"คนดี" เป็นได้ไม่ยาก..อยู่ที่..เราอยากเป็นหรือเปล่า..^^
Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2556
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
22 พฤศจิกายน 2556
 
All Blogs
 

เมื่อชีวิตคู่มันไปกันไม่ได้..ก็ต้องต่างคนต่างเดิน (5 ปัจจัยที่ทำให้เราไปกันไม่รอด)

อันที่จริง..ฉันได้ตัดสินใจให้ตัวเองเป็น Single Mom ตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนมีนาคมของเมื่อปีที่แล้ว... ปัจจัยสำคัญมีอยู่ 5 หัวข้อใหญ่ๆเลยคือ

1. เรื่องการมีเพศสัมพันธ์
    ฉันเชื่อว่าปัญหาชีวิตคู่ที่จบลงส่วนใหญ่ มีเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย แต่น้อยคนนักที่จะยอมรับกันตรงๆ สุดท้ายคงไม่พ้นสาเหตุเรื่อง "เราไปกันไม่ได้" แต่สำหรับฉัน ฉันยอมรับปัญหาและเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงเป็นอย่างดี และไม่อายที่จะตอบคำถามใครๆถึงสาเหตุที่แท้จริงในข้อนี้...
     เรามีปัญหาเรื่องนี้กันมาร่วมปีในช่วงหลังจากแต่งงานและก่อนจะมีลูก แต่ก็พยายามที่จะปรับและอดทนให้ได้มากที่สุด จนถึงวันที่เรามีลูก ปัญหานี้เหมือนจะหนักขึ้น ฉันพยายามหาทางออกให้กับปัญหาข้อนี้ ถามเขาว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้กันยังไง คำตอบที่ฉันได้รับจากเขาคือ "งั้นเขาขอไปใช้บริการลงอ่าง" สำหรับผู้หญิงคนอื่นฉันไม่รู้ว่า เค้ารับได้หรือไม่ได้ แต่สำหรับฉัน ฉันบอกได้เลยว่า "รับไม่ได้" ทั้งๆที่ก็รู้ว่า ผู้ชายส่วนใหญ่ขาดเรื่องแบบนี้ไม่ได้เพราะมันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเขา และฉันเองที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้ ฉันจึงบอกกับเขาไปว่า "งั้นต่างคนก็ต่างอยู่เถอะ ไปใช้ชีวิตที่ตัวเองอยากจะใช้ เพราะฉันรับไม่ได้จริงๆ ส่วนหน้าที่พ่อหน้าที่แม่ก็ทำให้ดีที่สุดแล้วกัน" ...

2. เรื่องการเงิน
    ปัญหาเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาในชีวิตคู่อีกเหมือนกัน และสำหรับคู่ของฉัน อาจเกิดจากการที่เราสองคนไม่ได้ตกลงคุยกันตั้งแต่แรกว่าใครจะเป็นคนดูแลเรื่องนี้หรือจะกระเป๋าใครกระเป๋ามัน และต่างคนต่างอยากเป็นคนที่ดูดีในสายตาคนอื่น อยากเป็นคนที่คนอื่นๆต่างให้การชื่นชมในเรื่องนี้ ที่สามีเป็นคนให้ภรรยาเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ ให้ภรรยาดูแลค่าใช้จ่ายภายในบ้านแต่เพียงผู้เดียว แต่กลับกลายเป็นว่า ตัวเขาอาจจะอยากได้ในสิ่งที่เขาอยากจะได้ ซึ่งสำหรับฉันบางอย่างฉันคิดว่า "ไม่จำเป็น" จึงไม่ได้อนุมัติให้กับเขา เพราะสำหรับฉัน ฉันมองถึงเรื่องของ "ความจำเป็น" มากกว่า "ของที่อยากจะได้" จึงทำให้เขารู้สึกไม่มีอิสรภาพในการใช้เงิน

3. เรื่องการเลี้ยงดูจากคนละครอบครัว
    ต่างคนต่างมา ร้อยพ่อพันแม่ของแต่ละครอบครัวการเลี้ยงลูกของแต่ละครอบครัวที่แตกต่างกัน ตรงจุดนี้ฉันเองก็ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเข้าใจ แต่กลับกลายเป็นว่า ฉันทนฝืนเข้าใจในสิ่งที่ฉันเองไม่ชอบ ฉันซึ่งถูกเลี้ยงมาแบบช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง ต้องทำงานแลกกับเงินค่าขนม ฟรีๆ..น้อยครั้งมากที่จะได้รับ ถ้าไม่รู้สึกพิสวาสหรือคนให้ไม่ถูกหวยจริงๆ การตัดสินใจอะไรทุกอย่างในชีวิตส่วนใหญ่พ่อกับแม่จะไม่เคยก้าวก่าย ท่านทั้งสองให้เหตุผลว่า "โตแล้วคิดและตัดสินใจอะไรได้ด้วยตัวเอง เรียนรู้การผิดพลาดด้วยตัวเอง พ่อกับแม่เชื่อว่า หนูจะไม่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง" ฉนั้น..ทุกอย่างในชีวิต ฉันทำมันและสร้างมันด้วยสองมือของฉันเอง โดยมีพ่อกับแม่เป็นกำลังใจอยู่ห่างๆ แต่เมื่อไรก็ตามที่ถ้ามีปัญหาที่ฉันไม่สามารถแก้ไขให้มันผ่านไปได้ ท่านทั้งสองก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย...  ส่วนเขา ตลอดระยะเวลาที่คบกัน 3 ปี ก่อนตัดสินใจแต่งงานนั้น เขาดูเป็นผู้นำ ซึ่งฉันเองก็ต้องการคู่ชีวิตที่เป็นผู้นำมากกว่าผู้ตาม ต้องการคนที่สามารถทำให้ฉันรู้สึกเกรงใจเขาได้บ้างในบางเรื่อง แต่พอเอาเข้าจริง หลังจากแต่งงาน เขากลับกลายเป็นคนละคนที่ฉันเคยรู้จัก เขาหงอ..(ซึ่งฉันคิดว่าควรจะหงอในบางเรื่องไม่ใช่ทุกเรื่อง) เขาเป็นผู้ชายที่อะไรๆก็ "แม่" จนฉันรู้สึกว่า "เขาเหมือนลูกแหง่" จะคิดจะทำอะไรทุกอย่างต้องผ่านแม่ ... ถ้ามองในมุมสำหรับคนเป็นแม่ฉันคิดว่า "ดีจัง..ที่ลูกเวลาจะทำอะไรคิดถึงเราตลอดเวลา" แต่สำหรับชีวิตคู่ของฉัน "ฉันไม่ต้องการคนแบบนี้มาเป็นคู่ชีวิต" (ซึ่งฉันมาเห็นสิ่งที่เขาเป็นหลังจากที่ฉันแต่งงานและมีลูกแล้ว..และบอกได้เลยว่า ถ้าฉันเห็นมุมนี้ของเขาก่อนหน้าที่จะแต่งงาน ฉันไม่มีทางเลือกผู้ชายคนนี้เด็ดขาด) แต่ในเมื่อมารู้เอาตอนหลัง สิ่งที่ฉันทำได้คือ "อดทน" โดยเฉพาะเมื่อมีลูกแล้วยิ่งต้องใช้ความอดทนให้มากกว่าเดิมเป็นร้องเท่าพันเท่า แต่กลับกลายเป็นว่า "ฉันรู้สึกไม่มีความสุขกับชีวิตคู่เลย" หน้าไม่อยากจะมอง เขาทำอะไรก็รู้สึกไม่ถูกใจ ขัดหูขัดตาอยู่ตลอดเวลาไม่อยากให้เขาถูกเนื้อต้องตัว (และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ไม่อยากมีอะไรกับเขา) ความสุขในชีวิตเริ่มลดน้อยถอยลง สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันมีความสุขได้คือ "ลูก" คนเดียวเท่านั้น

4. คุณสมบัติการเป็นหัวหน้าครอบครัว
    ก่อนแต่งงานฉันมองว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่ฉันจะสามารถฝากชีวิตที่เหลือไว้ด้วยได้ คือคนที่จะทำให้ฉันรู้สึกเป็นที่พึ่งพิงเป็นคนสุดท้ายหลังจากที่ฉันเสียพ่อกับแม่ไปแล้ว แต่พอเอาเข้าจริง เขากลับไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิดเลย ช่วงหนึ่งหลังจากที่แต่งงานกันแล้ว(ตอนนั้นฉันยังไม่ท้อง) ฉันคุยกับเขาให้เขาออกจากงานและหาทำธุรกิจอะไรเป็นของตัวเองเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันไม่ต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างกรุงเทพกับสัตหีบ แต่เขาก็ยืนยันที่จะทำต่อไปโดยให้เหตุผลว่า "หมอดูบอกว่ายังออกไม่ได้เพราะเขากับบริษัทเคยทำบุญทำกรรมร่วมกันไว้ตั้งแต่เมื่อชาติที่แล้ว" ฉันไม่พูดอะไร และปล่อยให้เขาตัดสินใจในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง พอดีกับช่วงที่แม่ของเขาขายที่ขอยทางได้เลยให้เงินลงทุนมาก้อนหนึ่ง เขาเลือกที่จะลงทุนทำร้านหมูกระทะกับเพื่อนเขาที่บางแสนซึ่งไปเซ้งต่อเขามา โดยเจ้าร้านคนเดิมบอกว่าได้กำไรเดือนละเป็นแสนบวกกับที่เพื่อนของเขาไปเซอร์เวย์ด้วยการไปลองกินและสังเกตุการณ์คนที่มาใช้บริการเขาก็บอกว่า "น่าจะไปได้ดี" ฉันไม่ได้ห้ามอะไร แต่ก็เตือนเขาว่า "ให้คิดดีๆ เพราะถ้าร้านขายได้กำไรดีขนาดนั้นจริงๆเจ้าของเดิมเขาจะมาเซ้งทำไม"  โดยเขาก็บอกอีกว่า "เพราะเจ้าของเดิมไม่มีเวลาดูต้องคอยเทียวไปเทียวกลับระหว่างกรุงเทพ-บางแสน" ... จนวันที่ฉันท้อง..อีกประมาณ 3 เดือนฉันจะคลอด เขาเดินมาบอกกับฉันว่า "เขาจะลาออก" ฉันไม่ถามว่าเขาจะออกทำไม แต่ถามเขากลับไปว่า "ตอนนี้รายจ่ายหลักมีอะไรบ้าง?" เขาบอกว่า "มีค่าคอนโด ค่าผ่อนรถ ค่าประกันของฉันแบบรายเดือน" ... "เบ็ดเสร็จแล้วต้องจ่ายเดือนละเท่าไร?" ฉันถามต่อ เขาตอบว่า "ประมาณ2หมื่น" ฉันถามต่อว่า "แล้วรายรับอยู่ที่เท่าไร ค่ากินค่าอยู่อีกหล่ะ แล้วลูกที่กำลังจะคลอดอีก คิดว่าค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนพอไหม??" คราวนี้เขาเงียบ... แต่ก็ยังยืนยันที่จะลาออก โดยบอกว่า "เขาทนไม่ไหวกับปัญหาเดิมๆอีกแล้ว"  ฉันไม่ได้ห้ามอะไรได้แต่รับฟัง ในเมื่อฉันได้แจกแจงถึงค่าใช้จ่ายหลักภายในบ้านให้ฟังไปแล้ว และถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาคุณก็ต้องจัดการแก้ไขมันให้ได้ แล้วก็เป็นอย่างที่ฉันคาดการณ์ ร้านหมูกระทะไม่ได้กำไรอย่างที่เจ้าของเดิมคุย แถมยังขาดทุนทุกเดือนอีกต่างหาก ทุกอย่างผิดแผน แต่โชคยังเข้าข้างช่วงที่เขาว่างงานไม่มีรายรับจากทางไหนสักทางนอกจากเงินเดือนเก่าของเขาแค่1เดือนเท่านั้น เป็นจังหวะที่ฉันได้รับส่วนแบ่งมรดกจากทางตามาหนึ่งก้อนพอได้เป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนอยู่3เดือนนั้น สุดท้ายเงินก้อนนี้ก็หมด จนเขาได้เงินสะสมจากบริษัท พอได้มาเป็นค่าทำคลอดลูกได้ ... หนำซ้ำยังพูดประมาณทวงบุญคุณด้วยว่า "ถ้าไม่มีเงินก้อนที่ได้จากแม่จะอยู่กันยังไง?" เหอ..เหอ..เหอ.. ฟังแล้วจุกค่ะบอกตรงๆ อยากจะสวนกลับไปเหมือนกันว่า "แล้วตอนที่คุณตกงาน..ไม่ใช่เพราะเงินที่ได้รับมรดกจากส่วนของแม่ฉันหรอกหรอ..ที่ทำให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตนั้นมาได้ 3 เดือน" แต่ที่ฉันไม่พูดเพราะไม่อยากจะชวนทะเลาะให้ตัวเองรู้สึกแย่มากไปกว่านี้ แต่ทำให้ฉันได้คิดทบทวนกับความรู้สึกของตัวเองและมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ...  เขาเป็นคนที่จัดการปัญหาไม่เก่งเลย ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ไม่รู้จักและไม่มีวิธีการจัดการปัญหาที่ดี ไม่รอบคอบ หลังจากที่ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมาพักใหญ่ ช่วงที่ฉันเริ่มตั้งท้อง ตอนนั้นฉันยอมรับเลยว่าเป็นช่วงที่มีปัญหามากที่สุดในชีวิตคู่ ทุกครั้งที่ทะเลาะหรือมีปัญหากันไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เขาไม่เคยจัดการมันได้เลยสักครั้ง ดีแต่ใช้มือคนอื่น เรื่องบางเรื่องในชีวิตคู่ฉันมองว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องให้คนอื่นรู้หรอก ไม่ว่าจะคนในครอบครัวหรือแม้แต่เพื่อนสนิททั้งของเขาและของฉัน แต่เขากลับโทร.ไปขอความช่วยเหลือจากคนเหล่านี้ทุกครั้ง ไม่เคยเดินเข้ามาคุยด้วยตัวเอง ไม่เคยแม้แต่จะกล้าถามว่า "เป็นอะไร" ในวันที่ฉันเงียบไป .. เขาเป็นผู้ชายที่ขี้ขลาดในเกือบจะทุกเรื่อง ขี้ขลาดในเรื่องที่ไม่ควรจะขี้ขลาด ทุกครั้งที่มีปัญหาแทนที่ฉันจะได้ยินคำถามจากเขาว่า "เป็นอะไร??" กลับกลายเป็นเสียงจากปลายสายว่า "เมิงเป็นอะไร? พี่เขาโทร.หากรูให้กรูถามว่าเมิงเป็นอะไร??" ทุกครั้ง อยากบอกว่า "ทุกครั้งจริงๆ" เป็นคนที่ไม่เคยบอกความต้องการของตัวเอง ทุกครั้งที่มีปัญหามีเรื่องที่ต้องเปิดอกคุยกลับเป็นฉันอยู่ฝ่ายเดียวที่บอกว่า "ฉันกำลังเป็นอย่างนี้ กำลังรู้สึกอย่างนี้" แต่ฉันไม่เคยได้คำตอบจากเขาเลยสักครั้ง ไม่เคยแม้แต่ที่จะมานั่งคุยกันถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แต่กลับโทร.ไประบายกับคนโน้นคนนี้ ทั้งๆที่ความเป็นจริงคนที่ต้องมานั่งจับเข่าคุยน่าจะเป็นคนที่อยู่ด้วยมากกว่า แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ เวลาที่เขาเห็นฉันเงียบไม่พูดไม่จา เขาก็จะทำเป็นไม่สนใจ แม้กระทั่งตอนที่ฉันท้อง เหตุการณ์นี้ฉันจำมันได้ดี วันนั้นเราทั้งคู่ไม่พูดกัน ฉันกำลังเตรียมตัวเอาของไปขาย ฉันขนของงกๆๆ.. ต้องยกของหนักทั้งๆที่กำลังท้องลูกของเขาอยู่ ไม่ลุกมาช่วยยกของแถมนั่งมองเฉยอยู่ในเปล ไปถึงที่ร้านยังโดนหมาเจ้าของที่กัดอีก ฉันร้องไห้.. แต่ที่ร้อง..ไม่ได้ร้องที่หมากัดเพราะไม่ได้กัดเข้าอะไร แต่ร้องเพราะเจ็บใจที่คนอย่างเขาไม่มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ฉันเห็นแก่ลูกในท้องก็ยังดี และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ความสุขความรู้สึกดีๆกับเขาหายไปอีกเรื่อง...

5. คุณสมบัติของความเป็น "พ่อ"
    ฉันไม่เคยสนหรอกว่าคุณสมบัติข้อนี้ในตัวเขาจะดีเลิศกว่าผู้ชายคนอื่นๆคนไหน เพราะคุณสมบัติข้อนี้มันจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยสัญชาตญาณ แต่มีคำพูดหนึ่งของเขาที่ทำให้ฉันรู้สึก "ผิดหวัง" ตอนที่ประสบปัญหาการเงินเพราะขาดรายได้หลักใช้เงินเก็บเสียส่วนใหญ่ ฉันเริ่มให้เขาออกหางานใหม่ หรือไม่ก็ขอกลับเข้าไปทำงานที่บริษัทเดิม ณ เวลานั้นฉันก็ต้องขอยอมรับตรงๆว่า .. ควรต้องทำอะไรสักอย่างเพื่ออนาคตของลูก หรือฉันควรจะออกหางานทำช่วยเขาอีกแรง แต่..ใครจะเลี้ยงลูกหล่ะ?? เพราะลึกๆของฉันแล้ว ฉันอยากเลี้ยงลูกด้วยตัวฉันเอง ไม่อยากจ้างใครเลี้ยงทั้งนั้น และฉันบอกความต้องการนี้กับเขา แม้ฉันจะบอกกับเขาไปว่า "ฉันอาจต้องหางานทำ" สิ่งที่ฉันอยากได้ยินจากเขา คือ "ไม่เป็นไร..หนูอยู่เลี้ยงลูกอยู่กับบ้านเถอะ หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ของพี่เอง" แต่เปล่าเลย สิ่งที่ฉันได้ยินคือ "หนูสมัครงานสิ..ตอนนี้ที่ธนาคารออมสิน ธกส.กำลังเปิดรับบุคคลากร สมัครสอบเป็นพิธีไปก่อน เดี๋ยวแม่(เขา)จะเอาเงินให้ใต้โต๊ะ 200,000 แม่เขารู้จักกับหัวหน้า(อะไรสักอย่าง..ฉันจำไม่ได้แล้ว)" ฉันได้แต่คิดในใจ "โหย..เงินตั้งสองแสน เสียดายอ่ะ เอามาลงทุนทำอะไรเป็นของตัวเองไม่ดีกว่าหรอ? ได้เลี้ยงลูกด้วย" และฉันบอกกับเขาหลังจากที่เริ่มมีปัญหาอีกครั้ง เขาโทร.มาหลายครั้ง เกือบๆจะคะยั้นคะยอให้สมัครงานในครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ และนี่คงคือ จุดแตกหักสำหรับฉัน ในเมื่อคิดว่าเลี้ยงดูกันไม่ได้ คิดว่าฉันเป็นภาระ และคิดว่า "หน้าที่แม่" คือการต้องออกไปทำงานแล้วเอาลูกไปจ้างเขาเลี้ยง ฉันก็คิดว่า "ควรจะพอเสียที" ... แต่มีอีกคำพูดหนึ่งที่ฉันเกริ่นในตอนต้นก็คือ คำพูดของเขาที่ทำให้รู้สึก "ผิดหวัง" ก็คือ "หน้าที่ในการเลี้ยงลูก เช็ดฉี่ เช็ดอึ เปลี่ยนผ้าอ้อม "ไม่ใช่หน้าที่ของเขา" ... อ้าว!!..แล้วหน้าที่ของคุณคืออะไรคะ?? ไม่ใช่หน้าที่ของพ่อ เป็นหน้าที่ของแม่ แล้วออกทำงานมาเลี้ยงดูครอบครัว หน้าที่ใครคะ?? หน้าที่ฉันด้วยหรอ?? สิ้นสุดเลยค่ะคราวนี้..ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว แม้จะสงสารลูกจับใจกับการตัดสินใจของตัวเองในครั้งนี้ แต่ฉันก็คิดว่า ก็ยังดีกว่าทนอยู่กับพ่อของเขาทั้งๆที่ความรู้สึก "รัก" มันไม่เหลืออีกแล้ว เผลอๆจะกลายมาเป็นทะเลาะกันให้ลูกเห็นด้วยซ้ำ ฉันคิดว่า อย่างหลังลูกจะน่าสงสารมากกว่า .. แต่ฉันก็เชื่อค่ะว่า ฉันจะรักและสอนเขาให้เป็นคนดีคนหนึ่งได้ จะทำทุกอย่างไม่ให้ลูกรู้สึกขาด ฉันคิดเสมอว่า สักวันฉันจะเป็นเพื่อนที่ดีกับพ่อของเขาใหม่ได้ (แม้จะยังไม่ใช่ตอนนี้ก็ตาม)...

ที่เขียนมาทั้งหมด ไม่ได้จะโทษเขาแต่ฝ่ายเดียว เพียงแต่เป็นสิ่งที่ฉันไม่ชอบและทน(ต่อ)ไม่ได้เท่านั้นเอง เราทุกคนต่างมีขอ้เสียในตัวเอง อะไรที่ยอมรับได้ก็ยอมรับกันไป อะไรที่รับไม่ได้ต้องหาทางปรับ แต่ถ้ามันยังไม่ดีขึ้น แถมแย่ลงยิ่งกว่าเดิม ความสุขในการใช้ชีวิตหายไป ทางออกที่ดีที่สุดคือ การจากกันแบบต่างคนต่างเดิน น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด (สำหรับฉัน) แม้ผลของการกระทำในครั้งนี้จะตกถึงลูกเต็มๆ..แต่ฉันบอกกับตัวเองไว้แล้วว่า "ฉันจะเป็นแม่ที่ดีให้กับลูก..จะพยายามสร้างบรรยากาศดีๆเวลาเราอยู่กันพร้อมหน้าสามคนพ่อแม่ลูก (แม้ว่าตอนนี้ฉันยังทำได้ไม่ดีก็เถอะ) ฉันจะเป็นเพื่อนที่ดีกับ "เขา" เพื่อลูก แม้จะยังต้องใช้เวลามากแค่ไหน..แต่ฉันเชื่อว่า "ต้องมีสักวัน" ...

Single Mom ...






 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2556
2 comments
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2556 19:58:26 น.
Counter : 3385 Pageviews.

 

ป้าลีแวะมาเป็นเพื่อนค่ะ
อ่านแล้วปวดตาคนแก่นิดหน่อยเพราะว่า ตัวอักษรมันติดกันเป็นรถไฟ
แต่ทุกข้อความที่เขียน สัมผัสได้ว่า เจ้าของบ้านได้ผ่านการวิเคราะห์และพิจารณาแล้ว ซึ่งเจ้าของบ้านรู้และเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดี เพียงแต่แก้แล้วแต่ไม่เวิร์ค

ป้าลีเป็นคนหนึ่งที่เป็นทั้งซิงเกิ้ลมอมและมอมที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง นั่นก็เป็นอีกปัญหาที่ละเอียดอ่อนเช่นกัน

และชีวิตกว่าจะผ่านพ้นไปได้แต่ละปี แต่ละเหตุการณ์มันไม่ง่ายเลย เป็นกำลังใจนะคะ

 

โดย: Lee Jay 22 พฤศจิกายน 2556 16:06:49 น.  

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนจริงๆค่ะ ขอบคุณนะคะ

 

โดย: preeya.ao 23 พฤศจิกายน 2556 19:47:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


preeya.ao
Location :
ชลบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




รูปสวย glitter emoticon comment glitter.mthai.com

Free Skinhi5
New Comments
Friends' blogs
[Add preeya.ao's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.