียนเป็นกวีหรือฝอยมันส์ฝันแหลกบ้าง ฉบับที่มันเขียนไปแล้วได้ลงตีพิมพ์ นั่นละมันถึงจะซื้อเป็นสมบัติของตัวเอง !

แต่ถ้าเล่มไหนไม่มีผลงานที่มันเขียน อย่าหวังว่านิตยสารฉบับนั้นจะได้ตังค์จากมัน

ไอ้ชานเข้าบ้านได้ก็ผลัดผ้า อาบน้ำ ประแป้งเสียลายพร้อย นุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียวมานอนเอกเขนกอ่านวัยหวานที่เฉลียงหลังบ้าน ลมเย็นๆที่พัดโชยมาจากริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้มันคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ฝันไปถึงเงินจำนวนหนึ่งที่มันจะได้รับจากกองบรรณาธิการ เป็นค่ารูปที่มันวาด แล้วมันก็เคลิ้มหลับไป..







อาทิตย์ต่อมาเมื่อกลับจากสถาบัน ไอ้ชานก็ได้รับธนาณัติที่ทางกองบรรณาธิการจัดส่งมาให้ มันถึงกับยิ้มแก้มแทบปริ เหมือนถูกเลขท้ายล็อตเตอรี่ ดึงธนาณัติจากซองออกมาจูบ หยั่งกะหอมเสียเต็มประดา!!

"เอ..เงินที่ได้มานี่ ตูจะซื้ออะไรดีวะ.." ไอ้ชานคิด

"อ๋อ นึกออกแล้ว ซื้อร้อตตริ้งดีไหม เอ..แต่ว่ามันจะพอรื้อ ร้อตตริ้งชุดหนึ่งก็หลายเงินอยู่ ถ้าซื้อเป็นด้ามคงจะได้ แต่มันคงแพง..เออจริง ลูกหมูงัย ยังมีอยู่ในลูกหมูอีก ถ้าเราทุบลูกหมู เอามารวมๆกับค่าวาดรูปนี้ คงได้ร้อตตริ้งหรูๆด้ามสวยๆซักเล่ม เอาไว้เสียบกระเป๋าอวดเพื่อนงัย.. ฮิ! ความคิดตูเข้าท่าดีนี่หว่า ได้การ...

"โพล๊ะ!! "

แล้ววินาทีต่อมา ลูกหมู กระปุกออมสินตัวอ้วนที่ไอ้ชานอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบ วันละนิดละหน่อย ก็มีอันแตกสลายไม่มีชิ้นดี เศษเหรียญต่างขนาดตั้งแต่เหรียญสลึงยันเหรียญห้า ที่กองปะปนอยู่กับปูนปลาสเตอร์ ประมาณด้วยสายตาคงไม่ต่ำว่าร้อยกว่าบาทขึ้นไป

ไอ้ชานนับเศษเหรียญนั้น แล้วก็ยิ้มกับตัวเอง

"อา..สบาย ! ได้อยู่แล้วร้อตตริ้งด้ามใหม่.."






ไอ้ชานยืนลูบร้อตตริ้งด้ามใหม่เอี่ยมอ่องอย่างพึงพอใจ สดๆร้อนๆเพิ่งออกจากตู้เลยนะเนี่ย คราวนี้ละงานเขียนแบบ จะต้องลื่น..แน่นอน

จ่ายเงินให้แคชเชียร์เสร็จแล้ว ไอ้ชานยืนหันรีหันขวางในห้างสรรพสินค้า ไม่รู้จะไปทางไหนดี คนอย่างไอ้ชานรึจะเลือกไปไหน ถ้ามันเข้าห้างสรรพสินค้าละก็ โน่น! ตามมุมหนังสือโน่นแหละ ตามไป เป็นเจอแน่!!

ไอ้ชานข้ามฝั่งจากมอลล์ 2 รามคำแหงไปยังมอลล์ 3 แล้วก็ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่มีหนังสือเยอะๆ ชั้น 4 โน่นไง ร้านที่มีหนังสือเยอะล็อกยาวที่สุดก็คือร้าน D K BOOK HOUSE

ไอ้ชานมุ่งไปที่นั่น มันเลือกหาหนังสือแปล พ็อกเก็ตบุ๊คจากต่างประเทศเปิดอ่าน (ก็ได้แต่อ่านนั่นแหละไม่ซื้อหรอก) เล่มไหนที่คิดว่าดี เนื้อหาสนุกน่าซื้อจริงๆ ไอ้ชานจะงัดเอาร้อตตริ้งกับสมุดพกจากกระเป๋าเสื้อ มาจดชื่อเอาไว้ เผื่อวันหน้าวันหลังมีเงินจะได้มาจับจองเป็นเจ้าของ

เดินจดชื่อนิยายแปลเพลินๆ พอลับเหลี่ยมชั้นวางหนังสือ ไอ้ชานมีอันเจอดีเข้าโครมเบ้อเริ่ม

"พลั่ก!!"

"เพล้ง!!"

"อุ๊ย! คุณ เดินยังไงคะซุ่มซ่าม ไม่ดูตาม้าตาเรือ ดูซิข้าวของฉันแตกหมด..ต๊าย แก้ว แก้วแถมแปรงสีฟัน โธ่..แตกไม่มีชิ้นดีเลย แก้วจ๋า.."

เจ้าของเสียงใสดุจระฆังแก้วนั่น ไว้ผมม้าน่ารัก เธอยืนมองข้าวของที่ตกกระจัดกระจายอยู่บนทางเดินแคบๆระหว่างชั้นวางหนังสือ แล้วเธอก็ส่งเสียงฮึดฮัด

"ยังจะมีหน้ามายืนดูอีก ตาบ้า ไม่มีมันยาดผู้ดีบ้างเลย ชนเขาแล้วยังเฉย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนงั้นแหละ นัยบื้อ.." ยัยผมสาวหน้าม้าจ้องหน้าไอ้ชานเขม็ง

ไอ้ชานแทบจะไม่ได้ยินเสียงค่อนว่านั้นเลย เพราะโน่น มันมัวก้มลงเก็บร้อตตริ้งด้ามใหม่เอี่ยมอ่องที่ตกกระเด็นไปอยู่บนพื้นตอนที่ชนกะเธอ

"โธ่! ร้อตตริ้ง.." ไอ้ชานรำพึง หน้าเศร้า เมื่อพบว่าร้อตตริ้งด้ามใหม่มูลค่ากว่า 180 บาทเล่มนั้น บัดนี้มันได้กลายเป็นสิ่งไร้ค่าเสียแล้ว ก็ดูสิ ปากหักยับเยินหมด โธ่ โธ่ เธอนั่นแหละยัยเซ่อซ่า คนออกตัวโตยังกะตึก เสือกมาชนเขาทำไม..ประโยคหลังมันได้แต่คิดในใจ เศร้า !

ยัยผมม้า หรือ ยัยอ้อย ตอนแรกที่เธอตั้งข้อหาว่าไอ้ชานซุ่มซ่าม เดินชนเธอ แต่พอได้เห็นสีหน้าของไอ้ชาน เธอก็เข้าใจ ก็สีหน้าของเขา มันแสดงออกมาว่าเสียดายปากกาอันนั้นอย่างสุดซึ้ง เขาคงรักมันมากนะ..เธอคิด

หน้าเธอพลอยถอดสีไปด้วย เธอรู้ดีว่าปากกาเขียนแบบพวกนั้นอันหนึ่งราคาถูกเสียที่ไหน เป็นร้อยขึ้นไปทั้งนั้น แล้วนี่..เขาคงมีอันเดียว โถ..น่าสงสาร ไอ้เรานะไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่สมุดตกแล้วก็แก้วแถมแปรงสีฟันแตก ไม่เห็นเสียหายเท่าไหร่ แต่เขาซิ..

"คุณคะ" ยัยอ้อยเรียกเขา

"ดิฉันเสียใจ ที่มีส่วนทำให้ปากกาคุณพลัดตกเสียหาย ดิฉันจะใช้ให้คุณค่ะ คุณซื้อมาเท่าไหร่คะ.." ยัยอ้อยถาม เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นสบตากับเธอ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ ตาว้าน-หวาน เธอคิด

"โอ ! มิต้องครับ ไม่เป็นไรหาใหม่มิได้ เอ้ย..หาใหม่ได้ ว่าแต่คุณเถอะ เคล็ดขัดยอกช้ำบวมตรงไหนบ้างครับ ผมมียาหม่อง.นี่ไงครับ ใช้ทาถู ทาถู เดี๋ยวก็หาย.." ไอ้ชานควักยาหม่องออกมา สีหน้าทะเล้นขณะพูด

"บ้า..ฉันล้มที่ไหนกัน..ถึงต้องเคล็ดขัดยอก นี่คุณจะเรียกค่าเสียหายก็บอกมาเถอะ ร้อยหนึ่งพอมั้ย.."

"ไม่ต้อง มิต้องครับ..เรื่องมันเล็กน้อย" ไอ้ชานยังคงแข็งใจตอบ จะเรียกค่าเสียหายลงเหรอ คนอะไรก็ไม่รู้ ปากงี้แดง น่าร๊าก-น่ารัก พลางมือของไอ้ชานก็ลูบคลำปากกาไปมา ภายในใจนั้นร่ำร้อง โถ..เจ้าร้อตตริ้งลูกพ่อ ไม่น่ามาด่วนหักไปเลย โธ่..

ยัยอ้อยเห็นเขาปฏิเสธที่จะเรียกค่าเสียหาย เลยนึกขึ้นได้ว่า น่าจะเปลี่ยนเป็น...

"งั้นดิฉันขอเลี้ยงข้าวคุณ เป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน คุณทานข้าวมื้อเที่ยงแล้วยังคะวันนี้.."

ได้ผล เขายิ้ม และบอกว่า

"ยะ..ยังเลยครับ ดีเหมือนกัน กำลังหิวอยู่พอดีเลย" ไอ้ชานเอามือลูบท้องตัวเองประกอบคำพูด

และที่มุมหนึ่งของร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า..

"ขอโทษ คุณ..เอ่อ สั่งอะไรดีคะ..?" ยัยอ้อยถามไอ้ชานที่ไปยืนเหล่อยู่หน้าร้านข้าวขาหมู ในมือเธอถือคูปองจำนวนเงิน 50 บาท

"ผมขอข้าวขาหมู แล้วก็น้ำส้มสักแก้ว ผมเอ้อ..ชาน พิชาน นะครับ.."

"แหม..คุณชอบเหมือนฉันเปี๊ยบเลย ข้าวขาหมูกับน้ำส้ม ฉัน..อ้อยนะคะ" ยัยอ้อยบอกชื่อ

"อ้อย!" ไอ้ชานทวนชื่อยัยอ้อย

"ชื่อเพราะจัง งั้นผมขอเปลี่ยนเป็นน้ำอ้อยดีกว่า ผมอยากกินน้ำอ้อยแล้วละ ตกลงนะ.."

"ทะลึ่งคุณนี่ บนนี้ไม่มีน้ำอ้อยขายหรอกค่ะ.." ยัยอ้อยถลึงตาใส่ไอ้ชาน

"ถ้างั้น ผมขอเป็นน้ำส้มแบบเดิมก็แล้วกัน" สีหน้าไอ้ชานชักจ๋อยลง

"..................."

"แปลกดีนะครับ ชื่อผมกับชื่อคุณ มาพ้องกันได้งัย อ้อย..ชาน คุณชานอ้อย หรือ น้องอ้อย คุณชาน.." ไอ้ชานพูดพลางก้มหน้าลงดูดน้ำส้ม

"นี่..อย่าเอาชื่อฉันไปรวมกับชื่อคุณนะ เสียหาย ฟังดูกลายเป็นของไม่มีค่าขึ้นมาทันทีเลย.." ยัยอ้อยแหว

"ไม่มีค่ายังไงครับคุณอ้อย.." ไอ้ชานงง

"ก็ชานอ้อย ของที่เขาคายทิ้งแล้ว จะมีค่าได้งัย..หรือคุณกินชานอ้อย..?"

ยัยอ้อยชักยั่วะนิดๆ

"แต่ผมว่าเพราะดีนะครับ ชานอ้อย ชานคู่กับอ้อย แหม..เหมาะสมที่ซู้ดส์"

ไอ้ชานพูดพลางทำตาหวานกับยัยอ้อย ประสาหนุ่มศิลปะจอมเจ้าชู้ !

ถ้อยพาทีแบบเรื่อยๆ ทุ้มๆ นุ่มๆ ชวนฟังของไอ้ชาน เล่นเอายัยอ้อยที่ยังไม่เคยมีใครมาพูดหวานๆนุ่มๆซึ่งๆหน้ามาก่อน หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกไปทันที เธอหาทางออกด้วยการก้มหน้าก้มตาดูดน้ำนางเอกแก้วนั้นจนเกลี้ยง

แล้วต่างก็เงยหน้าขึ้นสบตากันอีก

"คุณชานเรียนอยู่ที่ไหนคะตอนนี้.." ยัยอ้อยถาม

"ผมเรียนศิลปอยู่ที่แถววังหลังครับ" ไอ้ชานบอกชื่อสถาบันที่ตนเองเรียน แล้วเอ่ยถามยัยอ้อยบ้าง

"อ้อยอยู่เกษมโปลีฯคลองตันค่ะ แผนก.." ยัยอ้อยบอกเขาบ้าง

"คุณชานเรียนช่างศิลป์ วาดรูปเก่งไหมคะ..?"

ไอ้ชานรีบตอบทันที "เก่งซิครับ นี่ไง รูปที่ผมวาด.." โชคดีที่ไอ้ชานนำ วัยหวาน เล่มที่มีรูปไอ้ชานวาดลงในหน้าวาดเล่นๆ เย็นๆใจลงตีพิมพ์ติดมือไปด้วย เลยงัดออกมาอวดเป็นการใหญ่

"ไหนคะ..อือ สวยดีนี่ หนังสืออะไรคะนี่..?" ยัยอ้อยถาม พลางพลิกดูหน้าปก

"โอ! ว้าวว..ว วัยหวาน เล่มใหม่ หน้าปก พี่หนุ่ย ไมโคร.." ยัยอ้อยร้อง

"นี่อ้อยอ่านเป็นประจำเลยนะคะนี่ แหม..ฉบับนี้อ้อยยังไม่ได้ซื้อเลย..คุณชานนี่ฝีมือดีจังนะคะ ว่างๆสอนให้อ้อยวาดรูปบ้างซิ อ้อยชอบ.."

"ครับผม..." ไอ้ชานพยักหน้า "ถ้าคุณอ้อยอ่านเป็นประจำ งั้นผมขอมอบวัยหวานเล่มนี้ให้คุณอ้อยเลยนะครับ จะได้ไม่ต้องซื้ออีก.."

"ขอบคุณนะคะ.." ยัยอ้อยกล่าวขอบคุณ แล้วทั้งไอ้ชานและยัยอ้อย ต่างก้มหน้าก้มตากับอาหารมื้อเที่ยงตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย







"เฮ้อ ! เมื่อย.." ยัยอ้อยจัดแจงบ่นเมื่อไอ้ชานจับเธอเป็นหุ่น ให้เธอนั่งอยู่ในท่านั้นนานไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงแล้ว

"เมื่อไหร่จะเสร็จเสียทีล่ะคะ อ้อยเมื่อยจะแย่อยู่แล้ว.."

"จะให้ภาพออกมาสวยต้องใจเย็นสิครับอ้อย อ้อยคนดีของชาน"

"ไม่ต้องมาปากหวานกับอ้อยหรอกค่ะ วาดดีๆนะ ถ้าวาดหน้าสวยๆของอ้อยไปเหมือนยายแม่มดละก็ พี่ชานหูยานแน่.."

เดี๋ยวนี้ยัยอ้อยเรียกไอ้ชานว่า "พี่ชาน" เพราะพักหลัง ไอ้ชานแทนตัวเองกับเธอว่า "พี่"

"หวาย..กลัว" ไอ้ชานทำท่าสะดุ้ง

"ถึงกับหูยานเชียวหรือน้อง.."

"แน่นอน" ยัยอ้อยย้ำคำเสียงหนักแน่น

"ถ้างั้นรับรองครับว่าต้องสวย แล้วก็อยู่นิ่งๆนะ ก็อ้อยเล่นกระดุ๊กกระดิ๊กไปมา จนตาพี่ชักเบลอแล้ว เดี๋ยวก็เป็นแม่มดไปซะจริงๆหรอก.."






วันนี้ เป็นวันที่ยัยอ้อย ยอมเป็นหุ่นให้ไอ้ชานวาดรูป..หลังจากที่เธอกับไอ้ชานคบหากันมานานพอสมควร คือตั้งแต่วันนั้น..วันที่เธอกับไอ้ชานเดินสะดุดกันโดยบังเอิญในร้านหนังสือ และเมื่อได้พูดคุยกันแล้ว ยัยอ้อยบอกว่า ไอ้ชานคุยสนุก ตลกดี ส่วนไอ้ชาน บอกกับยัยอ้อยว่า ยัยอ้อยยิ้มสวยดี น่ารักอีกต่างหาก เท่านั้นละยัยอ้อยเป็นยิ้ม ปากแทบหุบไม่ลง ไม่รีรอเลยที่จะบอกหมายเลขโทรศัพท์ที่บ้านของเธอเมื่อไอ้ชานขอทราบที่อยู่และเลขหมาย

สองคนคบหากันเป็นแบบเพื่อนนานพอสมควร พักหลังไอ้ชานมีความรู้สึกแปลกๆกับยัยอ้อย ความแปลกที่ว่านั้นคือ..ความรักนั่นเอง แต่เรื่องนี้ ยัยอ้อยยังไม่รู้หรอก เพราะไอ้ชานยังไม่เคยบอกนี่

"อ้าว ! เอาละ เรียบร้อย โอ เค สวยที่สุดเลย.."

ไอ้ชานดีดนิ้วเปาะเมื่อลุกจากเก้าอี้ ถอยหลังออกมาเพ่งมองภาพยัยอ้อยที่บรรจงวาดตั้งร่วม 3 ชั่วโมง

ยัยอ้อยรีบลุกจากที่นั่งเช่นกัน รุดเข้ามาดูภาพเธอที่ปรากฏอยู่บนแผ่นกระดาษขนาด 12 คูณ 16 นิ้ว

"โอ! ว้าวววว..ววว" ยัยอ้อยอุทาน เบิกตาโตเท่าไข่เป็ด

"เนี้ยบไปเลยพี่ชาน เหมือนจริงๆ ดูสิ..สวยกว่าตัวจริงอีกแน่ะ.." ยัยอ้อยชมตัวเอง

"เวอร์ไปมั้ง.." ไอ้ชานหัวเราะ

"ไม่เวอร์หรอกพี่ชาน สวยจริงๆ เซ็นด้วยสิ เซ็นสลักหลังรูป อ้อยจะได้เก็บไว้ดู.."

"ใครว่า พี่ไม่ให้หรอก รูปยังไม่เสร็จสมบูรณ์เลย ถ้าน้องอ้อยจะเอารูปนี้ จะต้องมีข้อแม้.." ไอ้ชานทำนัยน์ตากรุ้มกริ่ม พลางเดินไปเอาสีฝุ่นเติมไปบนหางคิ้วอีกหน่อยหนึ่ง เพิ่มความเข้มขึ้นที่หางตาอีกนิด

"ข้อแม้อะไรคะ พี่ชานนี่ละเรื่องมาก ก็อ้อยเห็นมันสวยดีแล้วนี่ เติมไปเติมมาเดี๋ยวก็กลายเป็นแม่มดไปซะจริงๆหรอก.."

"ข้อแม้นั่นคือ ต้องให้สัญญาพี่ก่อนว่า.."

"ว่าอะไรคะ..?"

"ว่าจะต้องรักพี่นานๆ.." ไอ้ชานโพล่งออกไปตรงๆ ไปต้องอ้อมค้อมหรือว่าเลี้ยวโค้งกันล่ะ

"บังคับกันนี่ ไม่รู้ มันอยูที่ใจ.." ยัยอ้อยพูดเป็นเพลง

"ไม่บังคับละ จะรักหรือไม่รักก็บอกมาเลย บอกมาเลยนะ..อ้อยต้องเปิดเผย มีอะไร พูดกันตรงไป ความจริงใจ ว่าเราจะรักกัน.." ไอ้ชานไม่ยอมแพ้พูดเป็นเพลงบ้าง แล้วสำทับซ้ำ "ถ้าไม่บอก เดี๋ยวพี่จะแก้ภาพนี้ให้ปากเบี้ยวไปเลย.."

"อุ๊ย! ไม่เอานะพี่ชาน ถ้างั้น อ้อย อ้อย เอ่อ..อ้อยรักชานก็ได้ค่ะ.."

"ว๊าก.." ไอ้ชานลุกขึ้น กระโดดโลดเต้น หัวเราะราวตลกเสียเต็มประดา "อ้อยรักชาน ชานรักอ้อย ฮิ ฮิ งั้นพี่ขอชิมอ้อยใจนะ.."





จบคำพูด ไอ้ชานรวบร่างยัยอ้อยเข้ามา ยัยอ้อยเบี่ยงตัวหลบ แต่ไม่ทัน ไอ้ชานจุ๊บแก้มเธอทั้งสองข้าง ก่อนจะปล่อยร่างยัยอ้อยให้เป็นอิสระ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือพวงแก้มยัยอ้อยแดงซ่านไปทั้งใบหน้า!

"พี่ชานจะยังไม่ล่วงเกินอ้อยไปมากกว่านี้ ขอให้สัญญา เพราะว่าเราต่างคนต่างยังศึกษาอยู่ทั้งคู่ แล้วเมื่อไหร่ที่เราจบ มีงานมีการทำทั้งสองคน เราจะแต่งงานกันนะ.." ไอ้ชานพูดเสียงหนักแน่นจริงจัง "และนี่ไง สัญญา สื่อสัญญาที่ทำให้เราได้รู้จักกัน"

ยัยอ้อยงง เมื่อไอ้ชานดึงปากกาจากกระเป๋ายื่นให้เธอ มันคือร้อตตริ้งด้ามที่ปากหักนั่นเอง เธอจำได้แล้ว นี่เขายังเก็บมันไว้อีกหรือนี่..?

"อ้อยยังจำได้ไหม เพราะเจ้านี่ไง ที่ทำให้เราได้รู้จักกัน วันนั้นถ้าพี่ชานไม่ได้ซื้อร้อตตริ้งเล่มนี้ พี่ก็คงไม่ได้รู้จักกับอ้อยหรอก และคงไม่มีวันหวานๆเช่นนี้แน่นอน และเพื่อแนบสัญญา.."

กล่าวจบ ไอ้ชานยื่นนิ้วก้อยให้ยัยอ้อย ยัยอ้อยยิ้ม ยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวกระหวัดกับนิ้วไอ้ชาน แล้วมือทั้งสองของเธอก็ถูกอุ้งมือแข็งแรงของไอ้ชานรวบมากุมไว้อย่างแนบแน่น ตาประสานตา ใจประสานใจ มือประสานมือ ต่างฝ่ายต่างถ่ายทอดความรู้สีกลึกๆจากหัวใจสู่กันและกัน เหมือนเป็นสัญญาว่า เขาและเธอทั้งสอง จะรักกัน ถนอมความรักที่มีต่อกัน..อีกต่อไป ตราบนาน..เท่านาน

จบจ้า อย่างแฮปปี้เอ็นดิ้งเลยนะเนี่ย

แหม..ชีวิตผม ไม่เคยนึกเลยว่าว่าจะเขียนเรื่องรักหวานๆแบบนี้กับเขาได้ ผลงานหวานหยดย้อยแบบนี้มีอยู่ประมาณ 10 กว่าเรื่องครับ

เป็นอย่างไรบ้างครับกับสำนวนการเขียนเมื่อ 23 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งยังคงถ้อยสำนวนเดิมๆแก้ไขไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ ยังคงไว้เพื่อรักษาความเก๋าส์ของผู้เขียน ยังทันสมัยอยู่บ้างปล่าวเนี่ย ช่วยกันวิจารณ์หน่อยนะ เอาแรงๆเลย ผมชอบแรงๆ 555

และก็ตามเคย มีโหวตบทประพันธ์ยอดแย่บ้างหรือเปล่าเนี่ย ถ้ามี อย่าลืมนะ เจ้าของบทประพันธ์ยอดแย่ปีนี้ ต้องเป็นเราอย่างแน่นอน 555




ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสารวัยหวาน ฉบับที่ 138 พฤศจิกายน 2532



เอารูป "นัยชาน" กับ "ยัยอ้อย" ในวัยกว่าครึ่งร้อย........มาหวีทหวานนิโหน่ยเนื่องในวันแห่งความรัก อิ อิ อิ



ภาพนี้คุณเค็งขอมา (จัดให้) ถ่ายที่ "หาดใหญ่ไอซ์โดม 2011" ครับ

ขอเปลี่ยนแบ็คกราวด์หน่อยนะครับ เพราะอันเก่า คนทำเองก็รู้สึกปวดลูกกะตาครับ อ่านคอมเม้นท์ไม่ค่อยเห็น แก่แล้วก็งี้แหละเนอะ!!!
Create Date :14 กุมภาพันธ์ 2554 Last Update :21 กรกฎาคม 2554 21:48:56 น. Counter : Pageviews. Comments :108