*~..ขอบคุณ วันเวลา...ทุกสิ่ง นำทางให้เราได้พบกัน..~* ............ *~ Keep on walking with my heart ~* ............
Group Blog
 
<<
กันยายน 2553
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
9 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
*~ พระอาจารย์สิงห์ทอง ~*


ตอนที่ 1

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร นามสกุล ไชยเสนา ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๘ ปีชวด ณ บ้านศรีฐาน ตำบลกระจาย อำเภอลุมพุก จังหวัดอุบลราชธานี

ปัจจุบัน อำเภอลุมพุกเปลี่ยนเป็นอำเภอคำเขื่อนแก้ว ขึ้นกับจังหวัดยโสธร และปัจจุบันบ้านศรีฐานเป็นตำบล ตำบลศรีฐาน ขึ้นกับอำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร

ท่านมีพี่น้องร่วมมารดา-บิดาเดียวกัน ๕ คน เป็นชาย ๓ เป็นหญิง ๒ บิดาของท่านชื่อ นายบุญจันทร์ มารดาชื่อนางอบมา ไชยเสนา ท่านเป็นบุตรคนที่ ๓ พี่ชายของท่านคนหัวปีได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเล็ก

ส่วนพี่ชายคนรองก็ได้เสียชีวิตไปอีก ในตอนที่มีครอบครัวและมีลูก ๓ คนแล้ว ยังเหลืออยู่แต่น้องสาวของท่าน ๒ คน ชื่อ นางกรอง จันใด และนางแก้ว ป้องกัน

ปฐมวัย-การศึกษา-อุปสมบท

โยมแม่ของท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะปฏิสนธิ โยมแม่ของท่านฝันว่ามีคนเอาห่อของไปให้ แล้วบอกโยมแม่ของท่าน ว่านี้เป็นของฝากของเทวดา ให้เก็บรักษาเอาไว้ เมื่อแก้ออกดูเป็นซ้องกับหวี

ต่อมาโยมแม่ของท่านก็ตั้งท้อง เมื่อยังเป็นเด็ก ท่านได้ช่วยพ่อแม่ผู้มีอาชีพทำนา และช่วยในกิจการทุกอย่างเท่าที่จะช่วยได้ เมื่อท่านอายุครบพอเข้าโรงเรียนแล้ว ก็ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนประชาบาล จนจบชั้น ป. ๔

ครั้นเรียนจบชั้น ป. ๔ แล้ว ท่านก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำนาต่อไป จนอายุครบ ๒๐ ปีจึงได้อุปสมบท เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ ๒๔๘๗ ก่อนเข้าพรรษา ๗ วัน ณ พัทธสีมา วัดป่าสำราญนิเวสน์ ตำบลบ้านบุ่ง อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี

โดยมีพระครูทัศนวิสุทธิ์ (มหาดุสิต เทวิโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์เดียวกันกับพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ วัดภูทอก แต่พระอาจารย์สิงห์ทองบวชหลัง ๑ พรรษา

ครั้นบวชแล้วได้มาจำพรรษา ณ วัดป่าศรีฐานใน ซึ่งเป็นวัดป่าของหมู่บ้านศรีฐาน โดยมีพระอาจารย์บุญสิงห์เป็นพระอาจารย์ผู้ให้การอบรมสั่งสอนด้านสมาธิภาวนา

ท่านพระอาจารย์บุญสิงห์องค์นี้บวชที่วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา เป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ท่านเกิดที่บ้านหัวเมย ทุกวันนี้เข้าใจว่าเป็นอำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร เดิมท่านเป็นครูประชาบาล ต่อมาท่านได้ลาออก

นิสัยของท่านเป็นคนพูดน้อยและไม่เคยดุใครเลย ท่านขยันทำความเพียรมาก ปกติพอฉันจังหันเสร็จท่านมักจะเข้าที่เดินจงกรม ท่านเดินได้ตลอดวัน ไปเลิกเอาเวลาประมาณบ่าย ๔ โมง ซึ่งเป็นเวลาทำกิจวัตรปัดกวาดลานวัด และตัดน้ำใช้ น้ำฉัน เป็นต้น

สมัยที่ท่านยังไม่ได้บวชพระ ยังเป็นตาปะขาวอยู่ ได้ฝึกหัดด้านสมาธิภาวนากับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ที่วัดป่าสาลวัน ท่านเคยอดอาหารติดต่อกันเป็นเวลา ๑๔ วันเพื่อทำความเพียรให้จิตสงบ

ในช่วงเวลาที่อดอาหารนั้น ท่านได้ทำข้อวัตร คือ ท่านตักน้ำใส่ตุ่ม ใส่โอ่ง ใส่ไหให้ครูบาอาจารย์ในวัดทุกวัน โดยท่านตั้งใจไว้ว่า ตราบใดที่ยังรู้สึกว่าการหาบน้ำยังหนักอยู่จะไม่ยอมหยุด จะทำอยู่อย่างนั้น

เมื่อเต็มหมดโอ่ง ตามตุ่ม ตามไหแล้ว ท่านก็รดน้ำต้นไม้ต่อ ทำจนว่าไม่มีความรู้สึกหนัก หาบน้ำข้างละ ๑ ปีบ ท่านว่าเหมือนเดินไปตัวเปล่าแล้วท่านจึงได้หยุด ท่านเป็นคนที่พูดน้อยแต่ทำจริง (อย่างที่ว่าพูดน้อยแต่ต่อยมาก)

ทั้งนี้หมายความว่า การที่ผู้ประสงค์จะบวชเป็นพระกรรมฐาน สมัยก่อนนั้น ครูบาอาจารย์จะทดสอบด้านสมาธิภาวนาให้เป็นที่พอใจ แล้วจึงอนุญาตให้บวชเป็นพระได้ บางราย ๓ ปีก็มี

อยู่ด้วยพระอาจารย์บุญสิงห์

เมื่อพระอาจารย์สิงห์ทองได้มาอยู่ในความดูแลของท่านพระอาจารย์บุญสิงห์ ได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านว่าการทำความเพียรไม่ให้ถือเอาเวลา ให้ถือเอาความสงบเป็นสำคัญ

ให้ทำความเพียรไปจนกระทั่งจิตสงบลงรวมจึงหยุด หมายความว่า ไม่ว่าจะเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิภาวนา จะเป็นเวลากี่ชั่วโมงก็ตาม ถ้าจิตยังไม่สงบแล้วห้ามเลิก คือ ท่านทำของท่านแบบนั้น ถ้าในกรณีจำเป็น เช่น จะต้องไปบิณฑบาต ฉันจังหัน เมื่อเสร็จกิจแล้วให้เข้าที่ภาวนาต่อจนกว่าจิตจะลงรวมได้จึงจะหยุดพักผ่อน

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองเคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า มีคราวหนึ่ง ท่านพาเดินทางไปธุระ เดินไปตลอดวัน เวลาพักก็พักในโบสถ์ด้วยกัน ท่านเตือนว่า อย่าเพิ่งนอนเลย ให้ทำจิตให้สงบก่อน ถ้านอนเลยมันจะนอนมาก ถ้าได้พักจิตให้สงบก่อนแล้ว นอนหลับนิดเดียวก็อิ่ม

ท่านเตือนอย่างนั้น แล้วต่างองค์ต่างก็ลงเดินจงกรม พอเหนื่อยก็เข้ามาพัก แต่ท่านพระอาจารย์บุญสิงห์ท่านยังไม่เข้ามา ท่านยังเดินจงกรมอยู่ นั่งภาวนาไปพอสมควรแล้วก็ล้มนอนลง

เวลาตื่นขึ้นมามองเห็นท่านพระอาจารย์บุญสิงห์ ท่านนั่งสมาธิอยู่ เลยไม่ทราบว่าท่านนอนเมื่อไร ท่านทำให้เห็นเป็นตัวอย่างอย่างนั้นเสมอ ๆ

ท่านพระอาจารย์บุญเพ็ง (วัดถ้ำกลองเพล) ได้เคยเล่าให้ฟังครั้งสมัยที่ท่านยังเป็นสามเณรอยู่ว่า ท่านพระอาจารย์บุญสิงห์ชวนไปภาวนาที่ป่าช้า (ป่าช้าบ้านศรีฐาน) ท่านพาเดินจงกรม

ทีแรกก็คิดในใจว่าจะเดินแข่งกะท่าน ว่าคนแก่จะเดินเก่งขนาดไหน แต่พอเดินไป ๆ เจ้าหนุ่มน้อยเหนื่อย สู้ไม่ไหว ก็เลยขึ้นกะแคร่นอน พอตื่นขึ้นมายังมองเห็นท่านยังเดินอยู่ จนจะถึงเวลาปัดวาดคือ ๔ - ๕ โมงเย็น ท่านจึงพากลับ บทเวลาท่านนั่ง ท่านก็นั่งได้ทั้งวันอีกแหละ เพราะทำไม่ถอย

ทางเดินจงกรมของท่านอาจารย์บุญสิงห์มีอยู่ ๓ เส้น แต่ละเส้นเดินจนเป็นร่องลึก ต้องได้ถมกันอยู่บ่อย ๆ ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองกล่าวว่า ท่านอยู่ได้เพราะมีอาจารย์ผู้นำดี ท่านปฏิบัติดีให้เห็นเป็นตัวอย่าง

ทำให้ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองมีความมานะ พยายามเดินจงกรมและนั่งสมาธิภาวนา ตามแบบฉบับของพระอาจารย์ของท่าน เวลากลางคืนเมื่อไปจับเส้นถวายท่าน ถ้าวันไหนจิตไม่สงบ ท่านจะพูดธรรมะในด้านอสุภกรรมฐานให้ฟัง ถ้าวันไหนภาวนาดี จิตสงบ ท่านพระอาจารย์จะนิ่ง ไม่พูดอะไร

เกิดสุบินนิมิต

การภาวนาของท่านพระอาจารย์สิงห์ทองในพรรษาต้น ๆ นั้นง่าย จิตของท่านสงบลงรวมได้ง่าย แม้กระทั่งทำวัตรไหว้พระสวดมนต์อยู่กับหมู่คณะ กำหนดไปตาม จิตของท่านก็สามารถสงบลงรวมได้เป็นบางครั้ง

แต่ความตั้งใจของท่านนั้น ตั้งใจว่าจะลาสิกขา เกรงว่าถ้าทำความเพียรมาแล้วจะเป็นพระอรหันต์ จะไม่ได้สึก ครั้นเมื่อท่านตัดสินใจที่จะไม่สึกแน่นอนแล้ว การภาวนากลับยาก ไม่ง่ายเหมือนแต่ก่อน

ระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าศรีฐานในนั้น ท่านได้เกิดสุบินนิมิต ปรากฏว่ามีพาหนะ ๓ ชนิด คือ ช้างเผือก ม้าขาว และวัวอุสุภราช ท่านมีความรู้สึกในความฝันว่า ท่านได้ขี่พาหนะทั้ง ๓ ตัวนั้น

ท่านองค์เดียวแต่ขี่พาหนะได้ทั้ง ๓ ตัว ในขณะเดียวกัน และได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงออกมาจากหมู่บ้านดังออกมายังศาลาที่วัด คล้ายกับว่าชาวบ้านจะมาทอดผ้าป่าหรือทำการกุศลชนิดใดชนิดหนึ่ง

แต่พอมาถึง ปรากฏว่าไม่มีคน มีแต่ดอกไม้นานาชนิดลอยมาสูงระดับหน้าอก แล้วเวียนรอบศาลา ก็พอดีท่านรู้สึกตัวตื่นจากความฝัน นี่เป็นเหตุให้ท่านมีความมั่นใจว่า การบวชของท่านนั้นจะบรรลุผลอันพึงพอใจ

ในช่วงที่อยู่วัดป่าศรีฐานในนั้น ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองก็ได้ศึกษาคือเรียนนักธรรมควบคู่กันไปกับการปฏิบัติภาวนา และท่านก็สอบได้นักธรรมชั้นโท

ในช่วงพรรษาแรก

ในช่วงระหว่างที่ท่านอยู่วัดศรีฐานในนั้น มีชาวบ้านศรีฐานไปติดเชื้อฝีดาษมาจากที่อื่น และมาป่วยตายที่บ้านศรีฐาน ชาวบ้านยังไม่รู้จักก็พากันไปงันศพตาประเพณีของทางอีสาน

คนที่ไปงันศพนั้นติดเชื้อฝีดาษกันทุกคน ฟังว่าเชื้อนี้ไปจากเพชรบูรณ์ คนที่ตายคนแรกเป็นทหารสมัยเพชรบูรณ์ โรคนี้จึงระบาดไปทั่วทั้งหมู่บ้าน มีคนตายวันละ ๗ - ๘ คนทุกวัน

จนชาวบ้านส่วนใหญ่อพยพออกจากหมู่บ้านไปอยู่ตามทุ่งตามนา และภายในหมู่บ้านเงียบเหงาวังเวงมาก เมื่อมีคนตาย ชาวบ้านก็มานิมนต์พระไปสวดมาติกาบังสุกุล ทำบุญให้กับผู้ตาย

ระหว่างนี้ วันหนึ่ง ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองท่านฝันว่า ท่านพระอาจารย์เพียรสมัยท่านยังเป็นเด็ก เอาพุลูกเหล็ก (ไม้ซาง) มายิงท่าน ท่านห้ามว่าอย่ายิง ๆ ก็ไม่ฟัง ก็เลยยิงท่านจริง ๆ ท่านว่าเข้าไม่ลึกเท่าไร

และท่านอาจารย์เพียรพูดว่า ยิงแค่นี้จะเปื่อยไปทั้งตัวนะ แล้วท่านอาจารย์ก็หักพุ (ไม้ซาง) แล้วตีท่านอาจารย์เพียรจนเลือดอาบทั้งตัว ท่านพระอาจารย์เพียรนี้ ท่านเป็นญาติกับท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง

คือ โยมแม่ของท่านอาจารย์เพียรเป็นพี่สาวของโยมพ่อพระอาจารย์สิงห์ทอง พอรู้สึกตัวตื่นขึ้น เมื่อได้โอกาสท่านก็เล่าความฝันนั้นถวายพระอาจารย์บุญสิงห์ และท่านพระอาจารย์บุญสิงห์ก็ทำนาย ความฝันได้แม่นยำว่า

ท่านจะต้องเป็นฝีดาษกับเขานะ แต่ไม่ตายดอก เพราะท่านได้ชนะเขา พอท่านทราบดังนั้น ท่านจึงได้หลบโรคร้ายนี้ไปพักอยู่ที่วัดหนองไคร้ ตำบลหนองหิน อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร

วันหนึ่ง ขณะที่ท่านเดินจงกรมอยู่ ปรากฏว่ามีความรู้สึกเหมือนแผ่นดินหมุนติ้ว จนท่านไม่สามารถยืนอยู่ได้ จึงล้มตัวลง แล้วค่อยพยุงตัวไปยังที่พัก แล้วปรากฏว่าปวดหัวอย่างแรง ท่านจึงลุกขึ้นนั่งภาวนา

โดยตั้งใจว่าถ้าความปวดนี้ไม่หาย เมื่อใดจะไม่ยอมเลิก ตั้งใจเสียสละชีวิตต่อสู้ทุกขเวทนา ถึงอย่างไรจะต้องพิจารณาให้รู้จักทุกขเวทนานี้ให้ได้ ท่านได้ต่อสู้ ทุกขเวทนาจนจิตของท่านสงบ

และปรากฏว่าทุกขเวทนาหายเงียบไปหมด พอทุกขเวทนาหายไปหมดแล้ว ท่านจึงออกจากสมาธิแล้วล้มตัวลงนอน และได้กลิ่นตัวของตัวเองคล้าย ๆ กับกลิ่นฝีดาษ จึงทราบว่าท่านได้ติดเชื้อฝีดาษแล้ว ครั้นต่อมาก็มีอาการไข้

เมื่อโยมพ่อของท่านได้ทราบข่าวการป่วยของท่าน โยมพ่อของท่านจึงไปรับท่านกลับมาอยู่ที่วัดป่าศรีฐานใน ท่านพยายามเดินมาจนถึงวัดเพราะสมัยก่อนยังไม่มีรถ ระยะทางก็ประมาณ ๓๐๐ เส้น (๑๒ กิโลเมตร)

ต่อมาตุ่มก็เริ่มออก ตุ่มออกเต็มทั้งตัว จนกระทั่งฝ่ามือฝ่าเท้า ต่อมาพอตุ่มสุกแล้วก็เปื่อย โรคอันนี้เหม็นคาวมาก ท่านพระอาจารย์ถึงต้องนอนใบตองกล้วย เพราะออกแสบออกร้อนสารพัด

ขณะนั้น ท่านพระอาจารย์บุญเพ็ง วัดถ้ำกลองเพล ยังเป็นสามเณรอยู่ เป็นผู้อุปัฏฐานท่านพระอาจารย์ แต่ท่านอาจารย์บุญสิงห์ สั่งพระเณรที่อุปัฏฐากรักษาว่าอย่าเข้าไปทิศใต้ลม ให้เข้าไปทางเหนือลม

ให้สังเกตดูลมเสียก่อน ท่านกลัวว่าเชื้อโรคจะติดพระเณร ในที่สุดท่านก็หายและรอดตายมาได้โดยไม่มีรอยแผลเป็น เหมือนกับคนอื่นที่เคยเป็นโรคนี้แต่ส่วนมากมักจะตายกัน ถ้าลงได้เป็นโรคอันนี้แล้วจะเหลือเพียง ๒๐ % เท่านั้น

ไปบอกลากำนันเหลา

ในช่วงพรรษาที่ ๑- ๔ ปี พ.ศ ๒๔๘๗ - ๒๔๙๐ ท่านจำพรรษาที่วัดป่าศรีฐานใน ๓ พรรษา และวัดบ้านหนองแสง อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร อีก ๑ พรรษา ครั้นพรรษาที่ ๔ ล่วงไปแล้ว ในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ เดือน ๓ (เดือนกุมภาพันธ์) ท่านก็ได้ออกธุดงค์

โดยมุ่งหน้าจะไปไหว้พระธาตุพนม มีพระเณรติดตามท่านไปด้วย ๓ องค์ ๔ กับองค์ท่าน เป็นสามเณร ๒ องค์ เป็นพระ ๒ องค์ และท่านพระอาจารย์พวง สุขินฺธริโย (ปัจจุบัน ท่านเป็นพระสุนทรธรรมภาณ) วัดศรีธรรมาราม เจ้าคณะ จังหวัดยโสธร สมัยนั้น ท่านยังเป็นสามเณรอยู่ ท่านก็ได้ติดตามพระอาจารย์ไปด้วย

ก่อนจะออกเดินทางจากบ้านศรีฐาน ท่านได้ไปบอกลากำนันเหลา กำนันเหลาคนนี้เคยพูดกับท่านอาจารย์เอาไว้ สมัยท่านจะบวชว่า ถ้ามึงบวชอยู่ได้พอพรรษาแล้ว ให้มึงมาขี้ใส่บ้านกูนะ ชอบที่ไหนให้ขี้ใส่เลย ให้เอาหมอนกูนั้นเช็ดก้น ท่านจำไม่ลืม

เวลาท่านจะออกจากบ้านไปเที่ยววิเวก (ธุดงค์) ท่านจึงได้ไปลา พอขึ้นไปบ้าน เขาก็ปูสาดปูเสื่อต้อนรับ พูดคุยหัวเราะกัน เพราะออกจะสนิทกันอยู่มาก พอแล้วท่านอาจารย์ก็มองโน้นมองนี้แล้วพูดว่า จะให้ขี้ใส่ตรงไหนล่ะ

กำนันร้อง โอ้ย ผมนึกว่าครูบาลืมแล้ว หัวเราะกัน แล้วก็ขอขมาคารวะท่าน อย่าให้โยมเป็นบาปเป็นกรรมเน้อ โยมไม่นึกว่าครูบาจะอยู่ได้ ได้เวลาพอสมควรแล้วท่านอาจารย์ก็ลากลับวัด

เหตุใดกำนันจึงพูดอย่างนี้กับท่าน เพราะท่านอาจารย์สมัยที่ยังไม่บวชเป็นคนขี้ดื้อ (ซน) ชอบเล่นสนุก แต่ไม่ใช่ว่าเป็นนักเลงดอกนะ การลัก การขโมย การฆ่าการตีคนอื่นนั้น ไม่ใช่ เพียงแต่นิสัยของท่านชอบเล่นสนุก

โยมแม่ของท่านเคยเล่าให้ฟัง แม้กระทั่งวันจะบวช พอโกนผมเสร็จแล้ว ยังไม่ถึงเวลาบวช ท่านก็ยังชวนหมู่ที่เป็นนาคด้วยกันชนกัน ว่าหัวโล้นชนกันเถอะแล้วก็ไล่ชนกันกับหมู่ตามใต้ถุนศาลา

แล้วทำเหมือนควายจะชนกัน พูด แงะ-แงะ แล้วเบิดไล่ชนกัน โยมแม่ของท่านพูด ช่างไม่อายชาวบ้านอื่นเขา เพราะที่ไปบวชนั้นก็มีหลายหมู่บ้าน ท่านขี้ดื้อ (ท่านซน) ไปในลักษณะนี้แหละ

ท่านออกเดินทางไปไหว้พระธาตุพนม

สมัยก่อน ชาวจังหวัดอุบล และจังหวัดใกล้เคียง หรืออาจจะกล่าวได้ว่าชาวอีสานส่วนใหญ่แทบทุกจังหวัด นิยมเดินทางไปนมัสการพระธาตุพนมกันเป็นประจำทุกปี ส่วนใหญ่จะไปกันตอนเดือน ๓ เพ็ญ

เพราะมีงานในช่วงนี้ ทางวัดจัดงานไหว้พระธาตุเป็นประจำทุกปี สมัยก่อนที่ไปมาหาสู่กันสะดวก ทางฝั่งลาวก็ข้ามน้ำมาร่วมกันเป็นจำนวนมากเหมือนกัน การเดินทางจะเดินไปด้วยเท้า เพราะสมัยก่อนยังไม่มีรถมาก และถนนหนทางรถก็ไม่ค่อยดี

ตอนหลัง ๆ มาหน่อย ถึงจะมีรถไปรับ (รถรับเหมา) บางคนบางหมู่ก็จะไม่ยอมขึ้นรถไป เขาพูดกันชวนกันว่า เราเดินไปจึงจะได้บุญมาก ได้บุญทุกก้าวเดิน เห็นพวกโยมแม่เคยไปกัน ถ้าขึ้นรถไปกลัวจะไม่ได้บุญมาก

การเดินทางก็เดินตามทางเกวียน เชื่อมระหว่างหมู่บ้าน ค่ำไหนนอนนั่น อาหารและน้ำก็อาศัยขอตามหมู่บ้านที่ผ่านไป แต่ชาวอีสานเดิมก็มีดีอยู่อย่าง คือ เวลามีแขกมาพัก ส่วนมากจะพักในวัดกัน

พอตกกลางคืนถึงเวลากินข้าว ขาวบ้านจะพากันเอาข้าวเอาอาหารมาส่ง สุดแล้วแต่เขาจะมีอะไร มีน้ำพริก หรือปลาร้า ผัก เหล่านี้เป็นต้น จะไม่ค่อยได้ซื้อกันเหมือนสมัยทุกวันนี้

พวกหนุ่มสาวก็ลงมาคุยกันก็มี เพราะไปแต่ละหมู่ แต่ละคณะก็มีทั้งหนุ่มทั้งแก่ ถ้าไปอย่างนี้สมัยก่อนจะต้องมี คนแก่ไปด้วย ถ้าไม่มีคนแก่ไปด้วย หญิงสาวจะไม่ยอมไปเด็ดขาด ต้องอาศัยคนแก่

ในระหว่างทางที่เดินไป บางแห่งก็ร่มรื่นด้วยแมกไม้ ทุกคนดูจะมีความสุขที่จะได้ไปไหว้พระธาตุพนม และการเดินทางก็ปลอดภัย ปราศจากอุบัติเหตุและโจรผู้ร้าย บางพวกก็เป่าแคน ร้องรำกันไป เป็นที่สนุกสนานตลอดระยะทาง

สำหรับท่านพระอาจารย์นั้นก็ได้เดินทางไปเหมือนกันพอไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชื่อบ้านตากแดด อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ท่านทราบว่ามีถ้ำที่ภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งเป็นภูเขา ที่ไม่ใหญ่เท่าไรนัก ชื่อว่า ภูทอก มีถ้ำ

แล้วเมื่อท่านอาจารย์และหมู่ไปถึงก็คิดอยากจะไปพักในถ้ำ เพราะท่านยังไม่เคยเที่ยวในถ้ำมาก่อนเลย ถามชาวบ้าน ชาวบ้านเขาก็ห้าม ว่าครูบาจะอยู่ได้หรือ ถ้ำนี้เข็ดมากนะ (แรงมากนะ)

เมื่อ ๒ - ๓ วันก็มีพระมาพัก แต่อยู่ไม่ได้ หนีไปกลางคืนเลย ครูบาจะอยู่ได้หรือ ชาวบ้านเขาห้าม แต่ท่านอาจารย์ก็อยากจะลองพักดู เลยขอให้ชาวบ้านไปส่ง เมื่อเขาตามส่งถึงถ้ำแล้วเขาก็กลับ

ท่านอาจารย์และพระเณรที่ไปด้วยกันก็ทำข้อวัตร ปัดกวาดเสร็จแล้วก็สรงน้ำสรงท่าเสร็จ เป็นเวลาจวนจะมืด ต่างองค์ต่างเดินจงกรม ส่วนท่านอาจารย์ท่านเดินอยู่ที่ปากถ้ำ

พอมืดเข้ามาหน่อยก็ได้ยินเสียงดังลงมาจากหลังเขา คล้าย ๆ กับเสียงลมพัดหนัก ๆ พอดีวันนั้นเป็นวัน ๑๔ ค่ำ ไม่ทราบว่าข้างขึ้น หรือข้างแรม จำไม่ได้ เสียงนั้นก็ดังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อย

แต่เมื่อเสียงนั้นใกล้เข้ามา ปรากฏว่าไม่ใช่เสียงลมเสียแล้ว เป็นเสียงงูเหมือนงูเลื้อยมา เสียงท้องของงูกวาดกับหิน ปรากฏว่าจะตัวใหญ่มากทีเดียว ในความรู้สึกของท่านว่าเหมือนกันกับลากเสื่อหวาย

ธรรมดาเสื่อหวายจะกว้างกว่าเสื่อธรรมดาประมาณเมตรห้าสิบ หรือสองเมตร ท่านว่าถ้าเป็นงูก็จะตัวใหญ่ขนาดนั้นแหละ

ในภูเขาลูกนี้ มีหลวงพ่อองค์หนึ่งท่านประจำมานานแล้ว แต่ท่านเป็นพระมหานิกาย (มหานิกายปฏิบัติ) ท่านได้ยินเสียงด้วย ท่านก็เลยตะโกนบอกว่า ไม่เป็นไรดอก มาเยี่ยมเฉย ๆ

แต่ด้วยเหตุที่ท่านอาจารย์ไม่เคยประสบมาก่อน และยังไม่เคยออกวิเวกตามถ้ำตามเขามาก่อนเลยท่านก็อดกลัวไม่ได้ ท่านว่าเมื่อเสียงยังดังอยู่ไกลหน่อย เดินจงกรมก็สุดทางข้างนั้นข้างนี้ เมื่อเสียงนั้นใกล้เข้ามา ๆ เดินจงกรมไปได้ครึ่งทาง เพราะกลัว

พอใกล้เข้ามาจริง ๆ ก็ก้าวขาไม่ออกเลย ท่านว่า นึกจะสวด กรณี ก็ได้แต่ กรณี กรณี ขยายความไปไม่ได้ ท่านว่าคนเราเมื่อกลัวถึงที่แล้วจิตจะไม่ปรุง จิตตั้งอยู่เหมือนกับเทียนอยู่ในโคมไฟ มันปรุงไม่ออก

ท่านว่า จากนั้นเสียงก็ได้เงียบไป ท่านอาจารย์และพระเณรก็เข้าที่ของใครของมัน สำหรับท่านอาจารย์มีแคร่นอน แต่องค์อื่นนอนกับพื้น

พอขึ้นแคร่แล้ว ก็ทำวัตร ไหว้พระ สวดมนต์ เสร็จแล้ว ก็นั่งภาวนา เมื่อได้เวลาพอสมควรแล้วก็เลยนึกว่า วันพรุ่งนี้จะต้องเดินทางต่อ จะพักสักหน่อย ถ้าไม่พักนอนเลยก็จะเหนื่อยในการเดินทาง

แล้วก็ล้มตัวลงนอน ภาวนาไปด้วย พอเคลิ้มจะหลับ ก็ได้ยินเสียงขู่ขึ้นมาจากใต้แคร่ ท่านก็รู้สึกตัวว่าเสียงที่ขู่ขึ้นมานั้นเป็นเสียงงู ท่านก็เลยปลุกพระเณรว่า ลุก ๆ งูจะกินหัวนะ ท่านเจ้าคุณพวงท่านว่า ยังไม่หลับ (สามเณรพวง)

พอหมู่ลุกขึ้นนั่งหมดแล้ว ก็ขู่ขึ้นมาอีก ท่านอาจารย์ก็เลยพูดว่าเดี๋ยวนะ ผมจะขีดไม้ขีด เพราะแต่ก่อน ท่านไม่มีไฟฉาย มีแต่ไม้ขีด ที่ใส่น้ำมันก๊าด ท่านก็ขีดไม้ขีด ยื่นแขนออกมาจากมุ้ง ท่านยังไม่ได้ลุกนะ

แล้วเสียงก็ขู่ดังขึ้นมาอีกเป็น ๓ ครั้ง ส่องดูก็ไม่มีอะไร จากนั้นเสียงก็ดังลงไปข้างล่าง เหมือนกับป่าไม้ป่าไผ่แถวนั้นจะราบไปหมด ในความรู้สึกของท่าน ท่านนอนก็ไม่เป็นหลับเป็นตื่น เพราะกลัว

เวลารุ่งเช้าขึ้นมา ป่าไม้ก็ปกติธรรมดา ท่านอาจารย์ก็เลยพูดกับหมู่ว่า ถ้าเราจะเดินทางวันนี้เลยก็กลัวว่าเขาจะตำหนิว่าเรากลัว นอนได้คืนเดียวก็เผ่น ท่านว่าเราพักอีกสักคืนเถอะ ก็เลยได้ค้างที่ถ้ำนั้น ๒ คืน

แต่คืนหลังนี้ เงียบ ไม่มีอะไร หลวงพ่อองค์ที่อยู่นั้นเล่าให้ท่านฟังว่า ในเดือนหนึ่งจะมีอยู่ ๔ ครั้ง คือ ขึ้น ๗ - ๘ ค่ำ , ๑๔ - ๑๕ ค่ำ และแรม ๗ - ๘ ค่ำ , ๑๔ - ๑๕ ค่ำ วันนอกนั้นก็ธรรมดา ไม่มีอะไร

ในบริเวณถ้ำแห่งนี้ คนจะไปทำผิดศีลผิดธรรมไม่ได้ จะมีอันเป็นไปให้เห็น อย่างว่าไปฆ่านก หรือกบเขียด หรืออะไร ในบริเวณนั้น ก้อนหินจะกระโดดปั๊บ ๆ ร้องเป็นเสียงนก เสียงกบ เสียงเขียด เวลาไปดูแล้วก็เป็นก้อนหิน

ในบริเวณนั้น แต่ก่อนหลวงพ่อองค์นั้นว่า อดน้ำ กันดารน้ำใช้น้ำฉัน ท่านเลยจุดธูปเทียนอธิษฐานขอน้ำ ก็เลยปรากฏว่ามีน้ำไหลออกมาจากแอ่งหิน วันหนึ่งท่านอาจารย์ว่าหลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า มีแม่ออกคนหนึ่ง (ผู้หญิง) ไปเก็บมะม่วงไข่ตามแถวนั้น

หิวน้ำ ก็เลยมากินน้ำ เลยคิดอยากจะอาบน้ำ เพราะร้อน ก็เลยอาบน้ำ แต่เข้าใจว่าคงเปลือยกายอาบ เสร็จแล้วก็กลับบ้าน จากนั้นน้ำนั้นปรากฏว่าน้ำมีกลิ่นเหม็นคลุ้งเหมือนกับซากวัวซากควายตาย

แล้วน้ำนั้นก็ได้แห้งไป จากนั้นหลวงพ่อก็ไม่มีน้ำจะใช้ จะดื่มจึงอธิษฐานขอใหม่ พร้อมกับว่าจะบอกไม่ให้เขาทำอย่างนั้นอีก น้ำนั้นจึงได้ไหลออกมาอีกตามเคย

หนูเดินจงกรม

หลวงพ่อพูดต่อไปว่า วันหนึ่ง ท่านพาชาวบ้านไปนวดดิน ท่านจะทำธาตุ (เจดีย์) นวดดินปั้นอิฐ พอกลับมาเหนื่อย เลยไม่ได้เดินจงกรม พอวันหลังก็พาชาวบ้านไปทำอีกเพราะยังไม่เสร็จ

แต่บังเอิญท่านลืมของใช้ ท่านจึงกลับมาเอาของ แต่ก่อนท่านคงจะพักอยู่ในถ้ำ พอมาถึงถ้ำแล้ว มองเห็นผิดสังเกต คือมองเห็นหนูเดินจงกรม ที่ถ้ำนั้นข้างบน มีหินยื่นออกมาประมาณ ๑ คืบ หรือ ๑ ฟุต ยาวไปตามถ้ำ

หนูตัวนั้นเดินไปพอถึงสุดทางด้านนั้น ก็กลับคืน แล้วยืน ๒ ขา เอาขาหน้ากอดอก ยืนอยู่คล้ายกับกำหนดจิต พอสมควรแล้วก็เอาขาหน้าลง แล้วเดินไป พอถึงหัวท้ายข้างนั้นก็กลับหลัง แล้วยืน ๒ ขา เอาขาหน้ากอดอก ยืนอยู่คล้ายกำหนดจิตอีก แล้วเดินกลับไปกลับมาอยู่นั้น

หลวงพ่อท่านเห็นแล้วก็ระลึกได้ว่า นี่หนูมันเดินจงกรม คงจะเป็นเทวดา หรือเจ้าที่แสดงให้เห็น เพราะเมื่อวันก่อนนั้นท่านขาดเดินจงกรม ต่อมาหลังจากนั้น ท่านจึงไม่เคยขาดการเดินจงกรม นั่งภาวนา ถึงจะเหน็ดเหนื่อยก็ต้องบังคับตัวเองทำ ไม่เคยขาด

ถึงพระธาตุพนม

ท่านอาจารย์เมื่อเดินทางถึงพระธาตุพนมแล้ว ก็ได้เข้าไปกราบมนัสการพระธาตุพนม เสร็จแล้วก็ได้ออกไปพักวิเวกแถวบ้านน้ำก่ำและหมู่บ้านริมโขงแถวนั้น หน้าเดือนกุมภาพันธ์ (เดือน ๓ นี้) มะขามหวานกำลังสุก

เขตเมืองมุก เมืองธาตุพนมนั้นมีมะขามหวานมาก เขาเอามะขามหวานมาจังหัน เห็นว่าท่านชอบฉัน เขาก็เอามาไม่ขาด ต่างคนต่างเอามาและจะให้ท่านอาจารย์เป็นคนตัดสินว่าของใครจะหวานกว่ากัน

เขาเอามาแข่งกัน ท่านอาจารย์ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ถ้าจะบอกว่าของคนนั้นดี ของคนนี้ไม่ดี ก็คงจะกลัวว่าเขาจะเสียใจและไม่เอาไปจังหันอีก ท่านก็เลยตอบเขาไปว่า มันก็หวานดี ทุกต้นนะ หวานดีทุกต้นแหละ

คุยกันเรื่องผีปอบ

เมื่อท่านอาจารย์ฉันเสร็จแล้ว ชาวบ้านก็เริ่มกินข้าวกัน และพูดคุยกันไป คุยกันไปถึงเรื่องผีปอบในหมู่บ้าน พอท่านอาจารย์ได้ยินเรื่องเขาคุยกันเรื่องผีปอบ ท่านก็พูดกับเขาว่าอาตมาก็เป็นปอบเหมือนกันนะโยม

ชาวบ้านเขาก็งงและตกใจว่าพระอะไรจะเป็นปอบ เขาเลยถามท่านว่าเป็นปอบได้อย่างไร ท่านอาจารย์ตอบว่า ปอบมะขามหวานชาวบ้านก็พากันหัวเราะ ท่านว่ายิ่งหวานเท่าไรยิ่งกินดี ปอบคนอื่นเขากินคน แต่ปอบของท่านอาจารย์กินมะขามหวานขันดี

เรื่องของผีปอบ (จะอธิบายเรื่องของผีปอบ)

เรื่องของผีปอบนี้ ทางอีสานโดยเฉพาะบ้านนอกเขาจะรู้กัน แต่ภาคอื่นส่วนใหญ่จะไม่รู้จัก และบางคนอาจจะไม่เคยได้ยิน คนที่เป็นปอบ (เจ้าของปอบ) นี้เป็นลักษณะผีเทียม เวลาไปกินคนจะบอกชื่อของคนที่เป็นปอบนั้น

ผีปอบนี้เกิดจากคนที่เรียกวิชาบางอย่างมา แล้วรักษาตามคำสั่งของอาจารย์ไม่ได้ หรือเกิดจากการสักว่านกระจายโพงแล้วรักษาไม่ได้ก็มี หรือพวกสบู่เลือด เหล่านี้เป็นต้น มักจะเป็นปอบ

คนที่จะเป็นผีปอบนี้ เริ่มแรกมักจะฝันว่าได้กินของดิบ เช่นเนื้อดิบ ลาบดิบเหล่านี้ ทีแรกก็จะกินเป็ด กินไก่ จากนั้นก็จะกินคน ส่วนมากมักจะกินคนป่วย คนธรรมดาที่ไม่ป่วยก็มีส่วนน้อย

เวลาปอบเข้ากิน ทีแรกคนที่ถูกปอบเข้าจะมึนชาทั้งตัว ต่อไปก็จะไม่รู้สึกตัวทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ และหลบหน้าเป็นไปในลักษณะนี้ ผิดสังเกต ไม่เหมือนคนคนเก่า คล้ายกับผีทรง เวลาผีปอบเข้าแล้ว เขาจะเอาหมอมาขับไล่

ถ้าอยากรู้ว่าเจ้าของผีปอบเป็นใคร เขาก็เสกคาถาใส่ด้าย (ด้าย ๓ สี หรือ ๗ สี) แล้วผูกตามข้อมือ ข้อเท้า และคอ แต่เวลาผูกไม่ให้ คนที่ปอบเข้าเห็น รีบผูก แล้วเสกคาถาใส่หัวว่านไฟ (หัวไพร) จี้

หรือบางทีถ้าไม่ยอมบอกชื่อ หรือไม่ยอมออกจากคนไข้ เขาก็จะตีด้วยลำข่า ลำว่านไฟ(ลำไพร) ชนิดตีให้ยอม หรือบางหมอก็จะตีด้วยก้านกล้วย ตีจนยอมบอกชื่อ ว่าเป็นใคร มาจากไหน เคยกินใครมาบ้าง ในทำนองนี้

เวลาผีบอปบอก ว่าคนนั้นกูก็กิน คนนี้กูก็กิน ตับหวานอร่อยดีทำนองนี้แหละ เมื่อเวลาจะให้ออก เขาก็จะแก้ด้ายที่ผูกออก ขับให้ออก เมื่อผีปอบออกแล้วจะไม่รู้จักว่าตัวเป็นอะไร คล้าย ๆ กับผีทรง บางทียังถามว่าคนมาทำไมมากอย่างนี้

ผีปอบบ้านศรีฐาน

ท่านอาจารย์เคยเล่าสู่ฟังเรื่องปอบเข้าบ้านศรีฐาน บ้านเดิมของท่าน ท่านเล่าว่า มีคนคนหนึ่งเขาไปนา ไปทำงานที่นาของเขา เกิดปวดท้องหนัก เลยกลับบ้าน คงจะปวดหนักมาก พ่อแม่เห็นผิดสังเกต นึกว่าผีปอบเข้าลูก กินลูก ก็เลยไปตามหมอมาขับไล่

พอหมอมาถึงก็ไม่ได้สังเกตสังกาอะไร เสกคาถาใส่ด้าย แล้วก็ผูกข้อมือ ข้อเท้า และคอ เสร็จแล้วก็หวดด้วยลำข่า หือมึงเป็นใคร มึงมาจากไหน มึงชื่ออะไรหือ มึงจะหนีหรือไม่หนี หือ ๆ คนที่ปวดท้องก็ร้องไห้ ว่าจะให้ผมหนีไปไหน บ้านผมอยู่นี่

แล้วยังขู่อีกว่า มึงมาจากไหน คนเจ็บก็บอกว่า มาจากนาหนองพอก หือมึงเป็นใคร ก็บอกชื่อ แล้วหมอและคนดูก็ตกใจ พากันหัวเราะกันพักใหญ่ ทั้งสงสารคนป่วย ปวดท้องก็จะตายอยู่แล้ว ยังโดนตีอีก

นี่ปอบบ้านศรีฐาน แต่ส่วนมากหมอเขาจะรู้ ส่วนหมอคนนี้ อะไรก็ไม่ทราบ คงจะเรียนมาใหม่แหละดูท่า ท่านเคยเล่าให้ฟังสนุก ๆ

พบพระอาจารย์มั่นครั้งแรก

ครั้นเมื่อท่านพระอาจารย์ได้พักกับชาวบ้านแถวริมแม่น้ำโขงพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้เดินทางต่อไปทางจังหวัดสกลนคร โดยมุ่งหน้าจะไปกราบนมัสการและฟังคำอบรมสั่งสอนจากท่านพระอาจารย์มั่น ณ วัดป่าหนองผือ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

เนื่องจากวัดป่าบ้านหนองผือนั้นเป็นวัดเล็ก แต่พระเณรมีมากที่ต้องการอบรมศึกษษธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์จึงไม่อาจจำพรรษาที่นั้นได้ จำเป็นต้องไปจำพรรษาอยู่ที่วัดใกล้ ๆ เพราะกุฏิมีจำกัด

ในระยะนั้นเข้าใจว่า ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน คงอยู่ที่วัดป่าหนองผือนั้น เมื่อพระที่อยู่เก่าออกวิเวกและมีกุฏิว่าง ท่านจึงมีโอกาสเข้ามาปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่น

พอสมควรแก่เวลา แล้วจึงได้กราบลาพระอาจารย์มั่นออกไปวิเวก

พรรษาที่ ๕ - ๖

ในพรรษาที่ ๕ ท่านได้ไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านนาหัวช้าง บ้านบะทอง อำเภอพรรณานิคม โดยมีท่านพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ เป็นผู้นำ ปัจจุบันวัดป่าบ้านนาหัวช้างนั้น คือวัดป่าอุดมสมพร

ในพรรษาที่ ๖ นั้น ท่านพระอาจารย์ได้จำพรรษาอยู่กับท่านพระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร ที่วัดป่าบ้านโคกมะนาว อำเภอพรรณานิคม ในช่วงนี้พระอาจารย์เล่าว่า การภาวนาเริ่มจะยาก คือว่าท่านผ่านทุกขเวทนาไม่ได้

พอนั่งภาวนา เป็นเวลานานพอสมควร มักจะเกิดทุกขเวทนาใหญ่ คือทุกเวทนากล้ามาก ท่านได้ต่อสู้มาหลายครั้งหลายหน แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ท่านจึงได้กราบเรียนถึงประสบการณ์นี้ ถวายพระอาจารย์มหาบัวทราบ

พอท่านพระอาจารย์มหาบัวทราบแล้ว ก็แนะนำวิธีการต่อสู้กับทุกขเวทนาให้ฟัง โดยให้ใช้สติ ปัญญาพิจารณาแยกธาตุขันธ์ ท่านได้นำอุบายที่ได้รับฟังมานั้นมาปฏิบัติ

ด้วยการตั้งสัจจะว่า จะสู้กับทุกขเวทนานี้แบบสละชีวิต เพื่อให้รู้เห็นความจริงของทุกข์ ถึงแม้จะปวดหนักปวดเบาขนาดไหน ก็จะไม่ยอมลุกหนีจะปล่อยให้มันออกเลย

ต่อสู้กับเวทนาใหญ่

เมื่อท่านพระอาจารย์ได้อุบายจากท่านพระอาจารย์มหาบัวแล้ว ได้เวลาท่านก็เตรียมนั่ง ชนิดว่าแต่งตัวเต็มยศ คือ ห่มจีวร ใส่สังฆาฏิ แล้วนั่ง โดยตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าผ่านทุกขเวทนานี้ไม่ได้แล้ว จะไม่ยอมลุกจากที่เด็ดขาด...

เวลาต่อสู้อยู่นั้น มันทุกข์มาก เจ็บปวดมาก ผิดกันกับทุกขเวทนาที่เคยผ่านมา ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ท่านจึงได้ตั้งชื่อนี้เอาว่า ทุกขเวทนาใหญ่ ซึ่งไม่มีในตำรา ท่านว่ามันทุกข์จนเหงื่อหรืออะไร ภาษาอีสานเขานิยมว่า ยางตาย ออกเปียกหมดทั้งตัว

ท่านว่าเวลายกมือขึ้นดู เหงื่อ (ยางตาย) จะหยดปั๊บ ๆ ตามนิ้วมือ ท่านว่ามันทุกข์ขนาดนั้นนะ แต่ปรากฏว่าท่านก็ผ่านไปได้ จิตสงบลงรวมผิดปกติเป็นอัศจรรย์ ทำให้ท่านมีกำลังใจในการปฏิบัติมาก

และจากนั้นก็ไม่ปรากฏว่าทุกขเวทนาใหญ่นั้นได้เกิดขึ้นอีกเลย ท่านว่าจิตมันเปลี่ยนไปคนละอย่างกับสมัยที่ยังสู้มันไม่ได้ คือ เวลานั่งไปทุกขเวทนาทำท่าจะเกิดขึ้น จิตมันไม่กลัวเหมือนแต่ก่อน

ท่านว่ากลับดีใจว่าเราจะได้กำลังใจอีกแล้ว เพราะการต่อสู้แบบนี้ ท่านว่าได้กำลังใจคุ้มค่า จึงเกิดความดีใจ แต่เมื่อเรารับรู้มันแล้ว มันก็ไม่เกิด จะเกิดขึ้นก็ธรรมดา ไม่ใช่เวทนาใหญ่แบบนั้น

เที่ยววิเวก ไปทางสว่างแดนดิน ส่องดาว วริชภูมิ

เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านอาจารย์ก็ออกวิเวก โดยเดินทางไปทางอำเภอสว่างแดนดิน อำเภอส่องดาว และอำเภอวาริชภูมิ ท่านได้เคยไปพักอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย ซึ่งสมัยคราวนั้น ท่านพักอยู่ที่หวายสนอย

ท่านเล่าว่าตอนพักอยู่กับหลวงปู่ขาวนั้น คงจะเป็นเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ท่านได้เล่าถึงความอดอยากเพราะฝนแล้ง ชาวบ้านอดข้าวกัน ไปบิณฑบาตไม่พอฉัน ต้องอาศัยแม่ชีและสามเณรหาหัวมันและผักเห็ดมาเสริม พอได้ทำความเพียร

แต่ท่านเล่าว่า เวลาพักอยู่กับหลวงปู่นั้น ที่หวายสนอย (ภูเหล็ก) อำเภอส่องดาว ท่านว่าการภาวนาดีมาก นอนนิดเดียวก็อิ่ม จิตสงบละเอียดมาก

ทั้งหลวงปู่ขาว ท่านก็ทำความเพียร คือโดยมากท่านจะไม่ค่อยเทศน์ แต่ท่านทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ปกติ ท่านเป็นคนที่พูดน้อย แต่ทำความเพียร เดินจงกรม นั่งภาวนามาก

สมัยที่ท่านพักอยู่นั้นก็มีเรื่องที่ขบขันอยู่เรื่องหนึ่ง คือ พระเณรไปบิณฑบาต ท่านได้เห็นผักกระโดนอยู่ริมทางท่านจึงจำเอาไว้ว่าขากลับจะให้เณรเก็บเอา พอบิณฑบาตกลับ ก็สังเกตมาตามทาง

พอถึงพุ่มกระโดนก็ชี้บอกเณรว่า นี่เณรเอาเลย ในพุ่มนั้น บังเอิญวันนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งเขาจะไปไร่ เห็นพระเขาก็หลบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มนั้น พอได้ยินเสียงพระและพูดว่า เณรเอาเลย เขาก็ตกใจ ขยับตัว

ท่านจึงได้เห็นเลยต่างคนต่างอาย ผักกระโดนก็ไม่เอา หัวเราะกันตามทาง องค์ที่พูดนั้นไม่ใช่ท่านอาจารย์ เป็นท่านอาจารย์สม ซึ่งท่านก็ได้เสียชีวิตมรณภาพไปแล้ว

พรรษาที่ ๗ - ๘

พรรษาที่ ๗ ไม่ทราบว่าท่านจำพรรษาที่ไหน ที่ถ้ำเป็ดท่านก็เคยพัก พักอยู่กับท่านอาจารย์อ่อน ญาณสิริ (วัดป่านิโครธาราม) บ้านหนองบัวบาน สมัยนั้นท่านอยู่ถ้ำเป็ด ท่านอาจารย์เล่าว่า ที่ถ้ำเป็ดนี้ภาวนาไม่ค่อยจะดี จะเป็นเพราะอากาศหรืออย่างไรไม่ทราบ

ท่านว่าที่ถ้ำเป็ดนี้ง่วงนอนเก่ง นอนไม่รู้จักอิ่ม อาหารการฉันก็อดอยากเหมือนกัน ท่านว่ากล้วยน้ำว้าใบเดียวแบ่งกัน ๔ องค์ ต้องอาศัยปลาร้าที่เตรียมไป ให้เณรเอาออกวันละนิด แบ่งกันฉัน แต่เวลาฉันแล้วง่วงนอนเก่ง

--------------------------------------------------------

คัดลอกจาก: ประวัติย่อ และพระธรรมเทศนาของท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร วัดป่าแก้ว บ้านชุมพล อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร

ด้วยจิตกราบบูชา



Create Date : 09 กันยายน 2553
Last Update : 10 กันยายน 2553 9:37:34 น. 3 comments
Counter : 714 Pageviews.

 
อนุโมทนานะ สาธุ


โดย: ทิพย์วารี วันที่: 9 กันยายน 2553 เวลา:23:20:11 น.  

 
โมทนาสาธุครับ



โดย: dustyboy วันที่: 10 กันยายน 2553 เวลา:1:22:36 น.  

 



แวะมาทักก่อนไปทำงาน หวัดดีวันศุกร์จ้า
ตอนเย็น ๆ จะตามมาอ่านนะจ๊ะ ตอนนี้รีบมากเลย ขอบอก 555


โดย: SongPee วันที่: 10 กันยายน 2553 เวลา:7:42:19 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

*~ต้นกล้า...ของหัวใจ~*
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

คือ ต้นกล้า ผลิใบ เพื่อแทนคุณ แผ่นดิน

*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*
Friends' blogs
[Add *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~*'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.