ย้ายบล็อกรีวิวหนังไปที่ https://reviewmovie1408.blogspot.com/ ฝากกดติดตามกันด้วยจ้า
 
มิถุนายน 2557
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
16 มิถุนายน 2557

Smokin' Aces (2006) ดวลเดือด ล้างเลือดมาเฟีย


Smokin' Aces (2006)
ดวลเดือด ล้างเลือดมาเฟีย

Joe Carnahan

บัดดี้ เอซ อิสราเอล (Jeremy Piven) นักมายากลระดับซูเปอร์สตาร์ของลาสเวกัส และผู้มีอิทธิพลใหญ่ระดับน้องๆมาเฟีย ตัดสินใจหักหลังผู้มีพระคุณคนสำคัญพรีโม่ สปารัซซ่า (Joseph Ruskin) ด้วยการยอมเป็นพยานให้กับ FBI เมื่อสปารัซซ่ารู้ข่าวการทรยศจากเอซส์จึงได้ตั้งค่าหัวหนึ่งล้านดอลล่าร์สหรัฐโดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นคนเก็บ และข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไปทั่วในกลุ่มรับจ้างนักฆ่ามืออาชีพที่ต่างเข้ามาไม่สนใจว่าจะเจอใครฝ่ายไหนบ้าง เพียงขอให้ทำงานสามารถกำจัดเอซส์ให้เร็วที่สุดก็พอแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของรองผู้อำนวยการ FBI สแตนลี่ย์ ล็อค (Andy Garcia) ที่ต้องส่งลูกน้องแถวหน้าหน่วยอย่างริชาร์ด เมสส์เนอร์ (Ryan Reynolds) และโดนัลด์ คาร์รูเธอร์ (Ray Liotta) ไปยังที่เพนท์เฮ้าส์สุดหรูของโนแมด คาสิโนซึ่งเป็นที่หลบซ่อนของเอซส์ที่ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป  งานนี้ใครมาถึงก่อนล่ะระหว่าง FBI ที่ระดมคนป้องกันแย่างเต็มกำลังกับนักฆ่ามืออาชีพที่ตั้งเป้าลุยกันจากทั่วสารทิศเพื่อเงิน



เห็นชื่อนักแสดงดาราแต่ละคนนี่ใช่ย่อยกันเลยทีเดียว แถมขนกันมาเพียบขนาดนี้แล้วจะแจกบทไหมล่ะเนี้ย เชื่อเหอะว่าเรื่องนี้ทำได้จนตัวละครสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองออกมาได้จนจบบทบาท ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับผู้ชมแล้วว่าท่านชอบนักฆ่าคนไหนหรือตัวละครไหนมากกว่ากัน โดยส่วนตัวแล้วระหว่างกลุ่ม FBI กับพวกนักฆ่าที่เข้ามาในเรื่องต่างมีเป้าหมายที่เหมือนกันทั้งสิ้น และกลายเป็นเสน่ห์ของเรื่องที่ตัวละครล้วนหยิบกลเม็ดของตัวเองออกมาใช้ในการเอาตัวรอด และการเอาชีวิตยังไงให้รอด ซึ่งสังเกตได้ว่าทุกตัวละครมีเอกลักษณ์ของตัวเองสูง ไม่ซ้ำซากจำเจหรือเลียนแบบแต่อย่างใด ทั้งนี้ต้องรวมถึงฝีมือของนักแสดงแต่ละรายที่ต้องสวมบทบาทให้เข้ากับคาแรกเตอร์อีกด้วย ส่วนใครเป็นไงนั้นถ้าลองหาชมอาจจะเข้าถึงกึ๋นตัวนั้นอย่างสะใจก็เป็นได้ ทีแรกตัวหนังมากตัวละครแบบแถมยังเป็นเรื่องของอาชญากรรมจึงพาตลบคิดไปว่าคงมาแนวทริลเลอร์ปวดหัวซะมากกว่า แต่คิดผิดถนัดที่ผลออกมาเป็นแนวแอ็คชั่นเกริ่นวางแผนช่วงต้นเรื่องแล้วมาระห่ำกันในช่วงหลังแบบนัดเดียวจบบวกหักมุมเพิ่มดีกรีเข้มข้นของเนื้อเรื่องเข้าไปอีก ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจที่หยิบตัวละครมากมายขนาดนี้มารวมกันได้หมด แค่นั้นยังไม่พอถ้ารู้ว่านักฆ่ากับ FBI ทั้งหลายนั้นมีจุดมุ่งหมายเพียงเป้าหมายเดียวกันทั้งหมด ซึ่งเป้าหมายที่ว่าคือเอซส์ที่มีค่าหัว 1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ฉะนั้นประเด็นของหนังคือการรวมตัวละครทั้งหมดที่มีเป้าหมายล่าเงินรางวัลมารวมกันทั้งหมด ซึ่งถ้าจะไม่มียิงมันคงแปลกมากๆ และแปลกอีกถ้าการตามล่าครั้งนี้จะไม่มีความมันส์สะใจ



ผู้กำกับ Joe Carnahan เปิดเรื่องราวด้วยการปูพื้นฐานตัวละครทั้งหมดรวมถึงเหตุผลต่างๆในภารกิจครั้งนี้อย่างชัดเจน ในช่วงแรกจะเต็มไปด้วยลีลาบทสนทนาที่สลับฉากไปคนโน้นทีคนนั้นพลาง ซึ่งเป็นการบอกถึงความเข้มข้นที่มีการเดิมพันกันแต่ละฝ่ายทีกำลังวางแผนเตรียมการมาอย่างดี รวมถึงความเสี่ยงในการเข้าถึงเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวที่อาจจะเจอนักฆ่าคนอื่นๆอีกเพียบ ช่วงแรกของหนังเปิดการอธิบายกลุ่มนักฆ่าอย่างตรงไปตรงมากับวิธีการฆ่าเหยื่อที่เป็นลักษณะโดดเด่นของตัวเอง โดยแต่ละคนล้วนสมกับได้ชื่อนักฆ่าอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้ยังเผยข้อมูลปูมหลังของพวกนักฆ่ามือสังหารให้ดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

อย่างเช่น พาสควอล อาคอสต้า (Nestor Carbonell) ที่เชี่ยวชาญด้านการทรมานเป็นชีวิตจิตใจกับเอกลักษณ์ที่ไม่มีลายนิ้วมือ เพราะนั่งแทะกัดนิ้วตัวเองเพื่อที่จะไม่สามารถพิมพ์รอยนิ้วมือได้ หรือจะ 3 พี่น้องนีโอนาซีที่มีฉายาพี่น้องเทรเมอร์กับลีลาการฆ่าแบบไม่สนใจว่าต้องเป็นใคร เพราะพยายามเก็บคนรอบข้างให้หมดที่ต่างมีอารมณ์ที่บ้ากับกวนประสาทแตกต่างจากนักฆ่ารายอื่นๆที่เก๋ากว่าชาวบ้าน ได้แก่ ดาร์วิน (Chris Pine) ,จีฟส์ (Kevin Durand) และเลสเทอร์ (Kevin Durand) และลาซูโล ซูท (Tommy Flanagan) เจ้าแห่งการปลอมแปลงที่ลงมือฆ่าแบบไม่ให้รู้ตัวกับฝีมือที่ไม่เคยพลาด ยังไม่หมดเท่านี้กับพวกนักฆ่า เพราะมีอีกสองกลุ่มที่มาใหม่อย่างกลุ่มนักฆ่าสาวสีผิวจอร์เจีย ไซก์ส (Alicia Keys) กับคู่หูนักแม่นปืนชาริซ วัตเตอร์ส (Davenia McFadden) และกลุ่มสุดท้ายที่ดูเหมือนจะมีข้อมูลไม่น้อยไปกว่าพวก FBI ที่มีแจ็ค ดูพรี (Ben Affleck) นักล่าเงินประกันประจำเมืองเวกัสที่ได้รับมัดจำว่าจ้าง 5 หมื่นดอลล่าร์สหรัฐจากทนายความรูเพิร์ต ริพ รีด (Jason Bateman) เพื่อตามหาเอซส์ที่หนีการประกันตัว  โดยดูพรีได้เพิ่มสมาชิกอีก 2 คนจากอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้แก่ พิสตอล พีท ดีกส์ (Peter Berg) และฮอลลิส เอลมอร์ (Martin Henderson) โอเคตัวละครเยอะแยะจริงเชียว มีใครจำใครไม่ได้บ้างยกมือขึ้นสิ คิดว่าคงไม่มีหรอกนะ ไม่งั้นดูไปเดี๋ยวไม่รู้เรื่องกันพอดี ขอแค่ให้จำฝ่ายได้ก็พอแล้วว่าใครคือ FBI ใครคือกลุ่มนักฆ่าเท่านั้นพอ แต่ยังไงผู้ชมต้องดูออกอยู่แล้วเพราะการดำเนินเรื่องจะบ่งชี้ชัดว่าใครคือใครแม้จะมีการปลอมตัวปะปนไปก็ตามที



ด้วยลีลาการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างสดกับภาพแล้วยังมีองค์ประกอบที่รวมหลายอย่างเข้าไว้ด้วยกันทางจิตใจจนไม่ใช่หนังแอ็คชั่นยิงเอามันส์อย่างเดียว เนื่องจากตัวละครที่ให้มาต่างมีจุดเล็กในใจที่อ่อนไหวได้เหมือนกันที่เกิดขึ้นเพื่อความหนักแน่นของเรื่องราวที่อาจสุขและทุกข์ได้ทุกโอกาส และถ้าเป็นเช่นนั้นทิศทางของตัวหนังจะเปลี่ยนไปแค่ไหน คำถามนี้ตอบได้ไม่ยากที่ว่าสะเทือนใจไปกับการสูญเสียพวกพ้อง แม้จะเรียกตัวละครที่สนิทกันให้มีความโดดเด่นเพื่อผูกสัมพันธ์กับผู้ชม แต่ความละเอียดอ่อนเช่นนี้ยังขาดการซึมซับที่สำคัญ สองมือสังหารสาวที่เห็นได้ชัดเลยว่าฝ่ายหนึ่งนั้นมีใจให้กับอีกฝ่ายในแบบที่ไม่ใช่เพื่อนรักเพื่อน ความสัมพันธ์ของสองเจ้าหน้าที่ FBI ต่างรุ่นที่ทำงานร่วมกันอย่างฉันท์พี่น้อง ที่ฝ่ายเมสส์เนอร์ยกย่องให้คาร์รูเธอร์เปรียบดังอาจารย์ หรือไม่ก็ผู้มีพระคุณที่น่านับถือ ซึ่งตัวละครทั้งสองนี้คือองค์ประกอบสำคัญในการจุดชนวนส่วนเสริมดราม่าให้กับหนัง

หากจะมีช่องโหว่ใดๆสำหรับ Smokin' Ace คงจะไม่พ้นในส่วนของอารมณ์ดราม่าที่วางจังหวะในการใส่ และสร้างออกมาได้ไม่ดีพอ ไม่สิต้องบอกว่าไม่ลึกซึ้งพอมากกว่า ด้วยประการนี้ผู้ชมจึงไม่รับรู้สึกอะไรกับความสัมพันธ์ของสองนักฆ่าสาวหรือความสัมพันธ์ของสองเอฟบีไอต่างรุ่นที่หนังพยายามชูให้เป็นด้านอารมณ์ออกมาจนอินไปกับมันได้อย่างที่สุด แต่เมื่อการทำตื้นในครั้งนี้จึงได้ผลลัพธ์ในตอนจบที่ไม่แรงพอจะดึงดูดอารมณ์ที่อาจจะเรียกว่าสะใจได้หนักแน่น บางทีตัวหนังอาจยาวประมาณร้อยนาทีเศษไม่ถึง 2 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นไปได้อยากทำให้ยาวกว่านี้เป็น 2 ชั่วโมงไปเลยหรือจะยาวกว่านั้นให้กลายเป็นแอ็คชั่นดราม่าก็ยังดี เพราะอย่างน้อยการเห็นเอซส์แสดงในส่วนของชีวิตที่กำลังตกต่ำดูจะมีความหมายมากยิ่งขึ้น ซ้ำจะช่วยเก็บอารมณ์ได้ลึกกว่า ก็อย่างน้อยฉากจบจะได้ความหมายที่ตรงใจกันแบบสุดๆตามที่หนังดำเนินเรื่องแบบปล่อยแรงไปเลย



Smokin' Ace ใช้วิธีหว่านพืชทั้งหมดในไร่แล้วคอยการเติบโตที่ดูแลเหมือนกัน ดังนั้นต้นไม้ที่ปลูกจะโตมาพร้อมกัน เช่นเดียวกับการเปิดตัวละครมาเป็นชุดใหญ่รวดเดียวจบ พร้อมกับวิธีการที่แตกต่างกันออกไปตามสไตล์ของตัวเองกับอารมณ์ขันเสียดสีเชิงตลกร้ายที่เอาเทคนิคด้านภาพให้ดูหวือหวา อาจเป็นข้อเสียที่บางครั้งหนังมาเร็วชวนสับสน วุ่นวายกับการตัดต่อตัวละครไปทางนู้นบ้างทางนี้บ้าง ทว่ากับคนที่ชอบแนวถนัดทางนี้ไม่ใช่ปัญหาอะไรอยู่แล้ว ซ้ำจะเพิ่มอรรถรสชวนติดตามเข้าไปอีก

หลังจากแนะนำตัวละครจนหมดด้วยการเสนอที่ละตัวอย่างมีขั้นตอนก็มาถึงคราวที่ทุกตัวละครจะออกโรงพร้อมกันด้วยการจับมาเป็นเส้นตรงให้หมดมุ่งไปที่ๆทุกคนกำลังคิดอยู่ ตรงไปสู่เพนท์เฮ้าส์หรู ที่โนแมด คาสิโนซึ่งเป็นเป้าหมายของตัวละครทุกตัวทันที และพอถึงเวลาที่แสดงหน้าโรงความสนุกจะเริ่มมันส์อย่างดุเดือดนับแต่ตอนนั้นเป็นต้นไป ตัวละครแต่ละตัวล้วนพยายามแสดงกลเม็ดเด็ดพรายทุกอย่าง ทั้งเหล่เลี่ยม ทั้งอาวุธ ความสามารความถนัดที่ตัวเองมี รวมถึงความบ้าที่มากับวิธีแปลกแหวกแนวกับทักษะความเป็นอาชีพพร้อมรบ เพื่อทำให้ตัวเองเข้าถึงเอซส์ให้เร็วที่สุด เพราะทุกคนมาที่นี้เพื่อเป้าหมายเดียวกันทั้งหมด โอกาสที่จะโดนแย่งผลงานจึงมีสูง แต่พวกเขาไม่คิดว่าตัวเองจะพลาดจากงานชิ้นนี้ เพราะฝีมือตัวเองหรอกนะ



กดเม็ดอย่างหนึ่งที่ทำให้การดำเนินเนื้อเรื่องดูเข้าท่าคือการรอบางอย่างที่เข้ามา ซึ่งแน่นอนว่าการรอคอยจำต้องมีการวางหมากตัวละครอย่างรัดกุม มีตัวละครตรงไหนที่ใช้ได้จะขยับมาปะทะกันอย่างเต็มที่จนแทบไม่มีส่วนเหลือให้ว่าง เช่นวิธีคล้ายๆกับผู้กำกับ Quentin Tarantino ที่แรกๆอาจเบื่อๆ แต่เมื่อเข้าที่เข้าทางจังหวะจะลงตัวครบองค์ประกอบจนคิดทบทวนใหม่ว่าช่วงแรกๆจะเบื่อทำไม ผิวเผินดูเรื่องราวจะซีเรียสไม่น้อยที่เผยจุดตกต่ำของเอซส์ที่นับเวลาเรื่อยๆยิ่งหมดอนาคต ถึงกระนั้นยังมีมุขตลกร้ายเข้ามาเป็นระยะ

ด้วยอารมณ์ที่ผสมอารมณ์ขัน หนังก็ไม่เสียจังหวะให้กับตัวเอง ด้วยความตลกขายฮาอย่างถูกเรื่องถูกราวกับความบังเอิญที่เอาเวลาสมควรไม่สมควรมาหยอกล้อ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนูคาราเต้ที่ดูวุ่นวาย หรือจะแก๊งค์โอนาซีที่เปิดด้วยการอธิบายความบ้าของพวกนี้อย่างเนียบเนียน และเข้ากับรูปของหนังอย่างดีพร้อมกับการเสียดสีที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาไว้อีกด้วย แม้จะมีมุขขายตลกดีตลกร้ายอยู่ก็เมื่อไปเทียบข้าง Pulp Fiction (1994) แล้ว ยังนับว่ามีส่วนเกินอยู่บ้าง และด้วยประการนี้เองที่มุมมองดูแข็งทื้อไปสักนิด และถ้าไม่จับใจความรูปรวมของหนังอาจไม่เข้าใจในมุขความเป็นมาด้วยซ้ำ นับว่าเป็นข้อดีที่ทำให้เราต้องสังเกตในสิ่งที่เสนอว่าเพราะอะไรมุขนี้จึงใช้ได้กับเรื่อง และเพราะอะไรความแข้งทื่อจึงดูเสียดสีนัก



ส่วนที่น่าสนใจก็คือการไล่อารมณ์ในฉากแอ็คชั่นที่สามารถต้อนผู้ชมไปสู่จุดเต็มที่ได้พอดิบพอดี ด้วยการค่อยๆเติมความน่าตื่นเต้น ความสะใจ ในฉากเหล่านี้เข้าไปทีละน้อย แล้วสุดท้ายเราก็หลงใหลในฉากแอ็คชั่นต่างๆที่ร้อยเรียงอย่างเหมาะเจาะ ที่ว่าการไล่เรียงทีละน้อยคือการเอาความลุ้นเข้ามาว่าใครกันแน่ที่จะได้เข้าถึงตัวเอซส์ก่อนกัน ซึ่งนั้นเป็นไฮไลท์ตัวหลักของเรื่องนี้ที่เอาลุ้นตื่นเต้นกับการเดิมพันของพวกนักฆ่าที่เข้ามามากมาย ไม่ใช่แค่นักฆ่ารับจ้างที่เอาลุ้นอย่างเดียวเพราะตัวเอกของเรื่องคือกลุ่ม FBI ที่ต้องมาลุ้นเหนื่อยกันต่อ ว่าจะเดินทางมาช่วยพยานปากสำคัญคนนี้ทันหรือไม่ โดยมีจุดนัดพบโดยบังเอิญของตัวละครแต่ละกลุ่ม แต่ละราย ที่จะเป็นเซอร์ไพรส์ความตื่นเต้นตลอดจนแอ็คชั่นจริงๆจังๆที่ดุเดือด ไม่ว่าจะเป็นฉากดวลกันในลิฟต์ หรือหน้าลิฟต์ที่ต่างเอาความหนักแน่นที่เข้มข้นด้วยมุมมองที่แทบไม่อยากคลาดสายตา

ในช่วงเวลาที่กำลังลุ้นอยู่กับการวิ่งแข่งด้วยเวลาของบรรดานักฆ่าที่เป็นแอ็คชั่นเมามันส์อยู่นั้น ยังถูกเติมแต่งว่าการหักมุมของเรื่องราวที่ช่วยยกระดับให้ดูดีขึ้นมาระดับหนึ่ง และเป็นจุดสะเทือนผลิกผันที่ถ้าย้อนกลับไปก็จะเห็นชัดเจนถึงปมที่หนังได้ปูเอาไว้กับต้นเรื่องที่กำลังรอคอย และพอทุกอย่างเข้าที่ เมื่อนั้นการหลอกจะเริ่มขึ้นชวนให้ผู้ชมสับสนกับพฤติกรรมแผนการที่วางเอาไว้ เช่นเดียวกับตัวละครบางตัวที่ตกอยู่ในสภาพสูญเสียจนไม่ยอมก้มหน้าต่อความจริง และต้องรู้เรื่องที่มาให้ได้ พอความจริงปรากฏขึ้นมาการอธิบายจะชัดเจนถึงการหักมุม ซึ่งผู้ชมคงไม่ลืมหรอกนะว่าช่วงแรกหนังปูเหตุผลอะไรไว้ แล้วความจริงจะออกมาให้กระช่าง



ก่อนถ่ายทำฉากแอ็คชั่นในโรงแรมฮอไรซัน คาสิโน รีสอร์ต และซีซาร์ส ทาโฮ ซึ่งเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นโนแม็ค ระหว่างการถ่ายทำนั้นทางโรงแรมได้ส่งข้อความถึงแขกในโรงแรมที่บอกถึงหน้าต่างที่ถูกกำหนดไว้แล้วบนชั้นที่ 7 ของโรงแรมซีซาร์ส และชั้น 10 ของโรงแรมฮอไรซันจะถูกทำให้แตกตามคิวของฉากการยิงปืน ทางโรงแรมขอแจ้งให้ทราบว่าเสียงปืนอาจดังมาก หึๆแล้วแบบนี้แขกจะทนอยู่ได้ไหมล่ะนั้น คงจะวุ่นวายน่าดู

โดยส่วนตัวเลือกชอบ Smokin' Ace ด้วยเหตุผลของโทนเรื่องราวที่กระจัดกระจายแต่มัดเป็นเนื้อเดียวกันได้ในครึ่งหลังด้วยเหตุผลข้อเดียวกัน รวมถึงความสนุกจากแอ็คชั่นที่ดีกรีความระห่ำใช่ได้เลยที่เอาอยู่กับการพลิกสถานการณ์แบบเข้าถึงจังหวะ ดูเหมือนเรื่องแอ็คชั่นไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะทำได้เอาอยู่ และเข้าถึงที่สุด แต่น่าเสียดายอย่างเดียวคือความดราม่าที่ตีแพร่ไม่ซาบซึ้งพอจะดึงผู้ชมให้อยู่หมัดได้ครบชุด จัดว่าเป็นแอ็คชั่นที่วางแผนกันอย่างฉลาด และเรียบเรียงให้เข้าใจได้ไม่ยาก แถมลูกบ้าจากนักแสดงที่เล่นได้น่าเชื่อถือ


IMDB 6.7/10
//www.imdb.com/title/tt0475394/
แต่ผมให้ B+

ตัวอย่างหนัง

เขียนโดย : ณัฐพล จุ้ยใจเย็น




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2557
0 comments
Last Update : 18 มิถุนายน 2557 17:30:11 น.
Counter : 7332 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แผ่นพิมพ์เขียว
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




งานอดิเรกเขียนรีวิว-หนัง อ่านแล้วไม่พอใจหรือไม่ชอบ ขออภัย ณ ที่นี่ เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลครับโปรดเข้าใจ (ที่สำคัญระวังอาจมีสปอยด์)

บทความทั้งหมดในบล็อกนี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539
New Comments
[Add แผ่นพิมพ์เขียว's blog to your web]