bloggang.com mainmenu search
บทที่ ๑



ร่าง บทพูด ของผม ..


พนมกร พรสวรรค์ สรรเพชร เผด็จศึก

เป็นชื่อของพี่น้องของผมพ่อผมตั้งให้ตามจังหวัดที่ลูกเกิด ผมเป็นลูกชายคนแรกชื่อ พนมกร เกิดที่ จ.นครพนม น้องสาวคนที่สองชื่อพรสวรรค์ เกิดที่จังหวัด นครสวรรค์น้องชายคนที่สามชื่อ สรรเพชร เกิดที่จังหวัดกำแพงเพชรส่วนน้องชายคนเล็ก เกิดที่จังหวัดกำแพงเพชรเหมือนกัน ไม่ได้ตั้งชื่อตามจังหวัด แต่พ่อก็บอกว่ามีลูกพอแล้ว ตอนแรกจะตั้งว่า เผด็จศึก เพื่อความคล้องจอง แต่พ่อผมเห็นว่าค่อนข้างรุนแรงไปหน่อย จึงตัดเหลือชื่อว่า เผด็จ

ที่ต้องย้ายไปหลายจังหวัดก็เพราะพ่อผมมีอาชีพรับจ้างย้ายไปทำงานตามจังหวัดต่าง ๆ จนท้ายสุด ก็มาลงหลักปักฐานที่ บ้านปากดงต.ไตรตรึงษ์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร เพราะ พี่สาวของพ่อ แต่งงานแล้ว ชวนมาอยู่ด้วย

พ่อผมชื่อ เชื่อมเป็นคนท่าน้ำอ้อย จังหวัดนครสวรรค์ คนไทยแท้ พ่อผมเรียนจบชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ จากโรงเรียนการช่างนครสวรรค์ ส่วนแม่ผม ชื่อ ม่วย ลูกคนจีนอาก๋งมาจากเมืองจีน เรียนจบ ประถมศึกษาปีที่ ๔ ซึ่งถือว่า ดีมากสำหรับเด็กสมัยก่อนและ ยิ่งเป็นเด็กผู้หญิง ลูกคนจีน ได้เรียนก็เพราะรัฐ บังคับ

พ่อผมทำอาชีพรับจ้างเป็นช่างไม้ทำเฟอร์นิเจอร์ สร้างบ้าน ส่วนแม่ ก็เป็นแม่ค้าขายขนม ขายไก่ย่าง ฐานะทางบ้านตอนที่ผมเกิด หลายคนบอกว่า ชีวิตเริ่มจากศูนย์ แต่ชีวิตผม ต้องเรียกว่า ติดลบ เท่าที่จำความได้บ้านที่อยู่เป็นบ้านเช่า ห้องแถวไม้ ชั้นเดียว มีหนี้สิน แต่ไม่มีทีวีสมัยก่อนเวลาจะดูทีวี ก็ต้องไปดูบ้านคนอื่นหรือที่ร้านค้าในตลาด ผมไม่ได้เรียนอนุบาลไม่ได้เรียนพิเศษ เพราะต้องมาช่วยแม่ขายของ และ ทำงานบ้าน แบ่งหน้าที่กับน้องสาวถึงแม้ว่าจะลำบาก แต่สิ่งที่ผมและน้อง ๆ โชคดีกว่าเด็กส่วนใหญ่ ก็คือ พ่อแม่ เห็นความสำคัญของการศึกษาซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนทั้งการกระทำและคำพูด ตอนอายุ ๖ ขวบ ผมจึงได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัฒนศิริ ซึ่งเป็นโรงเรียนประถม ของเอกชน ที่ ปากดง แน่นอนว่าโรงเรียนเอกชนก็จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าโรงเรียนรัฐบาล ทั้งที่ตอนนั้นบ้านก็เช่าอยู่ มีหนี้สิน ถ้าเป็นพ่อแม่คนอื่นคงให้เรียนโรงเรียนรัฐบาลไปแล้ว พ่อพูดเสมอว่า พ่อแม่ ไม่มีทรัพย์สิน อะไรให้ก็มีแต่วิชาความรู้ แต่พ่อแม่จะให้ลูกเรียนดีที่สุดเท่าที่พ่อแม่จะทำให้ได้ ก็แล้วแต่ว่าลูกคนไหนจะขวนขวายเอาไป

หลังจากเรียนจบชั้นประถมการศึกษาปีที่ ๖ ผมก็สอบเข้าเรียนต่อได้ที่ โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคมซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนมัธยมที่เด็กนักเรียนประถมอยากเข้าเรียนมากที่สุดเพราะเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด มีชื่อเสียง ตอนเรียนผม อาจเก่งบางวิชา เช่นคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ แต่โดยรวม แล้วก็ไม่ได้เรียนเก่งที่สุดหรือ สมองดีที่สุด สิ่งที่ผมคิดว่าแตกต่างจากคนอื่นก็คือ ความมุ่งมั่นซึ่งแรงผลักดันอย่างหนึ่งก็คือ ความยากจน ถ้าไม่เรียนให้ดี สอบเรียนต่อมหาวิทยาลัยของรัฐไม่ได้ก็ต้องออกไปทำงานรับจ้าง เพราะ ไม่มีความรู้ทักษะอาชีพเลยและพ่อแม่ก็ไม่มีกิจการร้านค้าให้ทำ

ผมพยามยามใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุดในการเรียน เช่น จดโน้ตใส่กระดาษเล็ก ๆ เอามาเปิดอ่านตอนเวลานั่งรถโดยสารกลับบ้าน ทำข้อสอบทำแบบฝึกหัดแทนการอ่านไปเรื่อย ๆเป็นต้น ความพยายามของผมก็ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า คือผมสอบติดโค้วต้าคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ โครงการแพทย์ชนบทมหาวิทยาลัยมหิดล

ถ้าถามว่าผมเลือกคณะแพทย์ ด้วยความชอบความรัก ตั้งใจอยากเป็นแพทย์หรือไม่ ก็ต้องตอบตรง ๆว่า ไม่ใช่ ผมอยากเรียนคณะวิศวะกรรมศาสตร์เนื่องจาก ผมชอบวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ชอบคิดคำนวณ ไม่ชอบท่องจำ แต่เมื่อสอบได้ผมก็ไปเรียน โดยเลือกเรียนที่ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วยเหตุผลสองข้อหนึ่ง ผมไม่ชอบกรุงเทพ รถติดคนเยอะ มีแต่ตึกกับคน ผิดกับเชียงใหม่ อากาศดีบรรยากาศดี ที่เที่ยวเยอะ ข้อสอง ก็คือ ผมเป็นคนแรกของจังหวัดกำแพงเพชรที่สอบได้โค้วต้าคณะแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยึดคติว่า หัวหมา ดีกว่า หางสิงโต

เมื่อตัดสินใจแล้วก็ยังมีปัญหาใหญ่ตามมาก็คือ ผู้ที่สอบได้คณะแพทย์ จะต้องทำสัญญาว่าเรียนจบแล้วต้องทำงานใน โรงพยาบาลรัฐบาลเป็นเวลา ๓ ปี โดยการทำสัญญานี้จะต้องมีผู้ค้ำประกันเป็นข้าราชการซีหกขึ้นไป หรือ เงินสี่แสนบาท ตอนนี้เองที่ผมได้รับความกรุณาจากอาจารย์ วัฒนา ขอนทอง เดินทางไปเชียงใหม่ เพื่อทำสัญญาค้ำประกัน ซึ่งถ้าพูดไปอาจารย์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้ เพราะทำไป อาจารย์ก็ไม่ได้อะไรตอบแทนแถมต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย และ ที่หนักที่สุด ก็คือ อาจต้องเสียเงิน สีแสนบาทถ้าผมเรียนจบแล้ว ไม่ยอมออกไปชดใช้ทุนตามสัญญา

ตอนเรียนก็อยู่ระดับกลาง ๆ แต่ชอบทำกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็น การออกค่ายพัฒนาชนบท (พอช.)ชมรมถ่ายภาพ ชมรมไม้ดอกไม้ประดับ ตอนปี๕ ทำงานสโมสรนักศึกษาแพทย์และเป็นประธานจัดงานกีฬาคณะแพทย์ ( กีฬา๘เข็ม) ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากเพื่อน ๆในคณะแพทย์ ช่วยกันจัดงานจนประสบความสำเร็จ

หลังจากเรียนจบแพทย์ทั่วไปผมก็เรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง เป็นหมอกระดูกและข้อ หรือ แพทย์ออร์โธปิดิกส์ ที่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่ออีก ๓ ปีรวมเวลากว่าที่จะจบมาเป็นหมอกระดูกและข้อ ก็ สิบปี พอดี เมื่อเรียนจบผมก็กลับมาทำงาน ที่ โรงพยาบาลกำแพงเพชร นอกจากทำหน้าที่เป็นหมอกระดูกและข้อแล้วผมยังได้รับความกรุณาจากผู้อำนวยการให้เป็น หัวหน้าฝ่ายวิชาการ หรือ เรียกเต็ม ๆว่า ฝ่ายพัฒนาคุณภาพบริการและวิชาการ

เมื่อรับราชการผ่านไป๑๕ ปี ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ผมจึงลาออกจากราชการ มาเปิดคลินิกรักษาโรคกระดูกและข้อมีเวลาว่างผมก็เข้าไปตอบคำถามปัญหาสุขภาพในอินเตอร์เนต ผ่านเวบพันทิบ ห้องสวนลุมเวบไทยคลินิก และ ทางเมล์ โดยใช้ชื่อว่า หมอหมู เพราะ ผมถือว่า เป็นการตอบแทนสังคมทางหนึ่ง

ผมแต่งงานกับคุณธิดา ครูเจริญ ซึ่งเป็นลูกสาวคนเล็กของ คุณประสิทธิ์ ครูเจริญ หรือ เถ้าแก่ซ้งเจ้าของโรงงานน้ำตาลทรายกำแพงเพชร และ ห้างเทพประสิทธิ์ในอดีต ผมมีบุตรชาย ๑ คน ชื่อ นาย กฤตตานนท์ดิษฐสุวรรณ์ ขณะนี้เรียนอยู่ปี ๒คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งผมก็บอกเขาว่า เรื่องเรียนสำคัญที่สุด พ่อแม่ ไม่มีทรัพย์สิน อะไรให้แต่จะให้ลูกเรียนดีที่สุดเท่าที่พ่อแม่จะทำให้ได้




Create Date :30 กันยายน 2555 Last Update :30 กันยายน 2555 14:54:43 น. Counter : 5853 Pageviews. Comments :0