|
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
11 มิถุนายน 2550
|
|
|
|
ทำไม DSLR ถึงมีคุณภาพของภาพดีกว่า ในขณะที่ขนาดภาพเท่ากัน
ลบ
Create Date : 11 มิถุนายน 2550 |
Last Update : 17 มีนาคม 2560 1:17:12 น. |
|
5 comments
|
Counter : 997 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
แมวเหมียวพุงป่อง |
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 67 คน [?]
|
งดทิป
ชอบใจเนื้อหา - ก้อปปี้ไปเผยแพร่ในเน็ตได้ แต่**ต้อง**อ้างอิงถึงที่มา - ห้ามนำไปตีพิมพ์ลงบนกระดาษ
การละเมิด แล้วโดนฟ้องร้อง ไม่มีการต่อรอง คดีจบเมื่อศาลตัดสินเท่านั้น .. เคลียร์?
|
|
|
ดูรูป B ดีๆ
จะเห็นว่า แต่ละ APS มันแยกจากกันค่อนข้างห่าง
สังเกตุในรูป ซ้ายล่างไหม ส่วนที่มีชื่อว่า Potential Well ... มันเป็นบ่อเก็บอีเล็คตรอน
เวลาแสงมาโดน Photodiode มันจะชนให้อีเล็คตรอนกระเด็นมากองอยู่ในบ่อ
แสงมาก อีเล็กตรอนก็มีมาก
แต่ถ้าบ่อตื้น หรือ ระยะระหว่างบ่อแคบ เจ้าอีเล็กตรอนจากบ่อนึง ก็ล้นท่วมไปอีกบ่อนึงได้
นี่ก็อีกส่วน ที่ทำให้คุณภาพของรูปที่มี APS เล็กๆ ต่ำลง (ไม่เกี่ยวกับขนาดของ CCD เลย)
เจ้าบ่องี่เง่านี่ ยังก่อปัญหาอีกหลายเรื่อง
มันไม่ใช่บ่อที่ขุดมาดีๆ ... มันมีรั่วมีซึม
ถ้าบ่อเล็กๆ จะมีอีเล็คตรอน (E-) ซึมเข้าไปท่วมบ่อได้
ทั้งๆที่ไม่ได้มีแสงหล่นลงไปซักหน่อย
ถ้าบ่อเล็กมาก นอกจากใส่ E- ได้แค่ 4-5,000 ตัวก็ท่วม ก่อปัญหาอย่างที่ว่าไปใน คห.16 แล้ว
ตอนไม่มีแสง ยังมี E- ซึมเข้ามาท่วม 40-50 ตัวเป็นประจำ
เขาเรียก E- ที่ซึมเข้ามาเนี่ย ว่า Dark Current, Thermal Electron ... (ภาษาชาวบ้าน เขาเรียกว่า noise .. สัญญาณกวนจ้ะ)
แถมไอ้เจ้า E- เนี่ย ... ยิ่งร้อน ยิ่งซึมเร็ว
ตัว CCD อันกระจิ๋ว มันร้อนอ่ะ .. ระบายความร้อนไม่ทันหรอก
ในขณะที่บ่อใหญ่ๆ คุณภาพสูงปรี๊ด มี E- ซึมเข้ามาแค่ 5-10 ตัวเอง
แถมยังเก็บ E- ได้ 30,000-50,000 ตัวแหนะ
เมื่อตัวมันใหญ่ ลายทองแดงเส้นใหญ่ๆ ก็ระบายความร้อนออกได้เร็ว
สรุปๆ .. คุณภาพมันจะต่างกันขนาดไหน เห็นๆอยู่ โดยไม่ต้องไปวุ่นวายเรื่องอื่นๆ ให้ปวดหัวเพิ่ม
การกำจัด noise จะทำให้คุณภาพรูปลดลง
การกำจัด E- ที่ล้นท่วม ทำให้คุณภาพรูปลดลง
กระบวนการสร้างภาพ ล้างภาพ เก็บภาพ กินพลังงาน และช้า ... ถ้าจะให้เร็ว ก็ต้องเก็บหยาบๆ .. ข้อมูลภาพที่ไม่สำคัญเท่าไหร่ ก็โยนทิ้งไป
พวกนี้ ทำให้คุณภาพของภาพสุดท้าย แย่ทั้งนั้น
กล้องใหญ่ ... นอกจาก APS ใหญ่แล้ว วงจรซับซ้อนขึ้น ทำให้ภาพออกมาดีเยี่ยม
แต่ราคาแพงขึ้นด้วย
แสงที่จะสร้างภาพใน APS ได้นั้น ... จะต้องส่องลงมาตรงๆ เท่านั้น เพราะเหนือ APS แต่ละตัว มันมีฉากบังแสงอยู่ (exposure gate)
และ บ.ที่ผลิต CCD ก็พยายามหาทางป้องกัน ไม่ให้แสงที่ส่องเฉียงๆ เข้ามา ทะลุจากบ่อ APS หนึ่ง ไปอีกบ่อได้
เพราะถ้าขืนปล่อยให้ทะลุ ... แสงสีแดง ซึ่งควรชน APS สีแดง ดันทะลุไปชนสีน้ำเงิน ภาพมันจะเละ
ทุกวันนี้ ประสิทธิภาพการเปลี่ยนแสง (Photon, P) เป็นภาพ (Electron, E-) ของ CCD ทั่วไป มันแค่ 20%-40% เอง
หมายความว่า แสง (P) 100% ทำให้เกิดภาพ (E-) ได้แค่ 20-40% เท่านั้น
ยังเหลือแสงอีกตั้งเยอะ ที่ไม่ได้ทำให้เกิดภาพ
แสงพวกนี้แหละคือตัวปัญหา .. เพราะมันจะทะลุไปได้ แล้วไปสร้างภาพที่บ่อ APS ข้างๆ
ลองนึกภาพเลนส์กับแสงดูนะ (พื้นฐานสุดๆเลย )
แสงที่เข้ามาตรงกลางเลนส์ ผ่านเลนส์ และยิงตรงไปที่ กลาง CCD/CMOS
แสงที่เข้ามาตรงริมขอบเลนส์ ผ่านเลนส์แล้วเกิดการหักเห ไปยังจุดโฟกัสที่ ริมขอบ CCD/CMOS
ถามว่า ในกรณีหลัง แสงที่กระทบ CCD/CMOS เป็นแสงตรง หรือแสงเฉียง
ถ้าเป็นแสงเฉียง ... ภาพบริเวณขอบๆภาพ เละแน่นอน
เพราะ CCD/CMOS ต้องการแสงที่ตกลงมาตรงๆ ตั้งฉากกับผิวเท่านั้น
ถ้า CCD/CMOS มีขนาดเล็ก เจ้ามุมที่ว่า มันก็ไม่เท่าไหร่
แต่ถ้าใหญ่ขึ้น แสงกระทบเฉียงแน่นอน
ถ้าไม่ให้กระทบเฉียงๆ ต้องทำอย่างไร?
ใส่ชิ้นเลนส์ เพื่อแก้ไขเรื่องพวกนี้มันเข้าไป
พอใส่เข้าไป แสงที่มาจากขอบผิวเลนส์ด้านนอก จะถูกบีบให้กลายเป็นแสงขนาน ไปกระทบผิว CCD/CMOS แบบตั้งฉาก .. OK หมดปัญหา
แต่
ชิ้นเลนส์ที่ใส่เพิ่ม ... มันจะทำให้เลนส์กระบอกโตเป็นบั้งไฟหมื่น!
แถมน้ำหนัก หยั่งกะบั้งไฟแสน
จะเห็นได้ว่า .. เลนส์กล้อง 3:2 ทุกยี่ห้อ ที่รุ่นโปรๆหน่อย ซึ่ง "ให้ภาพคมชัด สีบาดตา"
นอกจากใหญ่และหนักแล้ว ราคาเลนส์ยังบาดกระเป๋าเรา จนฉีกกระจาย สบายๆ
ทั้งๆที่ขนาด CCD/CMOS มันแค่ 22.5 x 15mm เท่านั้น
ในขณะที่ถ้าเป็นกล้องฟิล์ม .. ขนาดฟิล์ม 36mm x 24mm .. พื้นที่ตัวรับแสงใหญ่กว่ากันเกือบเท่าตัว .. แต่เลนส์ระดับเดียวกัน เล็กกว่าเกือบครึ่งเหมือนกัน
เพราะอะไร?
เพราะในฟิล์มนั้น APS (ผลึกเงิน) ไม่สนใจว่า แสงจะมาจากทิศทางไหน ... ขอเพียงชนมันก็ใช้ได้
และแสงที่ไม่ชนมัน ... ไม่มีสิทธิทะลุไปชนผลึกเงินอื่นๆด้วย
................
เทคโนโลยีทุกวันนี้ สามารถผลิต CCD ขนาด 24 x 36mm ได้แล้ว
จะว่าไป ผลิตขนาดใหญ่กว่านั้น ก็มี แถมขายได้เป็นล่ำเป็นสันมาหลายปี
แล้วทำไม กล้อง DSLR ถึงหยุดอยู่แค่ 28 x 22mm?
โดยส่วนใหญ่หยุดแค่ 22mm x 15mm
สาเหตุก็เพราะเรื่องเลนส์ และ CCD/CMOS ที่รับแสงเฉียงๆไม่ได้ มันบังคับนี่แหละ
ถ้าใช้ CCD/CMOS ขนาดเท่าฟิล์มเมื่อไหร่
เลนส์ที่มีขายทุกวันนี้ ... ต้องทิ้งทั้งหมด
และจะใช้เลนส์(ดีๆ)ของกล้องฟิล์ม ไม่ได้เลย
ถามว่า อีกห้าปีข้างหน้า เทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น จะมีทางก้าวข้ามข้อบังคับนี้ได้ไหม?
ณ วินาทีนี้ ฟันธงได้เลยครับว่า ... ไม่ได้
เพราะเราไม่สามารถยกเลิกกฏพื้นฐานทางฟิสิกส์ได้
ก็คงต้องใช้กล้องดิจิตอล ที่มีเซนเซอร์จิ๋วๆเหล่านี้ต่อปายยยยย ...
................
เจ้า microlens เหนือ APS นั่น ยิ่งเสริมปัญหานี้หนักเข้าไปอีกครับ
เพราะแม้จะทำให้พื้นที่รับแสง (ตรงๆ) เพิ่มขึ้น
มันจะทำให้แสงที่มาจากด้านข้าง ไม่ไหลลงบ่อ
บ.ที่ผลิต CCD/CMOS เขาอยากจะเอามันออกใจจะขาด
เพราะนอกจากทำให้ต้นทุนเพิ่ม
มันยังก่อปัญหาทางแสงอีก
ทุกวันนี้ เหนือ APS มีอะไรบ้าง?
มี microlens หนึ่งชั้น
มี Bayer filter หนึ่งชั้น (filter แยกสี)
มี low pass filter (Anti-moire) อีกหนึ่งชั้น
มี infrared filter อีกหนึ่งชั้น (CCD/CMOS มันไวต่อ infrared อย่างมากๆ ... จน sony เคยเอาไปโฆษณาเรื่องกล้องถ่ายในที่มืด ที่ถ่ายทะลุเสื้อผ้าได้ )
เอาออกได้ซักชั้นจะดีไม่น้อย
ยิ่งเอาออกได้ 2 ชั้น ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
ตั้งหน้าตั้งตารอ sensor แบบ foveon พัฒนามาขายอย่างเป็นหลักเป็นฐานซักที (หลักการทำงาน ใกล้เคียงกล้องฟิล์มอย่างมากๆ) ... ทุกวันนี้ มีแต่ vivitar เจ้าเดียวที่ใช้อยู่ ..
ไม่ต้องมีชั้น Bayer
อาจไม่ต้องมีชั้น LPF
และอาจไม่ต้องมีชั้นของ microlens ด้วย