ตุลาคม 2551

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
26
27
28
29
30
31
 
 
Candi Sukuh : วัด Rate R ที่ผู้ปกครองต้องให้คำแนะนำ




เช้าวันนี้อากาศสดใส แม้เมื่อคืนจะนอนไม่ค่อยหลับ แต่สงสัยฮอร์โมนอะดรีนาลินจะรินไหลมากเป็นพิเศษ ตื่นเช้าขึ้นมาก็เลยยังมีพลังอยู่

คนขับรถมาถึงตรงเวลา 9.00 น. ก็เริ่มออกเดินทางไปวัดสุโขค่ะ (Candi Sukuh)

วัดนี้อยู่ที่เชิงเขา Lawu เมืองโซโล ระหว่างทางที่ผ่านทิวทัศน์สวยงาม สองข้างทางเป็นทุ่งนาสีเขียว ยอดข้าวต้องลมปลิ้วปลิวไสวเชียวค่ะ พอขึ้นเขาไปสูงอีกหน่อยก็เริ่มเห็นแปลงผัก ทำไร่ชา ส่วนอากาศก็ดี
เย็นสบาย จนต้องเปิดหน้าต่างรับอากาศดีๆ เดินทางประมาณ 1 ช.ม. ก็ถึงวัดสุโข



วัดนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1000 เมตร สร้างในราวศตวรรษที่ 15 เพื่อถวายแด่พระศิวะ โดยศิลปะที่วัดนี้จะไม่เหมือนวัดอื่นๆ อย่างน้อย 2 ประการ คือ

ประการแรก เมื่อมองแวบแรก เราจะเห็นว่า สถาปัตยกรรมของวัดนี้ค่อนไปทางสถาปัตยกรรมแบบมายา คือ สร้างในรูปแบบปิรามิดผ่ากลาง มากกว่าจะเป็นเจดีย์ทรงสูงเหมือนวัดทั่วไปค่ะ

ประการที่สอง คือ แนวคิดของวัดจะให้ความสำคัญกับชีวิตก่อนกำเนิด และ เพศศึกษาค่ะ

อ๊ะ..อ๊ะ... สนใจแล้วใช่ไหมล่ะ...
ด้วยความแตกต่างอย่างนี้ล่ะ ทำให้เราสนใจไปดูวัดนี้ เพราะเห็นวัด หรือปราสาทหินมาเยอะแล้ว ต้องหาอะไรแปลกๆ ดูมั่ง

ทีนี้ตามกันมาดูศิลปะที่ว่านี้ดีกว่าค่ะ



รูปนี้เป็นทางเข้าวัดทาง ทำเป็นรูปปิรามิดผ่านครึ่งอย่างที่บอก หากเปิดประตูสีฟ้าเข้าไปจะเห็นรูปที่อยู่ขวาล่างอยู่บนพื้น เป็นรูปอะไรเอ่ย... ลองดูดีๆ ซิ

1..2..3..4..5...6..7..8..9..10..............เอ้า! เฉลยค่ะ

เป็นรูปโยนีกะลึงค์ค่ะ..... คงไม่ต้องบรรยายต่อนะคะ
อาจถือได้...รูปนี้เป็นสัญญลักษณ์ของการเริ่มต้นชีวิต

มีเรื่องเล่าว่า.. สมัยก่อนนานมาแล้ว... เค้าจะใช้สัญญลักษณ์นี้ในการทดสอบความซื่อสัตย์ของผู้หญิงค่ะ
คือ ให้ผู้หญิงก้าวข้ามรูปโยนีกะลึงค์เนี่ยล่ะค่ะ ถ้าผ้าถุงผู้หญิงขาด แสดงว่า เธอไม่ซื่อสัตย์ต่อสามีค่ะ
อันนี้ไม่ยืนยันข้อมูลนะคะ... อ่านเจอในเวบไซต์สักแห่ง แต่กลับไปหาอีกทีก็ไม่เจอแล้วค่ะ

ส่วนอีกรูปที่เป็นผู้ชายและมีสัญญลักษณ์เพศชายโดดเด่นนั่น.. เป็นรูปสลักด้านข้างของทางเข้าค่ะ

ก้าวข้ามโยนีกะลึงค์ไป ก็จะเข้าสู่ชั้นที่ 1 ที่ชั้นนี้เป็นลานเล็กๆ ไม่ค่อยมีอะไรค่ะ แผ่นหินแกะสลัก รูปปั้นวางประดับประปราย แต่วิวทิวทัศน์กับอากาศนี่ซิสุดยอด...

แดดอ่อนๆ ลมเย็น อากาศดีมาก ปราศจากมลพิษโดยสิ้นเชิง เพราะพอสูดอากาศเข้าไปรู้สึกว่า ปอดมันโล่ง และเต็มอิ่มมากเลยค่ะ
ด้วยนิสัยโอ้เอ้... ก็เลยหยุดชมธรรมชาติที่นี่ พร้อมๆ กับสูดอากาศบริสุทธิ์ที่นี่ซักพักนึง

ฮึดดด..... ฮึดดดดด............... ฮึดดดดดดดดดด............... zzzzz......zzzzzzzzzzz
......................................

ระหว่างสูดอากาศ.. ขอบรรยายนิดนะคะว่า วัดสุโขเนี่ยประกอบด้วย 3 ลาน ซึ่งทำเป็น 3 ระดับ ทางขึ้นสู่แต่ละระดับจะทำเป็นปิรามิดผ่าครึ่งอย่างที่เห็นนี่ล่ะค่ะ
เข้าใจเอาเองว่า ลักษณะการทำเป็นชั้นๆ สูงขึ้นสูงขึ้น น่าจะเป็น Concept เดียวกับของปราสาทของเขมร ที่มีความเชื่อว่า ปราสาทคือรูปจำลองของเขาพระสุเมรุ จึงทำให้ให้สูงขึ้นเป็นชั้นๆไปค่ะ
โดยชั้นที่สูงที่สุด คือ ส่วนที่สำคัญที่สุดของวัด ซึ่งวัดนี้ก็เช่นกันค่ะ

เอ้า! ไปต่อกันได้ล่ะ

เมื่อก้าวขึ้นบันไดไม่กี่ขั้น สู่ชั้นที่ 2



เราพบตัวเองยืนอยู่บนลานกว้าง มีรูปปั้นกระจายตัวอยู่ห่างๆ มีแผ่นหินวางเรียงกัน เหมือนจะพยายามบอกเล่าเรื่องราวอะไรสักอย่าง

จากที่ค้นคว้ามาเค้าบอกว่า เป็นเรื่องของ Wayang Stories เช่น Sudamala, Garudeya และ Dewa Ruci เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ก็จนปัญญาค่ะ
ใครที่พอจะทราบเรื่อง จะช่วยเติมเรื่องให้สมบูรณ์ขึ้น ก็จะยินดียิ่งค่ะ





รูปปั้นนี้.. ไม่แน่ใจว่าเป็นรูปครุฑ หรือ Garuda หรือเปล่า เพราะศีรษะหายไป แต่สังเกตบริเวณท้องนะคะ รู้สึกจะเน้น...เหมือนรูปอื่นๆ เลย



แผ่นหินเรื่องเล่าจาก Sudamala ค่ะ



รูปนี้แกะเป็นรูปเกือกม้า ภายใน Bima กำลังเผชิญหน้ากับ Betari Guru
ใต้ลงมาเป็นรูปของผู้หญิงกำลังอุ้มเด็ก และใต้ผู้หญิงก็มีคน 2 คนกำลังแย่งเด็กกันค่ะ
พยายามคิดว่า รูปนี้พยายามจะสื่อถึงอะไร... ลองช่วยกันคิดดู และออกความเห็นกันมาก็ได้นะคะ

รูปปั้นอีกอันหนึ่งที่เรียกเสียงฮือฮา... ได้น่าดู คือ รูปนี้ค่ะ



ถ้าคนมีอารมณ์ขันหน่อย ก็จะไปยืนด้านหลังรูปปั้น พร้อมไพล่มือไปด้านหลัง เห็นแล้วก็ขำๆ ดีค่ะ

สุดทางเดินของลานชั้นที่ 2 จะเป็นทางขึ้นลานชั้นที่ 3 ซึ่งเป็น Highlight ของวัดแห่งนี้ เนื่องจากรูปปั้นสำคัญๆ จะอยู่บริเวณนี้ล่ะค่ะ
ขณะที่ตรงหน้าทางขึ้นจะมีเต่าขนาดใหญ่ที่มีแผ่นหลังเรียบ 3 ตัว เพื่อเป็นแท่นบูชา หลังจึงต้องเรียบอย่างที่เห็นนี่ล่ะค่ะ



เอาล่ะค่ะตามขึ้นมาลานชั้นที่ 3 เลยค่ะ



อ้าว! ว้าว!.....ว้าวว!....ว้าววววว!....

เปล่าหรอก ที่สูงสุดของปิรามิดแห่งนี้.... ไม่มีรูปปั้น ไม่มีหินแกะสลัก...ไม่มีอะไรที่พิศดารหรอกค่ะ

ท่ามกลางสายลมเย็น เรามองเห็นนาขั้นบันไดลาดตามไหล่เขาลงไป... เห็นแปลงผัก เห็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ เห็นไร่ชาที่ทำเป็นขั้นบันได ประกอบกับอากาศที่แสนพิสุทธิ์......






เราค่อยๆ สูดลมหายใจ แล้วก็รู้สึกว่า ปอด 2 ข้างของเราช่างชุ่มเย็น อิ่มเอิบ ชุ่มฉ่ำไปด้วยโอโซนและอากาศบริสุทธิ์ ที่หาไม่ได้ในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่....

.......................

แม้ที่นี่จะไม่ได้มีสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่เหมือนนครวัด ไม่มีสถาปัตยกรรมที่อ่อนช้อยเหมือนหลายวัดในบ้านเรา

แต่ที่นี่มีสัจจธรรม... เพราะ

"ท่ามกลางธรรมชาติที่แสนจะยิ่งใหญ่ มีความเรียบง่าย และนั่นคือ จุดที่ชีวิตที่แท้จริงได้เริ่มต้นขึ้น"





Create Date : 24 ตุลาคม 2551
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 14:25:30 น.
Counter : 364 Pageviews.

4 comments
  
โอ้ เป็นสถาปัตยกรรม และประติมากรรม

ที่หาดูที่ไหนไม่ได้จริงๆ

อ่าว รูปคนแย่งเด็กทำไมไม่ขึ้นอ่า
โดย: มังกรเขียวหัวยุ่ง (cruduslife ) วันที่: 24 ตุลาคม 2551 เวลา:11:51:42 น.
  
เช็คแล้วรูปขึ้นนะคะ แต่สงสัยเน็ตจะช้าค่ะ ขอบคุณที่แวะเยี่ยมค่ะ
โดย: Sea Sand n Star (Sea Sand n Star ) วันที่: 24 ตุลาคม 2551 เวลา:11:56:27 น.
  
ขอบคุณค่ะสำหรับความรู้ใหม่ๆ ที่แถมพกมาพร้อมกับความฮา (ควรไหมเรา!)
โดย: adaytrip วันที่: 24 ตุลาคม 2551 เวลา:12:24:18 น.
  
Thanks for the story.
โดย: PatPDX IP: 72.223.100.13 วันที่: 24 ตุลาคม 2551 เวลา:12:36:44 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sea Sand n Star
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]