All Blog
|
Yunishigawa Onsen - Heike no Sho 20 พ.ค. (ต่อ) ใช้เวลาเดินทางประมาณ15นาทีก้อมาถึงแล้ว สถานียุนิชิกาว่า ออนเซ็นจะแปลกกว่าชาวบ้านเค้าตรงที่ชานชาลาอยู่ในอุโมงค์ อากาศเย็นเยือกมากก ทางออกต้องเดินขึ้นไป หรือจะขึ้นลิฟท์ก้อได้ มีรีวิวแบบละเอียดในยูทูป จากหน้าสถานีจะมีรถบัสจอดรออยู่ ก้อขึ้นไปเลย ราคาจะขึ้นตามระยะทาง จุดที่เราจะลงก้อ880เยน ทั้งคันมีผู้โดยสาร 4คน ระหว่างทางจะวิ่งข้ามภูเขา บางทีก้อลอดอุโมงค์ บางทีก้อข้ามสะพาน เลียบไปเหนือเขื่อนYunishigawa ตรงนี้น่าจะป็นจุดนี้ วิวสวย อารมณ์ประมาณนั่งรถไปสังขละเลย เขื่อนนี้เพิ่งจะสร้างเสร็จเมื่อปี2012นี่เอง ถนนหนทางเลยยังใหม่มาก บางจุดก้อยังก่อสร้างไม่เรียบร้อยดี นั่งมาประมาณ15นาทีก้อมาถึงแล้ว ป้ายรถบัสอยู่หน้าเรียวกังเลย สะดวกมากมาย พอลงรถปุ๊บ พนักงานก้อมายืนรอรับเรา แล้วก้อพาเข้าไปเช็คอิน จากข้างหน้า บรรยากาศยังดูเฉยๆ ที่นี่ ทานุกิเต็มไปหมด ความอเมซิ่งเริ่มมา เห็นประตูเก่าๆแบบนี้แต่เป็นประตูอัตโนมัตินะจ๊ะ หน้าแป้นแล้นมากมาย ทีแรกก้อดูน่ากล้ว ตาโปนๆ แต่พอกลับมาแล้วหลงรักเจ้าตัวนี้ไปเลย มันหน้าาทะเล้นมาก เรียวคังนี้ไปบังเอิญเจอในRakuten เจอทีแรกมันก้อดูน่ากลัวปนน่าตื่นเต้นนะ เฮ้ยย...เรียวคังไรวะ แต่งออกมาแนวนี้ ดูไปดูมา เออ..ถึงจะดูน่ากลัวแต่ก้อน่าสนใจ กลับไปนอนคิดอยู่2-3คืน ระหว่างนั้นก้อดูที่อื่นๆแถบนี้ไปด้วย แต่ก้อยังติดใจที่นี่อยู่ มันดูแปลกดี แถมข้อสำคัญคือมีออนเซ็นส่วนตัวด้วย เข้าไปดูประวัติความเป็นมาของที่นี่ยิ่งน่าสนใจ แต่ไม่มีรีวิวคนไทยเลย เจอแต่รีวิวสาวฝรั่งในยูทูป พอดูคลิปนี้เสร็จ เอาที่นี่แหละ ดูแล้วอยากมามากกกก จริงๆจองเรียวคังทีคินุกาว่าไว้แล้ว แต่ชอบที่นี่จนต้องแคนเซิลที่จองไว้แล้วมาจองที่นี่แทน เรียวคังนี้มีอายุกว่า300ปี เป็นของตระกูล Heike เดินไปไหนก้อจะเห็นตราประจำตระกูลอยู่ทั่วไป มีของโบราณมาตั้งโชว์ไว้เต็มไปหมด เหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ย่อมๆ ที่นี่พนักงานพูดอังกฤษไม่ได้เลย ญี่ปุ่นเราก้อง่อยๆ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง หลักๆคือสื่อสารกันผ่านแอพ แต่พนักงานมีความกระตือรือล้นที่จะสื่อสารกับเรามาก ถามตลอด daijoubu? daijoubu? แล้วเหมือนเราจะเป็นต่างชาติแค่2คนตอนนี้ด้วย ที่เหลือญี่ปุ่นล้วนๆ ห้องของเราคืนนี้ แต่ละห้องจะมืชื่อห้องไม่เหมือนกัน พนักงานจะให้กุญแจมา2ดอก ดอกนึงไว้ไขห้องพัก อีกดอกเอาไว้ไขห้องออนเซ็น ข้างในห้องสวยมาก กรี๊ดๆ ข้อเสียอย่างเดียวของที่นี่คือไม่มีห้องน้ำในตัว ต้องไปอาบห้องน้ำรวม มีแค่อ่างล้างหน้าเล็กๆให้อยู่ที่ริมระเบียง วิวจากริมระเบียง มองออกไปเห็น แม่น้ำYunishigawa กับห้องออนเซ็นส่วนตัวอยู่ริมแม่น้ำ บรรยากาศดีสุดๆ ชอบโทรศัพท์มากมาย เหมือนที่บ้านตอนเด็กๆเลย อยากยกกลับบ้าน มีขนมให้สองชิ้นกับชาชง เป็นชาเขียวกับชาบ๊วย ชาบ๊วยไม่ได้เรื่องอ่ะ ที่เห็นนี่คือกินไม่หมด แต่ขนมอร่อยดี เป็นไส้ถั่วแดงตามธรรมเนียม มีเกี๊ยะไว้ให้ใส่เดินในโรงแรม เราพักยืดแข้งยือขาแป๊บนึงแล้วก้อออกไปสำรวจข้างนอกกัน การตกแต่งของที่นี่เป็นอะไรอธิบายไม่ถูก แต่ดูน่าสนใจมาก แบบว่าเจ้าของกล้าเล่นมาก ที่เอาของพวกนี้มาอยู่รวมกันในเรียวคัง และไม่ใช่ชิ้นเล็กๆนะ มันใหญ่มากกก ปกติเรียวคังทั่วไป จะต้องบรรยากาศสงบๆ เรียบหรู เก่าๆ แต่นี่... ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหน ก้อจะมีลูกเล่นมีรายละเอียดให้เราได้หยุดดูตลอดทาง ทางเดินไปลิฟท์ มุมขายของที่ระทึก นี่ลูกเจ้าของ ชื่อโทระจัง นางหยิ่งมากกก ไม่ต้อนรับแขกเลย ออกมาเดินเล่นข้างนอก สำรวจเมืองหน่อย บรรยากาศเงียบสงบมาก มีร้านอาหาร ร้านขายของฝากอยู่ประปราย แต่เดินไปนี่แทบไม่เจอนักท่องเที่ยวเลย เจอไอติมกูลิโกะอีกแล้ว เลยจัดมารองท้องอันนึง ก่อนเวลาอาหารเย็น จริงๆอุณหภูมิประมาณ 15องศา แต่สู้อ่ะ ที่นี่มันจะเย็นเยือกๆ แบบภูเขา ลมพัดเบาๆ ลองคิดดู ถ้าเป็นช่วงใบไม้แดงจะสวยขนาดไหน มีบ่ออนเซ็นกลางแจ้งด้วย ว่าแต่แจ้งแบบนี้ใครจะมาแช่ เดินเล่นไปเรื่อยๆแล้วก้อวนกลับมาที่โรงแรม เราได้อาหารเย็นรอบ 19.30 ยังมีเวลาเหลือ เลยมาสำรวจออนเซ็นซักรอบก่อนดีกว่า ระหว่างทางเดินไปออนเซ็น ที่นี่จะมีออนเซ็นที่เป็นห้องรวมแยกชายหญิง กับออนเซ็นแบบห้องส่วนตัวอยู่กลางแจ้ง มีทั้งหมด 6 ห้อง การตกแต่งแต่ละห้องจะไม่เหมือนกัน แขกสามารถเข้าห้องไหนก้อได้ ถ้าว่าง ดูว่าถ้าห้องไหนไม่ว่าง ไฟจะติดที่หน้าห้อง จะแช่นานแค่ไหนก้อได้ เปิด 24ชั่วโมง มีมุมให้นั่งเล่น หรือนั่งรอต่อห้องแช่ออนเซ็นก้อได้ ชิวๆริมน้ำ ข้างในบ่อแช่ห้องหนึ่ง ที่นี่ค่อนข้างจะดังสำหรับคนญี่ปุ่น ถ้าเทียบกับเรียวคังอื่นๆในแถบนี้ ดูเหมือนจะเงียบ แต่สังเกตเวลาทานอาหารนี่คนเต็มทุกโต๊ะ สบายตัวแล้ว ก้อกลับมานอนเล่นต่อที่ห้องแป๊บนึง ก้อมีโทรศัพท์เรียก ให้มาทานอาหารเย็น น้องพนักงานคนเดิม มาอธิบายให้เราฟัง เค้าบอกจะบรีฟฟิ่งให้ฟังนะ เอาถาดนี้มานะ จะมีแบ่งช่องๆไว้ แล้วก้อเลือกหยิบถ้วยเล็กๆ ใส่ตามช่อง อืมม...น่ารักดี ได้มาตามนี้ ดูเหมือนอาหารหน้าตาธรรมดา ไม่มีซูชิ ไม่มีอาหารทะเล เพราะที่นี่เป็นภูเขา อาหารก้อจะเป็นอาหารท้องถิ่นตามฤดูกาล แต่อรอยโคดๆๆๆ เหมือนจะอย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่อาหารหลากหลายมาก เติมอยู่2-3รอบ ที่หน้าห้องอาหารมีก้อนอะไรดำๆ .....เง้อออ..... - -" กลับมาที่ห้อง พนักงานมาปูเตียงให้เรียบร้อยแล้ว ตอนเช้าตื่นมา ตีสี่เองแต่สว่างโร่เลย เลยลงไปแช่น้ำอีกรอบ ยิ่งตอนเช้านี่อากาศดี๊ดี สุดๆจะบรรยาย มาถึงเวลาอาหารเช้า อาหารเช้าก้อยังคงเป็นบุฟเฟ่ต์ อันนี้นี่ปลื้มปริิ่มมากกกกกกกกกกกกก (ก ไก่ล้านตัว) มาเจอโทโรโร่ + กระเจี๊ยบเขียว อร่อย แบบ....โอ๊ยยย ไม่รู้จะบอกยัง 15 เต็ม 10 เลยอ่ะ กินอาหารเช้าเสร็จแล้วเราก้อกลับห้องมาเก็บข้าวของ วันนี้ต้องกลับแล้ว รู้สึกว่ามีเวลาอยู่ที่นี่น้อยมากเลย จริงๆซัก2ตืนน่าจะดี ออกมารอรถบัสที่ข้างหน้าเหมือนเดิม แต่ฝั่งตรงข้าม พอดีออกมาเร็วไปหน่อย เลยมากดไอติมอีกที อิอิ อันนี้เป็นรสคัสตาร์ดพุดดิ้ง รถบัสมาตอน 09.16 ตรงเวลาเป๊ะ แล้วก้อนั่งกลับมาที่สถานี Yunishigawa Onsen ทางลงชานชาลา คนรอขึ้นเยอะเชียว และจากนี้ไป หายนะก้อบังเกิด เรานั่งสายท้องถิ่นเหมือนเดิมกลับมาที่ Shin-fujiwara พอถึงShin-fujiwara เจอรถไฟจอดรออยู่หนึ่งขบวน เขียนว่าไป "Shin-tochigi" เราเลยไม่ขึ้น ก้อยืนรออยู่ มีเจ้าหน้าที่เดินมาถามว่าจะไปไหน ก้อบอกไปว่าจะไปAsakusa เค้าก้อชี้ไปที่Shin-tochigi เราก้อหือออ.....ขึ้นได้เหรอ. แต่ก้อเชื่อ ก้อขึ้นไป มีความไม่มั่นใจอยู่10% นั่งไปเรื่อย จนมาถึง Shimoimaichi เห็นคนลงเยอะ แล้วก้อจอดนาน นึกว่าสุดสายแล้ว ก้อเลยลง ไปถามเจ้าหน้าที่อีกว่าขบวนไหนไปAsakusa เพราะเห็นมีขบวนที่เขียนว่าAsakusaจอดอยู่ เค้าก้อไล่กลับให้ไปขึ้นขบวนเดิม บอก hayaiๆ ...เนี่ยเร็วกว่า หืออออ....ใช่เหรอ เดินกลับไปแบบงงๆ ความไม่มั่นใจพุ่งมาที่30% จนในที่สุดขบวนรถไฟแห่งความซวยก้อมาสุดสายที่Shin-tochigi และปล่อยเราทิ้งไว้ที่นี่ ขณะนี้เวลาเที่ยงแล้ว ยังอยู่ที่ไหนก้อไม่รู้ สถานี่เงียบเหงา และตารางรถไฟภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ แล้วกรูจะไปต่อยังไง แล้วไอ้2day passของเรามันจะใช้ได้มั้ย ยืนงงไปมา ไม่มีใครให้ถามได้เลย เจอป้าแม่บ้าน...คงไม่เวิร์ค นี่เราอยู่ตรงส่วนไหนของโทจิกิวะเนี่ย ลองเปิดกูเกิ้ลแมพดู แม่เจ้า...อีกเกินครึ่งทางอ่ะ กว่าจะถึงโตเกียว จากที่แพลนไว้ว่าซักเที่ยงครึ่งก้อน่าจะถึง นี่ยังอยู่ไหนไม่รู้ เริ่มใจคอไม่ดีแระ ซักพักมีพนักงานรถไฟเดินมา3คน ปรี่เข้าไปถามเลย รู้เรื่องไม่รู้เรื่องช่างแมร่งละ คุยกันอยู่ตั้งนาน เค้าก้อเล่นเปิดตำราเช็คให้เลยนะ สรุปได้ความว่า เราต้องนั่งไปอีก1สถานี คือสถานีโทจิกิ แล้วถึงจะมีรถไฟไปอะซะคุสะ แต่ขบวนที่จะไปถึงเร็วที่สุดดันเป็นspacia คือต้องเสียเงินเพิ่มอีก 2,xxx เยน เอาวะ...ยอม ขออย่าตกเครื่องก้อพอ สรุปแล้วเสียเวลาติดอยู่ที่ชินโทจิกิ ครึ่งชั่วโมงกว่า ถึงสถานีโทจิกิ ต้องลงไปชั้นขายตั๋ว ซื้อตั๋ว Spacia ขบวนที่มาเร็วที่สุด แล้วกลับชึ้นไปรอที่ชานชาลาใหม่ รถออก 13.07 พอรถไฟมาก้อโดดขึ้น ชั่วโมงนั้นไม่มีกะจิตกะใจถ่ายรูปอะไรแล้ว คิดแค่อยากให้ถึงโตเกียวให้เร็วที่สุด 14.15 ถึงอะซะคุสะ รีบจ้ำเลย ต้องกลับไปชินจุกุ นั่งใต้ดินไปเอากระเป๋าใหญ่ที่ฝากตู้ไว้ คืนบัตรSuica แล้วจองตั๋วN'Ex ตอนไปถึงเคาเตอร์JR 15.00 N'Exขบวนต่อไปมี 15.10 บอกเจ้าหน้าที่เอาขบวนนี้เลย คิดว่า 10นาทีคงจะทัน แต่ทว่าลืมคิดไป เชี่ยยย...นี่มันสถานีชินจุกุนะ เดินเท่าไหร่ก้อไม่ถึงซะที วิ่งสิคะ...รอไร วิ่งลากกระเป๋าไปจนสุดขอบแล้วยังขึ้นบันไดไปอีก2-3ชั้น นี่ถ้าไม่ติดว่ามีกระเป๋านี่จะวิ่งบนบันไดเลื่อนด้วย โอ๊ยยย....เหนื่อยชิหัย หายใจไม่ทัน ตอนนี้เข้าใจละว่าทำไม่คนญี่ปุ่นถึงไม่ค่อยอ้วนกัน ขึ้นไปถึงชานชาลา รถไฟก้อมาเทียบพอดี โดดขึ้นเล้ยยย มานั่งแหบแฮ่กๆอยู่ในรถ ชีวิตพลิกผันไรขนาดนี้ ไอ้ที่ชิวๆเมื่อเช้ามันคืออะไร อีกนิดเดียวจะถึงแล้ว ถึงสนามบินยังพอมีเวลาเคลียร์กระเป๋านิดหน่อย เอาwifiไปคืน เช็คอินเสร็จผ่านตม. แวะซื้อของฝาก เดินไปเกท ถึงเวลาบอร์ดพอดี เฮ้ออ.....รอดแบบหวุดหวิด คือไม่ถึงกับรีบร้อน แต่ก้อไม่มีเวลาพักเลย ข้าวเขิ้วลืมไปได้ ไปรอกินบนเครื่องเลย (นี่ข้าวกลางวันไม่ได้กินนะ) จะไปละน้า ประสบการณ์วันสุดท้ายที่ญี่ปุ่น ทำเอาจำไม่ลืมเลย อาหารเย็นบนเครื่อง มีเมนูไทยกับญี่ปุ่น เป็นข้าวไก่ซอสกะเพราอะไรซักอย่าง กับ ข้าวหน้าปลาไหล จริงเริ่มเอียนอาหารญี่ปุ่น แต่พอดีมีคำว่าปลาไหล เลยเอาปลาไหลมา ละดูอิเจ๊ANAทำสิ เลยเอียนหนักกว่าเก่าอีก ที่ชั้นฟาดเรียบนี่เพราะหิวหน้ามืดหรอกนะ เห็นฟ้าสวยๆละค่อยผ่อนคลายหน่อย Bye。。。 行ってきます 。 แล้วฉันจะกลับมาอีก |
Fly Me to the Other Moon
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Link |