Requiem for a Dream ฉุดลากพากันไปลงนรกที่ไม่มีทางหวนคืน
ยอมรับเลยว่าหลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบ ใจนึงผมนึกอยากรีบๆลืมเรื่องราวที่เพิ่งผ่านสมองไป อีกใจนึงยังทนทุกข์ทรมานกับความรู้สึกที่ได้รับจากหนัง แต่ในทำนองเดียวกันอีกใจนึงกลับจดจำความรู้สึก เรื่องราว ตัวละคร การกระทำต่างๆที่เกิดขึ้นในหนัง กลายเป็นภาพความนึกคิดที่ติดอยู่ในหัวอย่างรุนแรงตลอดพักใหญ่หลังจากหนังได้จบไปแล้ว
ช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมาน หวาดผวา หดหู่ หลอน ขยะแขยง และน่าเศร้า เป็นความรู้สึกที่รุนแรงมากถึงขั้นมากที่สุด โดยเฉพาะในช่างท้ายๆของหนังที่ถาโถมเข้ามาจนแทบจะระเบิด จนผมรู้สึกอยากจะอ้วกออกมาเลยซะด้วยซ้ำ
มันเหมือนมีอะไรบางอย่างมาคอยฉุดมือผมแล้วค่อยๆลากลงไป จับไว้แน่นแบบไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย ลากลงไปลึกลงเรื่อยๆพร้อมๆกับตัวละครทุกคนในเรื่อง ช่วยกัน ฉุดลากพากันไปลงนรกที่ไม่มีทางหวนคืน
จะว่าไปแล้วล้วนเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ไม่สู้ดีเอาซะเลย แต่เมื่อมองในแง่กลับกันผมกลับคิดว่าหนังที่มีพลังระดับนี้ในโลกนี้ผมคิดว่าไม่ใช่ว่าจะหาดูกันได้ง่ายๆนะครับ หนังที่ทำให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมไปกับหนังแบบถึงที่สุด หนังที่ทำให้ผู้ชมอาจจะไม่สามารถละสายตาไปจากมันได้แม้แต่วินาที หรืออาจทำให้ผู้ชมไม่กล้าที่จะเผชิญความจริงที่จะเกิดขึ้นต่อไปในแต่ละวินาทีที่ผ่านไป มันเป็นหนังที่สามารถนำพาความรู้สึกของผู้ชมดำดิ่งไปสู่จุดที่ต่ำที่สุดแบบกัดไม่ปล่อยและไม่มีการประณีประนอมใดๆทั้งสิ้น แม้กระทั่งหลังจากที่หนังได้จบลงแล้วผู้ชมก็ไม่สามารถที่จะลืมความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ผมว่าทำได้ขนาดนี้ก็เพียงพอแล้วที่ผมจะเรียกได้ว่าเป็นหนังที่ยอดเยี่ยม
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของหนังเรื่องนี้ (นอกจากพลังอันมหาศาลของหนังที่จับต้องไม่ได้) เห็นจะหนีไม่พ้นงานด้านภาพ การตัดต่อ และเสียงประกอบ อันนี้ต้องบอกว่าทำได้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้กำกับ Darren Aronofsky มาตั้งแต่หนังเรื่อง Pi (ซึ่งผมดูไม่รู้เรื่อง) จนมาถึง Requiem for a Dream ด้วยการต่อแบบปุ๊บปั๊บฉับไว โดยเฉพาะฉากที่เน้นการกระทำที่ซ้ำซากของตัวละครแต่ละตัวไม่ว่าจะเป็นการฉีดเฮโรอีน เสพกัญชา การกินยาลดความอ้วน การกดปุ่มรีโมทเพื่อดูทีวี ซึ่งภาพได้เน้นไปจนถึงระดับเข็มฉีดยา เม็ดยา ไปจนถึง อาการรูม่านตาขยาย ภาพที่ถูกเน้นย้ำซ้ำไปซ้ำมาเหล่านี้อาจทำให้เรามึงงงไปกับภาพบ้างเล็กน้อย และนอกจากป็นสไตย์ลที่ดูเท่ ทันสมัย แล้วยังทำให้เนื้อเรื่องดูกระชับความเข้าใจมากขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลาบรรยายด้วยคำพูด เพราะเราต่างรับรู้จากภาพที่ไหลผ่านตาได้ง่ายๆว่าทุกคนล้วน เสพติด กิจกรรมเหล่านี้แบบถอนตัวไม่ขึ้น
เมื่อบวกกับเพลงประกอบอันสุดหลอกหลอนแล้ว กลับยิ่งทำให้เรารู้สึกถึงความฉิบหายต่างๆนาๆที่ซ่อนอยู่ค่อยๆทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะกิจกรรมต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่นำพาตัวละครแต่ละตัวได้ดำดิ่งลงนรกไปพร้อมๆกับผู้ชมจนจบ
Darren Aronofsky กับหนังเรื่อง Requiem for a Dream ประสบความสำเร็จในการดึงผมลงนรกไปพร้อมๆกับหนังที่จบลงและทำให้ผมเข้าใจว่า...
หนังที่ดีไม่จำเป็นจะต้องดูแล้วให้ความรู้สึกดีเสมอไป
Create Date : 12 ตุลาคม 2549 |
|
145 comments |
Last Update : 12 ตุลาคม 2549 14:13:32 น. |
Counter : 4306 Pageviews. |
|
|
|
แต่เห็นเพื่อนที่ดูแล้วบอกว่าเล่นเอาหลอนและเอามันซึมเศร้าไปหลายวันทีเดียว