"อะไรๆก็ลองมาเกือบหมดแล้ว ขอลองเป็นแม่บ้านเต็มตัวกะเค้าซะที"
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
6 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 

เตรียมพร้อมลูกที่บ้าน แบบฉบับโฮมสคูล ภาคสี่ ตอน เด็กสามภาษา

สวัสดีค่ะ คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านๆนะคะ

มาตามสัญญา แต่ครั้งนี้ช้าไปมาก เนื่องจากจขกท กลับเมืองไทยหลายครั้ง แต่ละครั้งก็นานราวสามสัปดาห์
บวกกับที่เมืองไทย ไม่มีสื่อการเรียนการสอนใดๆเลยนะคะ เป็นการเรียนรู้นอกตำราเสียมากกว่า
เช่น ไปซาฟารีเวิลล์ (อันนี้ไปทุกอาทิตย์เพราะอยู่ใกล้บ้าน) ไปว่ายน้ำ เล่นดิน เล่นน้ำ รดน้ำต้นไม้ (เพราะประเทศที่อยู่ ดินไม่ค่อยจะมี)

พอกลับมาคราวนี้ เรื่มต่อไม่ค่อยจะติด ต้องใช้เวลากันพักใหญ่ทีเดียว

สื่งที่สำคัญของการทำโฮมสคูลด้วยตนเองคือ ความต่อเนื่อง หรือระเบียบวินัยนั่นเองนะคะ


สำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ เพื่อง่ายต่อการอ่านในตอนต่อๆไป ขอความกรุณา อ่านตอนที่ 1-3 ก่อนนะคะ

เตรียมพร้อมลูกที่บ้าน แบบฉบับโฮมสคูล สำหรับเด็กก่อนอนุบาลแวะเลยค่ะ
//topicstock.pantip.com/family/topicstock/2010/06/N9411059/N9411059.html

เตรียมความพร้อมลูกที่บ้าน แบบฉบับโฮมสคูล ภาคสองค่ะ
//topicstock.pantip.com/family/topicstock/2011/03/N10291612/N10291612.html

เตรียมพร้อมลูกที่บ้าน แบบฉบับโฮมสคูล ภาคสาม ตอน สอนให้ลูกเขียน
//topicstock.pantip.com/family/topicstock/2011/05/N10539692/N10539692.html

จะคลิกไปที่ลิงค์ข้างต้น หรือจะเข้าไปดูในบล็อกก็ได้นะคะ ตรงหัวข้อโฮมสคูล เนื้อหาไม่แตกต่างกันมากค่ะ แต่ในกระทู้เหมือนจะดูง่ายกว่า

สำหรับใครก็ตามที่ประสงค์จะคัดลอก นำภาพหรือข้อความบางส่วนหรือทั้งหมดไปไว้ในที่ใดๆ กรุณาขออนุญาตจขกทก่อนนะคะ หากไม่ได้กระทำเพื่อแสวงหากำไร กรุณาให้เครดิตที่มาแบบเต็มๆด้วยค่ะ



บทที่สี่วันนี้ เราจะมาพูดกันเรื่องภาษาที่สองและที่สามกันนะคะ
อย่างที่ทราบกันดี ตอนนี้โลกเราแคบลงทุกวัน มีการติดต่อสื่อสาร เรียน ทำงานข้ามประเทศกันมากมาย
ยังไม่รวมถึงเทคโนโลยีต่าง ที่ถั่งโถม เข้ามาพร้อมๆกัน
แน่นอนค่ะ รอบรู้มาก ย่อมมีโอกาสมาก (ไม่ใช่แค่รอบรู้ในตำรานะคะ)

วันก่อนสามีเอา Newsweek Magazine July,25,2011 มาให้อ่าน หน้า 56 เรื่อง"how to raise a global kid" บทสัมภาษณ์ของ Jim Rogers มหาเศรษฐีคนนึงของอเมริกา
น่าสนใจทีเดียว

ที่ว่าน่าสนใจ คือ ในมุมมองของเศรษฐีเอง เค้าให้ความสำคัญกับเรื่องของภาษา จนเราเองยังทึ่ง (ทั้งๆที่เค้าเองรวยมาก แทบจะไม่มีความจำเป็นเลย ที่จะให้ลูกเรียนภาษาจีนเพิ่มเติม)

มีหลายตอนที่เค้าพูดได้ดี อะไรที่ดี เราก็เลือกรับมานะคะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกคนอาจจะมีมุมมองที่ต่างกันในแบบฉบับของตัวเอง ไม่มีใครถูกผิดไปซะทุกเรื่องนะคะ

ในเรื่องราบละเอียดของบทความ ไว้คราวหน้าจะลองหาลิงค์มาให้ดูนะคะ เพราะถ้าสแกนหน้านั้นมาให้อ่าน จะดูเป็นการละเมิดลิขสิทธ์หรือเปล่า


เข้าเรื่องของเรากันดีกว่านะคะ
ก่อนจะเขียนต่อ(แอบเมื่อย) ขอคั่นด้วยเพลงจีน ของน้องอลิสสานะคะ







หลายครั้งที่อ่านเจอว่า ควรจะให้น้องเรียนอินเตอร์ดีไหม หรือคุณพ่อเป็นฝรั่งคุณแม่ไทย ควรพูดภาษาอะไรกับลูกดี หรือถ้าพ่อแม่ไทยทั้งคู่ ใช้ภาษาอังกฤษกะลูกจะดีไหม

หลายคนจะตอบประมาณว่า ไม่ให้พูดบ้าง เดี๋ยวสำเนียงจะเพี้ยนบ้าง ฯลฯ
(แบบนี้ ถ้าไม่มีสามีหรือภรรยาฝรั่ง ก็ไม่ต้องสอนภาษาอังกฤษลูกกันพอดี ^ ^)


ก่อนอื่นเราอยากให้เปลี่ยนทัศนคติเป็นเชิงบวกก่อนนะคะ

เช่น เราเห็นและได้ยินฝรั่งพูดภาษาไทยได้หนึ่งคน ค่อนข้างดีที่เดียวแหละ แต่ก็มีเพี้ยนเยอะ เพราะแน่นอนบางโทน ฝรั่งออกเสียงไม่ได้ดีพอ สมมติ คำว่า โผม ร๊าก คูณ

เรายังชมกันว่า ฝรั่งคนนี้พูดภาษาไทยได้ดีใช่ไหมคะ

ความเห็นส่วนตัวของเราและสามีแคนาดา เห็นพ้องต้องกันว่า สำเนียงใดๆก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าความสามารถในการใช้ภาษานั้นๆ เช่น ฟังออก พูดได้(ออกเสียงถูกต้อง สำเนียงเพี้ยนไปบ้างแต่หากยังคงไว้ซึ่งคำเดิม) อ่านออก เขียนได้ ทักษะทั้งสี่นั้น ควรจะทำได้ดี ไม่ใช่แค่งูๆปลาๆ

เนื่องจากเราอยู่ต่างประเทศและเคยทำงานที่อินเดีย รวมทั้งเพื่อนร่วมงานนานาชาติอีกมากมาย

เราค้นพบว่า มีหลายคน ทำหน้าที่ได้ดี ทั้งในตำแหน่งที่ต้องพูดเยอะ เช่นครูสอน ต้องสอนเป็นภาษาอังกฤษ มีหลายเชื้อชาติมากค่ะ ทั้งจีน คนไทย คนอินเดีย เลบานอน ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ฯลฯ ทุกคนสอนจบไปแล้วหลายรุ่น และไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกัน ครูแทบทุกคน พูดภาษาอังกฤษในสำเนียงที่เราฟังรู้ว่าเป็นคนชาติไหน แต่เรากลับชื่นชม คนเหล่านั้นมากกว่าตำหนืเรื่องสำเนียงนะคะ


ทีนี้ อยากให้คุณพ่อคุณแม่ ทำเรื่องภาษาที่สองให้เป็นธรรมชาติก่อนนะคะ ถ้าหากต้องการสอนเค้าตั้งแต่ยังเล็กๆแบบนี้ เพราะการเรียนรู้ภาษาของเด็กและผู้ใหญ่ใช้กระบวนการต่างกันนะคะ

เช่นจขกท ต้องการสอนภาษาจีนน้องอลิสสา หากจขกทใช้วิธีที่ตัวเองเคยเรียนสมัยมหาวิทยาลัยคงไม่ได้
(ตอนนั้น เรียนโดยการเริ่มหัดเขียนและจำไปทีละตัว เลยนะคะ เริ่มจากบทสนทนาง่ายๆ เช่นหนี ห่าว หนี ห่าวมา ไปจนยากขึ้นเรื่อยๆนะคะ)

จขกทจึงเริ่มจากอะไรที่จำง่ายก่อนนะคะ เช่น สอนเพลง นับเลข นิทาน ฯลฯ

ทีนี้ก็จะมีคำถามว่า ถ้าคุณพ่อ คุณแม่ พูดภาษาจีนไม่ได้จะสอนอย่างไร

ตรงนี้อาจจะยากหน่อยนะคะ คือการเปิดดิกชันนารีหาความหมายของภาษาจีนอาจจะไม่ง่ายเหมือนภาษาอังกฤษ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถ ปัจจุบันทั้งสื่อการเรียนการสอน เทป ซีดี ยูทูป มีสอนมากมาย ทำไมเราไม่เรียนรู้ไปพร้อมๆกับลูกล่ะค่ะ เรียนทีละเรื่องๆ
จริงอยู่ว่าไม่ง่ายเลย แต่เชื่อเราเถอะค่ะ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นนะคะ

เราเองก็ไม่ได้เก่งภาษาจีนเลย อาศัยว่าตอนอยู่มหาลัยเรียนมาสามตัว และทำงานกับไต้หวันมาเจ็ดปี
เราพูดได้แต่อ่านและเขียนได้น้อยมากๆนะคะ พอเรียนมานาน ไม่ได้เขียนก็ลืม แต่พูดนี่ไม่ลืมแน่ๆค่ะ
ตอนนี้ก็อาศัยสื่อต่างๆเนี่ยล่ะค่่ะ เรียนให้จงมาก
มีพี่คนนึง ภาษาจีนเค้าก็ประมาณเรา แต่เค้าบอกว่าต้องให้ลูกเรียนกับเหล่าซือ(อาจารย์จีน) เท่านั้น เค้าไม่ได้ห่วงเรื่องการออกเสียงนะคะ เพราะเค้าก็รู้ว่าอย่างตัวเค้าเอง เวลาไปไต้หวันคนยังนึกว่าเป็นคนจีนเลย แต่เค้าให้เหตุผลว่า อาจารย์จีนจะมีวิธีสอนได้ดีกว่า

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คุณพ่อคุณแม่นั่นล่ะค่ะ เป็นครูสอนได้ดีที่สุด ไม่จำกัดเวลาและไม่เสียงบประมาณ จ้างครูจีน อ่างมากก็สัปดาห์ละสาม สี่วัน

อยากให้เปลี่ยนทัศนะคติตรงนี้ก่อนนะคะ คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะคิดว่า เดี๋ยวไปโรงเรียนคุณครูก็สอนเอง ถ้ามีความคิดเช่นนั้น ปิดกระทู้นี้ไปได้เลยค่ะ เพราะคงต้องเหนื่อยมากๆแน่ๆ

ขอคั่นด้วย เพลงจีนของอลิสสาอีกหนึ่งนะคะ
สงสัยกระทู้จะยาว ยังไม่ได้เข้าส่วนของภาษาอังกฤษเลย




เดี๋ยวเราจะมาพูดถึงวิธีการสอนภาษาที่สองและสามกันนะคะ
พร้อมสื่อการเรียนการสอนที่จขกทนำมาฝากอีกเช่นเคย


จขกท จะพิมพ์ไปเรื่อยๆนะคะ อาจมีเว้นช่วงบ้าง แต่ต้องเสร็จวันนี้แน่นอนค่ะ พอดีอลิสสายังไม่นอนนะคะ

ตอนนี้จะเป็นเรื่องของแนวคิดกันก่อน


อย่างอลิสสาเนี่ย คำแรกที่สอนเลย คือคำว่า ตู้จึ หรือ ท้องนั้นเอง ตอนนั้นน้องเค้าจำคำว่าตู้จึแปลว่าท้อง ได้ก่อนภาษาอังกฤษเสียอีก ราวขวบเศษๆ ซึ่งเค้าก็ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าเป็นภาษาจีน (แต่ตอนนี้เค้ารู้แล้ว ว่าอันไหนภาษาจีน ไทย อังกฤษ หรืออารบิค (แต่อันสุกท้ายนี่ไม่ได้สอนนะคะ ไม่สามารถ)


อย่างที่บอกว่าภาษาเป็นเรื่องของศิลปะ ทำให้เป็นธรรมชาติ มันจะง่ายขึ้นค่ะ

ปัจจุบันอลิสสาดูดีวีดี หรือยูทูป ภาษาจีนบ่อยๆ ไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ บางทีภาพน่ารักๆ ตรงนี้เราสร้างความคุ้นเคยก่อนนะคะ

อย่างเวลาเราสอนเพลง พอเค้าร้องได้แล้ว เราก็บอกเลยค่ะ ว่า เอ่อตัว แปลว่า หู เว่ยปา หาง
แปลทุกๆวันๆ หลังเพลงจบ เค้าก็จะค่อยๆจำได้เองค่ะ

อย่างเวลาอาบน้ำ ปกติจะสอนอวัยวะของร่างกายใช่ไหมคะ เคยสอนเป็นภาษาอังกฤษค่ะ
ตอนนี้พูดเป็นภาษาจีนเลยค่ะ เค้าก็จะเถียงว่า ไม่ใช่ เราก็พูดไปว่า เป็นภาษาจีน ทำบ่อยๆ เดี๋ยวก็จำได้ค่ะ

ภาษาจีนเป็นภาษาภาพ จำกันเป็นตัวๆ แต่ละตัวแต่ละความหมาย (อาจจะมีการรวมตัวกันบ้าง เพื่อเป็นอีกความหมายหนึ่ง แต่ ไม่ใช่การผสมๆทีละตัวแบบภาษาอังกฤษนะคะ
ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดคือ จำค่ะ

เราต้องเอาออกมาให้เค้าเห็นให้มาก กระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็นของเค้าซะ


ชาร์ทของ เบอร์ลิสต์






สื่อการเรียนการสอน เอามาจากไหน ?
เราไม่รู้ภาษาจีน เริ่มอย่างไร?

อันนี้ลองใช้ความสามารถทางคอมพิวเตอร์ดูนะคะ ถ้าทุกท่านสามารถเล่นพันทิปได้ อย่างน้อยๆก็ต้องรู้จักกูเกิ้ฯ ใช่ไหมคะ ลองหาเลยค่ะ เช่นใช้คำว่า chinese for kid, learn chinese, free chinese lessons ฯลฯ รับรองค่ะ ว่าต้องได้อะไรดีๆแน่นอน


ลงทุน ซื้อเลยค่ะ
ไม่ว่าจะหนังสือหัดเรียนภาษาจีน (แต่หนังสือแบบเขียนคำอ่านเป็นภาษาไทยนี่ไม่เอานะคะ เพราะเราเห็นเยอะมาก ไม่มีคุณภาพเลย เขียนผิดๆ)
อย่างให้ลองของสถาบันดีๆมากกว่าค่ะ

จริงๆมีมากกว่าในรูปนะคะ นี่ส่วนหนึ่งที่ใช้บ่อย

เวลาเราไปเมืองจีนที ก็จะแวะดูหนังสือให้ลูกเป็นหลักค่ะ รวมทั้งดีวีดีสอนภาษาจีนด้วย สอนจีนเป็นจีนก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะเป็นดีวีดีที่เค้าทำสอนเด็กคนจีนนั่นเอง




บางส่วนเราซื้อมาจากสิงค์โปร์ สอนเป็นภาษาอังกฤษ เข้าใจง่ายค่ะ


และมีเยอะที่มาจากยูทูป น่ารักมากค่ะ


อันนี้อลิสสาก็ร้องได้แล้ว แต่เราไม่ได้ถ่ายวีดีโอค่ะ
บางครั้งการถ่ายวีดีโอลูก ไม่ว่าจะลงเว็ปโฮมสคูลแบบนี้ หรือเก็บไว้ดูเล่น ก็มีข้อจำกัดนะคะ
บางทีถ่ายมากๆคุณลูกก็รำคาญ บางครั้งเราต้องเคารพความเป็นส่วนตัวของเค้าด้วยค่ะ
จะสนองความอยากของเราอย่างเดียวก็กระไร



ฝากเป็นไอเดียนะคะ น่ารักดี



อย่างที่บอกว่าการเริ่มภาษาที่สองที่สาม ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยื่งถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้พูดภาษานั้นๆ แต่ก็ไม่มีอะไรจะเสียถ้าได้ลองใช่ไหมคะ เรากลับว่าน่าท้าทายอีกตะหาก

เราเคยคิดว่าจะให้ลูกเรียนโรงเรียนที่สอนสามภาษา

แต่ก็ติดที่ว่า โรงเรียนจีนที่นี่ คุณภาพไม่ค่อยดี (มีเหตุผลในปลีกย่อย)
และไม่มีตัวเลือกเลย
หลายคนอาจจะพบว่าไกลบ้านบ้าง มีราคาแพงบ้าง
หรือบางคนก็ยังอยากให้ลูกเรียนโรงเรียนที่มีความเข้มข้นทางวิชาการมากกว่า

ดังนั้น การทำโฮมสคูลภาษาที่สองที่สาม ควบคู่กันไป เป็นการตอบโจทย์ที่ดีที่สุด
จริงๆ ไม่ว่าจะส่งเด็กไปเรียนต่อสิงค์โปร์ หรือไปต่ออเมริกาตอนโต ก็ทำได้

แต่จะไม่ดีกว่าหรือ ที่เราเริ่มสอนตอนเค้ายังเล็ก และยังไม่มีส่วนของความรู้ทางวิชาการให้ต้องจำมากนัก ยื่งเริ่มไว ยื่งเรียนรู้ได้ไว ต่อยอดได้ง่าย
เรากล้ารับประกันว่า พอน้องสิบขวบ น้องจะอ่านและเขียนได้ดี ในภาษาที่พ่อแม่สอนให้ตอนนี้ นอกเหนือจากภาษาที่ใช้ที่บ้าน

พอเค้าโตขึ้น ให้เค้าไปเรียนสิ่งที่เค้าอยากเรียนดีกว่า และภาษาก็จะติดตัวเค้าไปด้วย ง่ายกว่าไหม
แถมประหยัดเงินเรียนค่าภาษาตอนเด็กๆ ตั้งหลายปี


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวแปรเรื่องเวลา ค่อนข้างสำคัญทีเดียว




สมองเด็กช่วง 0-3เป็นอะไรที่สำคัญมาก
ช่วงนี้ อยากสอน สอนเลยค่ะ ไม่ต้องรอ
ไม่ต้องกลัวใครว่าว่ากดดันนะคะ เราไม่ได้บังคับ ค่อยๆใช้วิธีซึมซับ

จุดประสงค์คือ ต้องการให้สมองได้รับการฝึกฝน พัฒนา อย่างเต็มที่ ต่อเนื่อง
จากหนังสือ กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว ยังให้เหตุผลว่า เด็กที่สมองช่วงนี้ได้รับการฝึกฝนมากๆ จะเป็นเด็กที่เรียนรู้ไวเมื่อโตขึ้น ซึ่งเราก็เห็นด้วยนะคะ เพราะเรามีประสบการณ์โดยตรง (แต่ขอข้ามเรื่องส่วนตัวไปนะคะ)



เข้าเรื่องภาษาอังกฤษบ้าง
คิดว่าคุณพ่อคุณแม่น่าจะสนใจมากกว่าภาษาจีน เพราะส่วนมากมักจะอ่านออกเขียนได้ในระดับหนึ่ง
น่าจะสอนคุณลูกได้ง่ายกว่า


ที่บ้านเรา ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง และภาษาจีนเป็นภาษาที่สาม


ตั้งแต่อลิสสา 0-2ขวบ เราแทบไม่ได้คุยหรือสอนอลิสสาเป็นภาษาไทยเลย เนื่องจากว่า เราต้องพยายามให้เค้าพูดให้ได้ก่อน เราอยากให้เค้าสื่อสารกับพ่อเค้าได้ เวลาสามีกลับมาจากทำงาน ลูกพูดด้วยก็จะได้ดีใจ (สามีเราฟังภาษาไทยไม่ออกเลย)

หลายคนอาจจะว่าว่า เราควรพูดภาษาไทย และให้สามีพูดอังกฤษกับลูก

ซึ่งในกรณีของเรา สามีเราทำงานต้องเดินทางต่างประเทศบ่อย เค้าไม่ค่อยได้สอนลูก หรืออยู่กับลุกเท่าเรานะคะ ถ้าเราทำเช่นนั้น ลูกเราจะเริ่มพูดภาษาไทยก่อนแน่นอน เรากลัวว่าสามีที่ฟังไม่รู้เรื่องจะเสียใจ เพราะลูกเป็นของเราทั้งสอง ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง อีกทั้งเราก็ฟังภาษาอังกฤษได้



อลิสสา จึงเริ่มพูดภาษาอังกฤษก่อนค่ะ



พอสองขวบ เราเริ่มสอนภาษาไทย ทั้งพยัญชนะ ทั้งเพลง เค้าก็รับได้นะคะ


ตอนนี้อลิสสาสามขวบพอดีค่ะ พูดภาษาไทยได้เยอะ อาจมีสับสนเช่นตอนเด็กๆเค้านึกคำว่า dish ไม่ออก เค้าบอกพ่อเค้าว่า " put on theจาน " ขำกันทั้งบ้านเลยค่ะ

บางทีถามเค้าว่า ทำอะไรอยู่คะลูก เป็นภาษาไทย ตอนเค้ากำลังหัดลากเส้น เค้าตอบเราว่า
" I'm เขียนนิ่ง" คือเค้าอยากจะตอบเราเป็นภาษาไทย แต่เค้าไม่รู้จักคำว่า กำลัง ค่ะ เลยใส่ verb -ing
หลังคำว่าเขียนซะเลย

ทั้งที่เราเองก็ยังไม่เคยสอนเรื่องการใช้ verb-ing กับเค้าเลย คือเด็กเกค้าจับจุดได้เองค่ะ ว่าภาษาอังกฤษกำลังทำสิ่งนั้นๆอยู่ให้เติม ing ลงไป อึ้งไปทั้งบ้านเลยค่ะ (จริงขำมากกว่า)







ตอนนี้เราพยายามพูดภาษาไทยให้มากขึ้นค่ะ แต่บางทีก็ลืมพูด เพราะต้องคุยกับพ่อแล้วหันมาคุยกับลูก
หลายครั้งมากๆ ที่อลิสสาให้เราพูดภาษาไทย คือ ขอให้เราเล่าเรื่องหรือพูดสิ่งที่เค้าต้องการหรือชอบเป็นภาษาไทย เราจะรีบพูดทันที

เวลาเปิดหนังเด็กๆให้ดู ก็จะถามเค้าว่า อยากดูเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ให้เค้าเลือกเองค่ะ

ตอนนี้ เค้ารู้ความแตกต่างของสองภาษาดีแล้ว



เป้าหมายของเรา อลิสสาต้องอ่านออก เขียนได้ ภาษาไทย เหมือนเด็กไทยคนอื่นๆ ไม่ใช่แค่พูดได้นะคะ
การไม่ไได้อยู่ประเทศไทย ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ได้ภาษาไทยสำหรับเรา

จะว่าๆไป จริงๆ เราก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่ก็ภูมิใจค่ะ

พอเค้าโตขึ้น เราก็จะยิ่งเหนื่อยน้อยลงนะเราว่า



คำถามที่ถามบ่อยมากๆ ว่าสอนน้องตอนไหน

ลูกเราชอบเข้าห้องเรียนค่ะ บางทีตื่นนอนก็วิ่งเข้าไปก่อนเลย ทานข้าวไปเรียนไปก็มี
เราไม่จำกัดอ่ะคะ เค้ามีใจจะเรียนรู้ กับเรื่องเล็กน้อย เราจะขัดไปทำไมใช่ไหมคะ

บางทีดึกมากแล้ว ก่อนนอนอยากระบายสี เราก็ให้ระบายนะคะ

แต่ถ้าเป็นกรณีไม่ยอมนอนแต่จะเล่นนี่ ไม่ค่ะ หรือจะดูดีวีดี(การเรียนรู้) ก็ไม่ค่ะ นอนคือนอน เพราะดึกแล้ว


บางเรื่องเค้าอยากจะทำเอง

อย่างเหลาดินสอ ก็ให้เค้าทำค่ะ (โดยเราดูแลอย่างใกล้ชิด) บางที ปิดกั้นกันมากๆ ก็ไม่ไหวค่ะ
ถึงแม้จะทำไม่สำเร็จก็ตามที





ขอข้ามเรื่องสามภาษาแป๊ปนะคะ พอดีต่อเนื่องกะข้างบน


จำตอนที่แล้วได้ไหมคะ ที่สอนให้ลูกเขียน


ตอนนั้น เราใช้ปากกาที่เขียนแล้วลบได้ หรือไม่ก็ใช้เครยอน (สีเทียน)
ตอนนี้เราขยับมาใช้ดินสอจริงๆค่ะ แต่ให้คุณพ่อคุณแม่เลือกที่บีสูงๆหน่อยนะคะ น้องจะได้เขียนง่ายๆ

ส่วนระบายสี เริ่มหันมาให้ใช้สีไม้ค่ะ จะได้ฝึกทักษะการจับไปพร้อมๆกับฝึกการเขียน เพราะให้ความรู้สึกคล้ายๆกันค่ะ สอนให้เค้าฝนระบายมากกว่ายกข้อมือสูงแบบขีดๆนะคะ
(เพราะการเขียนจริงมือจะติดกะโต๊ะค่ะ ไม่ใช่ลอยๆ

อันนี้รูปที่อลิสสาระบายด้วยสีไม้ (จากรูปคหบนนะคะ)





สังเกตุว่าอลิสสาก็ยังจับดินสอไม่ถูกต้องนะคะ

แต่พอเราไปแก้ให้ เค้าก็พาลจะไม่เขียนซะงั้นค่ะ เราต้องค่อยเป็นค่อยไป

อยากให้เค้ารู้จักการบังคับนิ้วและข้อมือด้วยค่ะ

เพราะอลิสสาชอบยกขึ้นสูงเวลาเขียนค่ะ



สองภาษา สามภาษาเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย อย่างที่บอกไว้ตอนแรกนะคะ
โดยเฉพาะครอบครัวไทยแท้ๆ แต่ไม่อยากให้ท้อนะคะ

เพราะบางทีเราชอบคิดแทนเด็ก ว่ายากไปบ้าง จำไม่ได้บ้าง เพราะเราคิดว่าเด็กเรียนรู้แบบเรา
ตัวอย่างนะคะ อย่างเราฟังเพลงไทย รอบสองรอบ เราพอจะจำเนื้อร้องได้ เพราะเรารู้ความหมายใช่ไหมคะ พอเราฟังเพลงฝรั่งที่เร็วๆ เราอาจฟังไม่ทัน ต่อให้ฟังสักห้ารอบ ก็ยังร้องไม่ได้
เพราะสมองเราไม่ได้แปลภาษาอังกฤษเป็นอังกฤษ แต่แปลอังกฤษเป็นไทยก่อนไงคะ ทำให้เสียเวลามากและมีข้อจำกัดในการแปล (เพราะศัพท์หลายตัวที่ไม่รู้ความหมาย)

แต่กรณีของอลิสสา เท่าที่สังเกตุดู เค้าจะจำได้ หลังจากการฟังแค่ไม่กี่ครั้ง (เพลงเด็กบ้าง จากการ์ตูนบ้าง) เราเองก็นั่งดูอยู่ด้วยทุกครั้ง ยังจำไม่ได้เลยค่ะ
เพราะสมองเด็กยังไม่ถูกตีกรอบแบบเรานั่นเอง

นั่นจึงเป็นข้อดีของการเริ่มภาษาที่สองตั้งแต่ยังเด็กนะคะ





เมื่อก่อนจขกทเองก็ค่อนข้างจะต่อต้านเรื่องการที่เด็กๆ ต้องไปโรงเรียนนานาชาติ เพื่อจะให้ได้ภาษาอังกฤษ
คิดเสมอว่า สมัยเรา เพื่อนๆเราจบโรงเรียนมัธยมและมหาลัยรัฐบาล หลายคนไปต่อเมืองนอก ปัจจุบันทำงานต่างประทศกันก็หลายคน ไม่เห็นต้องไปโรงเรียนนานาชาติ หรือเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อนุบาลเลย

แต่นั่นเป็นการคิดโดยใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง ตัดสินจากประาบการณ์ของตัวเอง


แต่หลังจากได้ทดลองสอนอลิสสาแล้ว รู้เลยว่า เรียนตอนเด็ก ตั้งแต่เริ่มพูด ต่างจากการเรียนตอนโตโดยสิ้นเชิง


เมื่อสักครู่คุณลูกอยากระบายสี เลยต้องไปนั่งเป็นเพื่อนในห้องเรียน
อยู่ดีๆ เค้าก็หยิบสีเทียนสีแดงขึ้นมา แล้วพูดว่า หงซื่อ (จริงๆคือ หง เซ่อ) แล้วก็ชี้ไปที่สีเขียวว่า ลู่ย ซื่อ
(จริงๆ ลู่ย เซ่อ) แค่นี้เราก็ดีใจมากแล้ว พอถามเค้าต่อว่าแล้วสีนี้ล่ะค่ะ พูดภาษาไทย ชี้ไปที่สีขาว เค้าตอบว่า สีขาวค่ะ (เพราะเค้าไม่ได้ภาษาจีนคำนี้นั่นเอง)

ตอนนี้อลิสสาสามารถแยกแยะภาษาได้ดีทีเดียว ถ้าเราถามภาษาไทย เค้าก็จะตอบภาษาไทย ถามอังกฤษเค้าก็จะตอบเป็นภาษาอังกฤษค่ะ


ดังนั่น อยากให้คุณพ่อคุณแม่เริ่มตอนนี้เลยนะคะ หาสื่อน่ารักๆให้ดูนะคะ
(สำหรับเรา เราให้อลิสสาดูดีวีดีตั้งแต่หกเดือนหรือเก้าเดือนนี่แหละ เรื่มจากเบบี้ ไอน์สไตน์ ทั้งเซต
เราไม่เห็นว่าอลิสสาจะสมาธิสั้นแต่อย่างใด เพราะเราก็ทำกิจกรรมกับเค้าด้วยมากมาย อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะคะ เพราะคุณหมอเราก็บอกไม่ให้ดูค่ะ แต่เราเลือกเชื่อตัวเองมากกว่า ดูวันละนิดหน่อยค่ะ)


อย่างพวกเมจิกอังลิช หรือดิสนีย์ อิงลิช นี่ก็ดีทีเดียวนะคะ เพื่อนๆลองไปหามาดูนะคะ
(เราไม่มีขาย และไม่มีแจกนะคะ)


หรือสื่อฟรีๆจากยูทูป ในบทก่อนๆ เราให้ไว้ค่อนข้างเยอะ ก็หาไล่ๆไปนะคะ ตามชื่อของคนทำ
ไม่ต้องเสียเงิน ก็เรียนรู้ได้นะคะ





อ่านไปอ่านมา เราพิมพ์ผิดเยอะทีเดียว เนื่องจากจขกท ไม่มีแป้นไทยนะคะ ใช้วิธีเดาเอาค่ะ
ครั้นจะกลับขึ้นไปแก้ก็ไม่ไหว ตาลายค่ะ

ขออภัยด้วยนะคะ



จริงๆในไอแพด ก็มีแอพฯหลายตัว ที่สอนภาษาจีน (ภาษาอังกฤษยิ่งเยอะกว่าหลายเท่า) ที่ฟรี สำหรับคนที่่มี ลองหาดูนะคะ จขกทไม่แนะนำละกันนะคะ เพราะหลายคนอาจจะยังไม่มี และจริงๆมันอาจจะไม่จำเป็นก็ได้

ถ้าจะเริ่มสองภาษา ควรเริ่มจากตรงไหน?


อันนี้น่าสนใจ ลองนั่งนึกย้อนไป จขกท เริ่มภาษาไทยตอนอลิสสาสองขวบ ก่อนหน้านั้นก็มีพูดบ้าง แต่ไม่จริงจังนะคะ


เริ่มจากนับเลขมังคะ จำได้ว่า อลิสสาจำหนึ่งถึงสิบภาษาอังกฤษได้ไวมาก หลังจากนั้นเราเริ่มสอนเป็นภาษาไทยค่ะ พอเค้าพูดวัน เราก็หนึ่งค่ะ ไปเรื่อยๆ จนถึงสิบค่ะ

จากนั้นก็มีอวัยวะของร่างกาย สี

เพลงก ไก่ (อันนี้จำได้ไวมากนะคะ) และก็เรียนตัวอักษร ให้จำเป็นตัวๆเลยนะคะ ไม่ต้องเรียงค่ะ

บทสนทนาประจำวัน เริ่มได้เลยค่ะ เช่นอาบน้ำกันนะคะ เค้าจะงงๆ พอสักสามสี่วันก็พูดเองเลยค่ะ ไม่อาบน้ำ 5555

กินข้าวไหมคะ..... ทำอะไรอยู่คะ......

แล้วก็สอนคะ ขา ค่ะ ตามแต่จะชอบนะคะ จขกทไม่ชอบเลยที่จะได้ยินเด็กพูดไม่มีหางเสียง
หลายครั้งที่เปิดทีวีดู แล้วคุณหนู ลูกๆของดารารับเชิญ พูดไม่เพราะ ฟังแล้วหงุดหงิดมากค่ะ
ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยากนะคะ สอนแต่ยังเล็กเลยค่ะ อย่าคิดไปเองว่าจะทำให้ประโยคยาวไปแล้วเค้าจะจำไม่ได้........เชื่อเถอะค่ะ ว่าคำว่าค่ะคำเดียว ไม่ยาวเลย


เรียนรู้จากสิ่งรอบตัว พาคุณลูกออกไปพบปะผู้คน ท่องเที่ยวบ้างนะคะ ทุกที่ทีไป เรียนรู้ได้ทั้งนั้น
ไปร้านอาหารจีนที่นี่ เราให้ลูกดราทักทายพนักงานว่า หนีห่าว และเชี่ยๆ ตามโอกาส

เวลาเจอคนไทย ก็ให้สวัสดีค่ะ



นั่นคือตัวอย่างของเราในการสอนภาษาไทย เป็นภาษาที่สอง คุณพ่อคุณแม่อาจจะ เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษแทนนะคะ แต่ใช้วิธีคล้ายๆกัน









อันนี้ชื่อเรียกของเส้นต่าง และวิธีเขียน


ภาษาจีนเยอะหน่อยนะคะ เพราะสื่อภาษาอังกฤษ หน่อยเคยลงไปเยอะแล้วเนอะ




อันนี้ ภาษาอังกฤษนะคะ

เราว่าตลกดี บทสนทนาง่ายๆ



สุดท้ายนี้


ขอให้คุณพ่อคุณแม่อย่าท้อแท้นะคะ ค่อยเป็นค่อยไป

เหนื่อยวันนี้ แต่รับรองว่า สบายวันหน้าแน่นอนค่ะ



ขอบคุณนะคะ ทุกๆคน




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2554
3 comments
Last Update : 15 สิงหาคม 2554 9:41:25 น.
Counter : 12226 Pageviews.

 

ยังไม่ได้เป็นคุณแม่ค่ะ แต่นับถือจขบจริงๆ ค่ะ
สาวน้อยน่ารักมากๆ ค่ะ เก่งมากๆ ด้วย

 

โดย: อุมาพรจ้า (Umaphorn20 ) 18 กันยายน 2554 13:14:07 น.  

 

ขอบคุณค่ะ สำหรับบลอกดีๆแบบนี้ พอดีมีคนแปะลิงค์ไว้ให้

ตอนแรกก็กลุ้มใจเหมือนกันค่ะ สามีเป็นคาเนเดียนเหมือนกันเลยค่ะ และพูดไทยไม่ได้ซักแอะ เราเพิ่งจะท้องได้สองเดือนกว่าๆค่ะ แต่ก็เริ่มคิดๆไว้เหมือนกันค่ะ ว่าจะทำยังไงให้ลูกพูดภาษาไทยได้ด้วย เพราะว่าพ่อกะแม่เราก็ภาษาอังกฤษไม่ไปเหมือนกันค่ะ แล้วลูกก็น่าจะโตที่นี่ เรากลัวลูกจะคุยกับคุณตาคุณยายไม่ได้

ซาบซึ้งมากค่ะ

 

โดย: แพท (jndioz ) 2 เมษายน 2555 13:45:28 น.  

 

ถ้าเริ่มสอนสามภาษานี่ ไม่ทราบว่าแบ่งเวลาอย่างไรเหรอคะ

เช่น วัน จ. ภาษาอังกฤษ
วัน อ. ภาษาไทย
วัน พ. ภาษาจีน

รึเปล่าคะ?
หรือพูดผสมกันในหนึ่งวันคะ????

กำลังอยากจะสอนลูกพูดสามภาษาเหมือนกันค่ะ...
ภาษาที่สามคือ ภาษาอังกฤษค่ะ...

ตอนนี้น้องฟังและทำตามคำสั่งภาษาเกาหลี และไทย ออก แล้วนะคะ
แต่ยังพูดไม่ได้ (ลูก 17 เดือน ค่ะ) อ่านไม่ออกนะคะ...

ส่วนภาษาอังกฤษแม่เองไม่เก่ง จะเริ่มพร้อมลูกค่ะ แต่แม่ไม่รู้จะเริ่มยังไง... แบ่งเป็นวัน หรือพูดสามภาษาในหนึ่งวันดีน่ะค่ะ...

 

โดย: us.amii (us.amii ) 21 มิถุนายน 2555 15:15:50 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


รักแม่นะคะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 49 คน [?]




Friends' blogs
[Add รักแม่นะคะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.