Work From Home ต้องเลือกเน็ตอย่างไร หลายๆท่านตอนนี้ต้องทำงานอยู่ที่บ้าน "Work From Home" หรือที่หลายคนย่อว่า "WFH" ความหมายตรงๆ คือ “การทำงานที่บ้าน” เป็นเทรนด์การทำงานยุคใหม่ที่ตามมากับเทคโนโลยีสารสนเทศที่พัฒนาไปจนทำให้ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีต้นทุนที่ต่ำลง ประกอบกับพฤติกรรมการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่มองหาการทำงานแบบอิสระ ให้คุณค่าทั้งงาน และการเดินทางเพื่อรับประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับชีวิต เมื่อเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเข้าถึงคนส่วนใหญ่ ผ่านทางอุปกรณ์ส่วนตัวได้ อย่างแลปท็อป สมาร์ทโฟน จึงช่วยเทรนด์การทำงานที่บ้านชัดเจนขึ้น สามารถทำงาน และสื่อสารกันที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ หรือเพราะปัญหาโรคระบาดอย่าง “โควิด-19” ที่มาจากไวรัส “โคโรน่า” ที่ยังคงเเพร่กระจายเป็นวงกว้างในหลายๆพื้นที่ ในสถานการณ์ปัจจุบัน Work Form Home อาจไม่ใช่แค่เทรนด์การทำงานที่เกิดขึ้นตามสมัยนิยม หรือ “ทางเลือก” ในการทำงานเท่านั้น แต่มันกำลังจะกลายเป็น “ทางรอด” ของมวลมนุษยชาติ การเอาตัวรอดจากเชื้อโรคร้ายที่มองไม่เห็น เเละไม่รู้ว่าเราจะติดเมื่อไหร่ เมื่อคราวเกิดวิกฤตโรคระบาด อย่างที่เรากำลังเผชิญ "Social Distancing" หรือ "การรักษาระยะห่างทางสังคม" จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องนำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในประเทศกลุ่มเสี่ยง เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของโรคจากคนสู่คนได้ "Work From Home" จึงเป็นหนึ่งทางเลือกที่สำคัญ ที่จะช่วยให้คนส่วนใหญ่รักษาระยะห่างกับสังคมได้ โดยสามารถลดการพบปะ พูดคุย หรือรวมตัวอยู่ในพื้นที่แออัด ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยลดการแพร่ระบาดของโรค “โควิด-19” ได้อย่างดี แม้แต่ Work From Home ของบรรดาพนักงานประจำที่สามารถทำงานที่บ้านได้ ก็จะต้องได้รับการสนับสนุนระดับนโยบายขององค์กร ที่ต้องเอื้อต่อการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนในการติดต่อสื่อสาร สนับสนุนอุปกรณ์ในการทำงานของพนักงาน และปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องดูแลเพื่อให้งานดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตมากเกินไป ดังนั้นเเล้ว ตัวเเปรสำคัญสำหลับการ Work From Home (WFH) ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการสื่อสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการค้นคว้าหาข้อมูล หรือการะติดต่อกันเองในองค์กร การเลือกใช้อินเตอร์เน็ตจึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นเเล้วเราต้องมาดูกันว่าการใช้ อินเตอร์เน็ตของเรานั้นใช้ในปริมาณมากน้อยเพียงไหน หรือการอัพโหลดหรือดาว์นโหลดข้อมูลต่างๆนั้น ใช้มากเท่าไหร่ ซื้อเเต่ล่ะงานมักจะทำงานในรูปเเบบเเตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเเล้ว ปริมาณเเละความเร็วของอินเตอร์เน็ตจึงถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง หลายๆคนคงสงสัยอยู่ว่าไม่ลดสปีดดีไหม? จะเพียงพอกับการใช้งานไหม หรือเน็ตจำกัดปริมาณ ไม่จำกัดความเร็ว ต่างกันยังไง และทำอะไรได้บ้าง สำหรับไม่ลดสปีดนี้ “เน็ตไม่ลดสปีด” ถ้าใครใช้แพ็กเกจนี้อาจจะรู้สึกว่าทำไมเน็ตโหลดช้าจัง ทั้งที่สัญญาณก็เต็ม ความจริงแล้วก็คือเราจะถูกล็อกความเร็วสูงสุดไว้ตามแพ็กเกจที่ท่านได้เลือกใช้งาน เช่น ใช้แพ็กเกจเสริมความเร็ว 2 Mbps ก็จะโหลดได้ความเร็วสูงสุด 2 Mbps ไม่เร็วไปกว่านี้แล้ว แต่จะมีข้อดีตรงที่เราจะใช้งานเท่าไหร่ก็ได้เลย เยอะแค่ไหนก็ยังคงเร็วเท่านี้ไปเรื่อยๆ ถ้าหากแพ็กเกจไม่ได้กำหนดว่าใช้งานได้เท่าไหร่ถึงจะถูกลดความเร็ว ซึ่งก็มีให้เลือกตั้งแต่ 512Kbps, 1Mbps, 4Mbps, 6Mbps, 10Mbps โดยไม่อั้นไม่ลดสปีดกันเลยทีเดียว “เน็ตจำกัดปริมาณ ไม่จำกัดความเร็ว” แพ็กเกจโดยส่วนใหญ่จะเป็นประเภทนี้ คือจะกำหนดมาเลยว่าในเดือนนึงสามารถใช้งานได้กี่ GB ที่ความเร็วสูงสุด เมื่อใช้ครบปริมาณแล้ว ความเร็วจะลดลงเหลือ 128-384 Kbps แล้วแต่เครือข่ายกำหนด ข้อดีคือถ้าใช้เน็ตในแพ็กเกจจะได้ความเร็วสูงสุด ไม่มีล็อกความเร็วใดๆ แต่พอใช้ครบแล้วก็จะช้า ในปัจจุบัน “เน็ตไม่ลดสปีด” กำลังเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย เพราะไลฟ์สไตล์คนในยุคนี้มักจะให้เครื่องมือสื่อสารกันเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง โทรผ่านโปรแกรม Line แบบ VDO Call หรือจะเป็นการเล่นเกมส์ “เน็ตไม่ลดสปีด” จะเน้นความเร็วพอประมาณ แต่เน้นใช้งานในปริมาณที่เยอะ เช่น ดูหนังออนไลน์ ดูซีรีย์ออนไลน์ ดูทีวีสดช่องต่างๆผ่านทางมือถือ ไลฟ์สดFacebook จะเล่น TikTok หรือจะไลฟ์สดผ่าน Youtube รวมไปถึงการ Upload และ Download ไฟล์ขนาดใหญ่ ต่างๆ ก็สามารถทำได้ เราจะมาดูกันว่าควรเลือกใช้งานแพ็กเกจเเบบไหนถึงจะคุ้มที่สุด? จะเลือกแพ็กเกจเน็ตที่ดีที่สุดสำหรับเรา เราต้องพิจารณาการใช้งานของเราก่อน ว่าเป็นแบบไหน เพื่อที่จะได้เลือกใช้แพ็กเกจที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเราได้ • สายเดินทาง : คนที่เดินทางบ่อยๆ ใช้ชีวิตนอกบ้านแทบทั้งวัน จะต้องพึ่งพาเน็ตมือถือเป็นหลัก สำหรับการติดต่อสื่อสาร พูดคุยผ่านไลน์ ดูYoutube ฟังเพลง เข้าเว็บไซต์ คือเหมาะมาก คือไม่ต้องการเน็ตเร็วปู๊ดป๊าดมากมาย แค่เน้นปริมาณให้ใช้งานได้ตลอดทั้งเดือนก็เพียงพอแล้ว ควรเลือกใช้แพ็กเกจ“เน็ตไม่ลดสปีด” จึงจะดีที่สุด เพราะในระหว่างวันเราไม่ต้องมากังวลว่าเน็ตจะหมดตอนไหน • สายบันเทิง : ดูทีวีออนไลน์, LINE TV หรือ Youtube ทั้งวันตลอดเวลา เน็ตเดือนนึงใช้งานมากกว่า 200 GB ต้องเลือกแพ็กเกจนี้เลย “เน็ตไม่ลดสปีด” ใช้งานตามปกติเยอะแค่ไหนก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะหมด ซีรีย์ของคุณดูได้ไม่ขาดตอนเเน่นอน • สายเกมส์เมอร์ : PUBG, ROV, FREE FIGHT ต้องเลือกแพ็กเกจนี้เลย “เน็ตไม่ลดสปีด” ใช้งานตามปกติเยอะแค่ไหนก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะหมด เล่นได้ไม่มีสะดุด • สายอยู่บ้านทั้งวัน : Work From Home (WFH) นานๆทีแม่ใช้ไปตลาด อินเตอร์เน็ตบ้านก็มีพร้อม เเต่เมื่อออกนอกบ้านเน็ตมือถือต้องพร้อมใช้ ก็ต้องเลือกเป็นเเพ็กเกจ “เน็ตจำกัดปริมาณ ไม่จำกัดความเร็ว” คุณสามารถเลือกใช้ตามปริมาณการใช้งานได้เลย “เน็ตไม่ลดสปีด” คิดว่าใครหลายๆคนคงจะสังเกตุเห็นแล้วว่าตัวโปรเน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีดนั้น เล่นเน็ตไม่อั้นก็จริง และก็ยังมีหลากหลายความเร็วให้เลือก ดังนั้นเพื่อนๆต้องรู้ก่อนว่าเราจะนำไปใช้งานอะไร แบบไหน ถึงจะใช้งานได้คุ้มค่าที่สุด เลือกให้ตรงกับความต้องการทำให้เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโปรเน็ตไม่ลดสปีดในแต่ละเดือนได้ โดยโปรเน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีดปัจจุบัน จำแนกออกตามความเร็วได้ดังนี้ 2Mbps ความหมายคือ เราสามารถใช้ความเร็วได้ที่ 128Kbps -2,000Kbps (2Mbps) เหมาะสำหรับ เล่น Social ฟังเพลงออน์ไลน์ เล่นเกมส์ขำๆได้ ดู Youtube บนมือถือความละเอียด 420p ได้แบบเหลือๆ ลื่นหัวแตก แต่เล่น Youtube ที่ความละเอียด 720p อาจจะมีกระตุกบ้างหากคลิปนั้นมีความยาวมากๆ หากจะนำไปใช้งาน Vedio Call หรือการโทรแบบเห็นหน้า ไม่แนะนำ เพราะภาพจะแตกและเสียงอาจจะขาดๆหายๆหรือกระตุก คุยกันไม่รู้เรื่อง 4Mbps ความหมายคือ เราสามารถใช้ความเร็วได้ที่ 128Kbps -4,000Kbps (4Mbps) เหมาะสำหรับ ใช้งานระดับกลางๆถึงทั่วไป เล่น Social ดูหนัง ดูละครย้อนหลัง เล่น TikTok หรือจะเล่นเกมส์พวก Rov ,PubG ,Freefire ได้ เพราะมีความเร็วมากขึ้นถึง 2 เท่า ดู Youtube ได้ที่ความละเอียด HD 720p ได้สบายๆ แต่จะดูพวกความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้ไม่ดีเท่าไหร่ หากคลิบมีความยาวมากๆ ส่วนในเรื่องของการนำมาวิดิโอคอล ตัวโปรเน็ตนี้ใช้ได้ ไม่ค่อยมีอาการกระตุก ดีเลย์ของเสียงหรืออาการแลคให้เห็น 10Mbps ความหมายคือ เราสามารถใช้ความเร็วได้ที่ 128Kbps -10,000Kbps (10Mbps)เหมาะสำหรับใช้งานได้ทั่วไป ถึงเร็วมาก เล่นSocial เล่นเกมส์ ดูหนัง ดูละครย้อนหลัง และสามารถดู Youtube ได้ที่ความละเอียดระดับ FullHD 1080p สบาย เพราะมีความเร็วมากขึ้นกว่าตัว 2Mbps เดิมถึง 5 เท่า และมีความเร็วมากกว่า 4Mbps เดิมถึงเกือบ 3 เท่า สามารถใช้งานวิดิโอคอลได้เป็นอย่างดี ภาพชัด เสียงไม่ดีเลย์ และสามารถนำไปไลฟ์สดได้ทั้งบน Facebook และ Youtube ดีเลย์จะค่อยข้างน้อยมากๆ ซึ่งความเร็วจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเช่นกัน เช่น ระดับความแรงของสัญญาญ จำนวนความหนาแน่นของประชากรในพื้นที่การใช้งาน ความเร็วของแพคเกจหรือโปรเน็ตที่เราเลือกใช้งาน ราคาและความเร็วย่อมมีผลเกี่ยวเนื่องกันจากการใช้งานแน่นอน เป็นที่น่าจับตาว่า หลังจากนี้การ Work From Home (WFH) หรือการทำงานที่บ้าน อาจไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในภาวะวิกฤติเท่านั้น แต่อาจพัฒนาไปสู่การทำงานไร้พรมแดนอย่าง "การทำงานที่ไหนก็ได้" หรือ "Work Everywhere" ที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้การทำงานในออฟฟิศ จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของแทบทุกองค์กรก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นเเล้ว การเตรียมความพร้อมจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องใช้ชีวิตเเบบนี้ไปอีกนานเเค่ไหน ถึงเเม้จะเปิดประเทศเเล้วก็ยังคงไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่ต้องกลับมา Work From Home กันอีก
Create Date : 13 ตุลาคม 2564 |
|
0 comments |
Last Update : 13 ตุลาคม 2564 15:54:42 น. |
Counter : 791 Pageviews. |
|
|
|