Group Blog
กรกฏาคม 2555

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
[Book Review] The Land of Stories (No Spoiler)

     

 

 

ชื่อหนังสือ The Land of Stories: The Wishing Spell 

ผู้แต่ง Chris Colfer    

สำนักพิมพ์ Little, Brown Books for Young Readers    

จำนวนหน้า 448  หน้า   

คำแนะนำ : เหมาะสำหรับนักอ่านอายุ 8 ปีขึ้นไป

 

เรื่องย่อ ฝาแฝดอเล็กซ์และคอนเนอร์ หลุดเข้าไปในหนังสือเทพนิยายที่ได้รับเป็นของขวัญวันเกิดจากคุณย่า ตื่นตาตื่นใจไปกับโลกมหัศจรรย์ มีโอกาสได้พบกระทั่งตัวละครจากเทพนิยายชื่อดังที่ใครๆก็รู้จัก อย่างสโนไวท์ และซินเดอร์เรลล่า แต่ขณะเดียวกันก็ต้องหาวิธีกลับไปยังโลกปกติของตัวเองให้ได้

 

 

เคยอ่านเทพนิยายแล้วรู้สึกสงสัยหรือขัดใจมั๊ย ว่าทำไมมันต้องจบแบบนี้ ทำไมเงือกน้อยต้องกลายเป็นฟองคลื่นไป นี่มันนิทานด็กนะ ทำไมถึงได้เศร้าขนาดนี้ หรือไม่ก็สงสัยว่ายัยราชินีใจร้าย แม่เลี้ยงของสโนไวท์ ทำไมถึงเอาแต่ถามกระจกวิเศษอยู่ได้ว่า “กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเป็นเลิศในปฐพี”  หรืออย่างตอนอ่านนิทานเรื่องหนูน้อยผมทองกับหมี 3 ตัว ก็ขัดใจว่า แล้วมันจบดื้อๆแบบนี้เลยเหรอฟะ หลังจากที่หนูน้อยผมทองโดนจับได้ว่าเข้าไปกินข้าวตุ๋นของหมี 3 ตัวและทำบ้านหมีพัง หนูน้อยก็วิ่งหนีออกไปแล้วไม่มีใครเห็นหนูน้อยอีกเลย เรื่องมันมีแค่นี้เองน่ะเหรอ

และเคยไหม ที่อยากจะหลุดเข้าไปในหนังสือที่เราอ่านสักครั้ง เข้าไปในโลกของนิยายที่เราชื่นชอบ อยากเห็นซักครั้งว่ารองเท้าแก้วของซินเดอเรลล่ามันจะใส่ได้จริงๆเหรอ มันจะกัดมั๊ย ก้าวเดินแล้วไม่แตกเหรอ ผมของราปุนเซลมันยาวซักขนาดไหนกัน (และเจ็บหนังหัวมั๊ย เวลาให้เจ้าชายเหนี่ยวผมเพื่อปีนขึ้นหอคอยมาหา)  

เราว่านักอ่านทั้งหลาย คงอยากมีประสบการณ์หลุดเข้าไปในหนังสือกันทั้งนั้น (หรือแม้กระทั่งนิยายชื่อดังอย่างแฮรี่ พอตเตอร์ หลายคนก็คงอยากรู้ว่า หากตัวเองได้ไปเรียนที่ฮอกวอตต์ จะได้เข้าไปอยู่ที่บ้านไหนกัน)    

หนังสือ The Land of Stories: The Wishing Spell ที่เราเพิ่งอ่านล่าสุด ก็คงจะเขียนขึ้นมาเพื่อสนองความฝันแบบเดียวกันนี้ของนักเขียนนั่นเอง 

เราได้หนังสือเล่มนี้ จากคิโนะคุนิยะ เมื่อวันอังคาร ซึ่งนับว่าเร็วมาก เพราะหนังสือออกวันเดียวกับที่อเมริกาเลย แต่เพิ่งมีเวลามาอ่านเมื่อคืนวันเสาร์นี่เอง   

ถ้าไม่นับบทนำ หนังสือเริ่มต้นด้วยห้องเรียนของตัวเอกในเรื่องซึ่งก็คืออเล็กซ์และคอนเนอร์ แฝดชายหญิงซึ่งเป็นเด็กชั้นประถม 6 อยู่กับแม่ที่ต้องทำงานหนักเพื่อดูแลพวกเขา เพระพ่อของพวกเขาตายจากไปได้เกือบปีแล้ว อเล็กซ์เป็นแฝดหญิง ที่รอบรู้ เรียนเก่งและเป็นคนโปรดของครู แต่ไม่มีเพื่อนเลย ขณะที่คอนเนอร์เป็นแฝดชายที่เรียนไม่เก่ง เป็นที่รักของเพื่อนๆ แต่ไม่ใช่คนโปรดของครูเหมือนเอล็กซ์ เพราะคอนเนอร์หลับในห้องเรียนประจำ    

สารภาพว่า อ่านตอนแรกๆ เราก็อ่านไปหลับไป เพราะบรรยากาศในเรื่อง ช่วงบทที่ 1-2 มันน่าเบื่อมาก ซึ่งเป็นตอนที่ ครูปีเตอรส์กำลังสอนวิชาวรรณคดี โดยยกตัวอย่างจากเทพนิยายว่ามีคุณค่าและบทบาทอย่างไรในสังคมปัจจุบัน มีแต่อเล็กซ์ที่ตั้งใจเรียนด้วยความกระตือรือร้น ในขณะที่เด็กอื่นๆไม่มีใครสนใจครู และคอนเนอร์ก็แทบจะกรนทีเดียว    

แต่ตอนที่เราอ่านแฮรี่ พอตเตอร์เล่มแรกเราก็เป็นแบบเดียวกัน ช่วงที่แฮรี่ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนพ่อมด เราก็อ่านไปหลับไปเหมือนกัน จนกระทั่งแฮกริดปรากฏตัวนั่นแหละ จากนั้นมาก็วางไม่ลงเลยทีเดียว ตอนนั้นก็ยังนึกทึ่งJK Rowling ว่า  เขาสามารถบรรยายชีวิตที่น่าเบื่อของแฮรี่ตอนที่ยังอย่บ้านเดอร์สลีย์ได้ถึงแก่น จนเราเบื่อตาม และหลับได้เลยเหรอนี่

 คืนวันอาทิตย์ เราหยิบ The Land of the Stories มาอ่านต่อ ถึงตอนที่เด็กแฝดได้หนังสือนิทาน เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบ 12 ปีจากคุณย่า เท่านั้นแหละ เราไม่ได้หลับอีกเลยจนเกือบจะเช้าวันจันทร์ เพราะเราอ่านโต้รุ่งรวดเดียวจบเลย อ่านจบแล้วก็อดใจไม่ไหว ลุกขึ้นมาเขียนรีวิวหนังสือ ทั้งๆที่ไม่เคยรีวิวหนังสืออะไรมาก่อนซักเล่ม แต่เพราะอยากเขียนจัด เลยจะเขียนตามที่รู้สึกแล้วกัน    

ความรู้สึกเมื่ออ่านจบ มันมีหลากหลายมาก อย่างแรกคือทึ่งตัวเอง ที่บ้าอ่านหนังสือหนาสี่ร้อยกว่าหน้าอย่างไม่เจียมสังขารขนาดนี้ได้ยังไง ต่อมา ก็นึกทึ่งผู้เขียนว่าคิดได้ไงวะ  ช่างจินตนาการจริงๆ และฉลาดมากด้วย และความรู้สึกอีกอย่างคือ เรามองเทพนิยายพวกนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว   

แต่ก็ใช่ว่า นิยายเรื่องนี้จะเพอร์เฟคไปทั้งหมด อย่างเช่น พล็อตในเรื่องก็ไม่ได้ถึงกับแปลกใหม่ทั้งหมด และบางครั้งก็รู้สึกว่ามันแก้ปัญหาง่ายไปหน่อยรึเปล่า แต่ก็นั่นแหละ ถ้าบอกว่า เป็นหนังสือแนะนำสำหรับเด็ก 8 ขวบ จะให้มาลึกลับซับซ้อนแบบแฮรี่ พอตเตอร์เล่มกลางๆเป็นต้นไป หรือ นิยายคินดะอิจิ ของอ.โยโคมิโซะ เซชิ ก็คงจะเกินไปหน่อย นอกจากนี้ยังมีหลายมุขที่เดาได้ไม่ยาก แต่ก็มีพล็อตแบบหักมุมที่คาดไม่ถึงหลายจุดเหมือนกัน    

ก่อนที่จะเพ้อเจ้อไปมากกว่านี้ ก็ขอพูดพล็อตเรื่องอย่างคร่าวๆและตัวละครต่างๆ ซักหน่อยแล้วกัน รับรองว่าไม่สปอยล์ (แบบสปอยล์ จะกลับมาเขียนทีหลัง เมื่อเห็นว่ามีคนอื่นๆอ่านกันแล้ว จะได้มาเมาท์กัน 

วิธีการที่ผู้เขียนบรรยายตัวละครต่างๆจากเรื่องนี้ สำหรับเราถือว่าเป็นจุดเด่นของนิยายเรื่องนี้เลยทีเดียว  ตัวละครหลักเป็นฝาแฝดวัยประถม ชื่ออเล็กซ์กับคอนเนอร์ ที่ได้หนังสือนิทานเป็นของขวัญวันเกิดจากคุณย่า จนหลุดเข้าไปในโลกของนิทาน ซึ่งที่จริงหนังสือนิทานเล่มนี้ เด็กแฝดก็คุ้นมาตั้งแต่เล็กเพราะคุณย่าหรือไม่ก็พ่อชอบเปิดอ่านให้ฟังตลอด ทั้งสองคนรู้จักนิทานเรื่องต่างๆมากมายกว่าเพื่อนในห้อง ขนาดที่ว่า แม้แต่คอนเนอร์ที่เรียนหนังสือไม่เก่ง ก็รู้จักตัวละครต่างๆในเทพนิยายเป็นอย่างดี    

ผู้เขียนวางคาแรคเตอร์ไว้ให้ฝาแฝดชัดเจนมาก สองพี่น้องตัวเอกของเรื่องที่นอกจากหน้าเหมือนกันแล้ว แต่อย่างอื่นไม่มีอะไรเหมือนกันเลย อเล็กซ์เป็นเด็กผู้หญิงที่เรียนเก่ง สามารถตอบคำถามครูได้ทุกครั้ง แต่ไม่มีเพื่อนเลย ไม่ว่าอเล็กซ์จะสอบได้คะแนนดีแค่ไหน หรือออกมารายงานหน้าชั้นได้อย่างประทับใจครูยังไง ก็ไม่มีเพื่อนคนไหนสนใจหรือนึกทึ่ง ทุกวันของอเล็กซ์เต็มไปได้ด้วยความเหงา ที่อเล็กซ์ได้แต่ทดแทนด้วยการอ่านหนังสือมากมาย ยิ่งหลังจากที่พ่อตายด้วยอุบัติเหต โลกของอเล็กซ์ยิ่งมีแต่ความเหงามากขึ้น เพราะคนที่จะคอยฟังอเล็กซ์เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ หรือบ่นว่าวันนี้ ที่โรงเรียนแย่แค่ไหนไม่มีอีกแล้ว แม่ที่เป็นพยาบาล ก็ต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อแบกภาระครอบครัวจนแทบไม่มีเวลาให้ลูกสองคน    

คอนเนอร์ เป็นคนสนุกสนาน เป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนๆ ทั้งๆที่เรียนไม่เก่ง ซึ่งไม่ใช่ว่าคอนเนอร์ไม่พยายาม แต่ถึงจะพยายามยังไง คอนเนอร์ก็เสียสมาธิง่ายมาก และจำอะไรไม่ค่อยจะได้ จนคิดว่าตัวเองโง่ (แต่ที่จริงไม่โง่เลย ยิ่งตอนคอนเนอร์พูดถึงมุมมองของตัวเองที่มีต่อนิทานเรื่องต่างๆ อย่างเด็กเลี้ยงแกะ เรายังอึ้งเลย) ซึ่งพ่อก็จะคอยให้กำลังใจและรับฟังคอนเนอร์ตลอด พ่อมักจะสรรหานิทานมาเล่า เพื่อเป็นตัวอย่างให้คอนเนอร์มีกำลังใจ ซึ่งคอนเนอร์ก็เชื่อมั่งไม่เชื่อมั่ง แต่อย่างน้อยก็ดีใจ ที่พ่อคอยรับฟัง แต่หลังจากพ่อตายไปแล้ว จากสายตาคนนอก คอนเนอร์ที่ดูเหมือนว่าจะมีแต่ความสนุกสนานเฮฮา ไม่ต้องคิดอะไรมาก จึงแอบมีมุมเหงาๆ ในชีวิตที่ไม่สามารถเยียวยาได้ง่ายๆ ไม่ต่างจากอเล็กซ์เช่นกัน   

แต่ถึงแม้จะแตกต่างกันด้วยบุคลิก สองพี่น้องก็รับรู้ถึงความเหงาของกันและกัน จึงคอยเป็นกำลังใจและแอบดูแลกันอยู่ตลอด  จนกระทั่งอเล็กซ์หลุดเข้าไปในนิทาน คอนเนอร์ก็กระโจนตามเข้าไปทันที อย่างไม่ทิ้งกัน    

โลกที่สองพี่น้องหลุดเข้ามานี้ พบว่า ถูกแบ่งเป็นดินแดนต่างๆ มีกฎอย่างหลวมๆ เพื่อให้ประชากรใช้ชีวิตร่วมกันได้ อย่างตามที่ปรากฏในภาพประกอบนี้

 

 

เด็กแฝดพบวิธีที่เชื่อว่า จะทำให้กลับไปยังโลกปกติได้ด้วยการเก็บสิ่งของต่างๆ ตามที่ตำนานระบุไว้ให้ครบเพื่อสร้าง The Wishing Spell อันเป็นที่มาของชื่อเรื่อง ซึ่งคนที่สร้าง Wishing Spell ได้สำเร็จจะสามารถขอพรที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ได้ 1 ข้อ เด็กแฝดเลยต้องเดินทางไปทั่วดินแดนต่างๆที่ของเหล่านี้กระจัดกระจายอยู่ (อ่านๆไป บางทีเลยเหมือนเล่นเกมที่ต้องเก็บไอเท็มเลย)    

เมื่อการผจญภัยเริ่มต้นขึ้น อเล็กซ์ใช้จินตนาการ ความรอบรู้และความเป็นเด็กเรียนเก่งของตนรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น แต่อเล็กซ์ก็มีจุดอ่อน และเกือบจะพลาดพลั้งอยู่บ่อยครั้ง เพราะความเป็นเด็กเรียนนั่นเอง ในขณะที่คอนเนอร์ที่อาจรอบรู้ไม่เท่า แต่ก็ใช้สัญชาติญาณและไหวพริบ จนทำให้สองพี่น้องเอาตัวรอดมาได้หลายครั้ง คอนเนอร์ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ขันและปล่อยมุขจนทำให้เราหัวเราะออกมาหลายครั้งด้วย คอนเนอร์เป็นตัวละครที่เราชอบมากที่สุดเลย    

ส่วน ตัวละครอื่นๆที่ปรากฏในเรื่อง โดยเฉพาะหลังจากที่เด็กแฝดหลุดเข้าไปในหนังสือ ล้วนเป็นตัวละครที่พวกเรารู้จักกันดีจากเทพนิยายที่อ่านมาตั้งแต่เด็กไม่ว่าจะเป็นสโนไวท์ ซินเดอร์เรลล่า เจ้าหญิงนิทราและอื่นๆอีกมากมาย    

แต่ตัวละครเหล่านี้ ถูกนำมาบรรยายจากมุมมองของผู้เขียน อย่างที่เรานึกไม่ถึงมาก่อน และนึกทึ่งมากว่าคิดได้ไง และทำให้เราย้อนกลับมาถามตัวเอง ประมาณ ...”เออว่ะ ไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อนเลย” นิทานที่พวกเราอ่าน มักจะบอกว่า... แล้วทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป แต่จะมีใครคิดมั่งไหมว่า แล้วเรื่องหลังจากนั้นล่ะ ทุกอย่างมันลงเอยได้อย่างง่ายๆแบบนั้นจริงเหรอ และที่สำคัญ นิทานส่วนใหญ่ จะบรรยายถึงสภาพตัวเอกที่เป็นหญิงเหล่านี้ในสภาพที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องรอเจ้าชายขี่ม้าขาวผู้กล้าหาญมาช่วย  เช่น สโนไวท์ที่กินยาพิษ นอนในโลงแก้วจนเจ้าชายมาช่วย เจ้าหญิงนิทราหลับไปร้อยปี รอเจ้าชายมาจุมพิตให้ตื่น ราปุนเซลมีเจ้าชายปีนหอคอยขึ้นไปช่วย   

หนังสือเล่มนี้ เลือกที่จะบรรยายมุมมองของตัวละครหญิงเหล่านี้ใหม่ ให้ส่วนใหญ่ มีบุคลิกที่เข้มแข้ง ต้องผ่านต้องเจอกับอะไรมากกว่าที่พวกเราเคยรู้จัก มีอะไรในใจมากกว่าที่พวกเราเคยอ่านกันมาก่อน ทำให้เห็นถึงมุมมองความเป็น Feminist ของผู้เขียนได้ชัดมาก    

และหากใครรู้จักประวัติของผู้เขียนก่อนจะมามาอ่านหนังสือเล่มนี้ ก็จะพบว่า หนังสือเล่มนี้มีการเปรียบเทียบเชิงสัญลักษณ์แฝงอยู่ด้วย อย่างเช่นเรื่องของ Froggy กบหนุ่มที่แต่งตัวเรียบร้อยตลอดเวลา Froggy ที่จริงเป็นมนุษย์ที่ตกอยู่ใต้คำสาปให้กลายเป็นกบ แต่อับอายกับสภาพของตัวเองจนต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวอย่างหลบๆซ่อนๆ ไม่กล้าที่จะ “come out” หรือประเด็น “Cinderellian Society” ที่ว่าด้วยชีวิตของคนที่จากเคยเป็นคนธรรมดา แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตอย่างเป็นที่จับตามองของคนทั้งสังคม และโดนคนในสังคมด่วนสรุปและตัดสินอย่างผิดๆได้ทุกเมื่อ    

อ่านๆไป จึงรู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวและความเหงา ที่มีอยู่ในตัวละครแทบจะทุกตัวตลอดทั้งเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้น ผู้เขียนก็ยังทำให้เรารู้สึกอบอุ่นไปกับความผูกพันของสองพี่น้อง ที่รักกัน คอยช่วยเหลือกันและกัน และน้ำตาคลออยู่หลายครั้ง บางทีเพราะรู้สึกเศร้า สงสารตัวละคร และบางทีก็น้ำตาคลอเพราะความรู้สึกตื้นตันใจ

หนังสือยังพยายามย้ำถึงความสำคัญของการมีชีวิตด้วยความหวังและการมองโลกในแง่ดีด้วย เราชอบมากเลยตอนที่อเล็กซ์พูดถึงซินเดอร์เรลล่าตอนที่อยู่หน้าชั้นเรียนว่า “ใครๆก็อาจจะมองว่าซินเดอร์เรลล่าเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอ ได้แต่รอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่ที่จริงซินเดอร์เรลล่าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง เธอทำให้เราได้เห็นว่า ทั้งๆที่ต้องอยู่ท่ามกลางสภาพที่เลวร้าย แต่เพราะเธอเชื่อในคุณค่าของความดีงาม  เธอจึงตั้งมั่นอยู่ในความดี มองโลกในแง่ดี และรักษากายใจให้เข้มแข็งโดยไม่หวั่นไหวไปกับสภาพแวดล้อมได้”..  

อ่านจบแล้ว ก็ทำให้ย้อนกลับไปตอนสมัยเป็นเด็ก ที่อยากจะหลุดเข้าไปในโลกเทพนิยายแบบนี้บ้าง (เอ่อ..แต่ถ้าได้หลุดเข้าไปจริง เราคงจะตายตั้งแต่ดินแดนแรกแหงๆ..)    

เชื่อว่า การที่คนเราในวัยผู้ใหญ่มาอ่านหนังสือที่เขียนขึ้นสำหรับเด็ก ความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากอ่านจบ คงจะแตกต่างกันไปตามภูมิหลังการศึกษา และรสนิยมความชอบของแต่ละคน แต่ละคนจะรับข้อความที่ผู้เขียนต้องการจะบอกแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะคิดเหมือนกันคือ ไม่ว่าจะชอบหนังสือเล่มนี้หรือไม่ ..ไม่ว่ายังไง ก็ไม่มีใครแก่เกินกว่าจะอ่านเทพนิยายแน่นอน .. เหมือนอย่างที่ผู้เขียน Chris Colfer ยกคำของ CS. Lewis มาใส่ไว้ในหนังสือนั่นแหละ  

 

 

 

 

 ..

 

 ปล. หากใครได้อ่าน จะพบคำตอบของคำถาม ที่เราเกริ่นได้ตอนต้น ด้วยว่า ทำไมราชินีแม่เลี้ยงของสโนไวท์ ถึงเอาแต่ถามกระจกอยู่ได้ว่า "กระจกวิเศษ บอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี" รับรองว่าคุณจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่เลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 



Create Date : 23 กรกฎาคม 2555
Last Update : 3 กันยายน 2555 14:57:27 น.
Counter : 6448 Pageviews.

11 comments
  
อ่านรีวิว ของคุณข้ามบ้าง เว้นบ้าง
แต่พออ่าน (แบบข้ามๆ ) มาจนจบ ก็ชักสนใจเล่มนี้แล้วสิคะ
โดย: จิตหลอน วันที่: 23 กรกฎาคม 2555 เวลา:19:47:25 น.
  
ถ้าไปอ่านจบแล้ว และรีวิว มาบอกกันมั่งนะคะ จะตามไปอ่านค่ะ
โดย: tcKk วันที่: 24 กรกฎาคม 2555 เวลา:15:00:17 น.
  
เออ เราไม่เห็น blog entry นี้จริง ๆ แฮะ
แต๊กรีวิวซะน่าอ่านเชียว (แปลไทยมาให้เราอ่านเดี๋ยวนี้ ฮ่าๆๆๆ)
เทพนิยายมีมุมแอบเศร้าและโหดร้ายเสมอเนอะ แค่อ่านที่แต๊กรีวิวก็เศร้าแล้ว >_<
goldilock กับหมีสามตัวจบแบบนั้นเหรอเนี่ย จำไม่ได้ว่าเนื้อเรื่องเป็นยังไง

รออ่านแบบเวอร์ชันมี spoiler XD
โดย: lulla วันที่: 2 สิงหาคม 2555 เวลา:14:56:03 น.
  
หนูน้อยผมทอง Goldilock ได้ยินว่ามีหลายเวอชั่น แต่เท่าที่เจอส่วนใหญ่มันจบแค่นี้จริงๆ แถมเราก็ยังงงๆอยู่เลยว่า แล้วนิทานเรื่องนี้มันจะบอกอะไรเราเหรอ อย่าไปยุ่งกับบ้านหมี?

ส่งหนังสือไปให้อ่านเอาไหม หรือจะเอาไฟล์ audiobook (แต่ยาว 9 ชั่วโมงแน่ะ เรายังฟังไปไม่ถึงไหนเลย)
โดย: tcKk วันที่: 2 สิงหาคม 2555 เวลา:15:22:08 น.
  
น่าสนุกดีนะ เดี่ยวต้องไปหามาอ่านบ้างแล้ว อ่านเรื่องย่อแล้วคล้ายๆซี่รี่ย์เรื่อง Once upon a time เลยอ่ะ แต่เรื่องนั้นตัวละครในเทพนิยายออกมาเพ่นพ่านในโลกจริง กลับกันกับเรื่องนี้ ว่าแต่มีแปลเป็นไทยหรือเปล่าคะ พอดีไม่ค่อยถนัดภาษาอังกฤษ ไม่รู้ว่ามีสำนักพิมพ์ไหนแปลหรือยัง จะได้รอซื้อ
โดย: EdaMame IP: 171.101.138.48 วันที่: 14 ตุลาคม 2555 เวลา:14:28:54 น.
  
ยังไม่ได้ยินว่ามีสำนักพิมพ์ไหนจะเอามาแปลนะคะ อยากให้มีแปลเหมือนกัน คนจะได้อ่านกันเยอะๆ

Once upon a time ซับซ้อนกว่าด้วยค่ะ เพราะเป็นซีรีส์อ่ะเนอะ แต่ Land of stories ก็จะมีภาคต่อเหมือนกัน คนเขียนบอกว่าจะมีทั้งหมด 3 เล่มค่ะ
โดย: tcKk วันที่: 15 ตุลาคม 2555 เวลา:8:39:08 น.
  
อ่านรีวิวจบแล้ว เลยอยากอ่านหนังสือเล่มนี้สุดๆ อ่ะ เดี๋ยวจะไปตามอ่านด่วน ตั้งแต่เด็กยันแก่จนทุกวันนี้ยังก็ชอบอ่านเทพนิยายอยู่นะ แต่ไม่เคยคิดตามเลยนะว่า ทำไมตัวละครถึงคิดยังงั้น ทำยังงี้ ก็แค่อ่านไปเรื่อยๆ และมีความสุขกับโลกแฟนตาซี ... ไม่เหมือนเวลาอ่านนิยาย ที่บางเรื่องเคยเกลียด เคยไม่เข้าใจตอนเด็กๆ แต่พอมาอ่านตอนวัยเลข 3 ก็ชอบขึ้นมาซะงั้น หรือเรื่องที่เคยชอบตอนเด็ก ตอนนี้กลับรำคาญ แต๊กเขียนซะอยากรู้เลยว่า ทำไมราชินีในเรื่องสโนไวท์ ถึงได้ถามกระจกแบบนั้น
โดย: greenfield วันที่: 15 ตุลาคม 2555 เวลา:11:29:45 น.
  
อยากลองอ่านเวอร์อิงค์ก่อนจัง สั่งที่เว็บไหนดี ส่วนใครที่รอแปล ในไทยมีสำนักพิมพ์ออกมาแปลแล้ว คือ ส.นกฮูก แต่ยังไม่รู้ว่าจะแปลออกมาเมื่อไหร่ ได้ข่าวว่าตอนนี้กำลังรอชื่อไทยอยู่
โดย: FirePhoenix IP: 171.4.204.114 วันที่: 3 มีนาคม 2556 เวลา:23:17:18 น.
  
ชื่อไทยมาแล้วค่ะ ผจญภัยดินแดนเทพนิยาย ตอน พรที่ปรารถนา
โดย: tcKk วันที่: 6 เมษายน 2556 เวลา:10:19:36 น.
  
คือเราอ่านตั้งแต่เล่มแรกยันเล่มหก เล่มสุดท้ายอะ คือแบบว่า ชอบมากกค่ะ แนะนำเลยๆ
โดย: primitive man IP: 223.207.250.65 วันที่: 5 ตุลาคม 2560 เวลา:22:37:24 น.
  
สั่งได้ที่ asia book นะคะ เป็นแบบภาษาอังกฤษค่ะ สนุกมากแถมได้ฝึกภาษาไปในตัวด้วยค่ะ
โดย: jnlp IP: 223.207.250.65 วันที่: 5 ตุลาคม 2560 เวลา:22:54:52 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tcKk
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



รัก Glee เลยชอบบ่น (ชนิดตัวเองด่าได้ แต่ไม่อยากฟังคนอื่นด่า Glee)
เป็น Klainer และรัก Chris Colfer อย่างลำเอียง

คำเตือน มาบล็อกนี้ ยังไงก็เจอสปอยเลอร์แน่ๆ