เอกสารประกอบคำบรรยาย/A Lecture Note On
พุทธจรรยาที่เกี่ยวข้องกับความตาย ฉบับมุขบาฐ
(Buddhist Ethical Law Pertainingto Death: An Oral Tradition)
โดย/By
จารุกิตติ์สรรพโรจน์พัฒนา
(JarukirtiSapparojpattana)
๑. ทุจริตกับสุจริต
ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาทุจริตได้แก่ การกระทำอันเป็นบาปอกุศลทั้งการทำการพูดความคิดที่เบียดเบียนตนเองและคนอื่นสัตว์อื่น เช่น การฆ่าที่เกิดจากความจงใจ เป็นต้น ส่วนบุญกุศลนั้นทรงแสดงในเบื้องต้นอย่างกว้าง ๆ ว่า การทำพูดคิดที่ไม่เป็นบาปม่เป็นอกุศล เช่นการทำที่ประกอบเจตนาเว้นจากการฆ่า (ปาณาติปาตา เวรมณี) แต่หากจะว่าโดยละเอียดขึ้นไปกุศลสุจริตก็ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นต้น
๒. ศีลกับปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา
ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด(สมุทยวาร) เริ่มต้นจาก อาสวะและอวิชชาอันเป็นบาป ที่ก่อภพก่อชาติเป็นการก่อเกิดการเวียนว่ายตายเกิดและความทุกขกายทุกข์ใจไม่รู้จบไม่รู้สิ้นส่วนสายดับ (นิโรธวาร) ทรงแสดงถึง กองขันธ์อันเป็นเพลิงทุกข์ดับ เพราะการดับอย่างถาวรของเพลิงกิเลส(อาสวะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน)
เพราะการก่อเกิดของบาปอกุศลหรือกิเลสหมายถึงถึงการก่อเกิดวัฏฏะสงสารอันอเนกอนันต์ จึงเท่ากับว่า เมื่อย่อมรับในทุกข์ไม่หนีทุกข์แต่กำหนดรู้ไม่คาดหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า นี้ ทุกข์ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราแล้วใช้ปัญญาพิจารณาสาวหาต้นเหตุแห่ง ทุกข์ นี้และแสวงหาหนทางในการละเลิกต้นเหตุนี้ได้ ย่อมพบสุขอันเป็นอมตะ (ความไม่ประมาท[ปัญญา] เป็นทางแห่งความไม่ตาย)
สติสังวรและญาณสังวรเช่นนี้เองกล่าวได้ว่า เป็นศีลในปริยายแห่งปฏิจจสมุปบาท - อิทัปปัจจยตา
๓. ศีลกับอริยมรรคมีองค์๘/สิกขา ๓
การอยู่ลำพังตนเองในภายในก็ดีการอยู่ใช้ชีวิตอยู่กับผู้อื่นภายนอกก็ดี จำเป็นว่าต้องเป็นคนประกอบอยู่กฏระเบียบเพื่อรักษาการทำพูดคิดที่เป็นปกติคือไม่เบียดทำร้ายตนเองและคนอื่นสัตว์อื่น ทั้งในที่ลับและที่แจ้งทำเองหรือให้ใครทำแทน คำสอนในพระพุทธศาสนาจัดสิ่งนี้ ไว้เป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานของการจรรโลงใจให้สูงส่งขึ้น
๔. ศีลขันธ์กับปัญญาขันธ์
ในคุณธรรมที่เรียกว่าธรรมขันธ์ ๕ ศีลขันธ์ มาเป็นที่ ๑ ส่วนปัญญาขันธ์ มาเป็นที่ ๓ ซึ่งการเรียงลำดับคุณธรรมชุดนี้ ไว้เช่นนี้ อาจสามารถตีความได้ว่า ศีลเป็นมารดาของธรรม [ชั้นสูง] ทั้งปวง (พุทธพจน์) เช่นหากคนเราเมื่อมีปัญญามากแต่ไม่มีศีลกำกับก็อาจสามารถก่อทุกข์โทษให้แก่ตนและคนส่วนรวมได้มาก
๕. ศีลกับสังวร๗ [อินทรียสังวรศีล]
การสำรวมอินทรียทั้ง ๗ทรงตรัสว่าเป็นหนทางแห่งการดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย วาจาและใจ
๖. ศีลบารมีกับเขกขัมมะบารมี
สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแสดงไว้ในหนังสือเบญจศีล - เบญจธรรมถึง กามสังวรว่าเป็นศีลที่เป็นศัตรูกับการประพฤติผิดในกามหรือการนอกใจภรรยาของตน
๗. ศีลกับความตาย
การพัฒนา [ภาวนา] ตามคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนานอกจากจะเน้นการไม่ใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหาแล้ว ยังสอนให้แก้ไขตนเองหรือการชนะใจตนเองก่อนการชนะการจองเวรด้วยการไม่จองเวร และการฝึกฝนตนเองเพื่อการหลุดพ้นฯ กล่าวได้ว่าการเกิดตายที่มีความหมายหรือความมุ่งหมายในพระศาสนานี้ คือ การตายจากตัณหา มานะทิฏฐิ และเกิดใหม่ในการประกอบคุณงามความดีจนถึงที่สุดอย่างถาวรและพ้นจากเวียนเกิดเวียนตายตามภาษาพูดทั่วไป หรือสมมติบัญญัติ
๘. ความตายกับนิพพาน
ตามที่ได้พาดพิงมาหลายครั้งเกี่ยวกับความตาย ตามการตีความใหม่ในพระพุทธศาสนา คือ การตายจากความชั่ว และการตายจากวัฏฏสงสาร ยังมีความตายอีก ๒ ประเภทที่ต้องกล่าวถึง คือ การตายจากคุณงามความดีกลางครันแล้วไม่เดินต่อจนถึงความสำเร็จ๑ และ การประกอบคุณความความดีจนถึงที่สุด จนบรรลุถึงความสำเร็จไม่มีกิจอะไรที่ต้องทำให้ยิ่งไปกว่านี้แล้ว ๑
๙. ความตายกับทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ในพระบาลีตอนหนึ่งทรงแสดงว่า นามรูปเป็นทุกข์ อวิชชาและภวตัณหาเป็นทุกขสมุทัยวิชชาและวิมุติเป็นทุกขนิโรธ สมถและวิปัสสนาเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
๙.๑. แม้ว่าการเจริญมรณสติ โดยหลักการจะเป็นสมถภาวนาก็จริงอยู่ แต่โดยหลักการอีกนั้น สมถภาวนาหรืออธิจิตสิกขาก็เป็นบาทแห่งวิปัสสนาภาวนาหรืออธิปัญญาสิกขาแล้วก็รวมกันเป็นมรรคสมังคีถ่ายถอนกิเลสาสวะให้หมดไปได้
๙.๒. มีแสดงไว้ในพระบาลีอีกแห่งว่าอานิสงค์ของ สมาธิภาวนา ประการหนึ่ง คือ อาสวะขยะญาณ